กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6756)

เถรี 13-09-2019 22:44

ถาม : เท่ากับสายใต้ไม่มีใครทำเบี้ยแก้แล้วสิครับ ?
ตอบ : ก็มีแหกคอกออกมา ไม่รู้ว่าศึกษามาจากทางไหน ทางด้านพัทลุงก็มีพ่อท่านคล้อย วัดภูเขาทอง พ่อท่านใช้ วัดปากพล

ถาม : แต่เขาอ้อไม่มีเลย ?
ตอบ : เขาอ้อ
มีพ่อท่านคล้อย วัดภูเขาทอง แต่ไม่รู้ว่าศึกษามาจากใคร เพราะว่าเขาอ้อไม่ใช่ตำราของมหาเถรคันฉ่อง หรือว่าหลวงพ่อสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ทางเขาอ้อมาจากอินเดียเลย ของเขาอ้อมาจากคัมภีร์อาถรรพ์เวทย์ของศาสนาฮินดู

ถาม : แต่ตัวที่บันทึกจริง ๆ ของเขาอ้อ เป็นภาษาไทยนะครับ ?
ตอบ : เขาเขียนกันมา เขียนลอกต่อ ๆ มา ใครถนัดภาษาไหนก็เขียนเป็นภาษานั้น

ถาม : ตัวที่ใช้ก็ใช้สระเสกนะครับ อะ อา อิ อี ?
ตอบ : เยอะแยะไป ทางด้านสายเหนือก็เหมือนกัน กะ ขะ คะ ฆะ งะ ก็คือลักษณะของการแกะเอาคำภาวนาโยงจิตให้เป็นสมาธิ อะไรก็ได้...บอกไปเถอะ ลูกศิษย์ฟังไม่รู้เรื่องก็คิดว่าขลัง ก็เลยเสกไปเรื่อย เออ..ก็ขลังนี่หว่า..!

ถาม : ของหลวงพ่ออุตตมะจะมียันต์ที่ใช้ครอบจักรวาล ซึ่งพอแกะออกมาแล้ว ตะ ถะ ทะ ธะ นะ เอามาใส่วงกลมด้วยเสกด้วยมหาปัฏฐาน
ตอบ : ส่วนใหญ่ทางด้านมอญ - พม่าโน้นเขาจะเอา ๒๔ ปัฏฐานมาใช้กันเยอะ

เถรี 13-09-2019 23:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีแห่งการรับรางวัลจริง ๆ ลานธรรม ลานวิถีไทยตัวอย่างของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม วัดท่าขนุนอยู่ชื่อที่ ๒ ของประเทศไทย ชื่อแรกดันเป็นมัสยิดบ้านร่าหมาด ตำบลเกาะกลาง อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ นี่อาตมารับจนไม่รู้ว่าตัวเองรับรางวัลอะไรมาบ้าง"

เถรี 13-09-2019 23:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเสกวัตถุมงคลแล้วคนเขานิยมกัน อย่างหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองเป็นพระเครื่อง พระเครื่องในความหมายของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็คือ พร้อมที่จะติดเครื่องถล่มชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา..!"

เถรี 13-09-2019 23:30

ถาม : กฐินที่วัดท่าขนุนปีนี้ วันที่เท่าไรคะ ?
ตอบ : ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ ที่วัดจะทอดกฐินในวันตักบาตรเทโวฯ ของทุกปี ตอนช่วงเช้าตักบาตรเทโวฯ ช่วงบ่ายทอดกฐิน เจ้าอาวาสก็ถือโอกาสอู้ ไม่ทำงาน ๓ วัน ไปเข้ากรรมฐาน ไม่ต้องทำงาน ถนอมพลังงานตัวเอง ไม่ต้องกินไป ๓ วัน ออกมาก็มาบิณฑบาตในวันตักบาตรเทโวฯ ช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายก็รับกฐิน

อาตมาเข้ากรรมฐานตั้งแต่วันที่ ๑๑ วันที่ ๑๓ ก็ออก ช่วงเข้ากรรมฐานก็เสกขันน้ำมนต์ให้กับเจ้าภาพกฐินด้วย คือบาตรน้ำมนต์รุ่นเก่าราคาแพงมาก เนื่องจากว่าทำจากเนื้อชนวนหลวงพ่อนาก ก็เลยหารุ่นใหม่ที่ราคาอยู่ในระดับจับต้องได้ให้ญาติโยมได้ทำบุญกัน

พอดีไปเจอคนทำราคาไม่แพง ทำแล้วน่าจะได้กำไรเยอะ...ก็เลยทำ ที่ลงยันต์ไว้ที่ขันน้ำมนต์ก็มียันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า อันนี้ป้องกันอันตรายทุกอย่าง ยันต์สุกิตติมา บางคนเขาเรียกคาถาวัวกินนมเสือ เมตตาขนาดไหนก็ไม่รู้ ? รู้แต่ว่าวัวสามารถกินนมเสือได้ แล้วก็ปิดท้ายด้วยยันต์มหาโสฬส ซึ่งจะมีตรีนิสิงเหแทรกอยู่ข้างในด้วย

เถรี 13-09-2019 23:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดท่าขนุนเป็นวัดอันดับต้น ๆ ของทองผาภูมิที่ติดอันดับเรื่องความสะอาด เกิดจากพระเณรท่านขยันช่วยกันดูแล แรก ๆ อาตมาก็กวาดเองเก็บเอง ไป ๆ มา ๆ กวาดเมื่อไรโดนท่านแย่งไม้กวาดทุกที ก็เลยเอาไปเถอะ ไปทำกันเองก็แล้วกัน สรุปว่าอาตมาแก่แล้ว ไม่ต้องออกแรงเยอะ"

เถรี 13-09-2019 23:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พระอานนท์เทศน์ ถ้าพระอานนท์เทศน์ก็แปลว่าจะต้องมีคนฟังเยอะ คือที่วัดท่าขนุนในช่วงพรรษาจะมีเทศน์วันพระทั้งเช้าทั้งค่ำ พระจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันเทศน์ คราวนี้พระใหม่ท่านชื่ออานนท์ พอบวชแล้วท่านก็เลยกลายเป็นพระอานนท์ เลขานุการส่วนตัวของพระพุทธเจ้า..! นี่เขาเพิ่งจะทำบุญวันพระเสร็จ ส่งรูปมาให้ดู มีอะไรไม่ดีหลวงพ่อจะได้ด่าเสียแต่เนิ่น ๆ..!

วัดท่าขนุนดีอยู่อย่างว่า พระที่บวชเข้าไปท่านตั้งใจจะเอาดีกันจริง ๆ ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนกับที่อื่น ที่อื่นบวชเข้าไปบางทีก็ท้าตีท้าต่อยกัน บางคนก็ถึงขนาดท้าเจ้าอาวาสชก..! ไม่ไปท้าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนบ้าง ? ท้าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนชกจะได้รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร...!

อย่างท่านอานนท์ก็แบบเดียวกับอาตมา บวชตอนอายุมากแล้ว ได้เปรียบชาวบ้านเขา อาตมาบวชตอนอายุ ๒๗ ปี ต้องบอกว่าความยับยั้งชั่งใจมีมากขึ้น ถ้าบวชตอน ๒๐ ปี ก็คงจะตีกันวัดแตกไปตั้งแต่แรกแล้ว ท่านอานนท์นี่หัวหงอกแล้วค่อยมาบวช"


เถรี 14-09-2019 08:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมเอาหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมปางกายมนุษย์หน้าตัก ๑๐ นิ้วไปลงจำหน่ายในเว็บ ๑ ล้านบาท มึงช่างกล้า...! กูทำแจกฟรี ได้ของฟรีไปเอาไปลงล้านหนึ่ง ตอนนั้นมีทุนไม่มาก เพราะว่าพระครูแสงเป็นคนทำ ได้มา ๑๒๒ องค์ หน้าตัก ๑๐ นิ้วนะ ที่ทำปลอมกันอยู่ที่ท่าพระจันทร์นั่นหน้าตักไม่ถึง เพราะฉะนั้น...วัดดูง่าย ๆ ก็รู้เลย ฝีมือก็ไม่ถึงด้วย

ขอให้รู้ไว้ว่าหลวงพ่อวัดไหน ถ้าท่าพระจันทร์ยอมลงทุนปลอมวัตถุมงคล แสดงว่าท่านดังแล้ว ของวัดท่าขนุนที่โดนปลอมมีพระองค์ที่ ๑๑ ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก และพระกริ่งพิชัยสงคราม เสียดายอย่างเดียวว่าตะกรุดปลอมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าตะกรุดปลอมได้คงปลอมไปแล้ว แต่ก็มีนะ ประเภทเอามาขายแล้วมาบอกว่าเป็นตะกรุดมหาสะท้อน โยมก็ซื้อไปดอกละ ๒๐,๐๐๐ - ๓๐,๐๐๐ บาท แกะออกมาเป็นของที่ไหนก็ไม่รู้ ลายมือก็ไม่ใช่ ยันต์ก็ไม่ใช่"


เถรี 14-09-2019 08:32

"อาตมาเองกำลังให้เขาทำทำเนียบวัตถุมงคล เผื่อถึงเวลาคนจะได้มีตัวอย่างไว้ดู ไม่ต้องไปโดนเขาหลอก ไม่อย่างนั้นก็ไปโดนเขาหลอกเอาง่าย ๆ

วัตถุมงคลวัดท่าขนุนเน้นประณีต พวกฝีมือลวก ๆ นี่ไม่ใช่แน่ โดยเฉพาะเหรียญพระสังกัจจายน์กับหลวงปู่หลิวขี่เต่า ท่านอาจารย์เทพปล่อยสุดฝีมือเลย ทำถวายวัดท่าขนุน เฉพาะตัวเหรียญอย่างเดียวประกอบ ๘ ครั้ง เพราะว่าชิ้นส่วนพระสังกัจจายน์กับหลวงปู่หลิว หัว ขา แล้วก็หางเต่า เป็นคนละชิ้นหมดเลย

ลูกศิษย์ทางด้านวัดสี่แยกฯ บ่นว่าของสวยขนาดนี้ทำไมไม่เอาไว้กับวัดของตัวเอง ของพระอาจารย์เล็กลูกศิษย์ท่านบูชาทีเดียวหมด พวกผมก็อดรับประทาน

เมื่อวันที่ ๔ แวะไปวัดไร่แตงทอง ต้นตำหรับหลวงปู่หลิวมา เอาเหรียญเต่ามังกรหยกให้หลวงพ่อสายชลท่านดู เป็นเพื่อนกัน ท่านก็บอกว่า “ของผมดูไม่ได้ ไม่สวยเหมือนของอาจารย์” บอกท่านว่า “ของคุณดูไม่ได้แต่พุทธคุณดี คนเขาก็แย่งกันบูชา” วัดอยู่ลึกขนาดนั้นแต่รถติดเหมือนกับกรุงเทพฯ เลย"

เถรี 14-09-2019 08:35

"เดี๋ยวนี้คนขับรถของอาตมามีข่มขู่ “จะให้เข้าหรือไม่ให้เข้า ? ถ้าไม่ให้เข้าจะพาหลวงพ่อกลับ” เขาก็เลยต้องรีบหาทางให้เข้า

ทางเข้าวัดไร่แตงทองไม่ได้แคบนะ แต่เนื่องจากว่ารถแต่ละคันนี่มัวแต่ยึกยักกันอยู่ ไม่รู้ว่าจะจอดตรงไหนดี ก็พาคันอื่นเขาติดไปด้วย โอ้โฮ...แล้วติดที ๒ - ๓ กิโลเมตร ไปเจอคนใจร้อนประเภทวิ่งแซงขวาขึ้นมา เจอรถสวน อ้าว..ติดกันอีก คนโน้นก็ไม่รู้ว่าจะถอยอย่างไร คันนี้ก็มีรถจ่อท้ายอยู่

แต่น่าเสียดายว่าหลวงพ่อสายชลท่านเป็นมะเร็ง เป็นทีหนึ่ง ๓ ก้อน "โลภมากไปหรือเปล่า ? แบ่งให้ผมสักครึ่งก็ได้" ท่านบอกว่า "๓ ก้อนแบ่งแล้วไม่ลงตัว..อย่าเอาเลย ถ้ามีสัก ๒ หรือ ๔ ยังแบ่งครึ่งกันได้..!" ตอนนี้ท่านให้คีโมอยู่ ฉันอะไรไม่ได้เลย อาเจียนหมด ท่านบอกว่า "ผมคงไม่ได้ตายเพราะมะเร็งหรอก ผมตายเพราะกินไม่ได้..!"

ท่านบ่นว่าจะสร้างพระศรีอริยเมตไตรยทันไหม ? ตอนนี้ได้แค่จมูก ถามว่าพระศรีอริยเมตไตรยองค์นี้ใหญ่แค่ไหน ? ลืมถามว่าหน้าตักเท่าไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าใช้ทองเหลือง ๑๗๐ ตัน ตันหนึ่งก็ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม คูณ ๑๗๐ ไปดู กี่หมื่นกี่แสนกิโลกรัม ?"

เถรี 14-09-2019 08:38

"หลวงพ่อสายชลปรารภว่า สร้างองค์พระสัก ๘๐ ล้านบาท ทำอาคารสัก ๘๐ ล้านบาท ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ทำจนเสร็จไหม ? อาตมาเลยบอกว่า "แล้วคุณไปเครียดอะไร ? นั่นเป็นปัญหาของคนอยู่ ไม่ใช่ปัญหาของคนตาย" ท่านบอกว่า "หาให้เขา ๗๐ - ๘๐ % แล้ว ขาดอยู่นิดหน่อย คนมาสร้างต่อไม่ได้ก็เป็นเรื่องของเขา"

ท่านเพิ่งซื้อที่ข้างวัดไป ๑๐ ไร่ เพื่อที่จะให้เขาจอดรถ ที่จอดรถเก่าไม่พอ ถามว่าเจอไปไร่ละเท่าไร ? "๕ ล้านบาท" เรื่องของญาติโยมที่ขูดเลือดขูดเนื้อพระนี่เป็นทุกที่ พวกที่ข้างวัดท่าขนุนนี่เขตเทศบาล ราคาประเมินชัด ๆ ไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท เขาบอกขายอาตมาไร่ละล้าน..! หลวงพ่อสายชลก็เหมือนกัน เขาเองราคาเดิมไร่ละ ๗๐,๐๐๐ - ๘๐,๐๐๐ บาท แต่เอาไร่ละ ๕ ล้าน ก็ต้องให้เขา เพราะว่าเราต้องใช้ ไร่อ้อยอยู่ลึกจากถนนใหญ่เข้าไป ๑๒ กิโลเมตร ใครจะไปบ้าซื้อไร่ละ ๕ ล้านบาท..! หลวงพ่อสายชลท่านบ้าพอ ซื้อไร่ละ ๕ ล้านบาท อยากได้กูก็ให้ เพราะว่ากูจะเอา...!"

เถรี 14-09-2019 22:55

ถาม : รู้สึกเสียดาย เป็นตัวโลภหรือตัวรักคะ หรือทั้งสองตัว ?
ตอบ : ตัวหลง..หลงว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นดีจึงเสียดาย

เถรี 14-09-2019 23:06

ถาม : หนูภาวนาคาถาเงินล้านจนเหมือนเป็นอัตโนมัติ ประคองไปได้ ๓ อาทิตย์แล้วก็ล้ม กำลังจะเริ่มใหม่ บางวันก็ได้ บางวันก็ไม่ค่อยดีอยู่ บางวันนั่งสมาธิแล้วไม่เป็นสมาธิ ก็คิดว่าจะนั่งทำไม หนูก็เลยมาพิจารณาร่างกายแทน พิจารณาไปจนน้ำตาร่วง คิดว่าชีวิตนี้ไร้สาระ ที่ผ่านมาโดนหลอกมาขนาดนี้เลยหรือ เราไปทำใครเขาไว้ ก็ขอโทษเจ้ากรรมนายเวร หนูคิดไปเองหรือเปล่า ควรจะทำแบบนี้ต่อไปอีกหรือไม่คะ ?
ตอบ : แบ่งเป็น ๒ ประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องของสมาธิ เราอยากได้คืนมากเกินไป คราวนี้ตัวอยากได้มากเกินไปทำให้ฟุ้งซ่าน ก็เลยไม่ทรงตัว เพราะว่าภาวนาเมื่อไรเราก็อยากให้สงบเหมือนเดิม กลายเป็นว่าตัวอยากให้สงบเป็นตัวฟุ้งซ่าน ต้องทำใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนผลจะเป็นอย่างไรช่างมัน ถ้าอย่างนั้นจะได้คืนเร็ว

ประการที่ ๒ คือ
ควรจะมีการพิจารณาประกอบไปด้วยทุกครั้ง เอาให้เห็นชัด ๆ เลยว่าอัตภาพร่างกายนี้ไร้สาระ เกิดมาชาติแล้วชาติเล่าก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว พยายามสรุปจบลงตรงนี้ให้ได้ทุกครั้ง ถ้าสภาพจิตยอมรับจริง ๆ ก็อย่างที่ว่า คือซึ้งจนน้ำตาร่วงเอง

พอเห็นอย่างนั้นชัดเจนจริง ๆ แล้ว ว่าร่างกายเราไม่มีอะไรดีเลย ในเมื่อตัวเราไม่มีอะไรดี ตัวคนอื่นก็เหมือนกัน เรายังไม่อยากได้ใคร่ดีในตัวเอง จะไปอยากได้ใคร่ดีในตัวคนอื่นได้อย่างไร ? ท้ายสุดคนอื่นก็ไม่ดี โลกนี้ก็ไม่ดี ในเมื่อเราไม่ต้องการอีก ความปรารถนาในการเกิดไม่มี ก็ตัดกิเลสของตัวเองได้ไปตามลำดับขั้น ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ของเรามีเท่าไร ก็จะได้ไปตามที่เราสั่งสมมา ถ้าสามารถพ้นไปได้เลยก็ถือว่าจบจึงต้อง พิจารณาไว้ทุกครั้ง อย่ารอให้ภาวนาไม่ได้แล้วค่อยมาพิจารณา

เถรี 14-09-2019 23:07

ถาม : เราจะรู้เมื่อไรว่าควรจะเริ่มพิจารณาแบบวิปัสสนาแล้ว ?
ตอบ : ภาวนาจนใจไม่เอาแล้ว พอไม่เอาแล้วเราก็มาพิจารณา ส่วนใหญ่แล้วพวกเราภาวนาอย่างเดียว ภาวนาแล้วก็ปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ ไม่ได้เอามาใช้งานในการพิจารณา ก็เลยทำให้เสียของเปล่า แต่ไม่เป็นไรหรอก...ต้องลองผิดลองถูกอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ

เถรี 14-09-2019 23:11

ถาม : เกือบทุกอาทิตย์จะพาแม่ไปถวายภัตตาหารพระสงฆ์ มีพระอาจารย์รูปหนึ่งท่านเป็นพระครู ท่านสอนอานาปานสติ หนูก็พาแม่ไป พอหนูมีปัญหา หนูก็ไปถามท่าน พอท่านรู้ว่าหนูเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็หาว่ามโนมยิทธิเป็นการเอาจิตส่งออก หนูไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ?
ตอบ : อย่าไปเถียงกับท่าน เพราะว่าท่านไม่เคยปฏิบัติแบบนี้ ท่านจึงไม่เข้าใจ การที่จิตเราส่งออกแล้วเกิดทุกข์ เพราะว่าเป็นการส่งออกโดยไม่มีการควบคุม แต่มโนมยิทธิอย่างน้อยเราก็ต้องทรงอุปจารสมาธิขึ้นไป ก็แปลว่าเราไปโดยมีการควบคุม ในเมื่อไปโดยมีการควบคุม ถึงเวลาจะไปฟุ้งซ่านให้เป็นทุกข์ได้อย่างไร ? อย่าไปเสียเวลาอธิบาย..เพราะว่าเราไม่เก่งจริง

ถาม : ท่านก็พยายามดึงเราออกจากทาง ทำให้อึดอัดค่ะ ?
ตอบ : บอกกับท่านว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนทุกอย่างเป็นความดีทั้งหมด เรายินดีที่จะทำตรงนี้ ถ้าหากท่านเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ดี ก็แปลว่าท่านเองก็ยังไม่ดีพอ

เถรี 14-09-2019 23:29

ถาม : พระที่รู้จักคุยกันว่า พระที่ศีลยังไม่บริสุทธิ์ จะไปได้ฤทธิ์ได้อภิญญาได้อย่างไร ?
ตอบ : บอกกับท่านสิว่า ผมเห็นฆราวาสได้ฤทธิ์ได้อภิญญากันเยอะแยะ ไม่เห็นต้องศีล ๒๒๗ ข้อ ศีล ๕ ยังไม่ครบเลย เพียงแต่ตอนปฏิบัติครบอยู่พักเดียวเท่านั้น แสดงว่ากำลังใจท่านสู้ฆราวาสห่วย ๆ ยังไม่ได้เลย..!

ถาม : ท่านถือว่าท่านเก่งจริง ๆ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า สีลัพพตุปาทาน ยึดมั่นในหลักปฏิบัติของตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น กลายเป็นยึดมันถือมั่นไป ถึงได้กลายเป็นอุปาทาน

กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน สีลพัตตุปาทาน นี่ก็คือยึดมั่นในศีลพรต คือหลักปฏิบัติของตน
อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในวาทะ คือต้องกูเท่านั้นคนอื่นไม่ใช่ ออกไปแนวสัจจกนิครนถ์ คือ กูเก่งคนเดียว

เถรี 14-09-2019 23:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ชราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความตายไปได้

นี่มองข้ามขั้นไปนิด ตอนนี้แก่แล้ว เจ็บแล้ว จึงต้องมองไปถึงตาย ก็เหลือแค่ว่าเป้าหมายหลังจากตายแล้วจะไปไหน ? ลงต่ำ อยู่ที่เดิม ขึ้นสูง หรือพ้นไป ? จริง ๆ แล้วมีคนเขาบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกอยู่ไม่ได้ เลือกงานไม่ได้ เลือกตายไม่ได้ จริง ๆ แล้วเลือกได้นะ เลือกเกิดนี่ส่วนใหญ่เลือกกันมาแล้ว เพราะว่าทำแบบนั้นถึงได้แบบนั้น นี่ถามว่าเลือกตายไม่ได้ ? ได้..ตายก็ตามที่คุณเลือกไว้นั่นแหละ ทำอย่างไรก็ไปตามนั้น เราเลือกเอง ลิขิตชีวิตตัวเอง แต่ไปบอกว่าเลือกไม่ได้"

เถรี 14-09-2019 23:44

ถาม : หนูร่วมทำบุญถอดเทปคำสอนครูบาอาจารย์ค่ะ ?
ตอบ : การถอดเทปคำสอนครูบาอาจารย์ บางคนรัก เกรงใจ แล้วก็กลัวจนเกินไป ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงทั้ง ๆ ที่บางอย่างท่านพูดก็ผิด แทนที่จะช่วยแก้ให้ถูกก็ไม่แก้ เรื่องนี้อาตมาเจอมาตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่วัดท่าซุง ถอดเทปหนังสือหลวงพ่อวัดท่าซุงใหม่ ๆ คนถอดเคารพจัด กระทั่งเสียงกระแอม เสียงไอยังใส่ลงไป จะเอามาทำอะไรวะ ? คำพูดที่จะแก้ไขจากภาษาพูดเป็นภาษาเขียนก็ไม่กล้าอีก นั่นเขาเรียกว่าอ่อนไหวจนเกินไป ถ้าไม่กล้าทำงานก็อย่าโผล่หน้ามา ถ้าโผล่หน้ามาต้องพร้อมที่จะลงนรก..!

ถอดเทปมา ถอดเสียงมา ต้องแก้ไขให้สมบูรณ์ คนอ่านจะได้ลื่นไหลไม่สะดุด แทนที่จะมีโทษกลับมีประโยชน์มากกว่า แต่นี่กลัวโทษกันอย่างเดียว ไม่กล้าแก้ ไม่กล้าทำกันเลย


เถรี 15-09-2019 00:34

ถาม : ปกติผมจะอุทิศส่วนกุศลให้กับเทวดาประจำตัวทุกวัน แต่ต่อมาผมก็คิดว่า เราอยากจะอุทิศส่วนกุศลล่วงหน้าไปเลย บอกว่า ต่อไปนี้ทั้งชีวิตของข้าพเจ้าทำบุญอะไรมา ท่านโมทนาได้เลย ข้าพเจ้าไม่อยากมาอุทิศส่วนกุศลให้ทุกวันแล้ว แบบนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เทวดานั้นได้ เพราะว่าท่านมีสภาพจำแล้วก็โมทนา แต่เราจะขาดทุน เพราะว่าปัตติทานมัยของเราจะขาดไป เพราะเราไม่ได้ทำทุกวันเหมือนเดิม คือผลบุญที่ได้จากจิตของเราสละความดีของตนให้กับผู้อื่นจะหายไป เพราะฉะนั้น...จะขี้เกียจก็ได้ แต่ก็ต้องขาดทุนหน่อย

เถรี 15-09-2019 22:44

ถาม : ตอนผมเป็นเณร ผมสึกมาแล้ว ผมเอาปัจจัยที่ได้จากตอนเป็นเณรกลับบ้านมาด้วย แต่ต่อมาผมก็คิดว่าไม่สมควรที่จะเอากลับบ้าน ก็เลยนำปัจจัยนั้นไปทำบุญที่วัดเดิม ทำบุญค่าน้ำค่าไฟทั้งหมด อย่างนี้ผมจะเป็นหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าทิ้งระยะนานแค่ไหน ?

ถาม : ในวันนั้นเลยครับ ?
ตอบ : ถ้าวันนั้นเลยก็ไม่เป็นไร แต่เสี่ยงนรกมาก ถ้าพลาดแล้วตายก่อนก็ซวยไป

ถ้าทิ้งระยะเราต้องดูด้วยว่าปัจจัยที่เราให้ไป ได้กับช่วงนี้ไหม ? เพราะว่าบางทีเวลาผ่านไปค่าของเงินลดลง เราเคยเอาเงินมาซื้อก๋วยเตี๋ยวได้หนึ่งชาม สมมติว่าตอนนั้น ๕ บาท แต่ตอนนี้ ๒๐ บาท เราก็ต้องใช้คืนเป็นจำนวน ๒๐ บาท


ถาม : ตอนนั้นจำได้ว่าออกจากวัดมาก็ ๒ - ๓ ชั่วโมง วัดใกล้บ้านก็เอาไปคืนเลย ?
ตอบ : นี่ถ้าเป็นพระก็ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ยังดีที่เณรไม่มีอาบัติปาราชิก

ถาม : ผมสึกมาแล้วนี่นะครับ ?
ตอบ : ถ้ามีเถยยจิตที่จะเอา จะคิดเอาตอนไหน ก็ต้องคิดเอาตอนก่อนที่คุณจะสึก..ใช่ไหม ?

เถรี 15-09-2019 22:46

ถาม : ผมท่องพระคาถาเงินล้าน ต่อมาก็เปลี่ยนมาท่องพระคาถาอื่นอย่างพระคาถาอื่น ผมต้องตั้ง นะโมฯ ๓ จบใหม่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าต่อเนื่องกันไปก็ไม่ต้อง

ถาม : แล้วถ้าเว้นสัก ๓ ชั่วโมง ต้องท่อง นะโมฯ ใหม่ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าตอนช่วงเช้าตั้งไว้ก็แล้วกัน ภายในวันนั้นจะว่าคาถาอะไรก็ว่าไป

เถรี 15-09-2019 23:03

พระอาจารย์กล่าวในช่วงบ่ายว่า "ตอนนี้อาตมาจัดวัตถุมงคลชุดเบี้ยแก้ครบถ้วนแล้ว ปรากฏว่าเบี้ยแก้ที่หายากที่สุดของอาตมากลายเป็นเบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเผลอจำหน่ายไป ลงกระทู้คนมีเงินฯ ไปหมด สาเหตุที่สองก็คือ เบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือระยะหลังนั้น ขนาดวางขายหน้ากุฏิยังปลอม..! อาตมาก็เลยเก็บไว้เฉพาะที่ท่านทำให้เป็นพิเศษ กลายเป็นว่าของอาตมานั้น เบี้ยแก้หลวงปู่เจือหายากที่สุด มีแค่ ๒ ลูก ส่วนของหลวงปู่บุญที่เขาหากันหูดับตับไหม้ยังมีตั้ง ๓ ลูก

หลวงปู่เจือท่านเคยทำ "เบี้ยแก้ตัวครู" ให้ ใหญ่ประมาณกำปั้นนี่เลย ตัวครูนี่จริง ๆ ก็คืออนุญาตให้ทำต่อจากท่านได้ ส่วนเบี้ยแก้ขนาดปกติตัวที่ท่านทำให้ อาตมาตั้งใจเอาไว้ให้ใช้จริง ๆ ชุบรักสุดยอดที่จะบรรจง เงาวาววับเลย ใครเห็นก็งงทุกราย คิดว่าเป็นเบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญไปโน่น"


เถรี 15-09-2019 23:07

ถาม : มาครั้งแรกครับ ไม่รู้..เตรียมเหรียญมาหยอดตู้ครับ ?
ตอบ : ที่นี่ไม่มีตู้ให้หยอด..ต้องขออภัย ให้ถวายลงในขันตรงหน้านี่เลย ที่ไม่มีตู้ให้หยอดเพราะว่าบ้านมีขนาดเล็ก ถ้าตั้งตู้ไปแล้วเกะกะมาก นี่เป็นข้อแก้ตัว เอ๊ย..นี่เป็นคำอธิบายที่บอกถึงข้อเท็จจริง

เถรี 15-09-2019 23:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๒ อย่าง ที่เขาใช้คำว่า "ดราม่า" อย่างแรกก็คือ เพลงนะโม ฟังกันหรือยัง ? ได้ยินว่าคุณนุ้ย เชิญยิ้ม เป็นคนร้อง เนื้อหาประมาณว่าพระเราฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ดึกซัดมาม่า..!

อีกอย่างหนึ่งก็คือจิตรกรที่วาดรูปพระพุทธเจ้าเป็นอุลตร้าแมน มีคนถามว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนาหรือไม่ ? การเหยียดหยามศาสนานั้นเป็นการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยกายหรือวาจา ต่อสิ่งอันเป็นที่เคารพของศาสนานั้น ๆ อย่างเช่นว่าศาสนาพุทธของเราก็ทำกับพระพุทธรูป เป็นต้น

ถ้าจะเอาเรื่องข้อหาเหยียดหยามศาสนา ศาลอาจจะปรานี ลงโทษในสถานเบาและให้รอลงอาญา เพราะมักจะอ้างว่าทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

คราวนี้ถ้ามาดูในแง่ของชาวพุทธ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กระทำไปแล้ว ทำให้ผู้นับถือศาสนาพุทธด้วยกันไม่สบายใจ โดยสามัญสำนึกก็น่าจะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่สมควร แต่เขาคิดว่า ถ้าทำไปแล้วเกิดกระแสขึ้นมา ก็จะทำให้โด่งดังและขายผลงานได้ นี่เป็นการคิดแบบการตลาด แต่ว่าทำให้โทษใหญ่นั้นเกิดขึ้น"

เถรี 15-09-2019 23:14

"โทษใหญ่ที่เกิดขึ้นก็คือ คุณได้กระทำการอันเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย แสดงออกซึ่งความไม่เคารพในพระรัตนตรัย ก็แปลว่า ชีวิตนี้คุณไม่มีทางที่จะเข้าถึงมรรคเข้าถึงผลได้ เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกาของการที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า กฎเกณฑ์ของการเข้าถึงมรรรคเข้าถึงผลนั้น กติกาข้อหนึ่งก็คือ จะต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยความจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก็แปลว่าคุณปิดทางของตัวเอง

ถ้าภาษิตจีนเขาบอกว่า "สวรรค์มีทาง..เจ้าไม่ไป นรกไร้ประตู..ดันตะกายมา" ขอแสดงความยินดีกับท่านทั้งหลายด้วย อาจจะได้เจอกันข้างล่าง ถึงเวลาแล้วทักทายกันบ้างนะ..!

เรื่องของพระรัตนตรัยมีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ สุปติฎฐิตเทพบุตรทำความชั่วมาตลอดชีวิต ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้านิดเดียว ได้ไปสวรรค์ก่อน ๗ วัน ขณะเดียวกันบุคคลที่ปรามาสพระรัตนตรัย ก็โทษมหันต์พอกัน"

เถรี 15-09-2019 23:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีวัตถุมงคลอยู่ชิ้นหนึ่ง ราคา ๓๐,๐๐๐ บาท มีใครกล้าบูชาไหม ? เป็นฟันของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อาตมาได้ฟันท่านมา ๒ ซี่ เป็นคนขายกระทั่งฟันของครูบาอาจารย์..! ตอนนี้จะสร้างอาคารวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี หลังแรกราคา ๕๐ กว่าล้านบาท เพราะฉะนั้น..มีอะไรก็ขายหมด

หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค มรณภาพมา ๓๐ - ๔๐ ปีแล้ว สภาพผิวท่านยังดีกว่าผิวของอาตมาอีก นอนรอลูกหลานอยู่ ใครจะไปไหว้ไปกราบก็ไป ไม่ทันท่านแบบอาตมาก็ไปได้ ไม่เป็นไรหรอก ท่านยังรอพวกเราอยู่"


หมายเหตุ : มีคนบูชาที่บ้านเติมบุญไปแล้ว

เถรี 15-09-2019 23:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอนินทาลูกศิษย์คนหนึ่ง ก็คือแม่ชีกุ๋ย (อุบาสิกาอุษณี วงษ์ไตรรัตน์) ไปเปิดสถานปฏิบัติธรรมแล้วก็มีปัญหา แม่ชีกุ๋ยก็ส่งอีเมลล์มาหา บอกว่าตนเองไม่เข้าใจว่าที่มีปัญหากระทบกระทั่งกัน เกิดจากการบริหารไม่เป็น หรือว่าเกิดจากกำลังใจคนที่ต่างกัน ?

อาตมาใช้คำตอบแรง ๆ ไปว่า เกิดจากการเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เห็นหัวคนอื่น ก็เลยทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน เพราะว่าคนเรากำลังใจต่างกัน สรุปว่าแม่ชีไม่เข้าใจว่าตัวเองไปผิดพลาดตรงไหน

คนที่กำลังใจต่างกัน เราต้องคอยประคับประคอง โดยเฉพาะถ้าเขาเป็นเจ้าของบ้าน เราต้องให้เกียรติเขา ยกย่องเขา ทำอะไรต้องให้เขาออกหน้าเสมอ เพราะว่ากำลังใจต่างกัน เราอาจจะไม่ต้องการจุดนั้น แต่คนอื่นเขายังต้องการอยู่ ต้องมีให้เขา

ในเมื่อของเราเองทำทุกอย่างโดยใช้กำลังใจของตัวเองเป็นหลัก ก็เลยกลายเป็นไม่เห็นหัวคนอื่น บอกได้อย่างชัดเจนว่า ประการแรกก็คือ บริหารจัดการไม่เป็น ประการที่สองก็คือ ปัญญาไม่พอ มองปัญหาไม่ออก ประการที่สามก็คือ อยากได้ใคร่ดี โตเร็วมากจนเกินไป"



เถรี 15-09-2019 23:24

"การที่อยากได้ใคร่ดี อยากโตเร็ว อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ อยากเป็นที่ยอมรับของคนอื่น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาบ่มเพาะ ต้องมีระยะเวลาในการสร้างตัวเองให้มั่นคง ถ้ามีเวลาสร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน ถึงเวลากระทบกระทั่งอะไร เราก็จะไม่ไหลตามกระแสไป จะมีสติยั้งคิด มองเห็นต้นตอของปัญหา แล้วก็แก้ไขได้

ตรงจุดนี้ก็เลยขอนินทาให้โยมจำนวนมากฟังว่า ความผิดพลาดทั้งหมดเกิดจากการที่ใช้กำลังใจของตัวเองเป็นหลัก ขณะที่กำลังใจคนอื่นไม่เท่ากัน ไม่สามารถที่จะลดลงมาให้ได้ระดับเดียวกับเขา หรือว่าปรับขึ้นไปให้ได้ระดับเดียวกับเขา ซึ่งการที่เราจะทำลักษณะอย่างนี้นั้น จะเหนื่อยมาก

บางวันอาตมาเจอคนกำลังใจต่ำ ๆ มาก ๆ นี่เหนื่อย เพราะว่าต้องลดลงมา พอลดลงมา อาตมาก็ต้องแบกกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เท่ากับเขา ถึงจะเข้าใจว่ากำลังใจเขาเป็นอย่างไร เหนื่อยอย่าบอกใครเลย..! ฉะนั้น...ถ้าไม่อยากเหนื่อย อย่าทำหน้าที่อย่างนี้ ถ้าอยากทำหน้าที่อย่างนี้ ก็ต้องยอมเหนื่อย"

เถรี 15-09-2019 23:28

"การที่ลดกำลังใจลงมา ก็จะเหนื่อยมาก ๆ บางคนท้อ ต้องเลิกทำหน้าที่ไปเลย แต่ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง ปรับขึ้นปรับลงได้ ถึงเวลาเจอกับสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วไม่มีอะไรค้างคาในใจ จะทำได้เต็มที่มากกว่า

เพราะฉะนั้น...แม่ชีขาดการบ่มเพาะตัวเองในระยะเวลาที่เพียงพอ ก็เลยทำให้อ่านปัญหาไม่ขาด บริหารจัดการไม่ถูกต้อง ก็มีการกระทบกระทั่งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ความจริงถ้าออกไปทำอะไรของตัวเองได้ก็ดี อาละวาดได้เต็มที่หน่อย ถ้าอยู่ร่วมกับคนอื่นเขา ก็อยู่ในลักษณะที่ว่าต้องเกรงใจเขาแบบนี้

แต่การที่เราออกไปทำอะไรด้วยตัวเอง จะลำบากตรงที่ว่าถ้าเราเป็นใหญ่ในสถานที่นั้น ภาพที่สะท้อนจากคนอื่นจะบิดเบี้ยว ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ที่บิดเบี้ยวก็คือเขาไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกเราอย่างเต็มที่เหมือนกับเมื่อก่อนนี้ เพราะว่าเรามีอำนาจสิทธิ์ขาดตรงนั้น เขาก็เกรงใจ

ฉะนั้น...เวลาคนเราพอก้าวขึ้นสู่ที่สูงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ อัตตนา โจทยัตตานัง ต้องกล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้เสมอ ถ้าไม่มีการกล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้เสมอ คนอื่นเขาไม่สามารถเป็นกระจกให้กับเราได้ เพราะว่าเกิดความเกรงใจ หรือไม่ก็กลัวว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกินใจกัน คบหากันต่อไปไม่ได้ เขาก็หุบปากไม่พูด เราก็แย่

ตรงนี้ก็ถือว่านินทาไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนส่วนรวม ถ้าหากว่ามีใครที่คิดจะทำอย่างนี้บ้าง ต้องบ่มเพาะตัวเองให้มั่นคงได้ระยะหนึ่งก่อน ระยะเวลามากน้อยตามสภาพของตนเอง"

เถรี 15-09-2019 23:30

"อาตมาเองสมัยบวชใหม่ ๆ เวลามีปัญหาอะไรขึ้นมาในวัดหรือในที่ประชุม ส่วนหนึ่งที่รู้สึกอึดอัดใจตอนนั้นก็คือ อายุกาลพรรษาน้อย รู้มาก..แต่พรรษาน้อย พูดอะไรไม่ค่อยมีใครฟัง แม้กระทั่งตอนหลังเมื่อเขาสอบถามทั่วประเทศแล้ว ก็ตรงกับที่อาตมาบอก แต่เขาไม่ฟังอาตมาหรอก เพราะว่าอายุกาลพรรษาของอาตมาน้อยเกินกว่าที่เขาจะให้ความสำคัญ

ก็เลยคิดว่า ถ้าผ่านการบ่มเพาะไประยะหนึ่ง อายุกาลพรรษามากขึ้น คำพูดของเราก็จะมีน้ำหนักขึ้น การกระทำของเราจะรอบคอบมากขึ้น กำลังใจของเราจะเข้มแข็งขึ้น สิ่งที่เราทำก็จะดีกว่านี้ นั่นคือประสบการณ์ที่อาตมาเจอมาด้วยตัวเอง"

เถรี 15-09-2019 23:33

"ฉะนั้น..ไม่ว่าจะเป็นพระก็ดี เป็นแม่ชี หรือว่าฆราวาสก็ตาม ส่วนหนึ่งก็คืออย่าอยากดังเร็ว ดังเร็วก็เหนื่อยเร็ว ขอยืนยัน..! อาตมาเองช่วงระยะ ๓ - ๔ ปีนี้ ต่างจาก ๑๐ ปีก่อนชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เพราะว่าตอนนี้ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม จะมีคนรู้จัก ก็อย่างที่บอกว่าไปวัดม่วงชุม จังหวัดสิงห์บุรี พระเณรที่อยู่ในงานศพเกินครึ่งท่านมากราบ บอกว่าติดตามผลงานจากเฟซบุ๊ก ติดตามผลงานจากเว็บไซต์ อาตมาเองไม่รู้จักท่านสักรูป แต่ท่านรู้จักอาตมาหมดแล้ว ทำให้อยู่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ

เดินทางแวะเข้าห้องน้ำที่สถานีบริการน้ำมัน ช่วงนี้หลีกคนไม่พ้น จะต้องมีคนวิ่งมาสวัสดี วิ่งมากราบ อื้อหือ...จะให้ความเป็นส่วนตัวหน่อยได้ไหม ? กูปวดฉี่จะราดอยู่แล้ว มึงยังขอกราบก่อนอีก..!"

เถรี 15-09-2019 23:34

"ต้องนึกถึงหลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ สมัยท่านยังเป็นเจ้าคุณพระเทพกวี อยู่ที่วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านบอกกับอาตมาว่า ถ้าอยากดัง อย่าไปหวังความสงบ เป็นประสบการณ์ชีวิตของหลวงปู่จริง ๆ ท่านเจอมาเต็มที่แล้ว ถึงได้เตือนลูกเตือนหลานไว้

อาตมาเองขนาดพยายามที่จะบีบตัวเองให้อยู่ในกรอบที่เล็กที่สุด ก็ยังเล็กไม่ได้ เพราะว่าระยะหลังคนเขาแชร์กันในโลกโซเชียลมากขึ้นเรื่อย ๆ ไปไหนตอนนี้ไม่สามารถที่จะหลอกชาวบ้านเขาได้แล้ว ถึงเวลาไปกับพระรูปอื่น เขาถามหา "พระอาจารย์เล็กใช่ไหมครับ ?" ชี้ไปบอกว่า "รูปโน้น" เขาบอกว่าเขาดูหน้าจากในเฟซบุ๊กมาแล้ว ตอนนี้หลอกเขาไม่ได้แล้ว

ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้คือ ดังเมื่อไรก็เหนื่อย ดังเมื่อไรความสงบก็จะหายไป ดังเมื่อไรถ้ากำลังใจไม่มั่นคง เราก็จะรับงานไม่ไหว"

เถรี 15-09-2019 23:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า สะเดาะเคราะห์ พวกเรามักจะเข้าใจผิด สะเดาะ คือทำให้หลุด เคราะห์คือกรรมเก่าที่เราสร้างไว้แล้วตามมาส่งผลไม่ดี กรรมเก่านั้นอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ เพราะว่าเราได้ทำไปแล้ว

เพียงแต่ว่ากรรมเก่าที่เราทำเหมือนอย่างกับน้ำทะเล น้ำทะเลเค็มไปแล้วจะแก้ไขอย่างไร ? ก็เอาน้ำจืดเติมลงไปเรื่อย ๆ เติมลงไปเรื่อย ๆ ถ้าเติมได้มากพอ น้ำทะเลไม่ได้หายไปไหน แต่แสดงรสเค็มออกมาไม่ได้

เพราะฉะนั้น...จริง ๆ แล้วเรื่องของเคราะห์กรรมต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะสะเดาะ ไม่สามารถที่จะลบล้างกันได้ แต่ว่าเราสามารถสร้างความดีเพื่อหนีกรรมหรือหนีเคราะห์นั้นได้ ถ้าเราทำความดีได้มากพอ เคราะห์กรรมนั้นก็จะส่งผลได้น้อย หรือไม่สามารถที่จะส่งผลได้เลย เพราะว่าโดนความดีท่วมทับไป เหมือนกับที่เราเติมน้ำจืดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกลือไม่สามารถจะแสดงความเค็มออกมาได้"


เถรี 15-09-2019 23:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลของคนจีน ในประเทศจีนตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ของจีน ซึ่งช่วงนั้นประเทศจีนเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เพราะว่า ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ของจีน ตรงประมาณ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ของเรา เป็นเวลาหลังเก็บเกี่ยว เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วได้ผลขึ้นมาก็มีการไหว้ขอบคุณเทวดาฟ้าดิน โดยเฉพาะเทพธิดาฉางเอ๋อ ที่เขาเชื่อว่าเป็นผู้โปรยน้ำอมฤตลงมาที่โลกมนุษย์ ทำให้พืชผลเจริญงอกงาม คราวนี้ฉางเอ๋ออยู่บนดวงจันทร์ ก็เลยไหว้พระจันทร์ไปด้วย

ลักษณะอย่างนี้ถามว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือเปล่า ? ถ้าไหว้อยู่ในลักษณะของการร้องขอบนบานศาลกล่าวอย่างเดียว ก็ถือว่าทำไม่ถูก แต่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้คนเรารู้จักเคารพ เกรงกลัวต่อธรรมชาติ ก็เลยไม่เบียดเบียนธรรมชาติ รักษาสภาพของธรรมชาติเอาไว้ได้ ทำให้ดินฟ้าอากาศคงตัว ฤดูกาลต่าง ๆ หมุนเวียนไปตามรอบปกติ"


เถรี 15-09-2019 23:50

"อย่างในปัจจจุบันของเรา คนขาดความเกรงกลัวในธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติแบบไม่บันยะบันยัง ทำให้สมดุลธรรมชาติเสีย ฤดูกาลต่าง ๆ ก็ไม่เป็นไปตามปกติ เราก็จะเห็นได้ว่าโบราณเก่งกว่า คือให้เราเคารพธรรมชาติ ถึงเวลารู้สำนึกในบุญคุณ ก็มีการตอบแทนด้วยการกราบไหว้บูชา เราจะบอกว่าเหลวไหลก็ไม่ใช่ เพราะว่าอย่างน้อยในเรื่องของเทพธิดาฉางเอ๋อก็ยังเป็นเทวตานุสติ การระลึกถึงเทวดา

เพียงแต่ว่าการระลึกถึงเทวดาของเขา เป็นการระลึกถึงในลักษณะของผู้น้อยที่มีต่อผู้ใหญ่ เป็นการระลึกถึงในลักษณะของการพึ่งพา ซึ่งความจริงเทวตานุสติของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านสอนให้เราปฏิบัติตนให้เป็นเทวดา ก็คือศักยภาพของมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นเทวดาได้ เป็นพรหมได้ เป็นพระวิสุทธิเทพได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็เลยสอนหลักธรรมที่ให้เราปฏิบัติแล้วเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า หรือว่าเป็นพระวิสุทธิเทพก็คือพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน

ในเมื่อเรามีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมเอง มีศักยภาพในการที่จะเป็นเทวดาเป็นพรหมเอง เราก็ปฏิบัติตัวของเราให้เป็น จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปพึ่งพาใคร เพราะว่าเราเป็นเองไปแล้ว
"

เถรี 15-09-2019 23:52

โยมกราบเรียนขอทำบังสุกุล พระอาจารย์ดุว่า "เขาเรียกว่าสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง โตมาจนป่านนี้แล้ว จะทำบังสุกุลก็ทำบังสุกุล ต้องอ้อมโลกไปซะไกล จะทำอะไรก็บอกมาตรง ๆ พูดมาตรง ๆ นี่อ้อมโลกตั้ง ๓ รอบ แล้วจะมีประโยชน์อะไร ?

จะทำบังสุกุลดันทะลึ่งบอกว่าฝันถึงอาตมา เขาเรียกว่าอยู่ในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเสแสร้ง จนกระทั่งเคยชินกลายเป็นนิสัย ทำอะไรก็เลยต้องอ้อมโลกไปเรื่อย ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างก็แล้วไป"


เถรี 22-09-2019 19:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่อาตมายังเด็ก ๆ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้ใหญ่จะพูดอยู่เสมอก็คือ ท้าย ๆ พระศาสนาคนจะต้องสอยมะเขือกิน คราวนี้ถ้าไม่ใช่เด็กบ้านนอก ก็จะไม่รู้ว่าต้นไม้ที่เราจะต้องใช้ตะขอไปสอยนั้น ต้องต้นใหญ่มาก เกินกว่าความสูงที่เราจะเก็บได้ การที่ต้นมะเขือซึ่งสูงอย่างเก่งก็ประมาณหัวเข่าของเรา แล้วเราต้องไปสอยกินนั้น แสดงว่าตัวเราต้องเล็กแค่ไหน ?

ในสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่ฝันว่าต้นไม้ขึ้นมาต้นเล็ก ๆ ก็มีดอกมีผลแล้ว พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า ต่อไปในกาลข้างหน้า กุมารากุมารี ก็คือเด็กผู้หญิงเด็กผู้ชาย จะมีคู่กันตั้งแต่อายุน้อย ๆ แล้วในอัคคัญญสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพัฒนาการของโลกนี้ก็คือ นานไปข้างหน้าอายุคนจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลืออายุขัยประมาณ ๑๐ ปี

เราลองนึกดูว่าตอนนี้หมาแมวมีอายุ ๒๐ - ๓๐ ปี ประมาณปีกว่า ๆ ก็มีลูกได้แล้ว ถ้าคนเราอายุแค่ ๑๐ ปีซึ่งน้อยกว่าหมาแมวในปัจจุบันนี้ ควรจะมีลูกกันตอนอายุเท่าไร ? แล้วการที่มีลูกเร็วขนาดนั้น เด็กก็น่าจะตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็จะตัวเล็กอยู่ในระดับที่ต้องสอยมะเขือกิน แต่อาตมาคิดว่าถ้าคนตัวเล็กลง มะเขือก็น่าจะต้นเล็กลงไปด้วย"


เถรี 22-09-2019 19:51

"ปัจจุบันนี้บรรดานักวิทยาศาสตร์เห็นว่า โลกเราพื้นที่ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ประชากรเพิ่มขึ้นมากทุกปี ก็ต้องหาวิธีว่าทำอย่างไรจะให้ได้ผลิตผลมากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม จึงมีการตัดต่อพันธุกรรมที่เราเรียกกันว่า จีเอ็มโอ ซึ่งบ้านเราก็มีเยอะแล้ว โดยที่ยังไม่ได้ศึกษาให้ชัดเจนว่า การตัดต่อพันธุกรรมนั้น จะสร้างโทษให้กับบุคคลผู้ที่อาศัยพืชอาศัยสัตว์เหล่านั้นกินเข้าไปเท่าไร

บางคนก็พยายามประดิษฐ์วาทกรรมให้ดูน่ากลัว อย่างเช่น เรียกว่ามะละกอผีดิบ ซึ่งเกิดจากการตัดต่อจีเอ็มโอให้ทนต่อโรค ทนต่อแมลง มีผลผลิตมาก ตกลูกเร็ว อาตมาว่าไม่ต้องกลัวหรอก กินมะละกอนั่นเข้าไป กว่าที่จะรู้ว่ามีผลร้ายต่อเราเท่าไรก็น่าจะหลายชั่วอายุคน แต่ประเภทมะละกอส้มตำครกหนึ่งใส่ชูรสเป็นกิโลกรัมนั่นก็เกินไป ถ้ากินลักษณะนั้นก็น่าจะตายก่อนที่จะรู้ว่าจีเอ็มโอส่งผลร้ายอย่างไรกับเรา"

เถรี 22-09-2019 19:58

"ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นผลิตผงชูรสให้เรา แต่ญี่ปุ่นไม่เคยใช้ผงชูรสเอง อาตมาอยู่ชายแดน สิ่งที่ทหารเขาสอนกันเลยก็คือ ถ้าเกิดบาดแผลใหญ่โตขึ้นมา ห้ามเลือดไม่อยู่ ให้เอาผงชูรสเทลงไป จะห้ามเลือดได้ดีมาก อาจจะเป็นเพราะว่าผงชูรสกัดเนื้อเยื่อบริเวณนั้นตายหมด เลือดไปเลี้ยงไม่ได้ เลือดก็เลยไม่ออก แต่ต้องส่งถึงมือหมอให้เร็วที่สุด เพราะว่าถ้าทำแผลไม่ทัน เนื้อตรงนั้นจะเน่า ถ้าเนื้อเน่า..เลือดเป็นพิษ..ก็ตาย..!"

เถรี 22-09-2019 20:20

ถาม : พระแถวบ้านจะเอาข้าวแกงถุงมาให้แถวบ้านประจำ บางทีก็เอามาให้ที่บ้านผม คนที่บ้านจะต้องรับกรรมอะไรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าพระมีการอปโลกน์ ก็คือบอกกล่าวในท่ามกลางสงฆ์แล้วว่า ถ้าเหลือจากการฉันของพระ ให้ญาติโยมเอาไปกิน เอาไปใช้ได้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะไม่ผิด แต่ถ้าไม่ได้บอกก็ติดหนี้สงฆ์ไป

ถาม : ผมก็โดนด้วยหรือครับ ?
ตอบ : โดนทุกคน

ที่จริงแล้วพระท่านทำถูก เพราะว่าของที่มีมาก กินไม่ไหวใช้ไม่หมด เอาไปแบ่งปันให้กับญาติโยมก็ได้อยู่ แต่คราวนี้ก็ต้องทำตามระเบียบ ก็คือมีการอปโลกน์สังฆทาน บอกกล่าวในท่ามกลางสงฆ์ก่อน ถ้าหากว่าสงฆ์ให้สาธุการเห็นด้วย ก็สามารถที่จะแจกจ่ายได้

เถรี 22-09-2019 20:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้ก่อนลงมา ดูคลิปที่เพื่อนส่งมาให้ดู มีการสอบเพื่อขอบัตรขอทานที่ทางภาคอีสาน ถ้าสอบไม่ได้ ไม่มีบัตรก็ห้ามขอทาน อาตมาก็เลยคิดว่า เออ..รัฐบาลของเราก้าวหน้า ในช่วงแรก ๔ ปีกว่า ๕ ปี เรามีบัตรคนจน ในช่วงสอง แค่ไม่กี่เดือนเริ่มมีบัตรขอทานแล้ว คงจะประสบความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้นไป...!

ขอทานหรือวณิพกนั้น ส่วนใหญ่แล้วแสดงความสามารถแลกกับข้าวของเงินทอง ลักษณะที่เหมือนกับฝรั่งเปิดหมวกร้องเพลง ก็จะมีการทั้งร้อง ทั้งรำ ตีกรับ ตีฉิ่ง สมัยนี้ไม่ค่อยมี ยุคอาตมาเด็ก ๆ มีเยอะ จะมีเพลงขอทานโดยเฉพาะ "..เปิดหม้อไม่มีข้าวสุก เปิดสมุกไม่มีข้าวสาร พ่อแม่เอ๋ยได้โปรดทำทาน..ฯลฯ" เพลงยอดฮิตทั้งนั้นเลย เด็กรุ่นนี้ไม่รู้แล้วว่าสมุกหน้าตาเป็นอย่างไร

การขอทานสมัยก่อนที่เขามีการร้องเพลงแสดงตอบแทน เรียกว่าวณิพก ในส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นเทคนิคของเขา ถ้าบ้านไหนมีฐานะหน่อย เขาจะไม่ถอยง่าย ๆ ร่ำร้องโอดครวญอยู่นั่นแหละ ประเภทต้องให้แล้วให้อีกจนกว่าเขาจะพอใจจึงจะไป ก็เลยไปนึกถึงหมอทำขวัญนาค หมอทำขวัญนาคนี่แม่ตั้งท้องตั้ง ๙ เดือน เจ็บท้องร้องโอดโอยอยู่นั่นแหละ ไม่คลอดสักที จนต้องจ้างให้คลอด ถ้าเงินค่าเหล้าไม่พอ หมอทำขวัญนาคก็ร้องโอดโอยต่อไป นาคก็ไม่ต้องคลอดสักที"



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว