กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=559)

เถรี 20-06-2009 15:27

"เมื่อครู่กล่าวถึงวัสสการพราหมณ์และโทณพราหมณ์ แต่พวกเราลืมนึกถึงโกณฑัญญะพราหมณ์

เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติได้ ๗ วัน พระราชบิดาคือ พระเจ้าสุทโธทนะ อัญเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ รูป มารับพระราชทานเลี้ยง และใน ๑๐๘ รูปนั้นคัดเหลือแค่ ๘ รูป เพื่อทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ

พราหมณ์ ๗ รูปทำนายเป็นสองสถานว่า ถ้าหากเจ้าชายสิทธัตถะครองราชย์อยู่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ที่หนุ่มที่สุด อายุน้อยที่สุด ทำนายข้อเดียวว่าต้องบวชและเป็นศาสดาเอกของโลก

หลังจากนั้นโกณฑัญญะพราหมณ์ก็เฝ้ารอว่าเมื่อไรเจ้าชายสิทธัตถะจะออกบวช ก็ปรากฏว่ารอจนเจ้าชายสิทธัตถะอายุ ๒๙ ปี จึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ โกณฑัญญะพราหมณ์ก็ตามไปปรนนิบัติรับใช้ และชวนบรรดาลูก ๆ ของพราหมณ์ทั้ง ๘
คนไหนมีลูกก็ชวนไปบวชปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้วยกัน รวมได้ ๔ ท่าน คือ ท่านวัปปะ ท่านมหานามะ ท่านภัททิยะ และท่านอัสสชิ

เจ้าชายสิทธัตถะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณตอนอายุ ๓๕ ปี ท่านไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่านโกณฑัญญะพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรม อยากจะถามว่าท่านโกณฑัญญะพราหมณ์ท่านบวชตอนอายุเท่าไร?

ถ้าตีเสียว่าโกณฑัญญะพราหมณ์ท่านเป็นอัจฉริยะ เรียนจบไตรเพทตอนอายุ ๑๖ ปี รอพระพุทธเจ้าอีก ๓๕ ปี ก็แปลว่าอายุ ๕๑ ปีจึงได้บวช นี่เป็นการประมาณขั้นต่ำสุดนะ แต่ท่านก็อายุยืน ท่านอยู่จนถึงอายุ ๑๒๐ ปีจึงมรณภาพ ก็แปลว่าท่านอยู่มาอีก ๖๙ ปี ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว บำเพ็ญพุทธกิจอยู่ ๔๕ พรรษา แล้วจึงเสด็จปรินิพพาน แปลว่าท่านโกณฑัญญะพราหมณ์น่าจะมรณภาพหลังพระพุทธเจ้าหลายปี"

เถรี 20-06-2009 15:35

"พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก ถ้านับพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก พระอัญญาโกณฑัญญะท่านก็เป็นองค์ที่สอง ท่านเป็นสักขีพยานในการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมไม่มีใครเป็นพยานได้ จนกว่าจะมีผู้บรรลุตามและยืนยันความจริงนั้น

พระอัญญาโกณฑัญญะ แรก ๆ ก็ออกประกาศพระศาสนาตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าหลังจากโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ แล้วก็ไปโปรดพระยสะและสหายอีก ๕๕ คน

พระยสะและสหาย ๕๕ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พระพุทธเจ้า ๑ รวมเป็น ๖๑ รูป ตรงนี้เป็นกองทัพธรรมกองแรกที่ส่งออกประกาศพระศาสนา

ท่านใช้ จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอจงเดินเที่ยวไป พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของชนหมู่มาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย นั่นคือท่านออกประกาศศาสนาเป็นครั้งแรก

พอภายหลังมีพระสงฆ์บวชในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากขึ้น มีผู้บรรลุธรรมจำนวนมากขึ้น พระอัญญาโกณฑัญญะท่านก็ชราภาพ ท่านก็ไปอยู่ที่สระฉัททันต์ ในป่าหิมพานต์ มีฝูงช้างคอยปรนนิบัติรับใช้ เวลาที่ท่านคิดถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ออกมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วหลังจากนั้นก็กลับไปที่เดิม

คราวนี้เมื่อท่านมาอยู่ที่สระฉันทันต์ ก็เลยหาต้นไม้ที่มีแก่นมาต้มย้อมน้ำฝาดไม่ได้ มันมีแต่ไม้ชนิดอื่น ท่านก็เลยเอาลูกรังมาต้มแล้วก็ย้อมจีวร จีวรท่านก็เลยออกสีแดงลูกรัง เวลามาเยี่ยมพระพุทธเจ้า บรรดาพระทั้งหลายที่มาทีหลังไม่รู้จัก ก็ปากมาก ว่าหลวงตารูปนั้นใครก็ไม่รู้

พระพุทธเจ้าได้ยิน ก็ถามว่า "ภิกขเว ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย เธอไม่รู้จักพี่ชายใหญ่ของเธอหรือ?" พระเหล่านั้นก็บอก "ไม่รู้จักพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าก็บอกว่า "นั่นแหละ พระอัญญาโกณฑัญญะ พี่ชายใหญ่ของเธอ เป็นผู้บรรลุธรรมในศาสนาของตถาคตรูปแรก"

พระอัญญาโกณฑัญญะนี่แหละที่ทำให้พระพุทธเจ้าท่านผ่อนผันให้ภิกษุห่มจีวรสีแดงเจือเหลืองได้ ในท้องถิ่นไม่มีแก่นขนุนสำหรับย้อมจริง ๆ ให้ใช้ลูกรังย้อมได้ เพราะฉะนั้น..จีวรพระสีเหลืองย้อมด้วยขมิ้น สีกรักย้อมด้วยแก่นขนุน สีแดงเข้มย้อมด้วยลูกรัง"

เถรี 20-06-2009 15:38

"ที่ถามเพราะส่วนใหญ่พอพูดถึงพราหมณ์แล้วเราจะมองข้ามท่านไป ความจริงในสมัยนั้นต้องบอกว่าท่านเป็นพระอัจฉริยะ เรียนจบไตรเพทตั้งแต่อายุยังน้อยมาก และเก่งขนาดเป็นที่ยอมรับของพราหมณ์ทั้งหมด

เขาคัดเลือกไปทั้งหมด ๑๐๘ คน และคัดในจำนวนนั้นเหลือ ๘ คน ก็แปลว่าอีก ๑๐๐ คนที่เป็นหัวกะทิยอมรับว่าพระอัญญาโกณฑัญญะท่านเก่ง เรียนจบตอนอายุ ๑๖ แล้วให้บรรดาพราหมณ์เฒ่าทั้งหลายยอมรับว่าเก่ง แสดงว่าต้องเป็นยอดฝีมือ

ดังนั้น..ถ้านับอย่างต่ำ ท่านต้องบวชอายุอย่างน้อย ๕๑ ปี ถ้าหากต่อไปถามว่าพราหมณ์ในพุทธศาสนาเอ่ยชื่อมาแล้วเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือใคร รับรองว่าชื่อนี้รู้จักมาก แต่เราลืมไปว่าท่านเป็นพราหมณ์"

เถรี 20-06-2009 15:42

ถาม : พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในด้านรัตตัญญู อยากถามว่ารัตตัญญูคืออะไรคะ?
ตอบ : รัตตัญญู แปลตรง ๆ ว่า รู้ราตรีนาน มีประสบการณ์มาก เพราะว่าท่านเป็นพราหมณ์มาก่อน ศึกษาไตรเพทมาก่อน ท่านอยู่ปรนนิบัติรับใช้พระพุทธเจ้าจนอายุมากขนาดนั้น แบบแผนประเพณีทุกอย่าง รู้หมด และบวชเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา ไม่มีใครรู้มากกว่าท่านอีกแล้ว

ถาม : ก็แสดงว่าความหมายคนละอย่างกับผู้มีราตรีอันเดียวเจริญ?
ตอบ : ไม่ใช่ ราตรีเดียวอันเจริญ ท่านหมายถึงบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติ คนที่ตั้งใจปฏิบัติจะไม่เห็นแก่นอน
อันนั้นท่านเรียก ภทฺเทกรตฺโต โหมิ ผู้มีราตรีอันเจริญ

เถรี 20-06-2009 19:08

ถาม : มีผู้หญิงคนหนึ่งมาชอบ เนื่องมาจากการช่วยเหลือสงเคราะห์ระหว่างกัน
ตอบ : การสงเคราะห์กันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ระวังไว้จุดหนึ่ง คือ การคิดเข้าข้างตัวเอง เขาเห็นเราตั้งหน้าตั้งตาสงเคราะห์เขา เขาจะเหมาว่าเรารักเราชอบเขา ถ้าเขาคิดอย่างเดียวไม่เป็นไร ยังไม่อันตราย แต่ถ้าเขามีใจตอบมาด้วยคราวนี้เสร็จ

ถาม : ควรจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : มีทางเดียวคือต้องใจแข็ง อย่าไปยุ่งกับเขา ท่องไว้อย่างเดียว "เมียเขา ๆ" เจอหน้าผู้หญิงที่หน้าตาใช้ได้ ท่องไว้เลย "เมียเขา" แล้วจะปลอดภัย แต่ตอนที่หน้ามืดนี่ เมียเขาก็เมียเขาละวะ..!

ถาม : พยายามจะคุยกับฝ่ายหญิง จะเคลียร์กับเขา
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาหมายมั่นปั้นมือว่าเราเป็นผู้ชายในฝันร้ายของเขา เขาไม่เลิกง่าย ๆ หรอก ต้องใจแข็งเข้าไว้

ตั้งกำแพงส่วนตัวไว้ อย่าให้เขารุกเข้ามาในเขตเราได้ ถ้าตราบใดที่ยังกั้นเขาอยู่นอกเขตก็ปลอดภัย ถ้าปล่อยให้เขารุกเข้ามาในเขตได้ก็เดือดร้อน

เถรี 20-06-2009 19:22

ถาม : ถ้าลาพุทธภูมิแล้ว จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรเล่นงานมากขึ้นหลายเท่า?
ตอบ : ไม่เกี่ยวหรอก ตอนอยู่ต่อนั่นแหละมันจะมากขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ เราอยู่ชาติหนึ่งเราก็สร้างกรรมไว้ชาติหนึ่ง เกิดชาติหนึ่งก็สร้างกรรมไว้เรื่อย ๆ

ถ้าพุทธภูมิยังกลัวเจ้ากรรมนายเวรอยู่ไม่ใช่ของแท้หรอก พุทธภูมิต้องบ้าเลือดกว่าชาวบ้านเขาหลายเท่า เรื่องความกลัวหรือเรื่องความย่อท้อไม่มี มีแต่มุ่งไปข้างหน้า ถ้าไม่ถึงที่ให้มันตายไปเลย นั่นแหละพุทธภูมิ

เถรี 20-06-2009 19:36

"ในเรื่องของวัตถุที่ลงอาคมต่าง ๆ เช่น กุมารทอง มันมีอยู่สองอย่าง ถ้าหากสำนักที่เขาทำตามแบบพุทธศาสตร์เขาจะมีเทวดารักษา แต่ถ้าไสยศาสตร์นี่ ถ้าไม่ใช่สัมภเวสีก็เป็นเปรต อสุรกาย "

ทิดตู่ 22-06-2009 12:56

เย็นวันอาทิตย์ มีผู้ถามพระอาจารย์ท่านเกี่ยวกับ"พระปิลินทวัจฉะ"ว่า พระปิลินทวัจฉะ มีปกติชอบเรียกบุคคลอื่นว่า"ไอ้ถ่อย" เหตุใดท่านจึงเป็นเอตทัคคะทาง"เป็นที่รักของเหล่าเทวดาทั้งหลาย" พระอาจารย์ท่านจึงเล่าให้ฟังในเรื่องนี้ว่า

"พระปิลินทวัจฉะ ท่านเคยเกิดในพราหมณ์ตระกูลสูงมาหลายร้อยชาติ เกิดในชาติไหน ๆ ก็มักจะเรียกบุคคลอื่น ๆ ว่า"ไอ้ถ่อย ๆ" มาในชาติสุดท้าย แม้บรรลุความเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ความเคยชินนิสัยเดิมยังไม่เปลี่ยน จนเกิดเรื่องว่า

วันหนึ่งมีพ่อค้าขนดีปลีขึ้นเกวียนมาแล้วเอาผ้าคลุมไว้ พอเดินผ่านพระปิลินทวัจฉะ พระปิลินทวัจฉะจึงทักว่า"ไอ้ถ่อย นั่นขนอะไรมารึ" พ่อค้าโกรธ จึงตอบกลับไปว่า"ก็ขนขี้หนูมาน่ะสิ สมณะโล้น(ฮั่นแน่!)" ผลปรากฏว่า พอพ่อค้าเข็นของไปถึงตลาด เปิดผ้าออกมา ดีปลีทั้งคันรถกลายเป็นขี้หนูไปหมด ร้อนไปถึงพ่อค้าที่เป็นเพื่อนกัน ถามว่า"ระหว่างทางท่านไปพบกับผู้ใดมาบ้าง" พ่อค้าคนนั้นจึงเล่าให้ฟังว่าพบพระแล้วมีการทักทายกันอย่างนี้ พ่อค้าเพื่อนกันจึงออกอุบายว่า"ท่านจงเอาขี้หนูห่อผ้าไป แล้วไปในทางที่ท่านมา หากพบภิกษุท่านนั้นอีก หากท่านถามว่าขนอะไรมา ให้ตอบกลับไปว่า"ดีปลีขอรับพระคุณเจ้า"แล้วค่อยกลับมาดูผล พ่อค้าคนนั้นก็ปฏิบัติตาม ก็หอบขี้หนูห่อผ้าไป พอไปพบพระปิลินทวัจฉะท่านก็ทักอีก"ไอ้ถ่อย นั่นขนอะไรมา" ทีนี้พ่อค้ารู้แกวแล้วจึงตอบกลับไปว่า"ดีปลีขอรับ พระคุณเจ้า" ท่านรับคำว่า"อ้อ ของนั้นเป็นดีปลี" ก็ปรากฏว่าขี้หนูทั้งหมดก็กลับกลายมาเป็นดีปลีดังเดิม(เป็นผมจะกราบเรียนท่านไปว่า"เป็นเพชร เป็นพลอย เป็นทอง ขอรับพระคุณเจ้า ๕๕๕ สิ้นเรื่องสิ้นราวไม่ต้องไปนั่งขายดีปลี)
พระอาจารย์ท่านเล่าว่า พระปิลินทวัจฉะ ท่านเห็นภัยอันนี้จะเกิดแก่บุคคลอื่น ท่านจึงเข้าไปอยู่ในป่า ปรากฏว่า เหล่าเทวดาที่เคยทำบุญร่วมกับท่านมาในอดีตชาติ แห่กันมาขอฟังธรรมจากท่าน ท่านเทศน์แล้วเป็นที่ชอบใจของเทวดามาก พระปิลินทวัจฉะ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็น"เอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักใคร่ของเทวดา"

ทิดตู่ 22-06-2009 13:01

หลังจากนั้น ก็มีผู้ที่ถามถึงเรื่องเกี่ยวกับ"พระควัมปติ"
พระอาจารย์ท่านก็เล่าให้ฟังว่า"พระควัมปติ ท่านเป็นเพื่อนกันกับพระยส ท่านมีปกติชอบเข้านิโรธสมาบัติ ดังนั้น คนจึงนิยมสร้างรูปท่านเป็นพระปิดตา เป็นเครื่องหมายแสดงว่าท่านปิดหมด หมายถึงการเข้านิโรธสมาบัติ เพราะเชื่อกันว่าหากใครบูชาท่านจะมีลาภมาก เพราะท่านเข้านิโรธสมาบัติตลอด

ทิดตู่ 22-06-2009 13:13

ต่อจากนั้น มีน้องผู้หญิงท่านหนึ่ง ถามเกี่ยวกับการ"บูชาชูชก" ถามว่าจะบูชาได้หรือไม่?
พระอาจารย์ก็ให้คำตอบว่า"ที่เขาบูชาชูชก ก็เพราะเขามีความเชื่อกันว่า ชูชกเป็นขอทานที่"ไม่เคยขออะไรแล้วไม่ได้" ขนาดไปขอลูกที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของรักที่สุดแล้ว จากพระเวสสันดร ยังได้มาเลย ดังนั้น ที่เขาบูชากันก็เพราะเชื่อว่า บูชาแล้วไปขออะไรจากใครแล้วก็จะได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา
แต่ถ้าเราคิดว่าชูชก เป็นชาติหนึ่งของพระเทวทัต หากคิดไปถึงขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปเอาแล้ว"

เถรี 22-06-2009 15:33

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ทิดตู่ (โพสต์ 10379)
ต่อจากนั้น มีน้องผู้หญิงท่านหนึ่ง ถามเกี่ยวกับการ"บูชาชูชก" ถามว่าจะบูชาได้หรือไม่?
พระอาจารย์ก็ให้คำตอบว่า"ที่เขาบูชาชูชก ก็เพราะเขามีความเชื่อกันว่า ชูชกเป็นขอทานที่"ไม่เคยขออะไรแล้วไม่ได้" ขนาดไปขอลูกที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของรักที่สุดแล้ว จากพระเวสสันดร ยังได้มาเลย ดังนั้น ที่เขาบูชากันก็เพราะเชื่อว่า บูชาแล้วไปขออะไรจากใครแล้วก็จะได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา
แต่ถ้าเราคิดว่าชูชก เป็นชาติหนึ่งของพระเทวทัต หากคิดไปถึงขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปเอาแล้ว"

ในเรื่องเกี่ยวกับขอทานนั้น มันจะมีอยู่ฤกษ์หนึ่งชื่อว่า "ทลิทโทฤกษ์" แปลว่า ฤกษ์ขอทาน (ฤกษ์ของชูชก) หลวงพี่ปิงเคยบอกว่าที่วัดสระเกศเวลาทำพิธีหรือจัดงานที่ต้องการให้มีเงินสนับสนุนเข้าวัดเยอะ ๆ จะนิยมใช้ช่วงปลายของทลิทโทฤกษ์แล้วต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ (ฤกษ์เกี่ยวกับเศรษฐีหรือทรัพย์สินเงินทอง)

พูดง่าย ๆ ก็คือ ใช้ฤกษ์ขอทานก่อนแล้วต่อด้วยฤกษ์ทรัพย์สินเงินทอง ก็กลายเป็นว่า "ขอแล้วได้เงินเลย"

เถรี 24-06-2009 20:50

ในขณะที่ท่านกำลังพูดคุยเรื่องวัตถุมงคล อย่างเช่นสมเด็จวัดระฆัง ท่านก็บอกว่า "มาสะท้อนใจตรงที่ว่าทุกสิ่งมันมีค่าก็ตอนที่ยังมีชีวิต พอตายแล้วเอาไปไม่ได้สักอย่าง ถึงตอนนั้นที่ติดตัวอยู่เขาก็โละหมด เพราะใคร ๆ เขาก็อยากได้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว