กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3569)

เถรี 12-10-2012 20:52

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
 
ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒ - ๓ ครั้ง เป็นการระบายลมหยาบออกให้หมดก่อน หลังจากนั้นก็เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัด

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของเดือนนี้ ในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ลมหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กรรมฐานที่เราปฏิบัติจะทรงตัวหรือไม่ทรงตัว เจริญก้าวหน้าหรือไม่เจริญก้าวหน้า ขึ้นอยู่กับว่าเรานึกถึงลมหายใจเข้าออกได้มากน้อยเพียงไร

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น อาตมภาพเคยกล่าวหลายครั้งแล้วว่า จำเป็นต้องรักษาอารมณ์ตัวเองไปให้ต่อเนื่อง คำว่าต่อเนื่องนั้น ถ้านักปฏิบัติทำแล้วหวังผล ก็คือต้องรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะ รู้คำภาวนาอยู่ทุกขณะ การรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนานั้น จะเลิกก็ต่อเมื่อสภาพจิตดิ่งลึกเข้าไป จนกระทั่งไม่สามารถที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่สามารถที่จะนึกถึงคำบริกรรมได้ เพราะสภาพจิตละเอียด จนพ้นจากการปรุงแต่งไปแล้ว ในลักษณะอย่างนั้น ก็ให้เรากำหนดดูกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้สภาพจิตเป็นอย่างนี้ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา

แต่ถ้าสภาพจิตทรงตัวจนถึงที่สุดแล้ว เริ่มคลายออกมา เราต้องรีบนึกถึงลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้ว สภาพจิตก็จะวิ่งไปหารัก โลภ โกรธ หลง ตามความเคยชินของตนเอง และจะเอากำลังที่เราภาวนาได้นั้น ไปปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลงจนเจริญงอกงามมาก เพราะมีกำลังของสมาธิไปหนุนเสริม

แต่ถ้าเราควบคุมจิตให้อยู่กับการภาวนาต่อ ทันทีที่สภาพจิตคลายออกมาจากจุดลึกที่ตนเองเข้าถึงนั้น ก็จะทำให้เราไม่เปิดช่องให้กิเลสกินใจของเราได้ เท่ากับว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเราอยู่กับคำภาวนา ถ้ารักษาสภาพจิตอย่างนี้ได้ การปฏิบัติของเราก็จะเจริญก้าวหน้ามาก

เถรี 14-10-2012 08:15

ส่วนอีกข้อหนึ่งที่ต้องพึงระวังก็คือ การปฏิบัตินั้นจริง ๆ เราต้องหวังผล คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน แต่เรามักจะลืมเป้าหมายในการปฏิบัติของเรา จะเป็นเพราะอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ชักนำไปก็ดี หรือว่าสภาพปัญญาของเราไม่ถึง ทำให้เราลืมไปก็ดี ว่าเราเองเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหวังการหลุดพ้น

บุคคลที่หวังการหลุดพ้นนั้น จะลืมไม่ได้เลยว่าเราจะต้องตาย ถ้ารู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ก็ทำให้เราไม่ประมาท บุคคลที่รู้ตัวว่าจะตาย ก็ต้องเร่งทำหน้าที่ของเราในวันนี้ให้ดีที่สุด ดังในบาลีที่ว่า อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว มีการงานอะไรพึงรีบทำให้สำเร็จลงเสียในวันนี้ เพราะความตายอาจจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ตรงจุดนี้เป็นตัวปัญญา ก็คือเห็นความตายเป็นเรื่องปกติ มีความไม่ประมาทเป็นปกติ ทำหน้าที่ของเราทั้งทางโลกทางธรรมอย่างเต็มที่ เต็มสติกำลังของเรา เมื่อถึงเวลาก็จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็อาลัย ไปคนเขาก็คิดถึง

บุคคลที่รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ก็จะขวนขวายในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากที่สุด เพื่อความมั่นคงของคติ คือที่ไปในเบื้องหน้าของแต่ละคน ถ้าเราปรารถนาที่จะพ้นทุกข์ ก็ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย เมื่อจะต้องตายแน่ เราก็ต้องพยายามรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ถ้าท่านสามารถรักษาอารมณ์ใจเหล่านี้เอาไว้ได้ ก็จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติของเราที่ระลึกถึงความตายเพื่อความไม่ประมาทนั้น แท้จริงแล้วก็คือหนทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้โดยง่าย

เถรี 15-10-2012 21:10

การเห็นความตายเป็นปกติ เป็นเรื่องของบุคคลที่มีปัญญา เป็นบุคคลที่เห็นความไม่มีสาระแก่นสารในร่างกายของเรา ความไม่มีสาระแก่นสารในร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะกายเขากายเราก็ตาม เป็นเพียงส่วนประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับคนขับรถ เมื่อถึงเวลาก็ขับรถไป ทำหน้าที่การงานของตน ถ้ารถพัง ก็ทิ้งรถไปหารถคันใหม่

ดังนั้น..ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว เป็นการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น ก็คือเปลี่ยนผ่านจากสภาพร่างกายนี้ ไปสู่สภาพร่างกายอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นขันธ์ทิพย์ของเทวดา ของนางฟ้า ของพรหม ก็ถือว่าไม่ขาดทุน ถ้าเป็นขันธ์ของวิสุทธิเทพ คือบุคคลผู้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว ก็ถือว่าได้กำไรอย่างใหญ่หลวง แต่ถ้าเป็นขันธ์ของมนุษย์ ก็ต้องถือว่าเกิดมาเสียชาติไปชาติหนึ่ง เพราะว่าไม่สามารถที่จะไปดีกว่าเดิมได้ ถ้าหลุดไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสุรกาย เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ก็ขาดทุนย่อยยับลงไปตามลำดับ

เมื่อเราเห็นแล้วว่า การปฏิบัติของเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ยกเว้นบุคคลที่ภาวนาจนสภาพจิตละเอียดดิ่งลึกเป็นสมาธิขั้นสูง การภาวนาจะหายไปโดยอัตโนมัติ เราก็แค่รับรู้อยู่ เมื่อจิตถอนออกมา เราก็ตั้งหน้าภาวนาใหม่ และต้องไม่ลืมความตาย เพราะจะได้เป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเราต่อไป

ลำดับนี้ก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)

ชินเชาวน์ 21-12-2013 15:13

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-10-05

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:55


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว