กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1140)

เถรี 30-09-2009 09:26

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒
 
ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด ทำให้เป็นสิ่งที่เคยชินกับตัวเรา เพราะถ้าลมหยาบยังอยู่ เวลาจิตเริ่มทรงสมาธิมันจะอึดอัดมาก บางทีแน่นจนเหมือนรู้สึกจะขาดใจตายไปเลย แล้วหลังจากนั้นก็กำหนดความรู้สึกเราทั้งหมด ให้ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ลมหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะว่าจะสร้างสมาธิของเราให้เข้มแข็ง มีกำลังในการต่อสู้กิเลส เสริมสร้างปัญญาให้ชัดเจนผ่องใส เพื่อจะได้ใช้ในการลด ละ เลิกกิเลสต่าง ๆ ในใจของเราได้

เมื่อลมหายใจของเราทรงตัวดีแล้ว ก็ให้กำหนดใจแผ่เมตตาออกไป เรื่องการแผ่เมตตาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพราะเมตตาบารมีนั้นคลุมศีลทุกข้อไม่ให้บกพร่อง ขณะเดียวกันบรรดาท่านทั้งหลายที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนที่ต่ำกว่าเรานั้น ท่านต้องการกระแสแห่งความร่มเย็น ซึ่งแผ่ออกจากจิตใจของเราไปสู่ท่านเหล่านั้น เพื่อจะได้ผ่อนคลายความทุกข์ของเขา แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี โดยเฉพาะตัวเมตตานี้เป็นอาหารหล่อเลี้ยง ทำให้จิตใจของเราชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ อยากจะปฏิบัติ ไม่รู้เบื่อ ไม่รู้หน่าย

วันนี้อยากจะให้พวกเราทุกคนทบทวนตัวเองดูว่า ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเราประกอบไปด้วยความประมาทหรือไม่ เราได้ทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างจริงจังหรือสักแต่ว่าทำ หรือบางทีก็ทิ้งไปเฉย ๆ บางสิ่งบางอย่างยากหน่อยก็ร้องโอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว นั่นไม่ใช่เรา มันต้องระดับเทพจึงจะทำได้ ถ้าไปคิดอย่างนั้นชาตินี้เราจะเอาดีไม่ได้ มันต้องคิดว่ากำลังใจของเราทรงสมาธิได้แค่ปฐมฌาน เราไม่ใช่เทพเฉย ๆ แต่เป็นพรหมเลย เหนือกว่าเทพทั่ว ๆ ไปในฉกามาพจรอีก

การปฏิบัติของพวกเรานั้น กำลังใจของเรายินดี บากบั่น พากเพียรโดยสม่ำเสมอหรือไม่ หรือว่าเป็นไปแบบไฟไหม้ฟาง พอมีสิ่งมากระตุ้นเร้าก็ปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง พ้นจากนั้นก็ดับหายไป ถ้าอย่างนี้โอกาสที่จะลงอบายภูมิก็มีสูงมาก การปฏิบัติของพวกเรานั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็งจริงจังสม่ำเสมอ บากบั่นพากเพียรไม่ท้อถอย

พระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพ่อของพวกเรา ทรงสร้างบารมีมา เริ่มตั้งแต่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ๗ อสงไขย พูดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่าตลอดระยะเวลาการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารซึ่งยาวไกลมองต้นมองปลายไม่เห็นนั้น ขึ้นชื่อว่าท้อนั้นแม้แต่นิดเดียวไม่เคยปรากฏขึ้นในพระทัยเลย แล้วเราเองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เราเอากำลังใจสักส่วนเสี้ยวของพระองค์ท่านมาใช้หรือไม่ ไม่ใช่เจออุปสรรคหน่อยก็ท้อถอย จิตใจฟุ้งซ่านสมาธิตกหน่อยก็ไม่อยากจะทำอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่น่าจะใช่ลูกพระ แต่มันน่าจะเป็นลูกกิเลส

เถรี 30-09-2009 09:38

การปฏิบัติของเรานั้นต้องเร่งรัดตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญานั้นเป็นการทวนกระแสโลก เหมือนเราว่ายทวนน้ำอยู่ ถ้าไม่เร่งรัดตัวเองให้ว่ายตลอดเวลามันจะว่ายถอยหลัง หรือถ้าไม่ไหลถอยหลังแต่คนอื่นมุ่งไปข้างหน้าแล้วเราอยู่เฉย ๆ ก็เท่ากับว่าเราเดินทิ้งห่างไปทุกทีเหมือนกับเราถอยหลังเช่นกัน

โดยเฉพาะหลายท่านอยู่กับความประมาทมาก คิดว่าอาตมายังหนุ่ม ท่านที่เรียกว่า "หลวงพ่อยังหนุ่มอยู่" ก็ยังดี เพราะอย่างน้อย ๆ เรียกว่าหลวงพ่อ แปลว่า ยังมีความแก่อยู่บ้าง แต่หลายท่านบอกว่า "ท่านอาจารย์ยังหนุ่มอยู่" หลายท่านบอกว่า"หลวงพี่ยังหนุ่มอยู่" ยิ่งไปกันใหญ่ แบบนี้นอกจากตัวเองไม่ได้นึกถึงความตายแล้ว ยังนึกว่าอาตมายังอยู่ยั้งยืนยงด้วย

ประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อาตมาจำเป็นจะต้องส่งประวัติศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดแห่งที่ ๒๓ คือ วัดท่าขนุน เข้าไปเพื่อตรวจการณ์เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่นระดับประเทศ ระยะเวลาที่เขาให้มานั้นน้อยมาก ต้องรวบรวมข้อมูลเป็นตั้ง ๆ การพักผ่อนมีน้อย ก็ปรากฏว่าความดันขึ้นสูง สูงมาก สูงจนรู้สึกว่าหัวหมุนจะอาเจียน ความรู้สึกชัด ๆ ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังขยายตัวอยู่ในสมอง ซึ่งก็คือเส้นเลือดที่มันโป่งจะแตก แต่อาตมาเป็นคนที่ไม่กลัวตาย จึงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป ในเมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ให้มันตายคางานไปเลย ถ้าสถานการณ์อย่างนี้แปลว่าความตายมันก้าวเข้ามาชิดติดตัวแล้ว แต่ถ้าพวกเราทั้งหลายยังคิดว่าอาตมายังหนุ่มอยู่ ยังจะอยู่อีกนาน ขอให้รู้ว่ากำลังประมาท

การปฏิบัตินั้นเรายืนหยัดด้วยตนเองเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น ไม่มีใครจะเป็นที่พึ่งของเราได้ตลอดกาล ตลอดสมัย ท้ายสุดแม้กระทั่งตัวเราก็ต้องตาย ในเมื่อต่างคนต่างตายต้องแยกย้ายจากกันไป ใครจะเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้แก่เราได้ตลอดไป พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตัวเรานี่แหละที่เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของเรา โก หิ นาโถ ปโร สิยา คนอื่นใครเลยจะเป็นที่พึ่งของเราได้ อตฺตนา หิ สุทนฺเตน ตัวเองที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีแล้วนี่แหละ นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ เป็นที่พึ่งที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

ถ้าเรายืนหยัดด้วยตนเองได้ นอกจากจะไม่เป็นภาระให้แก่ครูบาอาจารย์แล้ว ยังสามารถช่วยแบ่งเบาภาระ ด้วยการเป็นที่พึ่งให้คนอื่นที่เพิ่งเริ่มหัดเดิน ที่กำลังใจยังอ่อนอยู่ด้วย ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้โดยพร้อมเพรียงกัน เราจะสามารถชักนำบุคคลจำนวนมากก้าวไปสู่หนทางแห่งมรรค ๘ หนทางแห่งสัมมาทิฏฐิ หนทางแห่งการหลุดพ้น เท่ากับว่าเราช่วยยังศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง

เถรี 30-09-2009 09:42

ดังนั้น..จึงขอให้ทุกคนทบทวนตัวเองว่า ปัจจุบันนี้ตัวเราปฏิบัติอะไร เพื่ออะไร ตอนนี้ยังมุ่งไปตรงทิศตรงทางของตัวเองหรือไม่ โดยเฉพาะหลายต่อหลายท่านด้วยกัน พอปฏิบัติไปแล้วความเป็นทิพย์เกิดขึ้นสามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ กลายเป็นว่าท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ แทนที่จะมุ่งลัดตัดตรงเพื่อจะเสริมสร้างบารมีของตนให้เต็มโดยเร็ว จะได้ขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฎฏสงสาร ก็ต้องไปติดอยู่กับเรื่องรุงรังไม่เป็นเรื่องสารพัด ตามที่ตนเองรู้ขึ้นมาแล้วไม่สามารถที่จะปล่อยได้วางได้

ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกภูมิ หรือเป็นผู้ปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้ ก็ไปเจอภาระหน้าที่ต่าง ๆ ที่เขาหลอกให้เราคิดว่าใช่ แล้วก็ไปติดไปเกาะ ไปทำภาระหน้าที่นั้น โดยเฉพาะมีอยู่จุดหนึ่งก็คือ ญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น เป็นการเกิดขึ้นในลักษณะที่ตนเองพิจารณาธรรมแล้วแตกฉาน สามารถที่จะพิจารณาละเอียดลออมากขึ้น ๆ ทุกที เป็นในส่วนของธรรมะที่อธิบายเป็นภาษาหนังสือหรือภาษาคนได้ยาก แล้วก็ปลื้มปีติใจภูมิใจว่า สภาวะธรรมเกิดกับเราแล้ว โดยที่ไม่ได้พิจารณาเลยว่ามันหลอกเราเหมือนกับหลอกเราว่ายน้ำออกทะเลแล้วหาฝั่งไม่เจอ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่รู้นั้นได้ช่วยในการตัดกิเลสหรือไม่ ทำให้รักโลภโกรธหลงของเราลดลงหรือไม่ หรือว่าสักแต่ว่ารู้ รู้ รู้กว้างออกไปทุกที ๆ แต่ว่าใช้ประโยชน์อะไรมากกว่านั้นไม่ได้เลย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขอให้ทุกคนระมัดระวัง

ดังนั้น..การปฏิบัติที่สำคัญที่สุดก็คือ ทรงสมาธิแล้วให้อาศัยศีล ๕ เป็นกรอบ ถ้าอยู่ในกรอบของศีล ๕ ถึงหลงทางก็ไปไม่ไกล โดยเฉพาะให้จับภาพพระพุทธเจ้าไว้ให้เป็นปกติ กำหนดใจไว้เสมอว่าพระองค์ท่านอยู่เฉพาะที่นิพพานเท่านั้น เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่กับพระนิพพาน ถ้าเอาใจจดจ่ออยู่กับพระองค์ท่านที่พระนิพพานได้จะเป็นการตัดกิเลสโดยอัตโนมัติไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา ทรงอารมณ์ได้อยู่กับท่านได้มากเท่าไหร่ นานเท่าไหร่ก็แปลว่าเราทรงอารมณ์ในการตัดกิเลสได้มากเท่านั้น ได้นานเท่านั้น ในเมื่อมีของง่ายให้ทำอย่าทำของยาก

ถ้าหากรู้ว่าตัวเองยังต้องพึ่งคนอื่นอยู่ก็พยายามยืนหยัดให้ได้ ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นคนท้อง่าย ถอยง่ายก็ให้ดูอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดระยะเวลาการเวียนว่ายตายเกิดอันยาวนานพระองค์ท่านไม่เคยท้อถอยในการทำความดีเลย เราเป็นลูกของท่าน เป็นทหารในกองทัพธรรม ต้องมีกำลังใจในการมุ่งมั่นฟันฝ่าต่อสู้อุปสรรค ต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้เพื่อให้ผลของการปฏิบัติของเราก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป สำหรับเดือนนี้ก็ขอตักเตือนกันไว้แค่นี้

ให้ทุกคนกำหนดภาพพระพร้อมกับลมหายใจและคำภาวนาของเรา ถ้ายังมีลมหายใจ ยังมีคำภาวนาอยู่ ก็ให้กำหนดรู้ลม รู้คำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจหมดไป คำภาวนาหายไป กำหนดจับภาพพระไว้เฉย ๆ ตั้งใจว่าถ้าตายตอนนี้ขอมาอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ให้ทุกคนตั้งกำลังใจเอาไว้อย่างนี้จนกว่าจะหมดเวลาในการปฏิบัติ

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒

ลุงโรจน์ 30-09-2009 12:32

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี (โพสต์ 20784)
ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด ทำให้เป็นสิ่งที่เคยชินกับตัวเรา เพราะถ้าลมหยาบยังอยู่ เวลาจิตเริ่มทรงสมาธิมันจะอึดอัดมาก บางทีแน่นจนเหมือนรู้สึกจะขาดใจตายไปเลย แล้วหลังจากนั้นก็กำหนดความรู้สึกเราทั้งหมด ให้ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ลมหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะว่าจะสร้างสมาธิของเราให้เข้มแข็ง มีกำลังในการต่อสู้กิเลส เสริมสร้างปัญญาให้ชัดเจนผ่องใส เพื่อจะได้ใช้ในการลด ละ เลิกกิเลสต่าง ๆ ในใจของเราได้

เมื่อลมหายใจของเราทรงตัวดีแล้ว ก็ให้กำหนดใจแผ่เมตตาออกไป เรื่องการแผ่เมตตาถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพราะเมตตาบารมีนั้นคลุมศีลทุกข้อไม่ให้บกพร่อง ขณะเดียวกันบรรดาท่านทั้งหลายที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนที่ต่ำกว่าเรานั้น ท่านต้องการกระแสแห่งความร่มเย็น ซึ่งแผ่ออกจากจิตใจของเราไปสู่ท่านเหล่านั้น เพื่อจะได้ผ่อนคลายความทุกข์ของเขา แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี โดยเฉพาะตัวเมตตานี้เป็นอาหารหล่อเลี้ยง ทำให้จิตใจของเราชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ อยากจะปฏิบัติ ไม่รู้เบื่อ ไม่รู้หน่าย

วันนี้อยากจะให้พวกเราทุกคนทบทวนตัวเองดูว่า ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเราประกอบไปด้วยความประมาทหรือไม่ เราได้ทุ่มเทกับการปฏิบัติอย่างจริงจังหรือสักแต่ว่าทำ หรือบางทีก็ทิ้งไปเฉย ๆ บางสิ่งบางอย่างยากหน่อยก็ร้องโอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว นั่นไม่ใช่เรา มันต้องระดับเทพจึงจะทำได้ ถ้าไปคิดอย่างนั้นชาตินี้เราจะเอาดีไม่ได้ มันต้องคิดว่ากำลังใจของเราทรงสมาธิได้แค่ปฐมฌาน เราไม่ใช่เทพเฉย ๆ แต่เป็นพรหมเลย เหนือกว่าเทพทั่ว ๆ ไปในฉกามาพจรอีก

การปฏิบัติของพวกเรานั้น กำลังใจของเรายินดี บากบั่น พากเพียรโดยสม่ำเสมอหรือไม่ หรือว่าเป็นไปแบบไฟไหม้ฟาง พอมีสิ่งมากระตุ้นเร้าก็ปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง พ้นจากนั้นก็ดับหายไป ถ้าอย่างนี้โอกาสที่จะลงอบายภูมิก็มีสูงมาก การปฏิบัติของพวกเรานั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็งจริงจังสม่ำเสมอ บากบั่นพากเพียรไม่ท้อถอย

พระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพ่อของพวกเรา ทรงสร้างบารมีมา เริ่มตั้งแต่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ๗ อสงไขย พูดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่าตลอดระยะเวลาการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารซึ่งยาวไกลมองต้นมองปลายไม่เห็นนั้น ขึ้นชื่อว่าท้อนั้นแม้แต่นิดเดียวไม่เคยปรากฏขึ้นในพระทัยเลย แล้วเราเองซึ่งชื่อว่าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เราเอากำลังใจสักส่วนเสี้ยวของพระองค์ท่านมาใช้หรือไม่ ไม่ใช่เจออุปสรรคหน่อยก็ท้อถอย จิตใจฟุ้งซ่านสมาธิตกหน่อยก็ไม่อยากจะทำอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่น่าจะใช่ลูกพระ แต่มันน่าจะเป็นลูกกิเลส

"ฉกามาพจร" ขอเรียนถามหน่อยครับคำนี้ถูกต้องแล้วหรือไม่ครับ

สายท่าขนุน 30-09-2009 12:33

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ศรีโรจน์ (โพสต์ 20810)
ฉกามาพจร คำนี้ถูกต้องแล้วหรือไม่ครับ

ถูกต้องแล้ว หมายถึงสวรรค์ ๖ ชั้น:onion_love:

ลุงโรจน์ 12-10-2009 10:16

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายท่าขนุน (โพสต์ 20811)
ถูกต้องแล้ว หมายถึงสวรรค์ ๖ ชั้น:onion_love:

ขอบคุณครับแสดงว่าผมโง่มานานเลย เคยอ่านเจอแต่คำว่า
กามาวจร มาเข้าใจก็วันนี้แหละครับ

เด็กเมื่อวานซืน 12-10-2009 10:44

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ศรีโรจน์ (โพสต์ 22034)
ขอบคุณครับแสดงว่าผมโง่มานานเลย เคยอ่านเจอแต่คำว่า
กามาวจร มาเข้าใจก็วันนี้แหละครับ

ฉกามาพจร เป็นคำที่มีอยู่ในวรรณคดีหลายเรื่องครับ คุณศรีโรจน์ไม่ได้โง่หรอกครับ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:22


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว