กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4350)

เถรี 08-02-2015 17:40

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
 
ถาม : การละสังโยชน์ระหว่างพุทธภูมิกับสาวกภูมิเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน พุทธภูมิเรียนรู้แต่ไม่ได้ละ ส่วนสาวกภูมิภูมิรู้แล้วละเลย ต่างกันแค่นั้นแหละ พุทธภูมิต่อให้กำลังใจสูงขนาดไหนก็ตาม ถึงเวลางานเก่ารั้งอยู่นิดหนึ่ง ไม่สามารถที่จะละได้

ถาม : อย่างขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติเลย

ถาม : ถ้าเป็นแบบสาวกมีแบบขึ้นเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ถ้าละสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว มีแต่เจริญขึ้นโดยส่วนเดียว

เถรี 08-02-2015 18:25

ถาม : ขอคาถานะปัดตลอด
ตอบ : จะไปเอาที่ไหนมา ? นะปัดตลอดไม่ใช่คาถา แต่เป็นวิชา ตั้งใจเขียนตัว "นะ" แล้วกลั้นใจตบให้ทะลุพื้นลงไปได้

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ท่านไม่ได้เรียนวิชานะปัดตลอดมา คนที่เรียนวิชานะปัดตลอดไปจากหลวงปู่ปาน ก็คือ ครูหอมหวลที่เล่นลิเก พอสิ้นหลวงปู่ปานแล้ว หลวงพ่อท่านจะตามไปขอเรียนกับครูหอมหวล พอหน้าแล้งครูหอมหวลก็ยกคณะเล่นลิเกเดินทางไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุดเสียที ตามไม่เจอไม่ว่า เจอหน้าก็ไม่มีเวลาสอน แต่พอหน้าฝนครูเขาอยู่บ้าน หลวงพ่อก็ไปไม่ได้เพราะติดเข้าพรรษา ไป ๆ มา ๆ วิชานี้ก็เลยไม่ได้เรียน งานวัดบางนมโค ครูหอมหวลจะเอาลิเกไปเล่นให้ฟรี ทั้ง ๆ ที่ถ้าไปเล่นที่อื่นเขาจ่ายให้แพงมากเลย

หลวงพ่อท่านเห็นหลวงปู่ปานใช้วิชานะปัดตลอดชัด ๆ อยู่ครั้งเดียว ครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่ไทยรบกับฝรั่งเศสชิงพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ หลวงประธานถ่องวิจัยเอาผ้าขาวมาขอให้หลวงปู่ปานทำผ้ายันต์ให้ทหารติดตัวไปออกรบ

ปกติแล้วเรื่องการเขียนยันต์ หลวงปู่ปานจะให้ท่านอาจารย์เจิมเป็นคนเขียน แล้วหลวงปู่ปานจะเสก เพราะอาจารย์เจิมเขียนยันต์สวย ปรากฏว่าวันนั้นไม่ทัน เพราะว่าหลวงประธานถ่องวิจัยต้องรีบเดินทางไปยังกองกำลังบูรพา เอาวัตถุมงคลไปแจก หลวงปู่ปานท่านเห็นฉุกเฉิน ก็เลยบอกให้หลวงพ่อวัดท่าซุงหยิบไม้เท้าของท่านมา ท่านตีเปรี้ยงลงไปบนกองผ้ายันต์ ปรากฏว่าผ้าขาว ๆ มียันต์ติดเต็มทุกผืนเลย ท่านบอกว่านั่นแหละคือวิชานะปัดตลอด

วิชานี้เท่าที่รู้มา ครูบาอาจารย์ที่เรียนก็มีหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ เพราะคนชอบไปขอรอยเท้าท่าน ท่านเองก็ต้องเอาเท้าจุ่มครามแล้วพิมพ์ให้เขาทีละแผ่นจนรำคาญ ท้ายสุดท่านก็เลยบอกให้เอามาพร้อม ๆ ทีเดียว กองเป็นตั้งเลย เอาเท้าจุ่มครามแล้วแปะไว้แผ่นบนสุด เอามือตบหัวเข่าทีเดียวติดตลอดทั้งหมดจนถึงแผ่นล่างเลย

เถรี 08-02-2015 18:38

อีกรายหนึ่งก็หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่ายที่ระยอง ท่านใช้ขมิ้นชัน เหลาลักษณะเป็นดินสอ เขียนหัวให้กับผู้หญิงท้องติดถึงลูกในท้องด้วย ลูกคลอดออกมามียันต์ติดหัวออกมาเลย นั่นก็คือนะปัดตลอด

ถาม : นอกจากอานิสงส์เรื่องนี้แล้วมีประโยชน์อย่างอื่นอีกไหมคะ ?
ตอบ : มี..อย่างน้อยถ้าทำได้ก็จะเท่กว่าคนอื่นเขา

ถ้าจะฝึกวิชานี้ ให้เขียนตัวนะใส่ฝ่ามือแล้วไปหาศพผีที่ตายวันเสาร์หรือวันอังคาร ตบฝาโลงให้ตัวนะทะลุไปติดที่หัวศพ แล้วทะลุลงไปติดใต้โลงได้ถึงจะใช้ได้ อาตมารู้วิธีหมดทุกอย่าง แต่ลองแล้วไม่มีผล เพราะไม่รู้ว่าเคล็ดลับเป็นอย่างไร

เถรี 08-02-2015 18:49

นะปัดตลอดเป็นเรื่องแปลกมาก นอกจากเรื่องแคล้วคลาด คงกระพันแล้ว ยังเป็นมหาลาภอีกด้วย ที่ครูหอมหวลเรียนไป พอตั้งโรงลิเกเสร็จ หลวงพ่อท่านบอกว่าครูจะกำแป้งขึ้นมาหนึ่งกำ ตั้งใจบริกรรมแล้วก็เป่า แป้งนั้นจะพุ่งตรงเหมือนอย่างกับกระสุนปืน จนกว่าจะมีอะไรขวาง เช่น ต้นไม้ บ้านเรือน ลอมฟาง ก็จะไปติดอยู่ตรงนั้น แล้วคนจากทิศนั้นจะมามากที่สุด เป็นการเรียกคนให้มาดูลิเกได้

ที่เป็นเรื่องประหลาดเพราะว่า แคล้วคลาดคงกระพันกับเรื่องลาภไม่ค่อยจะไปด้วยกัน พอ ๆ กับมีดหมอเพชรวุธนั่นแหละ เล่นเอาลาภออกหน้าเลย วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเอามีดหมอปล้นเขา ในเมื่ออยากได้ลาภ..ใช่ไหม ? ถือมีดไปปล้นเขาเลย..ได้แน่ ...(หัวเราะ)...

เถรี 08-02-2015 19:38

ถาม : สิ่งที่ผมทำอยู่ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญาก็ถูก ถ้าออกนอกกรอบก็ผิด ตรวจสอบง่ายจะตายไป

ถาม : มีอะไรที่ผมต้องทำไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้จริง ๆ และเพิ่มความพยายามให้มากกว่านี้

ถาม : มีอะไรแนะนำอีกไหมครับ ?
ตอบ : ที่แนะไปก็พอกินไปทั้งชาติแล้ว..!

เถรี 08-02-2015 20:35

ถาม : ผมเห็นพระท่านถือถุงอาหารที่ญาติโยมเขาใส่บาตรให้ ดูพะรุงพะรังแล้วสงสารท่าน สันนิษฐานว่าบาตรท่านคงเต็ม แล้วแบบนี้พระสามารถที่จะปฏิเสธไม่รับอาหารจากญาติโยมที่จะใส่บาตรอีกได้ไหม ในกรณีที่บาตรเต็มแล้วครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วพระพุทธเจ้าอนุญาตให้รับเสมอขอบปากบาตรเท่านั้น ถ้ารับเกินนั้นพระจะโดนอาบัติ คือ ศีลขาด แต่ก็ทรงอนุญาตไว้ว่า ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็รับได้ไม่เกินสามบาตรเท่านั้น ของที่รับมามากขนาดนั้น ให้แจกจ่ายแก่เพื่อนพระภิกษุด้วยกัน

เถรี 08-02-2015 20:37

ถาม : พระชำระหนี้สงฆ์ที่ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์และปิดทองเรียบร้อยแล้ว เมื่อนานไปได้มีการบูรณะใหม่พร้อมกับปิดทองใหม่ ผู้ที่ปิดทองใหม่จะได้อานิสงส์การชำระหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เขาตั้งใจว่าจะให้เป็นการชำระหนี้สงฆ์หรือเปล่า ถ้าตั้งใจให้เป็นการชำระหนี้สงฆ์ เท่ากับว่าเรามีส่วนร่วมกับเจ้าภาพด้วย ถือเป็นการชำระหนี้สงฆ์ได้ ถ้าตั้งใจแค่ซ่อมพระเฉย ๆ ก็จะขาดทุนไปนิดหนึ่ง

เถรี 08-02-2015 20:42

ถาม : หลัง ๆ นี้ ผมก็มีสังคมกับคนอื่น ๆ ไปตามสถานการณ์ แต่ข้างในไม่ค่อยชอบการเกาะเกี่ยว คนโทรศัพท์มาหายังไม่อยากคุยด้วยเลย แต่ไม่ได้แสดงอะไรให้เขารู้ บางทีการไปวัดหรือไปไหน ผมก็ไปเอง ไม่รู้สึกว่าต้องขอความช่วยเหลือจากใคร แต่มักจะโดนเพื่อน ๆ ต่อว่า ว่าไม่บอกบ้าง หรือไม่นึกถึงเขาบ้าง ในการใช้ชีวิต ในสังคม ในโลก ผมก็ต้องทำตัวตามปกติ สนุกสนาน เอื้อเฟื้อกัน ฯลฯ แต่ผมไม่ชอบการเกาะเกี่ยว ไม่ชอบการผูกพัน รู้จักกันได้ รู้สึกดีกันได้ แต่ส่วนใหญ่เวลาคนอื่นให้ผมทำอะไร ๆ ในเชิงให้เห็นพวกเขาเป็นคนสำคัญ ผมจะหนีทุกที ดูเหมือนขัดแย้งในตัวเอง ผมปรับไม่ถูก หลวงพ่อพอมีคำแนะนำไหมครับ ? กิริยาภายนอกทำให้เขาไม่สงสัยได้ แต่ความรู้สึกของตัวเอง ปรับให้กลมกลืนไม่ได้เลย

ตอบ : ใครเขาให้กลมกลืน ? อุตส่าห์หนีห่างมาขนาดนั้น ภายนอกก็ตามโลกไป แต่ตามไปแค่กรอบของศีล ส่วนภายในให้รักษากำลังใจของเราไว้ ใครเขาให้ไปปรับกำลังใจให้กลมกลืนกับเขา ? ถ้าอยากปรับให้กลมกลืนกับเขาก็เท่ากับถอยหลังไปหากิเลสใหม่

เถรี 08-02-2015 20:48

ถาม : พี่ชายของกระผม มีความเลื่อมใสในพระอาจารย์เล็ก และหลวงพ่อวัดท่าซุง และหลวงปู่ปานเป็นอย่างสูง ได้บูชาวัตถุมงคลของพระอาจารย์เล็กมาจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ องค์ ทีนี้พี่ชายได้เสียชีวิตไปเมื่อกลางปีที่แล้วโดยอุบัติเหตุ ตอนนี้ผมซึ่งเป็นน้องชาย คาดเอาว่าทางพี่ชายน่าจะตั้งใจบรรจุวัตถุมงคลลงเจดีย์หรือองค์พระ เลยตั้งใจว่าจะแบ่งให้ลูก ๆ ของผู้ตายจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะหาบรรจุในองค์เจดีย์หรือองค์พระ ทีนี้หากผมกระทำตามความตั้งใจเช่นนี้ โดย "คาดว่า" พี่ชายตั้งใจไว้แบบนั้น ถือว่าเป็นการกระทำโดยเอาวัตถุของบุคคลอื่นมาทำบุญโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ?
ตอบ : "คาดว่า" จะติดหนี้สงฆ์..!

ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าคาดว่าพี่ชายจะบรรจุเจดีย์ แล้วไปแบ่งให้คนอื่นก็เท่ากับมีโทษย้ายเจดีย์ ติดหนี้สงฆ์แน่ ๆ เพราะฉะนั้น..รีบทำเสียจะได้ติดหนี้สงฆ์จริง ๆ..! อะไรที่ไม่มั่นใจอย่าเสี่ยงด้วยประการทั้งปวง ขาดทุนหนักมาก

ถาม : แล้วหากได้บรรจุ เจ้าของวัตถุมงคลซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เราอุทิศให้ท่านโมทนา แล้วท่านไปเกิดเสียก่อน บุญนั้นจะรวมตัวอยู่จนเมื่อเขาเสียชีวิตจากมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วได้โมทนาใช่หรือไม่ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านเกินตาย..! ถ้าเจ้าของเขาตั้งใจทำอย่างนั้น เขาได้บุญตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาให้เราอุทิศให้หรอก

เถรี 09-02-2015 10:17

ถาม : เนื่องจากที่เคยทราบว่า เทวดามีประชุมเทวสภาทุกวันพระ ซึ่งเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ที่ผ่านมาได้ทราบว่า มีประชุมเทวสภา แต่ในปฏิทินที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่วันพระ จึงขอกราบเรียนสอบถามว่า วันประชุมเทวสภา เป็นวัน ‘พระ’ ที่เทวดาจะมาประชุม ฟังเทศน์ฟังธรรมกันใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : สาเหตุที่ปฏิทินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ระบุวันพระไม่ตรงกับวันประชุมเทวสภาในวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๘ เกิดจากข้อผิดพลาดที่สั่งสมมาก่อนหน้าเรื่อย ๆ หรือเกิดจากการกำหนดปฏิทินไม่แม่นยำ ?
ตอบ : เกิดจากที่เทวดาประชุมตามเวลาของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับของเรา

ถาม : การกำหนดวัน ‘พระ’ ของเทวดา มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ประโยชน์ที่เขาจะไปฟังเทศน์ฟังธรรม ก็เพื่อเลื่อนภพภูมิของตัวเองให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป หลายท่านสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ มีประโยชน์มากพอไหม ?

เถรี 09-02-2015 10:21

ถาม : เมื่อ ๒๔ มกราคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีไหว้ครู ฯ ผมได้ขอพรทุก ๆ พระองค์ ให้เลือดเนื้อ เอ็น กระดูก รวมถึงยันต์ นะเมติ ของหลวงปู่หงษ์ ยันต์ครู ของหลวงปู่โฉม และยันต์นะลือชาที่สักไว้บนหลังผม ได้รับการสงเคราะห์ด้วย พอนั่งรถเดินทางกลับ ผมรู้สึกปวดหัวมากเป็นระยะ ๆ นวดหัวจนรู้สึกว่าหนังหัวระบมไปหมด ถึงบ้านเหมือนจะมีไข้ แต่แปลกที่ร่างกายป่วยและแย่ แต่จิตใจข้างในปกติ แถมยังรู้สึกเบิกบาน ออกจะลิง ๆ ด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกแย่ไปตามร่างกาย และป่วยเพียงวันเดียว อีกทั้งบังเอิญไปเห็นที่หลวงปู่ปานเป่ายันต์แล้วบอกอาการผู้ที่ได้รับยันต์ ทบทวนเลยมั่นใจว่าท่านสงเคราะห์แน่ ผมอยากถามหลวงพ่อครับ ว่าทำไม พระ เทพ พรหม เทวดา ท่านสงเคราะห์แล้ว มีอาการทางกาย ปวดหัวจนถึงเป็นไข้ครับ ?
ตอบ : เพราะสภาพร่างกายของคุณห่วยจนเกินกว่าจะรองรับความดีของท่านได้...!

เถรี 09-02-2015 10:31

ถาม : ขณะนั่งสมาธิในช่วงเวลาปฏิบัติกรรมฐานที่บ้านวิริยบารมี โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และ ใช้คาถาเงินล้านเป็นคำภาวนา ในช่วงเวลานั้นเห็นเป็นแสงสีขาวสว่างไปทั้งหมด โดยเป็นอยู่อย่างนั้นจนหมดเวลาปฏิบัติ ซึ่งเป็นอยู่หลายครั้ง กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หากเห็นแสงสีขาวในคราวต่อไป ควรจะปฏิบัติอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ทำเหมือนเดิม เคยภาวนาพิจารณาอย่างไร ก็ให้ทำไปอย่างนั้น

เถรี 09-02-2015 10:33

ถาม : มนุษย์พยายามกำหนดปฏิทินวันพระเพื่อให้ตรงกับของเทวดา หรือไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ?
ตอบ : แรก ๆ ก็เกี่ยวข้องกันเพราะมีผู้รู้จริง ต่อมาก็เละเทะไม่เป็นท่า แต่ข้างบนยังใช้เหมือนเดิม

เถรี 09-02-2015 10:36

ถาม : ระยะนี้นับแต่ปีใหม่เป็นต้นมาเกิดสภาวะเสียงซ้อนในใจขึ้น คือเมื่อก่อนกระผมภาวนาคาถาเงินล้าน ใจจะหยุดความคิดต่าง ๆ ที่คิดขึ้นมา พอใจไปคิดเรื่องอื่น ก็ลืมคาถาเงินล้าน แต่ปัจจุบัน ภาวนาคาถาเงินล้านทั้งวัน เหมือนกับว่าสักแต่ภาวนา เสียงภาวนาที่ตั้งใจภาวนาไม่ได้ขาดหายเหมือนสมัยก่อน เกิดความคิดอื่น ๆ ขึ้นมา แต่ก็ยังรู้ว่าภาวนาคาถาเงินล้านอยู่ ใจก็ภาวนาต่อเนื่องต่อไป ทำอะไรคิดอะไรที่ไม่ต้องใช้สมองพิจารณามาก ใจก็ยังภาวนาเองอยู่เช่นนั้น ไม่ทราบว่าต้องแก้ไขอาการนี้อย่างไรครับ ?
ตอบ : แก้ไขโดยการทำไปเรื่อย ๆ สภาพจิตเริ่มเป็นสมาธิทรงตัวแล้ว แค่เอาสติประคับประคองไว้นิดเดียว ก็จะสามารถกำหนดรู้การภาวนาไปตลอด

เถรี 09-02-2015 10:40

ถาม : เนื่องจากผมมีประคำไม้แก่นจันทน์ของทางทิเบต มีการเคลือบชักเงาผิวไม้ไว้ (ประคำมีสีน้ำตาล มีกลิ่นหอมที่เนื้อไม้) เวลาสวมใส่ที่คอ หากประคำมีกลิ่นเหม็นที่เกิดจากเหงื่อของร่างกายเวลาสวมใส่ ไม่ทราบว่าพระอาจารย์มีวิธีทำความสะอาดประคำที่ถูกต้องไหมครับ ? เพราะเกรงว่าถ้าทำไม่ถูกวิธี ผิวไม้ประคำจะเสียหาย และเกิดเชื้อราขึ้นที่เชือกและเม็ดประคำครับ
ตอบ : อนิจฺจา วต สงฺขารา..! ใช้ไปมีหรือจะไม่เก่า

ถาม : มีวิธีรักษาไหมครับ ?
ตอบ : อย่าเอาไว้กับตัว

เถรี 09-02-2015 10:44

ถาม : บ้านผมไม่ได้ตั้งศาลพระภูมิ ถ้าต้องการไหว้พระภูมิท่านปีละครั้ง ใช้บายศรีปากชาม ๑ คู่ เพียงพอหรือไม่ครับ ? ถ้าต้องการให้ท่านช่วยสงเคราะห์เรา ควรต้องมีหมูชิ้น ไก่ ด้วยหรือไม่ครับ หรือใช้เฉพาะปลาเท่านั้น ?
ตอบ : ให้ตั้งศาลเสียจะถูกต้องที่สุด ถ้าไม่สามารถจะทำได้ คิดจะแหกคอก ก็ใช้หมูชิ้น ไก่ ๑ ตัว หมูชิ้นต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโลกรัม และอย่าลืมปลาช่อนแป๊ะซะด้วย

ถาม : ถ้าต้องการไหว้ถึงพระและท่านท้าวมหาราชด้วย จะต้องจัดบายศรีให้ครบทั้ง ๔ ทิศ พร้อมหมู ไก่ เหมือนของวัดใช่หรือไม่ครับ ? เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด
ตอบ : มีจำกัดแล้วจะทำงานใหญ่ทำไมวะ ?

ถาม : ก็อยากครับ
ตอบ : ถ้ามีจำกัดก็ให้ทำแบบจำกัด ประมาณห้าหมื่นบาทก็ทำได้แล้ว..!

ถาม : หรือถ้ากำลังเราไม่ไหว ใช้การทำบุญอุทิศให้ท่านด้วยความเคารพจะเพียงพอหรือไม่ครับ ?
ตอบ :ไม่พอ..ทำบุญส่วนทำบุญ การสักการะเป็นการแสดงความยอมรับนับถือ เป็นคนละส่วนกัน

ถาม : เราควรจะแสดงการบูชาอย่างไรให้ท่านสงเคราะห์เรา ที่ก็ไม่มี เงินก็ไม่มี ?
ตอบ : รอไปก่อน..เผื่อชาติหน้าจะมีที่หรือมีเงินบ้าง..!

เถรี 09-02-2015 10:48

ถาม : ในปัจจุบันผมกำหนดจิตเป็นภาพพระ พร้อมกับภาวนาแผ่เมตตาออกไป โดยใช้คาถา “กรณียเมตตาสูตร ” แล้วจึงอาราธนาบารมีมีดหมอเพชราวุธ ขอให้คุ้มครองป้องกัน มีความรู้สึกว่า มีกำลังแผ่ออกไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีประมาณ ไม่มีสิ้นสุด แบบนี้ถือว่าทำถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ถูกในส่วนหนึ่ง

ถาม : พระอาจารย์กล่าวในงานพุทธาภิเษกว่า "บุคคลที่นำวัตถุมงคลมาเข้าพิธีก็ดี นำมีดหมอมาเข้าพิธีก็ดี โปรดจำให้แม่น ๆ ว่าถ้านำไปใช้อย่าได้คิดร้ายกับใคร ไม่อย่างนั้นจะวิบัติเอง ก็แปลว่าถ้าท่านทั้งหลายได้ขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปไป นอกจากใช้ไม่เป็นแล้ว ยังอาจจะทำระเบิดใส่ตัวเองด้วย ต้องระวังให้จงหนัก " เนื่องจากผมนำวัตถุมงคลอื่นมาเข้าพิธี ดังนั้น จะมี "อานุภาพ" เช่นเดียวกับมีดหมอเพชราวุธ หรือไม่ครับ ? หรือว่าจะเหมือนแค่เพียงตรงที่เป็นนิวเคลียร์ "ระเบิดใส่ตัวเองได้" แต่ในด้านอานุภาพไม่เหมือนมีดหมอเพชราวุธ ? ผมจะได้ระวังของคนอื่นระเบิดใส่ตัวเองด้วยครับ
ตอบ : ระวังให้จงหนัก..!

ถาม : มีผลเหมือนมีดหมอเพชราวุธหรือไม่ครับ ?
ตอบ :ไม่ใช่มีดหมอจะเหมือนได้อย่างไรวะ ? เหมือนอย่างเดียวคือพร้อมที่จะระเบิด..!

ถาม : ตามความเข้าใจคิดว่า วัตถุมงคลอื่นที่นำเข้าพิธี ไม่น่ามี "อานุภาพ" เหมือนหรือเทียบเท่า หรือใกล้เคียงมีดหมอเพชราวุธได้ เพราะของอื่นที่นำมาเข้าพิธีไม่ได้มีตะกรุดมหาสะท้อน ตะกรุดสามกษัตริย์ ครบทุกดอก ความเข้าใจนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูก..แต่เวลาระเบิดแรงเท่ากัน..!

เถรี 09-02-2015 10:50

ถาม : ศาสตราวุธอื่น ๆ นอกเหนือจากมีดหมอเพชราวุธวัดท่าขนุน ๑๒๐ เล่ม ท่านอนุญาตให้ใช้คาถาบูชาหรือการอาราธนาเพื่อใช้งานบทเดียวกับมีดหมอของทางวัดหรือไม่ครับ ? หรือใช้เพียงบทอิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตังฯ ก็เพียงพอแล้ว ?
ตอบ : ใช้ได้เหมือนกัน

ถาม : ถ้าวัตถุมงคลที่ไม่ใช่ศาสตราวุธ เช่น พระ แหวน เป็นต้น ใช้บทอิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตังฯ เหมือนปกติที่เคยทำใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ชอบใจบทไหนก็ใช้ไปเถอะ

เถรี 09-02-2015 10:52

ถาม : การที่อธิษฐานว่า "ขอให้เทพเทวดาทั้งหลายที่ดูแลรักษาสถานที่ซึ่งอาศัยอยู่และเทวดาประจำตัวของเรา ให้ท่านสามารถอาราธนาใช้อานุภาพของมีดหมอเพชราวุธหรือวัตถุมงคลอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ต่อสถานที่และขอให้ท่านสงเคราะห์ตัวเราด้วย" การอธิษฐานแบบนี้เหมาะสมหรือไม่อย่างไรครับ
ตอบ : ลองอนุญาตให้ยามที่ช่วยดูแลบ้านเรา สามารถใช้อาวุธทุกชนิดในบ้านของเราดูก็แล้วกัน..!

เถรี 09-02-2015 16:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ตำรวจไล่จับบริษัทผลิตอาหารเสริมที่โฆษณามากจนเกินเหตุ จะว่าไปแล้วพวกอาหารเสริมที่ขายได้เพราะสนองกิเลสของคน คือคนเราอยากสวย ไม่อยากแก่ อาหารเสริมก็จะโฆษณาโดยอาศัยตรงจุดนี้ ว่ากินแล้วสวยอย่างไร กินแล้วชะลอวัยได้อย่างไร ขายได้ทั้งปีทั้งชาติ โดยเฉพาะพวกที่ขายตรง

ของทุกอย่างต้องพอดีจึงจะก่อประโยชน์ ถ้ามากเกินก็จะเป็นโทษ พวกที่กินวิตามินเสริมอยู่บ่อย ๆ โปรดระมัดระวังด้วย เพราะวิตามินทั้งหลายนั้น มีวิตามินซีอย่างเดียวที่ละลายในน้ำ นอกนั้นละลายในไขมัน กินเกินก็ตกค้างในร่างกาย ขับไม่ออก พอค้างมาก ๆ ก็พาโรคภัยไข้เจ็บให้เกิดขึ้น

สมัยปู่ย่าตาทวดแทบจะไม่มีโรคมะเร็ง ปัจจุบันเป็นกันจนแทบจะปกติ โรคภัยไข้เจ็บตำราจีนบอกว่าเกิดจากอาหารการกินที่เรากินลงไป จนกระทั่งมีภาษิตจีนว่า "โรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก" แปลว่าให้ระมัดระวังด้วย จะกินอะไรก่อให้เกิดโทษภัยได้ง่าย จะพูดอะไรก่อให้เกิดโทษได้ง่าย"

เถรี 09-02-2015 16:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ทั้งในและนอกประเทศสถานการณ์ไม่ค่อยจะดี ในบ้านเราขนาดรัฐบาลทหารแท้ ๆ ยังจะเอาไม่อยู่ ต้องนึกถึงภาษิตจีน “คนอยู่ในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง” ในเมื่อคนอยู่ในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง บรรดากระแสของนักวิชาการ เขาต้องการจะเล่นงานอีกฝ่ายหนึ่งให้หนัก ชนิดไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลย ถ้ารัฐบาลไม่คล้อยตามก็จะหันมาเล่นรัฐบาลแทน ทางรัฐบาลก็ต้องตัดสินใจว่าจะรบกับวิชาการ หรือจะรบกับชาวบ้านดี ท้ายสุดรบกับชาวบ้านดีกว่า ก็เล่นอีกฝ่ายจมดินไปเลย

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของรัฐบาล ถ้าการบริหารงานไม่ตรงไปตรงมา ยังมีอคติ มีพวกมากลากไปอยู่ ต่อให้เป็นรัฐบาลวิเศษวิโสมีอำนาจขนาดไหนก็ไปไม่รอด ค่านิยม ๑๒ ประการ ลดเหลือแค่ "ยุติธรรม" คำเดียวก็พอแล้ว พูดแบบนี้เดี๋ยวอาตมาจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติอีก ถ้าเรียกไปตูจะไปนั่งเทศน์ให้ทหารฟังเอง..!"

เถรี 09-02-2015 17:01

"ต่างประเทศก็มีการก่อการร้ายแทรกซึมไปทุกมุมโลก ต้องบอกว่าสาเหตุใหญ่มาจากอเมริกา อเมริกาทำตัวเป็นตำรวจโลก แต่ไม่มีความยุติธรรม ไปยุ่งเกี่ยวแล้วก็สร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เอาไว้เยอะ ก็เลยทำให้ประเทศที่เขาเดือดร้อนไม่ชอบใจ โดยเฉพาะบรรดาประเทศในตะวันออกกลาง โดนปั่นหัวให้รบราฆ่าฟันกันมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วก็ส่งกองกำลังเข้าไปเข่นฆ่าคนของเขา

จุดมุ่งหมายมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือจะขายอาวุธ อย่างที่สองก็คือต้องการน้ำมัน ในเมื่ออย่างนั้นเวลาเขาตอบโต้กลับคืนมาด้วยวิธีการที่รุนแรง ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าประเทศเล็ก ๆ หรือกองกำลังเล็ก ๆ จะทำให้เขาหวาดเกรงได้ก็ต้องอาศัยความโหดร้าย ในส่วนนี้ก็เลยทำให้ลุกลามไปหมด เพราะรู้ว่าปะทะซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีก่อการร้าย

อย่างล่าสุดเห็นว่าเอาพวกเด็ก ๆ ถ้าพูดภาษาไทยก็คือปัญญาอ่อน ไปเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย เอาเด็กผู้หญิง เอาเด็กปัญญาอ่อนไปทำลักษณะอย่างนั้น โหดร้ายทั้งกับตนเองและกับคนอื่น ก็เลยทำให้เห็นเค้าว่า ภาวะสงครามใหญ่กำลังลุกลาม ถ้าฝรั่งเศสโดดไปเล่นด้วยเต็มตัวเมื่อไร ใครมีญาติอยู่ทางยุโรปหรืออเมริกา ก็เรียกกลับบ้านเราได้แล้วนะ อย่างน้อยบ้านเราก็ปลอดภัยกว่า ถึงแม้จะมีระเบิดแถว ๆ สยามพารากอนบ้างก็ช่างเถอะ..!

เขาบอกว่าตายแล้วเขาจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า เพราะเขาเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของกรรมสนอง เพราะอเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญไปฝึกอาวุธให้เขา ถึงเวลาเขาก็เอาสิ่งที่ฝึกได้นั่นแหละมาใช้งานคืน ทุกขะโต ทุกขะถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว

เรื่องของผู้ก่อการร้ายเป็นเรื่องของผู้เฝ้าระวังกับผู้ก่อเหตุ คนเฝ้าระวังอย่างไรก็ต้องเผลอจนได้แหละ ใครมีวัตถุมงคลที่มั่นใจว่าป้องกันนิวเคลียร์ได้ก็พก ๆ ไว้บ้างนะ บ้านเขานี่ต้องการจะหักจีนลงมา เพราะจีนชักจะล้ำหน้าล้ำตา แล้วการที่จะหักล้างประเทศมหาอำนาจขนาดนั้นได้ ก็ต้องเล่นกันด้วยนิวเคลียร์ แล้วลมจากจีนก็พัดเข้าไทย ต่อให้ไม่มีลม พวกกระแสก็ลอยมาทางบ้านเราอยู่ดี

ถ้าได้ยินข่าวว่าถล่มกันด้วยนิวเคลียร์แล้ว ก็งัดพระเครื่องกันนิวเคลียร์มาแขวนนั่งภาวนาไป จะเป็นสมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากของวัดท่าซุงก็ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำไม่ได้ให้รวยอย่างเดียว ท่านตั้งใจทำไว้ให้กันนิวเคลียร์ด้วย จำนวนสร้างทั้งรุ่นก่อนรุ่นหลัง สมเด็จคำข้าว ๕,๑๐๐,๐๐๐ องค์ มีรุ่นพิเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ ก็เป็น ๕,๒๐๐,๐๐๐ องค์ สมเด็จหางหมากนี่แสนเดียว รุ่นหลังไม่ทราบว่าเท่าไร คนบ้านเรามี ๖๐ กว่าล้านคน จะ ๗๐ ล้านอยู่แล้ว แล้ว ๕ ล้านองค์ที่ว่านี่ บางทีอยู่กับบางคนเป็นร้อยองค์เลย..!

ของวัดท่าขนุนก็หาพระนาคปรกฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตีหรือพระกริ่งพิชัยสงครามไว้บ้างนะ อาตมาทำไว้ให้ตีกับชาวบ้านโดยเฉพาะ..!"

เถรี 09-02-2015 17:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะหล่อพระเนื้อเงินสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว เพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๕ รอบ จะหล่อวันที่ ๒๙ มีนาคมตรงนี้ ตรงสวนนี้ (บ้านวิริยบารมี) เพราะวันที่ ๒ เมษายน พระองค์ท่านก็ ๖๐ พรรษาแล้ว

อาตมาสร้างพระใหญ่หน้าวัดถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา สร้างห้องสมุดถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ๖๐ พรรษา สร้างหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพรหินเขียวถวายในหลวง ๘๔ พรรษา คราวนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๖๐ พรรษาแล้ว จึงสร้างถวายพระองค์ท่านเสียอีกองค์หนึ่ง"

เถรี 09-02-2015 17:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นห่วงสถานการณ์ในบ้านเรา เพราะว่าเล่นของสูงกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ ที่ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอม แปลว่าชักจะไม่คำนึงถึงวิธีที่ใช้ ส่วนเรื่องการวางระเบิดที่สยามพารากอนนั้น ก็อยู่ในลักษณะของสร้างสถานการณ์ โดยไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านจะเป็นตายร้ายดีหรือเปล่า

จะว่าไปแล้วรัฐบาลทุกรัฐบาลต่างก็จะต้องช่วงชิงกระแส ถ้าจำเป็นก็ต้องสร้างสถานการณ์ แล้วคราวนี้ในเมื่อต่างคนต่างทำมา กลายเป็นลักษณะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ พอทำก็รู้ว่าเป็นใคร แต่ว่าบ้านเราเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า พอถึงเวลาก็จะชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงข้ามทันที ทั้ง ๆ ที่อาจจะเป็นมือที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ก็ได้ แล้วพอถึงเวลาก็กลายเป็นนำกระแสไป

หลายครั้งแล้วในบ้านเรา อย่างการตายของคุณเอกยุทธ อัญชันบุตร พยายามที่จะดึงการเมืองมาเกี่ยวข้อง ทั้ง ๆ ที่การพิสูจน์หลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ทุกอย่างก็ลงไปที่การฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา"

เถรี 09-02-2015 17:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "หน้าที่ของสามีก็คือ ให้เกียรติยกย่องภรรยาของตน ไม่ดูหมิ่นภรรยา ไม่ประพฤตินอกใจภรรยา มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้ ถึงเวลาก็หาซื้อเครื่องประดับให้เป็นรางวัลบ้าง พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้หมดแล้ว

หน้าที่ของภรรยาก็
ดูแลการบ้านการเรือนดี สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีดี ไม่ประพฤตินอกใจ รักษาทรัพย์สมบัติที่สามีหามาได้ ขยัน..ไม่เกียจคร้านในกิจการงานทั้งปวง"

เถรี 09-02-2015 17:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำนวน "ป่วยการเมือง" มาจากประเทศจีน ในประเทศจีนส่วนใหญ่เขาจะสร้างบ้านเป็นลักษณะบ้าน ๔ องค์ ก็คือ ถ้าเป็นวัดก็ลักษณะมีระเบียงคดล้อมลานกว้างไว้ แล้วบ้านจะมีหอกลาง หอหลัง หลายต่อหลายหลัง คราวนี้ถ้าไม่ยินดีรับแขกคนไหนก็อ้างว่าป่วย แล้วพวกแขกที่ไม่อยากรับก็คือ พวกบรรดาที่มาให้ช่วยเหลือเรื่องการเมืองในส่วนที่ไม่ควรจะช่วย จนกระทั่งมีสำนวนว่าป่วยการเมือง อ้างว่าป่วย รับแขกไม่ไหว แขกมาได้แค่หอหน้า ไม่ได้เข้าด้านใน ๆ ก็ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือเปล่า ได้แต่ผิดหวังกลับไป"

เถรี 09-02-2015 18:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่เวลาเขาถวายสังฆทาน เผลอเมื่อไรมักจะถวายเงินข้ามเศียรพระพุทธรูปทันที อาตมาอุตส่าห์เอื้อมไปรับด้านข้าง ปรากฏว่าโยมส่งข้ามเศียรพระทุกที..!"

เถรี 09-02-2015 18:33

ถาม : ที่บ้านมีหุ่นอยู่สามหุ่นมาตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้... ?
ตอบ : ฟังให้ดี ๆ นะ ลูกกรอกกับกุมารทองเป็นคนละอย่างกัน กุมารทองนั้นในสมัยโบราณเขาสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะใช้ลูกชายคนหัวปีก็คือคนแรก แล้วก็ต้องรอจนกว่าจะหาเด็กได้ สมัยก่อนการแพทย์ไม่ทันสมัยเหมือนสมัยนี้ ผู้หญิงคลอดลูกแล้วตายกันบ่อย เขาเรียกว่าตายท้องกลม ความจริงต้องเรียกว่า "ตายทั้งกรม" คือตายหมดทั้งแม่และลูก แต่คำเพี้ยนมาเป็น "ตายท้องกลม" ต้องไปทำพิธีเอาศพเด็กในท้องมา แล้วทำพิธีกรรมในการย่างเด็กให้แห้ง แบบที่ "เณรแอ" โดนจับไปนั่นแหละ สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว จากนั้นก็ปลุกขึ้นมาใช้งาน ถ้าลักษณะนั้นถึงเวลาก็จะปรากฏรูปร่างเป็นผีตัวใหญ่ มีฤทธิ์มากน้อยเท่าไร ตามกำลังของคนที่ปลุกเขาขึ้นมา ถ้าคนปลุกได้ฌานได้สมาบัติ เขาก็จะมีกำลังสูง

ส่วนลูกกรอกเกิดโดยธรรมชาติ เป็นโอปปาติกะประเภทกึ่งผีกึ่งเทวดา ถ้าผู้หญิงคนไหนมีลูกกรอก จุดที่เห็นได้ชัดที่สุดคือที่ท้อง เดี๋ยวก็โตเดี๋ยวก็ยุบ คือถ้าเขานึกอยากไปเที่ยวก็ท้องยุบ ถ้ากลับมาก็ท้องโตใหม่ จนกระทั่งเขาพอใจก็คลอดออกมาตามปกติ แต่จะตัวนิดเดียว มีหัวหูหน้าตาครบถ้วนดี ถ้าพวกลูกกรอกนี่ส่วนใหญ่แล้วจะต้องเรียกให้เขากิน แต่กุมารทอง ถ้าเป็นอาตมาก็ถวายสังฆทานให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย

ถ้าลูกกรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงจะแนะนำว่าให้ถวายสังฆทานให้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วกำลังเขาน้อย ถึงเวลาพวกหมอผีที่รู้ก็จะเรียกไปใช้งาน ท่านบอกถ้าถวายสังฆทานให้เขาจะมีกำลังเท่ากับเทวดา คราวนี้หมอผีก็หมดสิทธิ์ที่จะเรียก

สมัยก่อนกุมารทองต้องทำจากเด็กจริง ๆ มาระยะหลัง ๆ มีหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ที่นครปฐม ท่านเอาเถ้ากระดูกของเด็กที่เผาศพแล้ว ซึ่งเด็กเขายังไม่ไปเกิด สมมติว่าเด็กอายุเขา ๑๐๐ ปี เกิดมาพักเดียวก็ตายแล้ว เหลือเวลาอีกเกือบ ๑๐๐ ปี ท่านก็เอาเถ้ากระดูกมาปั้นเป็นรูปเด็ก เสร็จแล้วก็น่าจะมีการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาอะไรให้ เพราะท่านบอกว่าท่านทำจนเป็นเทวดาหมดแล้ว ถ้าญาติโยมคนไหนลำบาก ท่านก็ให้ไปช่วยในเรื่องการค้าขาย แล้วเจริญรุ่งเรืองกันดี เขาก็เลยนิยมกุมารทองหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามกัน สามง่ามที่นครปฐมนะ ไม่ใช่สามง่ามที่นนทบุรี

คราวนี้ก็มีคนสร้างเลียนแบบกันมาเรื่อย ๆ แต่ว่าเลียนได้แค่แบบ ไม่รู้ของจริงเลียนได้เท่าไร แล้วก็มีพัฒนาการจากใช้ศพเด็กจริง ๆ มาเป็นหุ่น เสร็จแล้วก็มีทำเป็นตัวเล็กตัวใหญ่ มาระยะหลังก็ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่มักเข้าใจว่าเป็นกุมารทอง ก็คือรูปแกะสลักตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในขวดน้ำมัน พวกนั้นเขาเรียกว่า "รัก-ยม" สมัยก่อนเขานิยมแกะสลักขึ้นมาจากกาฝากต้นรัก หรือว่ากาฝากต้นมะยม เสร็จแล้วก็ปลุกเสกตามพิธีกรรมตามตำราเขา ไปที่ไหนก็จะเป็นที่รักใคร่เมตตา พวกนี้ก็ต้องเรียกให้กินเหมือนกัน


ถาม : อย่างนี้เราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป แล้วเขาจะไปเกิดภพไหนภูมิไหนก็ไป

เถรี 09-02-2015 19:57

ถาม : เพื่อนเขาตาเจ็บมานานแล้วค่ะ ?
ตอบ : แล้วหมอว่าอย่างไรบ้างจ๊ะ ?

ถาม : หมอบอกเป็นกรรมพันธุ์ ?
ตอบ : กรรมพันธุ์ภาษาพระท่านเรียกว่ากรรมเก่า ไปดูว่าใครเขาจะสร้างพระ แล้วไปขอเป็นเจ้าภาพสร้างเนตรพระ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ถ้าเป็นพระองค์ใหญ่ก็จะมีเนตรที่เป็นมุกกับนิล ก็ไปบอกขอเป็นเจ้าภาพ มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาถามหมอนพพรจะขอเป็นเจ้าภาพ แต่เขาจองกันหมดแล้ว

ถาม : เป็นเจ้าภาพร่วมได้ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วควรจะทำเอง ทำคนเดียวชุดหนึ่งเลย ๕๐๐ - ๖๐๐ บาทเท่านั้น เคยเห็นไหม ? เนตรพระจะมีนิลกลม ๆ โตหน่อย แล้วจะมีเปลือกหอยมุกที่เขาตัดเป็นตาขาว อย่างเก่งก็ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ บาท ทำไปเถอะ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ให้คนอื่นเขาเป็นกรรมพันธุ์ต่อไป ส่วนเราก็เลิกเป็น

หรือไม่อีกวิธีก็ให้เสกน้ำล้างหน้าทุกวัน ใช้คาถา สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ จำได้ไหม ? ถ้าจำไม่ได้ก็ไปหาซื้อหนังสือมนต์พิธีเล่มละ ๒๐ บาท มีอยู่ในนั้น

เถรี 09-02-2015 20:19

ถาม : บ้านเมืองถ้าไม่มีขื่อมีแปก็อยู่ไม่ได้ ?
ตอบ : บ้านเรามีขื่อมีแป แต่เป็นขื่อแป ๒ มาตรฐาน ไปนึกถึงสมัยราชวงศ์หมิง หมิงไท่จู่ก็คือจูหยวนจางขึ้นครองราชย์ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี แต่ปรากฏว่าพวกบรรดาข้าราชการโกงกันสะบั้นหั่นแหลก โกงขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งประเทศ ๒๔๐ หมื่นตำลึง โกงกันได้ขนาดนั้น ๒๔๐ หมื่นเป็นสมัยนี้ยังรู้สึกสยดสยองเลย ๑๐๐ หมื่นก็ ๑ ล้าน นี่ ๒๐๐ กว่าหมื่น แล้วนั่นคนเดียว คิดดูว่าที่เหลือโกงกันไปเท่าไร ?

แล้วคนเขาว่าจูหยวนจางเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายมาก พอชิงแผ่นดินได้แล้วก็ฆ่าคนโน้นฆ่าคนนี้ ท่านตั้งใจทำเพื่อให้เขาหลาบจำ ท่านอุตส่าห์ให้นโยบายว่า ประเทศเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากสงคราม เหมือนลูกนกเพิ่งหัดบิน เหมือนหน่ออ่อนที่เพิ่งปลูกลงไป จะไปจับนกถอนขนหรือจะไปโยกรากเพื่อให้หน่ออ่อนเคลื่อน เดี๋ยวก็ตาย ขนาดพระองค์ท่านสั่งห้ามเด็ดขาด ก็ยังทำกันได้ขนาดนั้น

ส่วนบ้านเราอาตมาเห็นคาตา ถึงวันที่ ๓๐ กันยายนแล้วเพิ่งใช้งบประมาณได้ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เอง อีก ๗๐ เปอร์เซ็นต์เขาใช้หมดภายในวันนั้นเลย เพราะว่าช่วงนั้นไปช่วยงานเผยแผ่จริยธรรมพอดี ก็เลยมีโอกาสเข้าไป คือ เสนอโครงการไปก็ต้องมีส่วนของงบประมาณอยู่ จึงได้เข้าไปดู เขาตั้งโต๊ะเซ็นอนุมัติทุกโครงการ พอเที่ยงคืนตรง วางปากกา เปิดแชมเปญฉลองกันเลย สรุปว่าทั้งปีใช้ ๓๐ บาท อีก ๗๐ บาทใช้หมดภายในวันเดียว ถามเขาว่าทำไมไม่ส่งคืน ? เขาบอกว่าถ้าส่งคืนต่อไปจะขอใหม่ไม่ได้ สรุปว่าบ้านเราที่เจริญมาจนทุกวันนี้ พัฒนาด้วยงบประมาณไม่เกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือกินกันหมด..!

ถาม : งบประมาณเหลือก็ไปสัมมนาต่างจังหวัดกัน ?
ตอบ : ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน อย่างงบประมาณดูงาน จริง ๆ ก็คือให้เขาพาลูกพาเมียไปเที่ยว ไปดูงานเท่าไร ๆ ทำไมบ้านเราจึงไม่ดีกว่าเดิม อาตมาไปดูงานยุโรปเสร็จแล้วเขียนสรุปส่งท่านอาจารย์ ๕ บรรทัด ท่านอาจารย์ตกตะลึง ถามว่า “เอาแค่นี้จริง ๆ หรือ?” บอกว่า “แค่นี้จริง ๆ ครับ”

อาตมาสรุปว่า ถ้าเรารักษาของเก่าจนขายได้แบบอิตาลี รักษาธรรมชาติจนขายได้แบบสวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็สร้างแบรนด์จนขายได้แบบฝรั่งเศสก็พอแล้ว แต่ทั้งหมดนี่ไม่ต้องทำหรอก แค่สร้างจิตสำนึกคนของเราให้เท่าเขาก็พอแล้ว ตกลงไปดูงาน คนอื่นเขาเขียนรายงานกันหนาเป็นปึก ของอาตมามีรายงานอยู่ ๕ บรรทัด แล้วไม่เต็มบรรทัดด้วย

เถรี 10-02-2015 14:59

ถาม : ถ้ามีคนที่ไม่ชอบเรา ?
ตอบ : แผ่เมตตาให้เขาบ่อย ๆ พยายามมองเขาให้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายให้ได้ โดยเฉพาะบุคคลที่ทำในสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ คนทั้งหลายเหล่านี้ยังต้องรับทุกข์รับโทษในวัฏสงสารอีกยาวไกลไม่รู้จบ เพราะฉะนั้น..เขาเองเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่าน่าโกรธ

พยายามคิดให้ได้ แรก ๆ ก็คิดยากหน่อย คิดทีไรก็โดนต้านทุกที เอาเป็นว่าอันดับแรกทำสมาธิให้มั่นคงให้ได้ก่อน ถ้ามีสมาธิมั่นคง จะมีกำลังในการระงับยับยั้ง ไม่ใช่ไม่โกรธ ยังโกรธอยู่แต่ระงับได้ หลังจากนั้นก็พยายามคิดพิจารณาให้เห็นอย่างที่ว่า เราเองจะโกรธหรือไม่โกรธเขาก็แก่แน่ ๆ เขาก็ตายแน่ ๆ เขาก็เจ็บไข้ได้ป่วยแน่ ๆ ในเมื่อเขาก็เป็นขนาดนั้นแล้วเรายังจะไปซ้ำเติมเขาทำไม ?

อันดับแรกเอาสมาธิก่อน ถ้าสมาธิทรงตัวเดี๋ยวก็มีปัญญาเอง จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อันดับแรกก็ระงับได้ก่อน แต่ระงับได้ก็เหมือนกับขังเสือไว้ในอก อกจะแตกตาย หลังจากนั้นพยายามแผ่เมตตา พยายามคิดปลดวางให้ได้ หรือไม่ไหวจริง ๆ จะคิดแบบผสมความโกรธไปก็ได้ คนแบบนี้ไม่มีคุณค่าพอที่เราจะไปนั่งคิดถึงหรอก..!


ถาม : อ้าว..?
ตอบ : ก็กำลังยังไม่พอนี่ ในเมื่อกำลังยังไม่พอ อาศัยความโกรธเป็นพื้นฐานเอา

ถาม : มีคนขับรถมาแบบไม่มีมารยาท ทำให้เราโกรธ ก็มาคิดว่าเขาขับมาแค่วินาทีเดียว เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำให้เราโกรธได้ขนาดนี้
ตอบ : เขาไม่มีคุณค่าพอที่เราจะไปคิดหรอก

ถาม : ถ้าสมาธิทรงตัว ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ รัก โลภ โกรธ หลงกินไม่ได้ นิ่งอยู่ข้างในไม่ส่งออกนอก

ถาม : ไม่ได้สมาธิทรงตัวตลอดเวลา ?
ตอบ : ใหม่ ๆ ก็ได้พักเดียว ต้องซักซ้อมทำบ่อย ๆ ถ้าทำบ่อย ๆ ก็จะได้ข้ามวันข้ามคืน แต่ก็ยังไม่แน่ เพราะถ้าเผลอเมื่อไรก็หลุดอีก ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าอยู่ตรงนี้จะไม่คิด แต่ถ้าเผลอไปเมื่อไร รีบกลับมาตรงนี้ใหม่ คือให้คิดถึงลมหายใจเข้าออก แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น รู้ตัวว่าคิดเรื่องอื่นเมื่อไร รีบดึงกลับมาตรงนี้ แรก ๆ ก็สนุกสนาน หายใจไม่ทันจะเข้าเลย คิดเรื่องอื่นแล้ว หลังจากพยายามต่อไปก็เข้าออกไม่คิด พอจะเข้าใหม่คิดอีกแล้ว แล้วก็เริ่มต้นดึงกลับมาใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนได้ลมหายใจสัก ๕ คู่ ๑๐ คู่โดยไม่คิดอะไร คราวนี้ก็จะเริ่มมีกำลังขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี 10-02-2015 15:07

ถาม : ปลัดขิกแบบนี้ดีทางไหน ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าไม่ได้ศึกษาสายนี้มา ปลัดขิกบ้านเราที่ดังจริง ๆ ต้องหลวงปู่อี๋ วัดสัตหีบ เคยมีคนโดนต่อต่อย คิดอะไรไม่ออก ตัวเองพกปลัดขิกหลวงปู่อี๋อยู่ ก็เลยอธิษฐาน เอาปลัดขิกแตะตรงที่โดนต่อย เขาบอกว่ารู้สึกเลยว่ามีอะไรบางอย่างโดนดึงออกจากตัว แล้วความปวดก็หาย เขาโดนต่อยเป็น ๑๐ ทีเลยนะ บอกว่าถ้าไม่มีปลัดขิกหลวงปู่อี๋คาดว่าคงตายแน่

อีกรายที่ทำแล้วดังก็คือ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ทางด้านกุยบุรี แล้วก็มีหลวงปู่ซ่วน วัดท่าลาดใต้ นั่นน่าเสียดาย เพราะว่าท่านทำแล้วมีผล คนก็เลยไปสร้างเสียเต็มไปหมด แล้วแต่ละอันก็ใหญ่เป็นเสาเลย ทำให้กลายเป็นทัศนะอุจาดภายในวัดไป ท่านก็เลยโดนทางคณะสงฆ์สอบสวน แล้วสั่งระงับไม่ให้ทำอีก

ความจริงวิชาการที่ท่านศึกษามามีผล แต่เสียดายว่าสิ่งที่ทำนั้นนอกเขตพระพุทธศาสนาเกินไป ปลัดขิกนี่มาจากศิวลึงค์ของทางด้านฮินดู เขาถือว่าเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ ก็จะมีสร้างศิวลึงค์กับอุมาโยนี ซึ่งพลังในการให้กำเนิดก็คือพลังในการสร้างโลก โบราณที่เขารู้เคล็ดก็สามารถที่จะทำจนใช้งานได้จริง

เถรี 10-02-2015 20:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "คณะสงฆ์ทองผาภูมิตอนนี้มีตำแหน่งว่างเยอะเลย ไม่ต้องแย่งชิงกัน ว่าง ๒ เจ้าคณะตำบล กับ ๑ รองเจ้าคณะอำเภอ และอีก ๑ เจ้าคณะอำเภอ กลายเป็นว่าคนเหมาะสมมีน้อย แต่ตำแหน่งมีมาก อาตมาที่ไม่คิดจะแย่งจะชิงกับใครก็เลยเหมือนกับโดนเขาจับยัด บอกไปว่าเห็นใครเขาอยากได้ให้เขาไปก่อน แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปแย่งไปชิงกับใครหรอก ถึงเวลาก็มาเอง คนอื่นเขาไม่ได้มองแง่เดียวกับอาตมา เขามองว่าต้องได้

เหมือนอย่างคราวที่แล้ว อาตมาลาออกจากเจ้าคณะตำบล หลวงพ่อพรหมดิลกซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้าคณะภาคด่าเช็ดเลย ท่านด่าอาตมาหนัก ๆ ๒ ครั้ง ครั้งแรกก็คือเรื่องลาออก ครั้งที่สองคือเรื่องที่ท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิ ตอนยังเป็นพระธรรมสิทธิอยู่ ให้อาตมาไปเอาพระครูปลัดแล้วอาตมาไม่ไป โดนชยันโตเสียยับเยิน คือรู้สึกว่าถ้าเป็นหนี้บุญคุณแล้วชดใช้ยาก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เขารู้กันหมดแล้วว่า ถ้าอาจารย์เล็กจะเอาคือขอให้คนอื่น ถ้าให้มาก็รับ แต่ให้คนอื่นต่อ"

เถรี 10-02-2015 20:37

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงมาจ้ะ เจอหน้าก็ป้ายเลย

ถาม : ถ้าเราให้เขากินน้ำมนต์
ตอบ : น้ำมนต์นี่ต้องให้เขากิน แต่ถ้าน้ำมันชาตรีนี่แค่ทาก็ได้ผลแล้ว แล้วเขาจะยอมกินหรือ ? แต่ว่าเอาตัวต้นเหตุออกจากบ้านไปก่อนนะ ไอ้ของที่เขาส่งมา ไม่อย่างนั้นถ้ายังอยู่มันก็เหมือนกับมีเครื่องรับ ส่งคลื่นกวนอยู่ตลอด

ถาม : ถ้าเขาพกไปด้วย ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเจอหน้าป้ายไว้ก่อน สมัยก่อนเขาป้ายน้ำมันพรายใช่ไหม ? สมัยนี้เราป้ายน้ำมันชาตรี จุดมุ่งหมายคนละอย่างกัน สมัยก่อนเขาป้ายทำเสน่ห์ ของเรานี่ป้ายแก้เสน่ห์

เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งเขาเล่าประสบการณ์ที่โดนป้ายน้ำมันพรายให้ฟัง อยู่ ๆ ผู้ชายก็มาคว้าแขนข้างที่เขาใส่นาฬิกา “น้อง..ขอดูเวลาหน่อย” แกก็ก้มดู ปรากฏว่าสร้อยที่ห้อยพระแปะไปตรงรอยป้ายพอดี เขาบอกว่ามีควันขึ้นแล้วกลิ่นเหม็นอย่างกับเนื้อเน่า เขารู้เลยว่านี่เล่นน้ำมันพราย ยังดีที่บุญรักษาพระคุ้มครอง ก้มลงพระที่แขวนอยู่ก็ไปโดนรอยป้ายเข้าพอดี

เถรี 11-02-2015 11:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครบูชามีดหมอไปแล้วโดนระเบิดตายเองบ้าง ? ข้อห้ามเขามีอยู่แล้ว รักษาข้อห้ามไม่ได้ก็โดนระเบิดตายเอง ความจริงน่าจะเปิดกระทู้ให้เขาเล่าประสบการณ์บ้างนะ"

เถรี 11-02-2015 11:16

พระอาจารย์พูดถึงหลวงพ่อจำเนียรว่า "ท่านไม่หวงของ ที่เห็นอยู่เต็มตัว เวลาไปพุทธาภิเษกแล้วเจอหน้ากัน ชอบองค์ไหนก็ชี้ ท่านก็ปลดให้เลย ครั้งสุดท้ายไปพุทธาภิเษกกันที่เชียงใหม่ พอชี้ท่านก็ปลดให้เลย ได้ยินว่าตอนนี้ท่านมาอยู่แถวราชบุรี หรือเพชรบุรีก็ไม่รู้"

เถรี 11-02-2015 11:19

ถาม : เพื่อนฝากถามว่า ตอนนี้เขาเผชิญความทุกข์อย่างหนัก เขาบอกว่าเขาเห็นทุกข์ แต่เขาจมลงไปกับทุกข์ เขาไม่สามารถมองให้เป็นธรรมดาได้ ?
ตอบ : ปัญญายังไม่พอ

ถาม : แล้วเขาต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : รักษาศีล เจริญสมาธิ แล้วตั้งใจพิจารณาบ่อย ๆ ถ้ากำลังเพียงพอวันไหนก็จะเห็นจริงเอง เป็นคนโชคดีที่สุด แต่ใช้สิ่งที่ได้รับมาไม่เป็น จะมีสักกี่คนที่ทุกข์จนกระทั่งเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน แต่น่าเสียดายที่เห็นแล้วไม่สามารถที่จะปล่อยวางได้ เพราะว่ากำลังไม่พอ โดยเฉพาะปัญญาไม่พอ ปัญญาไม่พอก็เกิดจากสมาธิไม่พอ แย่พอกัน ไปเริ่มต้นว่ากันใหม่ คงจะได้สักวันหนึ่ง

เถรี 11-02-2015 11:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีเขาก็ตั้งชื่อเสียจนอ่านไม่ออก ถ้าเป็นตำราอาตมาก็ถือว่าใช้ไม่ได้ ในเมื่อชื่ออ่านยาก แล้วชีวิตจะง่ายได้อย่างไร ?"

เถรี 11-02-2015 11:28

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พอพุทธาภิเษกมีดหมอเสร็จ ก็ไปขึ้นเครื่องบินเพื่อไปเชียงใหม่ต่อ ทางด้านอาจารย์โต วัดพระบาทปางแฟน ท่านนิมนต์ไว้นานแล้ว แต่ไปไม่ได้สักครั้ง มาครั้งนี้ท่านให้กำหนดวันเอง ก็กำหนดล่วงหน้าไป ปรากฏว่าปฏิทินใหม่ที่ออกมา เวลาที่เขาคิดกับของอาตมาไม่ตรงกัน ก็เลยกลายเป็นวันเสาร์ ๕ ทำให้จัดงานที่วัดเสร็จก็ต้องวิ่งไป เพราะวันอาทิตย์เป็นงานพุทธาภิเษกของท่าน ก็เลยเป็นการเดินทางที่ฉุกละหุกมาก พอพุทธาภิเษกเสร็จก็นั่งเครื่องบินกลับ

ไปตากแดดอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง เกรียมไปเลย เพราะท่านพุทธาภิเษกในโบสถ์ที่สร้างใหม่ ซึ่งมีแต่ข้างฝา ยังไม่มีหลังคา นั่งตั้งแต่ประมาณ ๘ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงครึ่ง คราวนี้อาตมามานั่งตรงที่ประธาน ซึ่งตรงกับประตูพอดี ทิศตะวันออกเต็ม ๆ เลย โดนแดดเผาจนไม่รู้จะทำอย่างไร บรรดาท่านที่รับผิดชอบงานเดินเข้าเดินออก ก็ไม่มีใครสนใจสักคนหนึ่ง ว่าแดดโดนเต็ม ๆ อย่างนั้น ก็เลยต้องนั่งไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย เสร็จจากพุทธาภิเษกนี่แสบหลังเลย "



เถรี 11-02-2015 11:32

"ไปเชียงใหม่ครั้งนี้คุ้มค่าตรงที่ว่า เจอโยมคนหนึ่งสงสัยว่าตัวเองผิดปกติไปหรือเปล่า ? พอเขาเอ่ยปากถามมา อาตมาก็เลยถามกลับว่า ผิดปกติตรงไม่เห็นว่าอะไรสำคัญเลย เห็นทุกอย่างเสมอกันหมดใช่ไหม ? เขาบอกว่าใช่ คนอื่นเห็นเจ้าใหญ่นายโตก็รู้สึกกลัวรู้สึกเกรง เขาก็รู้สึกว่าคนเหมือนกัน ก็เลยบอกไปว่านั่นเริ่มบ้าแล้ว

พอถึงเวลาแล้ว คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทั้งหมด ก็สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม เป็นธาตุทั้งนั้น ไม่มีอะไรสำคัญ ไม่มีอะไรให้ยึดมั่น แต่คราวนี้พอไปอยู่ในแวดวงการทำงาน ก็เลยกลายเป็นว่าแปลกแยกจากคนอื่นเขา ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นอาตมาแปลกแยกมานานแล้ว เพราะไม่เห็นความต่างของคนรวยคนจน ว่านายพลนายพันต่างกับตาสีตาสาอย่างไร เขาถามว่าต้องทำอย่างไรต่อ บอกให้ไปทบทวนของเก่าที่ทำมาบ่อย ๆ เคยคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร แล้วอารมณ์ใจอย่างนั้นเกิดขึ้นก็ให้ไปทำใหม่ ทวนแล้วทวนอีกจนมั่นใจว่าเป็นของเราแน่ ๆ"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว