กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3659)

เถรี 11-02-2013 10:14

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
 
ถาม : สมัยที่เข้าค่ายเรียนระดับ ปวช. คุณครูได้กำหนดให้มีการไหว้พระสวดมนต์ และนั่งสมาธิกัน มีการสมาทานตามแบบวัดท่าซุงครับ ตอนเริ่มนั่งก็ทำตามหนังสือเรียนวิชาพระพุทธศาสนาที่เคยเรียนมา กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกด้านขวา หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑ หายใจเข้านับ ๒ หายใจออกนับ ๒ ไปเรื่อย ๆ ครับ แล้วก็ได้ยินเสียงลั่นดัง "เปรี๊ยะ" ในหัว แล้วก็สว่างมาก ด้วยความสงสัย และตกใจ จึงลืมตาขึ้นมาดู แต่ความรู้สึกในช่วงที่สว่างนั้นตัวเบา ไม่อยากพูดคุยกับใคร อิ่มใจ มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก กระผมอยากกราบเรียนถามว่า เป็นอาการของอะไรครับ ?
ตอบ : เริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่

ถาม : ถ้าเราต้องการยันต์หรือตะกรุด เช่น ตะกรุดมหาสะท้อน หรือยันต์ทำน้ำมนต์ ก็เขียนยันต์นั้นลงที่แผ่นเงินตามน้ำหนักและขนาด แล้วเข้าพุทธาภิเษกที่วัด จะใช้ได้เหมือนที่หลวงพ่อทำหรือเปล่าครับ ? และต้องสวดมนต์อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ ?

ตอบ : เขียนเสร็จแล้วเสกด้วยอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะธะอีก ๑๐๘ จบ ส่วนจะใช้ได้หรือไม่อยู่ที่สมาธิของตัวคุณเอง ถ้าสมาธิห่วยก็ใช้ได้น้อยหน่อย

ยันต์ทำน้ำมนต์ตอนกำลังเขียนต้องเสก เสร็จแล้วถึงปลุกอีกที ต้องทั้งปลุกทั้งเสก ไม่ใช่เขียนเฉย ๆ แล้วจะใช้งานได้
านั้น เสียดายตอนดังเปรี๊ยะไม่มีใครฟาดหัวสักที จะได้ตรงจังหวะเดียวกัน..!


ถาม : ถ้าเจอแบบนั้นอีกจะต้องทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : ภาวนาต่อไป อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าอยากให้เป็นอย่างนั้นชาตินี้จะไม่เป็นอีก ถ้าสามารถรักษาอารมณ์ภาวนาได้ปกติ จะก้าวข้ามขึ้นไปจะเป็นฌาน

ตอนที่สภาพจิตของเราก้าวล่วงสู่ความละเอียดมากกว่าปกติ บางคนที่มาในทางโลดโผนหน่อยก็จะมีอาการที่ชัดเจนอย่างนี้ ดังนั้น...อาการที่ว่าก็แค่ก้าวจากอารมณ์ปกติขึ้นสู่อุปจารสมาธิเท่านั้นเอง

เถรี 11-02-2013 10:18

ถาม : กระผมได้พิจารณาความว่างของสมมติบัญญัติทั้งปวง แล้วเกิดความอิ่มเอิบใจ สบายใจ จนเห็นว่าแม้กระทั่งความจำก็คือความว่างเช่นกัน มีก็เหมือนไม่มี แล้วเราจะไปวุ่นวายอะไรกับสิ่งเหล่านี้ เมื่อเป็นเช่นนี้เเล้วก็ทำให้มีความสุขใจอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก บางวันก็มีอารมณ์อยู่อย่างนี้หลายชั่วโมง และในบางครั้งแค่นึกถึง ใจก็สุขขึ้นมาในทันที เมื่อเห็นว่าทุกอย่างว่างเปล่าหมด ไม่มีอะไรเหลือแม้กระทั่งความจำ จนช่วงหลังมานี้มีคนหลายคนมักบอกกับกระผมว่า ทำไมกระผมขี้ลืมบ่อยมาก เมื่อกระผมมานึกย้อนดูก็ลืมจริง แต่ไม่ได้กังวล เพราะเห็นว่าลืมหรือจำได้ก็มีค่าเท่ากัน จึงขอกราบเรียนถามว่า สิ่งที่กระผมลืมนี้เป็นเพราะเราลืมจากสมองของกระผมลืม หรือลืมเพราะการทำกรรมฐานครับ ?

ตอบ : ลืมเพราะว่าไม่จำ ปล่อยวางในสิ่งนั้นผ่านไปโดยที่สมองไม่ได้จำ แล้วจะไปจำอะไรได้ ลักษณะของคนที่ฝึกในแนวอรูปฌานมักจะออกมาอย่างนี้ ถึงเวลาเราไม่ใส่ใจสิ่งภายนอก ก็เลยไม่มีสิ่งให้จดจำเหลืออยู่ เหมือนกับว่าของมาอยู่ตรงหน้าแล้วเราไม่ได้เก็บเอาไว้ ถึงเวลาของนั้นผ่านไปก็ไม่มีอะไรเหลือเท่านั้นเอง

พยายามเกรงใจโลกหน่อย อะไรที่ยังสำคัญอยู่ก็จำไว้บ้าง ไม่ใช่สมองเสื่อม ไม่ใช่อัลไซเมอร์ เพียงแต่ไม่ได้จำเอาไว้ ก็เลยไม่มีอะไรให้จำ

เถรี 11-02-2013 11:25

ถาม : กระผมจะไปทำสวนมะลิเพื่อเก็บดอกขาย จะมีฤกษ์ที่ใช้สำหรับสวนไม้ดอกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ความจริงโบราณเขามี ให้ไปดูในตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์มีอยู่ บอกว่าวันไหนควรปลูกไม้ดอก วันไหนควรปลูกไม้ผล แต่อย่าไปเสียเวลาดูอันนั้นเลย ให้เปลี่ยนเป็นเวลารดน้ำต้นมะลิให้ภาวนาคาถาเงินล้านแทน โดยเฉพาะภาวนาเต็มบทนะ อย่าไปย่อ เนื่องจากคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าจะช่วยในเรื่องความเจริญงอกงามทุกอย่าง เดี๋ยวก็เก็บขายไม่หวาดไม่ไหวเอง

ถาม : การบูชาพระภูมิเจ้าที่จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตั้งเครื่องบวงสรวงตั้งแต่ก่อนเริ่มไถพรวนดิน จะทำเมื่อสร้างสวนเสร็จแล้วได้หรือไม่ ?
ตอบ : ให้ไปอ่านประวัติพระอัญญาโกณฑัญญะ ตั้งแต่เริ่มไถนาพระอัญญาโกณฑัญญะก็ทำบุญ เริ่มหว่านกล้าก็ทำบุญ เริ่มตกกล้าก็ทำบุญ ข้าวออกรวงก็ทำบุญ เกี่ยวข้าวก็ทำบุญ ขนข้าวเข้ายุ้งก็ทำบุญ พระอัญญาโกณฑัญญะก็เลยบรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ส่วนพระสุภัททะไปทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว เกือบไม่ทัน มาบรรลุอรหันต์วันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายที่เขาเรียกว่า สักขีสาวก ก็คือทันพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น..เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาแบบไหน ทำบุญเท่าไรเราก็ได้ มีโอกาสทำก็ทำไปเถอะ

ถาม : กระผมคิดจะตั้งของบวงสรวงด้วยตัวเอง และตามกำลังทรัพย์ที่พึงจะหาได้ แต่จิตคิดจะใช้แรงงานท่าน อย่างนี้ท่านจะเอ็นดูเป็นพิเศษหรือไม่ครับ ? และควรวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : ควรที่จะวางกำลังใจว่า ถึงจะหาตามกำลังก็จริง ก็ควรจะถูกต้องตามที่ท่านระบุไว้ ไม่ใช่ว่าหาตามกำลังของเรา แล้วเครื่องบวงสรวงไม่ครบถ้วน ส่วนเรื่องตั้งใจใช้ท่านส่วนใหญ่เรื่องบวงสรวงทุกคนก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็ต้องแล้วแต่ท่านจะเมตตา

เถรี 11-02-2013 20:25

ถาม : กระผมมีความปรารถนาจะใช้ทรายเสกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง อัปเปหิท่านที่ให้โทษกับท่านที่อยู่เฉย ๆ เพื่อทดลองวิชาและความสะใจ จะผิดคำครูหรือไม่ครับ ?
ตอบ : คำครูไม่ผิดหรอก แต่อย่าเผลอ..เผลอเมื่อไรได้คืนหลายเท่า..! รับรองว่าเขาก็เอาจนสะใจเหมือนกัน
มีอยู่รายหนึ่งจนป่านนี้ยังไม่ฟื้นเลย เพราะใช้ธงมหาพิชัยสงครามกับมีดหมอชาตรีวัดท่าซุงไปรังแกท่านที่เฝ้าทรัพย์ มีเจตนาไปเอาสมบัติของเขา จนป่านนี้ก็ยังหาเช้ากินค่ำอยู่นั่นแหละ เขาตามจองล้างเลย เขาอยู่ของเขาดี ๆ ดันไปเล่นเขาก่อน..!


ถาม : ถ้าใช้ทรายเสกอธิษฐานสำหรับท่านที่อยู่แล้วเป็นโทษกับเราละครับ ?
ตอบ :อธิษฐานตามแบบที่หลวงพ่อท่านสอน ไม่ใช่ประเภทใครอยู่เฉย ๆ กูก็ไล่ด้วย..!

ถาม : เมื่อไล่ออกจากเขตที่หว่านทรายแล้ว ท่านเหล่านั้นจะดักรอผมที่นอกเขตหรือไม่ครับ หรือไปแล้วไปเลย ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเขารอเอาคืน เรื่องของทรายเสกวัดท่าซุงเราสามารถที่จะเติมให้มากขึ้นได้ ไปเอาทรายมาสักถังหรือกระป๋องหนึ่งแล้วเอาทรายเสกโรยหน้าแล้วก็คลุกไปเลย ใช้ได้ทั้งกระป๋อง ไม่ต้องไปกลัวว่าใช้ถุงเล็ก ๆ ถุงเดียวแล้วจะหมด

เถรี 11-02-2013 20:27

ถาม : การเพ่งกสิณที่ถูกต้อง เราควรใช้ภาพนิมิตที่เราเคยได้มองเห็นจริงมาก่อนแล้ว จดจำได้ขึ้นใจเท่านั้น หรือผมสามารถเรียกภาพจากจินตนาการขึ้นมา เช่น ภาพเปลวไฟหรือภาพน้ำ โดยที่เราไม่ได้เริ่มจากการมองภาพจริงมาก่อน ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถจินตนาการได้ก็ใช้ได้ แสดงว่าของเก่าต้องมีอยู่ ไม่อย่างนั้นจะนึกภาพไม่ออก แต่ขอบอกว่าอย่าแหกคอกมาก เริ่มไปตามกติกาดีกว่า เพื่อความแน่นอน ถ้าของเก่ามีอยู่เราแค่มองไม่กี่ทีก็จำติดตาติดใจแล้ว

เถรี 11-02-2013 20:44

ถาม : ที่บ้านมีคุณย่าอายุ ๙๓ ปีแล้ว เห็นท่านทำบุญมาตลอดชีวิต แต่พออายุมากแล้วเริ่มหลง จึงเป็นห่วงจิตสุดท้ายของท่านจะอยู่ในความหลงหรือขาดสติเพราะความชรา พยายามขอให้ท่านกำหนดลมหายใจ ท่านก็ฟังแต่ไม่ได้ทำด้วยความหลงลืม ขอคำแนะนำแก้ไขด้วยครับ ?
ตอบ : แก้ไขอันดับแรก ก็คือ แก้ไขความคิดของโยมก่อน การทำบุญไม่ได้แปลว่าแก่แล้วจะไม่หลง เพราะการทำบุญเป็นแค่ทาน การที่จะรักษากำลังใจให้แก่แล้วไม่หลงนั้น สมาธิภาวนาต้องทรงตัว ถึงแม้สมาธิภาวนาทรงตัว เซลล์สมองก็มีเสื่อมบ้าง แต่สภาพจิตจะมั่นคง ถึงแม้ว่าบางส่วนจะหลงลืม แต่เรื่องของธรรมะไม่ลืมแน่นอน ไม่ใช่ทำบุญแล้วเวลาแก่จะไม่หลง

ฉะนั้น..วิธีแก้ไขคนที่หลงลืม ก็คือ อย่างน้อย ๆ ต้องภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวให้ได้ คงต้องพยายามเคี่ยวเข็ญคุณยายให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นก็มีแต่อาการจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ลักษณะนี้โบราณเขาบอกว่า ขี้แตกแล้วค่อยขุดส้วม ไม่ทันได้ใช้หรอก


ถาม : ผมเคยเจอบางคนเปิดเสียงหลวงพ่อ เปิดเสียงสวดมนต์ให้ฟัง พอได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ตรงอนุสสติ ใจเกาะความดีได้ แต่ถ้าจะไม่ให้หลงเลยก็ยังประกันความเสี่ยงไม่ได้ เนื่องจากบุคคลที่สมาธิทรงตัวระดับทรงฌานได้แล้ว ก่อนตายถ้ามีกรรมมาแทรกยังพลัดจากฌานได้ ตรงนี้ต้องระวังให้ได้ บางคนภาวนาทรงฌานได้แต่โดนแกล้ง เผลอจังหวะนิดเดียว โดนใครทุบข้างฝาดังปัง..! สมาธิเคลื่อน แล้วก็ตายตอนนั้น ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะไปอยู่ชั้นจาตุมหาราช ทั้ง ๆ ที่ควรจะไปอยู่พรหมเพราะกำลังของฌาน ถือว่าเสียประโยชน์ไปมาก

เถรี 13-02-2013 20:53

ถาม : เคยได้รับคำแนะนำจากพระรูปหนึ่ง ให้นำเอายันต์มหาพิชัยสงครามพับใส่กรอบแล้วนำไปไว้ที่ศาลพระภูมิ ท่านก็ไม่ได้บอกเหตุผลและผมก็ไม่ได้เจอท่านอีก จึงอยากถามถึงเหตุผลผลของการทำเช่นนั้น ว่าเป็นผลดีอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเผลอก็หาย..! คนรู้จักของเขาก็หยิบไปสิ..! อาตมาก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้พับใส่กรอบ ใช้วิธีอัดแผ่นพลาสติกเลย เท่ากับเป็นแผ่นยันต์นั่นเอง แล้วอาราธนาท่านติดเอาไว้ในศาลพระภูมิ เวลาบูชาพระภูมิเจ้าที่ก็ว่ายาวไปถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ด้วย เท่ากับว่าติดอาวุธมหาประลัยให้กับพระภูมิท่าน ต่อให้ท่านกำลังไม่ดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าพกเครื่องยิงจรวดติดตัว คนจะรุกล้ำก็ต้องคิดหนักหน่อย

อาราธนาท่านให้ดี ก่อนอื่นบอกพระภูมิเจ้าที่ท่านก่อนว่าขออนุญาตทำอย่างนั้น อย่างที่สองก็คืออาราธนาบารมีพระขออานุภาพธงมหาพิชัยสงคราม สามารถที่จะป้องกันอันตรายทุกอย่างได้ และอานุภาพนั้นขออนุญาตให้พระภูมิเจ้าที่สามารถใช้งานได้ด้วย

เถรี 13-02-2013 20:59

ถาม : ตามความเข้าใจของผม การสร้างกรรมไม่ดีต่อผู้อื่นจะได้รับผลสนองจากสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือคนที่เราไปกระทำกับเขา เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร ฝ่ายที่สองคือ ผลที่เราจะได้รับจากบัญชีบาปของเราที่ไปปรากฏอยู่ที่ท่านพระยายม

ฝ่ายแรกเจ้ากรรมนายเวรจะตามเราทุกชาติ จะเอาคืน ส่วนฝ่ายที่สองก็จะให้ผลหลังจากเราตายไปแล้ว แล้วก็จะนำไปพิพากษาที่อบายภูมิ เขาบอกว่าพ้นจากเวรกรรมขึ้นมา เกิดมาก็อาจจะโดนเจ้ากรรมนายเวรเอาคืนซ้ำอีกหลายชาติ ถ้ายังไม่หายแค้น แต่บัญชีบาปของเราคงจะถูกลบล้างไปแล้ว ไม่ได้รับโทษ ความเข้าใจของผมเช่นนี้ถูกต้องไหมครับ ?

ตอบ :ผิดไปหลายโยชน์เลย..คำว่าเจ้ากรรมนายเวรจริง ๆ นั้น น้อยรายที่เขาจะอยู่จองเวรจองกรรมเรา สิ่งที่ให้โทษกับเราก็คือพลังงานที่เขาเรียกว่ากรรม เพราะส่วนใหญ่เจ้ากรรมนายเวรเมื่อตายมักจะไปรับบุญรับบาปตามภพภูมิที่ตนเองได้สร้างเอาไว้ ก็เหลือแต่ประเภทที่ตายแล้วยังไม่ถึงวาระไปรับบุญรับบาป ที่เราเรียกว่าสัมภเวสี คือพวกที่มักจะตายโหง

ดังนั้น..ถ้าพวกนี้เขาไม่หายโกรธเขาก็จะตาม แต่ถึงเขาจะตามหรือไม่ตาม ผลกรรมนั้นก็ให้ผลเราแน่ ไม่ต้องเสียเวลาไปลบบัญชีหรอก ถ้าเขาคิดไม่หมด ข้ามชาติไปเขาก็คิดต่อ เหมือนกับว่าเราเป็นหนี้ล้านหนึ่ง เราตกนรกใช้แปดแสน เศษที่เหลืออีกสองแสนก็ต้องไปใช้ในชาติต่อไป ก็แปลว่าต่อให้เขาจะตามหรือไม่ตาม ผลกรรมนั้นส่งผลแน่นอน

ถ้าเปรียบอย่างบนโลกมนุษย์ก็คือ เราไปฆ่าคนตาย คนตายไม่ได้ตามเราเอาไปชดใช้กรรม แต่เป็นกฎหมายที่จะเอาเราไปชดใช้กรรมนั้น ถึงคนตายจะตายไปแล้ว ๑๙ ปี ถ้าหากปีที่ ๒๐ เขาจับได้ ต่อให้เปลี่ยนชื่อเป็น กิม แซ่ตั้งก็โดน..!

เถรี 13-02-2013 21:14

ถาม : การรักษาศีล คือ ๑.ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ๒.ไม่จ้างวานให้ผู้อื่นละเมิดศีลนั้น ๓.ไม่ยินดีที่เห็นผู้อื่นละเมิดศีล สงสัยอย่างหลังครับว่า เวลาที่ผมยินดีเวลาได้ข่าวว่าทหารยิงผู้ก่อการร้ายภาคใต้ตายได้ ถือว่าผิดศีลในกรณีอย่างหลังหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ผิด..ขณะเดียวกันเป็นการโมทนาบาปของคนอื่น มีส่วนในกรรมนั้นด้วย ถ้าตายก็เจอสองเด้ง ช่วยยินดีบ่อย ๆ จะได้โดนหนัก ๆ หน่อย..!

ถาม : ทำเฉย ๆ หรือครับ ?
ตอบ : รับอะไรมาก็อย่าปรุงแต่งสิจ๊ะ

ถาม : ถ้าผมมีจิตยินดีที่พระเอกฆ่าผู้ร้ายได้ในการดูภาพยนตร์ ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่ของจริง..โทษในการโมทนาบาปไม่มี แต่โทษในวิหิงสาวิตก ตรึกในการเบียดเบียนพยาบาทคนอื่นมีอยู่ ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม..ในส่วนของเมตตาถือว่าบกพร่อง

เถรี 13-02-2013 21:20

ถาม : การที่เรามีจิตคิดจะฆ่าขณะเล่นเกม ต้องยิงคน ยิงสัตว์ในเกมให้ตาย จะเป็นการผิดศีลข้อที่ ๑ ในแง่มโนกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเรื่องของการผิดศีลในปาณาติบาตไม่ผิด แต่เป็นมโนกรรมโดนไปเต็ม ๆ เพราะคิดเบียดเบียนเขา

ถาม : อย่างนี้ถ้าเราเล่นเกมแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายฆ่าเราอย่างเดียวก็ไม่เป็นบาป ?
ตอบ : อย่างนั้นจะเล่นไปทำไมวะ..!?

ถาม : กลับไปนี่ผมยอมตายเลย ไม่สู้
ตอบ : ตายนี่เลเวล (level) ตกนะ

ถาม : รู้อีก..!?
ตอบ : ถ้าเราเล่นในแบบนักปฏิบัติก็ไม่มีรสชาติ และจะไม่อยากเล่นเลย

เถรี 13-02-2013 21:31

ถาม : ผมมีความเห็นไม่ตรงกับเจ้านายเรื่องการดื่มสุรา เจ้านายบอกว่าจะผิดศีลข้อ ๕ ต้องดื่มสุราจนเมา แต่ถ้าดื่มแค่สองแก้วแล้วยังครองสติได้ก็ไม่ผิด เจ้านายก็เลยชวนให้ดื่มบ้าง ผมขอเหตุผลดี ๆ ที่จะไปบอกเจ้านายว่าความจริงว่าเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้อง...พระพุทธเจ้ายังโปรดไม่ได้เลยคนประเภทนี้ เขื่อนที่มีรอยรั่วแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เขื่อนนั้นโดนแรงน้ำดันจนพังทลายได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องศีลเราจะไปคิดว่าละเมิดนิดหน่อยไม่เป็นไร ก็จัดเป็นมิจฉาทิฐิแล้ว แถมยังปัญญามาก ลักษณะปทปรมะนี่เสียเวลาไปแนะนำ ในเมื่ออย่างไรก็จะหาทางชั่วให้ได้ ก็ปล่อยไปตามทางของเขา

เถรี 13-02-2013 21:41

ถาม : ในชีวิตผมเห็นเพื่อน ๆ หลายคนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่แบบพอดี ๆ ไม่มากเกินไป มักจะมีร่างกายที่แข็งแรง เที่ยวกลางคืนได้ ตื่นเช้าได้ แต่ผมและเพื่อนอีกหลายคนงดเหล้าและบุหรี่ พยายามกินมังสวิรัติ สภาพร่างกายดูเหมือนจะเปราะบางกว่าและเจ็บป่วยบ่อย ผมคิดว่าคงเป็นกรรมเก่ามากกว่า แต่ก็อยากให้ท่านแนะนำเรื่องนี้ด้วยครับ ?
ตอบ : ลองทำอย่างเขาสิ จะได้ชั่วเหมือนเขาบ้าง..! อย่าลืมว่าในเรื่องของการปฏิบัติมักจะมีสิ่งมาขวางเสมอ เขาจะทำให้เราเข้าใจผิดจะได้เลิกปฏิบัติ ดังนั้นถ้าเราไปเชื่อเขา ก็แปลว่าเราเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวและเสียหายหลายล้านด้วย..!

จริง ๆ แล้วอยู่ตรงกำลังใจ กำลังใจเขามุ่งมั่นว่าจะได้ไปเที่ยว ความบากบั่นพากเพียรจะมี แต่เป็นฉันทะในทางที่ผิด ขณะเดียวกันตัวเราเองมุ่งมั่นไม่พอที่จะทำความดี ก็เลยไม่สามารถจะทำได้เต็มที่อย่างที่ต้องการ

เถรี 13-02-2013 21:49

ถาม : เคยได้ยินว่า การใส่บาตรจะต้องใส่ให้ได้ ๔ รูปขึ้นไป จึงจะเป็นสังฆทาน แต่ถ้าผมใส่บาตรวันละรูป ระยะเวลาติดต่อกัน ๔ วัน ถือว่าเป็นสังฆทานไหมครับ ?
ตอบ : ต่อให้ใส่บาตรรูปเดียว..ครั้งเดียว..ก็เป็นสังฆทานได้ แต่ให้ใส่ในลักษณะไม่เจาะจง อย่าไปคิดว่าหลวงพ่อรูปนั้น สามเณรรูปนี้มา เราถึงจะใส่ ถ้าอย่างนั้นต้องใส่ครบ ๔ รูปจึงเป็นสังฆทาน แต่ถ้าเราไม่เจาะจง คิดว่าถ้ารูปไหนมาเราก็ใส่ ถ้าอย่างนี้ต่อให้ใส่รูปเดียวก็เป็นสังฆทาน

ถาม : อยู่ที่ความตั้งใจนั่นเอง
ตอบ : เพราะฉะนั้น..โปรดตั้งใจในส่วนที่ได้กำไรมาก ๆ หน่อย

ถาม : ถ้าเราไม่เจาะจงแล้วมีสามเณรมารับ จะได้อานิสงส์สังฆทานไหมครับ ?
ตอบ : ได้...สามเณรก็จัดเป็นตัวแทนของพระเหมือนกัน

เถรี 13-02-2013 21:55

ถาม : เมื่อเราเคยขออโหสิกรรมกับผู้อื่น เขาอโหสิกรรมด้วยวาจากับเราแล้ว แต่วันหลังก็เอาเรื่องเดิมมาว่ากล่าวกับเราอีก และบอกว่าจะยังไม่อโหสิให้ อย่างนี้จะถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอีกต่อไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กระแสขาดไปตั้งแต่แรกแล้ว ศาลตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ก็อุทธรณ์ฎีกาไม่ทันแล้ว

ถาม : อย่างนั้นก็แปลว่าเขามาสร้างเวรกับเรา ?
ตอบ : แปลว่าเขามาก่อกรรมกับเราอยู่ฝ่ายเดียว ถึงเวลากรรมก็ตามสนองเขาเอง

เถรี 13-02-2013 22:04

ถาม : ถ้าเราเผชิญหน้ากับ รูป รส กลิ่น เสียง นั้นโดยตรง และตอบรับกับความต้องการนั้นอย่างมีสติ จุดมุ่งหมายเพื่อให้อิ่มกับกิเลสนั้นให้เร็วที่สุด จะได้เบื่อหน่าย วิธีนี้จะมีโอกาสสำเร็จได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาส ๐.๐๐๐๐๐๐๑%

ถาม : เยอะเหลือเกิน..!
ตอบ : ถึงตอนนั้นใครจะมีสติเหลืออยู่ ? หลักการนี้เป็นของสายวัชรยานพวกพุทธตันตระ บุคคลที่ทำได้ต้องคล่องตัวในสมาบัติแปดอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นเจ๊งหมด แต่ขนาดนั้นส่วนมากยังไปไม่รอดเลย..!

ถาม : ของพวกนี้อย่างไรก็ไม่อิ่มใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เผลอเมื่อไรก็ไหลตามไป

เถรี 13-02-2013 22:08

ถาม : มีปัญหาว่าเวลาหลับแล้วจิตไหลออกไป แล้วไปเผชิญเรื่องราวต่าง ๆ มากมายตั้งแต่เด็ก แต่พอตอนนี้ได้ฝึกสมาธิก็มีความรู้ว่าเห็นตอนที่จิตแบ่งออกไป แม้กระทั่งตอนนั่งสมาธิจิตก็ออกไป จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : สรุปสั้น ๆ ว่าพยายามภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว ถ้ากำลังใจเข้มแข็งพอก็จะหยุดอาการนั้นได้ ถ้ายังไม่เข้มแข็งพอก็ยังรั่วอยู่เป็นปกติ

เถรี 15-02-2013 20:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้รื้อศาลาการเปรียญไปแล้ว ต้องล้วงโครงสร้างขึ้นมาทั้งหมด เพราะว่าตั้งแต่สมัยหลวงปู่พุก เจ้าอาวาสองค์แรก ท่านไปฝังของอาถรรพ์เอาไว้เยอะ สมัยนั้นมีพวกเล่นไสยศาสตร์เข้าวัดกันมาก ท่านก็เลยต้องใช้วิธีทำสะกดล่วงหน้าไว้เลย แต่คราวนี้ของที่ทำไว้ทำให้คนที่อยู่นั้นร้อน เพราะฉะนั้นตอนที่อาตมาไม่อยู่วัด จึงมีปัญหาจุกจิกหยุมหยิมตลอดเวลา พออาตมากลับไปอยู่วัดเมื่อไรก็จะเงียบหมด ทำอย่างกับว่าอาตมาเป็นหมอผี ต้องคอยไปสะกดอยู่ตลอด ที่ต้องใช้รถขุด ขุดกระทั่งฐานรากขึ้นมา เพราะเพื่อจะเอาของพวกนี้ออกมาให้หมด

ท่านก็อุตส่าห์ไปทำของอย่างนั้นเอาไว้ ท่านหวังแค่ความสงบชั่วคราวเท่านั้น แต่สมัยนั้นท่านก็คงอยู่วัดตลอดจึงไม่เป็นไร แต่อาตมาออกมางานนั้นงานนี้ พอไม่อยู่วัดก็วุ่นวายทุกที"


ถาม : ศาลารื้อไปแล้ว พิธีเป่ายันต์จะทำที่ไหน ?
ตอบ : ห้องใต้ฐานสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ใหญ่พอ ๆ กับศาลา ไม่ต้องกลัวหรอก มีที่เหลือเฟือ

ถาม : ป่าช้าไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : เดี๋ยวผีสางเปิดกระเจิงหมด เขาไม่เหมือนกับเรา เวลาบารมีพระครอบคลุมลงมา ถ้าพวกที่กำลังใจรับไม่ได้ เหมือนกับแสงไฟเป็นล้าน ๆ โวลต์ส่องใส่ เขาทนไม่ได้ต้องหนีไปเอง ดังนั้น..พวกที่โดนผีเจ้าเข้าสิงหรือพวกโดนไสยศาสตร์มา ทำไมเวลาเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ แล้วถึงได้หาย เพราะว่าของพวกนั้นเป็นของมืด พอโดนความสว่างเข้าเขาอยู่ไม่ได้ ก็สลายตัวไปเอง

เถรี 15-02-2013 20:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเอาตามหลักของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านบอกว่าการพนันเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งความเสื่อม มีแต่เสียอย่างเดียว แต่อยากจะบอกกับโยมว่า ที่โบราณว่า "ผีพนัน" นี่มีจริง ๆ นะ โดยเฉพาะบ่อนใหญ่ ๆ ตามต่างประเทศ อย่างพวกฮ่องกง เขมร เขาจะเลี้ยงผีพวกนี้ไว้ ถ้าคนไหนเข้าบ่อนแบบนี้รับรองว่าครั้งต่อไปต้องไปอีก เพราะถูกผีดึงไป เขาจะให้พวกหมอผีเป็นคนทำ อย่าคิดว่าฮ่องกงเจริญจนเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกแล้วจะไม่มีเรื่องพวกนี้ เขาเลี้ยงผีเป็นปกติเลย

ถ้ามีใครเล่นการพนันเสียหมดแล้วฆ่าตัวตาย เขาจะชอบมาก จะรีบไปอาสาจัดงานศพให้ แล้วให้หมอผีไปผูกวิญญาณไว้เรียกไปใช้งาน พวกนี้จะมีหน้าที่พาคนเข้าบ่อน ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวเองนี่ก็ไม่รู้นะ ว่าเขาเล่นกันโหดขนาดนั้น ประเภทเล่นจนหมดตัว ตายแล้วยังต้องไปทำงานต่ออีก..น่ากลัวมาก

อินโดนีเซียก็ทำอย่างนี้ เขมรก็ทำอย่างนี้ พม่ายังไม่ได้เข้าไป ไม่รู้ทำอย่างนี้หรือเปล่า แต่พม่านี่บ่อนใหญ่ก็คือตรงแม่สาย (สามเหลี่ยมทองคำ) ไว้มีโอกาสจะข้ามไปดู"


เถรี 15-02-2013 20:54

อาชีพพวกนี้ ถ้าถามว่าเราทำมาหากินสุจริตได้ไหม ? ถ้าเป็นการเปิดอย่างถูกต้อง ขออนุญาตเสียภาษี ก็ถือว่าสุจริต แต่เป็นอาชีพที่ทำให้คนเขาไม่เจริญ เพราะมีแต่จ่ายกับจ่าย เอาแค่หลักการพนันทั่ว ๆ ไปแล้วกัน น่าจะอยู่ระหว่าง ๙๖ ต่อ ๔ เรามีโอกาสแค่ ๔ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะได้ แม้กระทั่งเครื่องสล็อตที่โยกง่าย ๆ ก็ตาม เขาคำนวณมาเรียบร้อยแล้วว่าเขาจะได้กำไรเท่าไร กว่าจะแจ๊กพ็อตให้แต่ละทีก็เสียไปเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น..พูดง่าย ๆ ว่า ให้มีเงินเหลือเฟือก่อนแล้วค่อยไปเล่น

ถาม : การพนันเป็นกีฬาไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : เป็นกีฬา แต่กีฬาที่เขาเอามาเล่นเพื่อพนันกันนั้น เขาแข่งในลักษณะใช้ความคิด ซ้อมหัวคิดของตัวเอง อย่างพวกหมากรุก หรือไพ่บริดจ์ แต่เราไปเอาแพ้เอาชนะ เอาเงินเอาทอง ลักษณะนั้นเป็นการพนันไม่ใช่กีฬา แต่บ้านเรากีฬาทุกอย่างพนันได้หมด ยิ่งฟุตบอลนี่ยิ่งดีเลย เดี๋ยวนี้โต๊ะพนันบอลมีกันทุกหัวระแหง

เถรี 15-02-2013 20:59

ถาม : เรื่องการอาบน้ำมนต์ เคยได้ยินว่าเอาคาถาเงินล้านเสกน้ำมนต์..?
ตอบ : อาบด้วยกินด้วย

ถาม : ต้องเสกนานขนาดไหนคะ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัวก็นิดเดียว ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวก็ว่านานหน่อย

ถาม : คำว่าสมาธินี่ต่ำสุดต้องขั้นไหนคะ ?
ตอบ : ต่ำสุดต้องเป็นอุปจารสมาธิ ชั้นสูงกว่านั้นเรียกว่าอุปจารฌานจ้ะ ถ้าได้ถึงปฐมฌานยิ่งดี ถ้าได้มากกว่านั้นก็วิเศษเลย

เถรี 15-02-2013 21:05

ถาม : ลูกผมนั่งสมาธิ มีคนไปว่าเขาเห็นนั่นเห็นนี่จินตนาการแล้วเป็นบ้า เขาก็เลยกลัวจะบ้า จะมีทางไหนให้เขากลับมานั่ง ?
ตอบ : ก็ชี้แจ้งให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ถ้าชี้แจงไม่ได้เขาก็คงไม่เปลี่ยนทัศนคติ และก็คงไม่กลับมานั่งใหม่หรอก

ต้องบอกว่ามารเขาเก่ง เด็กนั่งสมาธิดี ๆ เขาสามารถทำให้เด็กไม่นั่งได้

เถรี 15-02-2013 21:07

ถาม : ทำพระแตกค่ะ
ตอบ : ไม่มีอะไรจ้ะ...ดี ยิ่งถ้าแตกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งดี คือวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งเทวดาเขารักษาองค์หนึ่ง แตกเป็น ๒ ชิ้นก็ได้ ๒ องค์ ส่วนใหญ่คนไม่รู้ เห็นพระแตกเอาไปวางเก็บไว้ คราวก่อนที่เขาทำพระปิดตาฯ แตก อาตมารีบเอาองค์ดีไปแลกเลย คนเขาไม่รู้ พอแลกมาก็เอากาวทาติดเข้าไป สบายเพราะได้เทวดาช่วยรักษา ๒ องค์

กติกาตอนพุทธาภิเษกพระท่านขอเอาไว้อยู่แล้ว วัตถุมงคล ๑ ชิ้น ให้เทวดารักษา ๑ องค์ แล้วไม่ต้องไปกลัวหรอก ต่อให้สร้างเป็นล้านชิ้น เทวดาท่านมีมากกว่านั้นไม่รู้ตั้งเท่าไร

ถ้าคนอื่นเขาทำวัตถุมงคลแตก รีบเอาไปเข้าพิธีที่วัดท่าขนุน จะได้เป็น ๒ องค์

เรื่องของพระเรื่องของเทวดา ถ้าท่านเคยสงเคราะห์แบบไหน ถึงเวลาท่านก็ให้แบบนั้น ในเมื่อขอท่านเอาไว้แบบไหนท่านก็ให้แบบนั้น กลายเป็นว่าของสายเรายิ่งแตกยิ่งดี

เถรี 15-02-2013 21:23

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่าตั้งความหวังกับคนอื่น คิดว่าเราตักน้ำรดหัวตอ ไม่งอกก็ช่างมัน ขอให้เปียก ๆ ก็ยังดี

พระพุทธเจ้าตรัสว่า นานไปปัญญาและสัญญาคนจะทรามลงเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปหวังเลย ประเภทดีเท่าเรายังไม่ได้เลย จะให้ดีกว่าเรานี่ยาก แล้วก็อย่างที่ว่า ตักน้ำรดหัวตอ ไม่งอกก็ช่าง ให้เปียกก็ยังดี

ถ้าเราไปตั้งความหวังกับคนอื่น พอถึงเวลาไม่ได้อย่างนั้นเราก็ผิดหวัง พอผิดหวังเราก็จะท้อแท้ ถ้าท้อแท้ต้องไปเมืองจีน ที่อื่นไม่แท้ ที่เมืองจีนท้อของแท้แน่ มีใครบอกก็ไม่รู้ เขาบอกว่าท้อมีไว้ให้ลิงถือ แล้วเราดันไปแบกเอาไว้

เถรี 15-02-2013 21:26

ถาม : ตั้งใจจะทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท แต่ไม่ได้กดเงินไป พอดีมี ๑๐๐ บาท ก็เลยทำไปเท่านั้น ไม่ทราบจะได้บุญน้อยหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วกำลังใจของเราเกินไปแล้ว ไม่ได้กดเงินไป มีเท่าไรเทหมดแค่นั้น อันนั้นเขาเรียกกำลังใจเกิน ๑,๐๐๐ บาทแล้ว นี่ถ้าไม่ได้เอารถมาก็คงเดินกลับบ้านไปแล้ว

ถาม : ถ้าตัวผมเองมีเงินอยู่ ๑๐๐ บาท แล้วขอยืมเพื่อนอีก ?
ตอบ : การทำบุญจะให้ดี อย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน มีเท่าไรทำหมดนี่ก็แย่แล้ว ถ้าต้องยืมเขาอีกนี่หนักไป แต่ก็ดีกว่าอาตมา..บางวันอาตมาไม่เหลือเงินติดตัวเลย

เถรี 15-02-2013 21:29

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาทำก็เรื่องของเขา แต่อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ สมาธิจิตจริง ๆ ที่ทรงตัวจะตัดกิเลสอัตโนมัติอยู่แล้ว ให้สังเกตว่าตอนนิ่งเงียบไปเฉย ๆ นี่รัก โลภ โกรธ หลงเกิดไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่ใช่สมาธิที่มั่นคง เพราะว่าพอถึงเวลาคลายออกมาก็กำเริบได้ง่าย

ทำให้เป็นสมาธิไว้ก่อน จะมากจะน้อยก็มีประโยชน์แก่เรา แล้วสภาพจิตของเราที่สงบนิ่ง ต่อให้ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นก็ตาม จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้ในสิ่งที่สูงกว่านั้น มากกว่านั้นในภายหน้า เพราะฉะนั้น..ทำไปเถอะ ส่วนใครเขาจะว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา

เถรี 15-02-2013 21:42

พระอาจารย์กล่าวถึงวัวธนูที่ประมูลในเว็บว่า "ปกติเขาจะทำวัวธนูตัวเล็ก ๆ เพราะวัสดุหายาก แต่ถ้าเป็นตัวครูเขาจะทำตัวใหญ่ ๆ คำว่า "ตัวครู" จริง ๆ ก็คือเป็นต้นแบบ

การทำวัวธนู ถ้าว่ากันตามตำราจริง ๆ เขาต้องใช้ครั่ง เด็กรุ่นหลังรู้จักครั่งหรือเปล่า ? ครั่งเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ คอยกินน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ คราวนี้พอถึงเวลาจะทำรัง รังของครั่งบางคนเขาเรียกว่าขี้ครั่ง จะเป็นสีแดง ๆ ก็เก็บมาหลอม พอหลอมเสร็จก็สามารถที่จะเอามาใช้งานได้ อย่างสมัยก่อนเขาใช้อุดใช้ยาของ หรือไม่ก็ใช้ประทับตรา หรือไม่ก็ใช้หยอดด้ามมีดเพื่ออัดให้แน่น พวกมีดที่เขาทำสมัยก่อนส่วนใหญ่เขาใช้ครั่งอัดด้ามกัน

คราวนี้ครั่งตามตำราที่เขาเอามาทำวัวธนู มักจะใช้ครั่งจากกิ่งพุทรา แล้วต้องเป็นกิ่งที่ตายพรายคือตายคาต้นแล้วหันไปทางทิศตะวันออกด้วย จึงหายาก ยังดีว่าสมัยก่อนพุทราตามท้องไร่ท้องนามีมากเป็นเรื่องปกติ เดินไปบางทีเดินหลีกไม่พ้นต้นพุทราเลย

ต้องสานตัววัวหรือควายธนูด้วยไม้ไผ่ ถ้าจะเอาชนิดสุดยอดจริง ๆ ต้องเป็นไม้ไผ่ที่ขวางทางช้างเดินแล้วไม่ถูกเหยียบด้วย เอามาสานเป็นตัวแล้วก็พอกด้วยครั่ง ตอนที่สานหรือพอกครั่งก็เสกคาถากำกับไปด้วย หลังจากนั้นจะมีการลงอักขระอาคมอะไรก็ทำตามตามฤกษ์ยามที่เขากำหนด แต่ถ้าฉุกเฉิน เขาก็ใช้ไม้ไผ่สาน..เล่นกันเสร็จตอนนั้นก็ใช้งานตอนนั้นเลย

วิชาพวกนี้สมัยก่อน ทางด้านเขมรต่ำใช้กันเยอะ ส่วนใหญ่เขาไว้ป้องกันอันตราย ถ้านับไปแล้ววัวธนูจัดอยู่ในประเภทหุ่นพยนต์ แต่เป็นหุ่นพยนต์ที่อยู่ในรูปของสัตว์"

เถรี 15-02-2013 21:46

ถาม : เห็นลูกน้องเขาเอาวัวธนูไว้ที่ถนน แล้วรถขับมาทับ ?
ตอบ : ก็เจ๊งสิ..จะเหลือหรือ ? วัวจริง ๆ ยังตายเลย..!

บางทีพวกนั้นอาจจะไม่ใช่วัวธนู อาจจะเป็นพวกตุ๊กตาเสียกบาล ลักษณะประเภททำส่งผี ถ้าทับก็เจ๊งก็เท่านั้นเอง ทางเหนือเขาเรียกว่าควายสะตวง เขาปั้นวัวปั้นควายใส่กระทงเอาไปส่งผี แก้บนบ้างอะไรบ้าง ถ้าเป็นวัวธนูจริง ๆ กลางคืนเขาปรากฏตัวเป็นรูปวัวเลย ถ้าเป็นควายธนูก็เป็นรูปควายไปเลย เดินเทิ่ง ๆ เฝ้าบ้านให้

วัวตัวนี้เขาถวายมาหลายปีแล้ว จริง ๆ แล้วอาตมาไม่ได้ต้องการ เขาไปบูชามา ปีนั้นราคาตั้ง ๓๐,๐๐๐ บาท ไม่รู้ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึงไหน แต่คนประมูลเขาประมูลไป ๓๘,๐๐๐ บาท ต้องบอกว่าขายวัวสร้างพระ เอาวัวธนูให้เขาประมูล เพื่อเอาเงินไปสร้างพระทองคำ

เถรี 17-02-2013 22:07

ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้านควรใช้เวลานานเท่าไร จึงจะประสบความสำเร็จ ?
ตอบ : ไม่ได้ขึ้นกับเวลา ขึ้นกับสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวมาก ระยะเวลาก็สั้น ถ้าสมาธิทรงตัวน้อย ระยะเวลาก็ยาว

ถาม : ต้องเป็นอุปจารสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เอาให้ได้สักปฐมฌานละเอียดไปเลย ปฐมฌานอย่างละเอียดผลจะแน่นอน อย่าเป็นอย่างหยาบ

เถรี 17-02-2013 22:16

ถาม : อาหารที่ใส่คุณไสยจะป้องกันอย่างไร ?
ตอบ : นึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วภาวนาคาถานะโมพุทธายะ ใครก็ทำไม่ได้หรอก

ถาม : ภาวนาตอนนั้นหรือคะ ?
ตอบ : ภาวนาไว้ก่อนนั้นก็ได้ ให้กำลังใจทรงตัวแล้วก็กินไป

ถาม : ถ้ามันเข้าไปแล้ว หลังจากนั้นทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : หาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงกรอกตามลงไป

เถรี 17-02-2013 22:20

ถาม : คนที่เข้าถึงมรรคแล้ว เสื่อมได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่เป็นผล ยังมีโอกาสถอยหลังได้ แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นมรรคจริง ๆ เขาไม่ถอยกันหรอกจ้ะ เพราะว่าพอก้าวเข้าถึงมรรค เห็นช่องทาง มีแต่จะบุกขึ้นไปข้างหน้า

ถาม : เวลาทำบุญ ก็ยังติดสุขอยู่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ติดดีไว้ก่อน คนที่จะไม่ติดดีจริง ๆ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ใครที่ว่าเราทำบุญแล้วยังติดดีอยู่ ให้บอกเขาว่า ถ้าเอ็งไม่ติดก็ไปตามทางของเอ็งเถอะ..!

เถรี 17-02-2013 22:24

ถาม : ช่วงหลังนี้ความจำหนูแย่มากเลยค่ะ จำอะไรไม่ค่อยได้เลย ?
ตอบ : แก่แล้วก็เป็นเรื่องปกติ

ถาม : พ่อหนูบอกว่าเพราะหนูไม่ได้กินข้าวเย็นเลยทำให้เป็นอย่างนี้
ตอบ : สารอาหารไม่พอใช่ไหม? บอกว่าพ่อกิน ๓ - ๔ มื้อแล้วพ่อจำได้ไหมเล่า ? แก่แล้วเป็นทุกคนแหละ

ถาม : หนูแก่แล้วหรือคะ ?
ตอบ : เออ..! ลูกก็โตเป็นสาวแล้วยังคิดว่าตัวเองสาวอยู่อีก

ลองสังเกตดูว่า จริง ๆ แล้วไม่ใช่เราจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เราเลิกจำ..ที่เราเลิกจำก็คือ พอหลายอย่างเข้ามาในใจแล้ววุ่นวาย ดีไม่ดีทำให้ใจเราฟุ้งซ่าน เราก็ตัดทิ้งไปเลย ในเมื่อเราตัดทิ้งออกจากใจแล้วเราจะจำอะไรไม่ได้หรอก เพราะไม่ได้คิดแล้ว อย่างอาตมาปัจจุบันนี้ คนเขาเอาของไปถวายที่กุฏิ โดยเฉพาะพวกของกิน บางทีก็เน่าคากุฏิ คืออะไรที่อาตมาไม่ได้เป็นคนหามา จะไม่จำเลย ของก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าแม่ชีเขาไม่มาเก็บไป หรืออาตมาไม่เห็นแล้วนึกได้ก็รีบเอาไปไว้กุฏิแม่ชี ของที่หมดอายุก็หมดไป ของที่เน่าได้ก็เน่าไป

ไม่ใช่จำไม่ได้..แต่ไม่จำ อาตมาไม่ได้เรียกร้องเป็นคนหามานี่ อย่างขนมนี่อยู่มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ก็เกิดมาอาตมาชอบกินเสียที่ไหนเล่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องกองอยู่นั่นแหละ ถ้าเริ่มอาการแบบนี้แสดงว่าอาการหนักแล้ว คือไม่ค่อยจำอะไรแล้ว เรื่องอะไรที่วุ่นวายมากจะตัดออกไปหมด

เถรี 17-02-2013 22:26

ถาม : ที่บอกว่าภาวนาคาถาเงินล้านแล้วเงินจะขัง หนูภาวนาแล้วเงินไม่ขัง มีแต่หนี้ขังเต็มเลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร...เดี๋ยวเอาไว้กลับข้าง พอหนี้หมดเงินก็เหลือเอง

เถรี 19-02-2013 11:47

ถาม : ภรรยาผ่าเนื้องอกในมดลูก คุณหมอบอกว่าเป็นเนื้อร้าย เพิ่งไปผ่าตัดมาได้เดือนหนึ่ง ?
ตอบ : ลองไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุง ขอบารมีพระช่วยรักษาแล้วก็กินเข้าไป

ถาม : กินวันละครั้งหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ครั้งเดียวก็พอ น้ำมันทั้งนั้น กินวันละครั้งก็อ้วนตายพอดี บูชาไว้สักขวด จำไม่ผิดราคาแค่ ๑๐๐ บาทเท่านั้น

ถาม : อย่างอื่นมีอะไรอีกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรจะแนะนำ เพราะถ้าน้ำมันชาตรีเอาไม่อยู่ อย่างอื่นก็เอาไม่อยู่หรอก

เถรี 19-02-2013 11:53

ถาม : ถ้ามีคนฝากเงินมาถวายสังฆทาน บอกให้ถวายทุกเดือน แล้วหนูจะถวายเลยทีเดียวได้ไหมคะ ?
ตอบ : ให้ความตั้งใจเขาสำเร็จเถอะ เราจะถวายเมื่อไรก็เรื่องของเรา แล้วอย่าไปบอกเขาแล้วกัน พวกกำลังใจไม่ดีเดี๋ยวจะคิดว่าเราไม่ได้ทำ พวกนี้กลัวถูกรางวัลที่ ๑ จะเอารางวัลเลขท้าย งวดนี้ถูก ๒ ตัว งวดต่อไปก็ถูก ๒ ตัวอีก แล้วก็มาสงสัยว่าทำไมไม่ถูกรางวัลที่ ๑ เสียที ก็เล่นทำทีละนิด เททีเดียวเสียก็หมดเรื่อง

อาตมามาดูตัวเองแล้วก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมเวลาได้อะไรทำไมได้มาทีเดียวเป็นชุด ๆ เพราะชอบทำหนัก ๆ ทีเดียว พอถึงเวลาก็มาเป็นกุรุสทีเดียวเหมือนกัน

เถรี 19-02-2013 11:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "ลักษณะนามของช้างป่าเขาเรียกเป็นตัว ถ้าช้างบ้านเขาเรียกเป็นเชือก แต่ที่เรียกเป็นช้างนี่ต้องช้างหลวง ช้างหลวงหรือม้าหลวง เขาเรียกเป็นช้างเป็นม้าตรง ๆ เลย เช่น ช้าง ๑ ช้าง ม้า ๑ ม้า เป็นต้น ไม่เรียกเป็นเชือกหรือเรียกเป็นตัว"

เถรี 19-02-2013 11:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ครูบาเหนือชัยสุขภาพร่างกายดีกว่าปีที่แล้ว ออกกรรมฐานแล้วไม่โทรมมาก แล้วพวกก่อกวนรู้ว่าพระอาจารย์เล็กไปเขาก็เลิกกวน ไม่อย่างนั้นจะมีคนคอยลองของอยู่เรื่อยเลย พวกไสยศาสตร์เขาอยากจะรู้ว่าเก่งจริงแค่ไหน ฝ่ายเราคนกำลังอดข้าวมา ๗ วัน จะมีแรงที่ไหนไปลุ้นกับเขา

เรื่องของนิโรธกรรม พอถึงเวลาเขาก็จะหาพระที่ไว้ใจว่าจะดูแลรักษาเขาได้ ไปรับเข้ารับออก คนอื่นเขามั่นใจอาตมา แต่อาตมาไม่มั่นใจตัวเองเลย เพราะเคยโดนสอยมาเองแล้ว เขาตั้งความหวังไว้สูงทำเอาต้องระวังตัวลีบไปเลย"

เถรี 19-02-2013 12:06

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาให้ลูกศิษย์เขาไปค้นคว้าว่า “ภิกษุพูดจาเหมือนแกงถั่ว” หมายความว่าอะไร ? พวกศัพท์โบราณ ถ้าเราไม่เข้าใจสภาพสังคมของเขา ก็จะไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร

แกงถั่วก็คือแกงดาลของอินเดีย ที่กินกับแผ่นโรตี เป็นแกงถั่วผสมเครื่องเทศ แกงเป็นน้ำขลุกขลิกเขละ ๆ เหมือนอย่างกับเด็กท้องเสียถ่ายไว้ คราวนี้สมัยก่อนไม่ได้ใช้เตาแก๊ส แม้กระทั่งทุกวันนี้อินเดียก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เป็นเตาฟืนบ้าง ใช้ขี้วัวบ้าง จึงสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ภิกษุพูดจาเหมือนแกงถั่ว ก็คือพูดความจริงระคนด้วยความเท็จ หรือพูดความเท็จระคนด้วยความจริง เหมือนกับแกงถั่วที่สุกบ้างดิบบ้าง

เขากล่าวถึงการที่พระล่วงศีล ในลักษณะพูดเพื่อที่จะแสวงหาลาภใส่ตัว ใช้คำว่าภิกษุพูดจาเหมือนแกงถั่ว ก็คือพูดจริงบ้างโกหกบ้างนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทั้งจริงทั้งโกหกนั่นเอาดีเข้าตัวทั้งหมด ของแบบนี้ถ้าไม่ให้เขาค้นคว้าไว้ พอถึงเวลาเขาอ่านเจอเองก็จะไม่เข้าใจ"

เถรี 19-02-2013 13:05

ถาม : คนที่ปฏิบัติธรรม เวลาที่เขาเกิดมา เขามีสายอาจารย์ประจำของเขาเลยทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่...บางคนก็มาแสวงหาไปก่อน แรก ๆ ของบุคคลที่มีพื้นฐานความดี ที่บาลีเรียก ปุพฺเพกตปุญฺญตา คือสร้างความดีมาแต่ก่อนแล้ว จะมีสายของตัวเองอยู่ แต่พอมาในชาตินี้ก่อนที่จะเจอสายของตัวเอง ก็เหมือนกับคนหิว ต้องหาร้านอาหาร ต้องกินก่อน ในเมื่อกินเสร็จแล้วรสชาติไม่ใช่อย่างที่ตัวเองต้องการ ก็หาร้านใหม่ไปเรื่อย เดี๋ยวก็ได้ร้านที่ถูกใจเอง แล้วจะผูกเป็นสายประจำของตน

แต่ถ้าคนที่ไม่มีพื้นฐานเก่ามา เพิ่งจะมาเริ่มชาตินี้ เจอใครตรงไหนก็เกาะไปได้เลย อาศัยพ่วงไปก่อน

เถรี 19-02-2013 13:09

ถาม : สมัยก่อนตอนผมสนใจปฏิบัติ ผมก็อาศัยอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์หลายท่าน อย่างของหลวงพ่อพุทธทาส หลวงปู่มั่น และหลวงพ่อฤๅษี ทั้งสามองค์ปฏิปทาต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายคือจุดเดียวกัน ก็เลยปฏิบัติ อ่านหัวข้อหลักธรรมนั่งสมาธิและพิจารณาหลักธรรม อยู่กับในอารมณ์นั้นแต่ว่าเหมือนหุ่นยนต์เกินไป ?
ตอบ : คนฝึกปฏิบัติใหม่ ๆ จะเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น พอสมาธิเริ่มทรงตัวจะไม่แยแสคนอื่น สนใจอยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้า แล้วถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ รัก โลภ โกรธ หลงจะไม่เกิด เหมือนกับคนตายด้าน เหมือนกับหุ่นยนต์อย่างที่โยมว่า

การฝึกจะต้องปรับไปจนถึงระดับหนึ่ง ที่สมาธิสามารถใช้ในงานทั่วไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็จะกลับเป็นคนธรรมดาอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าจะธรรมดาลักษณะที่ว่า ทำอะไรผิดพลาดน้อยเพราะว่าสมาธิทรงตัว


ถาม : พอมาถึงเดี๋ยวนี้เป็นเวลา ๑๐ ปีแล้ว เหมือนจะเห็นผล มีความสุข หัวเราะ เป็นความสุขที่เกิดขึ้นมาเอง ?
ตอบ : การปฏิบัตินั้นมีระดับขั้นของเขาอยู่ อย่างอาตมาเอง ตอนที่ฝึกพวกพรหมวิหาร ๔ ทุกคนไม่รู้ก็คิดว่าบ้า เพราะยิ้มให้เขาได้หมด มีความสุข เยือกเย็น เบิกบาน รื่นเริง อยากจะแบ่งปันให้กับคนอื่นเขา ในเมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้น อาการภายนอกก็คือเจอใครก็ยิ้มให้เขาหมด เดินบิณฑบาตไม่รู้จะยิ้มกับใคร ก้มหน้าก้มตาเดิน ยิ้มให้กับดินก็ยังเอา เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติที่คนเราเวลาปฏิบัติจะต้องผ่าน

เถรี 19-02-2013 13:14

ถาม : สงสัยว่าถ้าเราปฏิบัติสูงขนาดไหน ก็สู้กรรมไม่ได้อยู่ดีจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีผู้รู้บอกว่า อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้วิบากกรรม พระพุทธเจ้าของเราก่อนจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ต้องทรมานพระวรกายอยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ แล้วเมื่อก่อนที่จะปรินิพพาน พระองค์ท่านทรมานกับพระโรคปักขันธิกาพาธ ถ่ายเป็นโลหิต ถ้าสมัยนี้ก็คือกระเพาะทะลุ เพราะฉะนั้น..แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่พ้นกรรมเลย แล้วใครจะพ้นได้ ถ้าเรามัวแต่ประมาทอยู่ กระแสอกุศลกรรมมีความรุนแรงกว่าโดนดึงลงต่ำ คราวนี้ก็เฮง

ถาม : เรายังเป็นปุถุชนอยู่ จะปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ต้องวอกแวก ?
ตอบ : นั่นถือว่าเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในเมื่อเรารู้ตัวก็มุ่งตรงไปเลย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:59


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว