กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6756)

เถรี 22-09-2019 20:36

"ระยะหลังมีการเทศน์ของพระที่เทศน์ลักษณะเดียวกัน คือถ้าโยมไม่ติดกัณฑ์เทศน์เพิ่ม ก็ว่าไปเรื่อย ไม่เข้าเนื้อหาสักที สรุปแล้วเทศน์พวกนี้ ส่วนใหญ่ไปเทศน์ที่ไหนไม่เคยจบ เพราะว่าหมดเวลาก่อน

ก็เลยมีสังฆาณัติ คือคำสั่งคณะสงฆ์ ตั้งแต่ยุคพระราชบัญญัติปกครองสงฆ์ ฉบับปีพุทธศักราช ๒๔๘๔ สมัยรัชกาลที่ ๘ สังฆาณัติออกกฎห้ามไว้ ห้ามเทศน์ตลกคะนอง ห้ามเทศน์หยาบโลน สารพัดห้าม ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพราะว่ายังไม่ได้ยกเลิก ก็แบบเดียวกับที่เมื่อเดือนก่อนที่มีการจับพระสึก เพราะว่าไปปลุกเสกบรรดาลูกเทพกุมารอะไรพวกนั้น ก็ใช้คำสั่งเก่านี้แหละให้ท่านสึก

ก็ต้องแล้วแต่ว่าใครจะเป็นที่หมั่นไส้และความซวยมาถึง ถ้าทั่ว ๆ ไปก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเป็นที่หมั่นไส้เมื่อไรก็โดน อาตมาเองก็คงจะไม่แคล้ว เพราะว่าบรรดาญาติโยมบางคนเอาไปลงจนเว่อร์วังอลังการ ขนาดอาตมาไม่พูดยังบอกว่าพูด บอกว่า บูชาสมเด็จองค์ปฐม ท่านให้พรเอาไว้ว่า ถ้าตั้งใจสวด อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๓ จบ ทุกวันเพื่อบูชาท่าน ใครคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง ก็ไปขยายความว่า คำว่าใครในที่นี้ หมายถึงเทวดา มาร พรหมด้วย โคตรเก่งเลย...! ไอ้พวกทำมาหารับประทานกับวัดท่าขนุน เดี๋ยวจะจัดการสักวัน ไม่รู้จะทำอะไรก็ให้ตกหลุม ตกร่อง แข้งขาบวมก็ยังดี...!

เป็นพระทำอะไรมากไม่ได้ เราต้องมีเมตตา เอาแค่ไม่ถึงตาย ขึ้นอยู่กับอารมณ์ว่าจะหมั่นไส้เมื่อไร..!"

เถรี 22-09-2019 20:40

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง อาตมาก็รบราฆ่าฟันกับพวกเรือหาปลา ถึงเวลาก็ยืม เอ็ม. ๑๖ ของทหารมายิงจริง ๆ พวกทหารเขาก็ตกใจ "หลวงพี่ยิงไปอย่างนั้นไม่กลัวเขาตายหรือ ?" "ข้าตั้งใจยิงเรือโว้ย..!" เพราะว่าช่วงนั้นฝึกวิชากระสุนคด ที่ฝึกอยู่ก็มีหลวงตาวัชรชัยกับอาตมา

กระสุนคดยิงไปทางไหนก็ต้องโดนเป้าได้ เป้าอยู่ข้างหลังยิงไปข้างหน้าก็ต้องโดนได้ แรก ๆ ที่ฝึกนี่หมดเงินกันเยอะ จ้างเด็กปั้นลูกกระสุนถังละร้อย ถังละ ๒๐ ลิตร เสร็จแล้วก็ยิงภาวนา กำหนดเป้าแล้วยิงกันไป ยิงแล้วก็หาย พอตอนหลังฉลาดขึ้น หลวงตาวัชรชัยชวนกันเอากระสอบ ๔ ใบมาเย็บติด กางไว้ข้างหลังเป้า ยิงเสร็จแล้วกระสุนไปติดอยู่ที่กระสอบ พอเก็บคืนได้บ้าง"


เถรี 22-09-2019 20:45

"วิชานี้ถ้าฝึกสำเร็จเราตั้งใจให้โดนตรงไหน จะโดนตรงนั้น ฉะนั้น..อาตมากราดด้วย เอ็ม.๑๖ ทั้งแม็ก ไม่ได้กลัวว่าจะโดนคนเลย เพราะว่ามั่นใจ หลวงน้าสุนทรตอนนั้นยังแข็งแรงอยู่ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ใกล้จะมรณภาพแล้ว ไปขอดูเรือที่โดนยิง กลับมาบอกว่า "โฮ่...หลวงพี่ รูขนาดนี้เลย" บอกท่านว่า "กระสุนเล็กนิดเดียวนะหลวงน้า" "ก็หลวงพี่เล่นไปผสมวิชาเข้าไปด้วยก็เลยหนัก" ก็คือพอใช้อำนาจจิตใช้อะไรเข้าไปด้วย กลายเป็นว่ากระสุนเล็กนิดเดียวแทนที่จะเจาะไม้เป็นรูเล็ก ๆ กลายเป็นรูโตเท่ากำปั้น เรือจมไปเลย

ของพวกนี้สมัยหนุ่ม ๆ ยังเฮี้ยนอยู่ก็เลยฝึกไปเรื่อย สมัยนี้แก่แล้วไม่ค่อยได้ใช้งาน หมั่นไส้ใครแล้วค่อยยิง อยู่วัดถึงเวลาถือหนังสติ๊กออกมา พระเขาก็ลุ้นว่าหมาอยู่ไกลขนาดนั้นจะยิงถูกไหม ? รับรองว่าถูก ว่าแล้วก็ใส่ซะร้องเอ๋งไปเลย บางทีกัดกันไม่เลิก ก็ต้องมีกรรมการคอยห้าม"

เถรี 22-09-2019 20:50

พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งว่า “นามสกุลนี้บรรพบุรุษมาจากเวียงจันทน์ แล้วเป็นเชื้อเจ้าด้วย “โพธิสารชัย” คราวนี้พอเขียนไปเขียนมา ร.เรือ หาย เหลือแต่ “โพธิสา” บรรพบุรุษเป็นกษัตริย์ครองกรุงล้านช้าง ชื่อพระเจ้าโพธิสาร ยุคสมัยนั้นประเทศชาติสงบร่มเย็น พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก

ประเทศไทยกับลาวก่อนหน้านี้ไม่ได้แยกประเทศ ก็คือเป็นชาติเดียวกัน คราวนี้พอมีการขีดเส้นแบ่งประเทศกันขึ้นมา ถึงได้ยุ่งกันตายชักถึงทุกวันนี้ แบ่งเส้นกั้นประเทศไทยกับลาวคือแม่น้ำโขง ฝั่งซ้ายเป็นลาว ฝั่งขวาเป็นไทย ถามว่านับอย่างไรเป็นฝั่งซ้ายกับฝั่งขวา ? โดยมาตรฐานโลกเลย เขาให้หันหน้าลงทะเล คือน้ำส่วนใหญ่ในโลกนี้จะไหลลงทะเล หันหน้าตามกระแสน้ำไหล ซ้ายมือจะเป็นประเทศลาว ขวามือก็เป็นประเทศไทย

คราวนี้พอมีการแบ่งประเทศชาติกันขึ้นมา ก็เกิดความยึดมั่นในตัวกูของกู เขาบอกว่า “ลาวไทยใช่อื่นไกล..พี่น้องกัน” ก็จะมีพวกรีบถามขึ้นมาเชียว “ใครเป็นพี่..ใครเป็นน้อง ?” เราจะเห็นว่าความยึดมั่นถือมั่นมีมากเป็นพิเศษ หลังจากนั้นพอถึงเวลาบ้านเราข้ามไปฝั่งโน้น เขาจะเรียกว่าพวกไทย บ้านเขาข้ามมาเราก็เรียกว่าพวกลาว ที่น่าสงสารที่สุดกลายเป็นคนอีสาน ถ้าคนอีสานมากรุงเทพฯ เขาเรียกว่าพวกลาว คนอีสานข้ามแม่น้ำโขงไป เขาเรียกว่าพวกไทย ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่ ? นั่นก็คือการแบ่งแยกที่เกิดขึ้นทีหลัง บวกกับสักกายทิฏฐิ ตัวกูของกูเข้าไป กลายเป็นยึดมั่นถือมั่น จะฆ่ากันตายอยู่ทุกวัน”

เถรี 22-09-2019 20:52

พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้ทางเด็กนักเรียนที่วาดพระพุทธเจ้าปางอุลตร้าแมน ไปขอขมาหลวงพ่อพระเทพสีมาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมาแล้ว บอกว่าที่วาดแบบนั้นเพราะต้องการจะสื่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ปกป้องโลก พระพุทธศาสนาสามารถช่วยโลกได้ แบบเดียวกับยอดมนุษย์

ก็ต้องบอกว่าคิดได้ แต่ว่าบางอย่างเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และกระทบกระทั่งกำลังใจของคนส่วนใหญ่ จะทำอะไรก็ต้องรอบคอบระมัดระวัง แต่ด้วยความที่เธอเป็นเด็ก จึงทำอะไรไม่รอบคอบ แต่ว่ายังดีที่ขอขมา ซึ่งการขอขมานั้น ขอขมาต่อพระสงฆ์ไม่มีประโยชน์ ควรที่จะขอขมาตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเราใช้พระพุทธรูปเป็นตัวแทน

คราวนี้อีกส่วนหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ บรรดาคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็น หลายคนแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่ว่า “ไม่ได้ฆ่าใครตาย..ทำไปเถอะ” หลายคนก็แสดงความคิดเห็นในลักษณะที่ว่า “เพราะมีแต่พวกหัวเก่า ยึดมั่นถือมั่นนี่แหละ บ้านเราถึงได้ไม่เจริญ” แสดงให้เห็นชัดว่า กำลังใจของคนในปัจจุบันนี้ เรื่องการรักและปกป้องพระพุทธศาสนาแทบจะไม่มีเลย ทุกคนรู้สึกเป็นกันเองและไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา จะทำอย่างไรกับพระพุทธศาสนาก็ได้ เพราะว่าไม่ได้ฆ่าใครตาย..!

อาตมารู้สึกเป็นห่วงมาก เพราะว่าคนรุ่นใหม่ ๆ เล่นสื่อโซเชียลกันเยอะ ซึ่งตรงนี้จะกลายเป็นการสืบทอดแนวคิดอุบาทว์ออกไป และทำให้คนส่วนใหญ่มีความคิดไปในแนวเดียวกัน ซึ่งเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก"

เถรี 22-09-2019 20:54

"แล้วก็เป็นเรื่องแปลก อย่างที่เขาเคยกล่าวกันว่า “ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีต้องเสียเงิน” ก็คือเรื่องดี ๆ ในพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้น เราไม่ค่อยจะแชร์กัน แต่ถ้าเรื่องไหนทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย ทำให้ภาพพจน์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสียหายนี่..แชร์กันแหลกลาญ แสดงความคิดเห็นซ้ำเติมกันอย่างชนิดที่เรียกว่ารุมกระทืบ..!

ดังนั้น..ถ้าพระพุทธศาสนาบ้านเรามีอันจะต้องสูญไป แล้วศาสนาอื่นขึ้นมาแทนนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาแต่ทะเบียนบ้านบ้าง นับถือพระพุทธศาสนาแต่ปากบ้าง เกิดมาปู่ย่าตาทวดลงว่านับถือพระพุทธศาสนาบ้าง อันตรายใหญ่ก็จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาได้ง่าย

จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณน้องผู้หญิงที่วาดรูปลักษณะนี้ออกมา ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า สังคมของเราเลวร้ายมาก การกระทำสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นการปรามาส เป็นการล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความผิด ขอขมาแล้วก็จบกัน"

เถรี 22-09-2019 20:58

"เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และอยากจะฝากให้ญาติโยมทุกคนช่วยกันคิดช่วยกันดู ว่าสิ่งที่อาตมาพูดไปนั้น พระพุทธศาสนาปัจจุบันของเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ? และโดยเฉพาะในส่วนของบรรดานักบวชของเรา มีทั้งนักบวชจริง มีทั้งนักบวชปลอม ส่วนใหญ่ทำความดีแทบตาย..คนไม่เห็น ส่วนน้อยทำความชั่วนิดเดียว..ส่วนใหญ่โดนเหมารวมผิดไปทั้งหมด จะทำให้บุคคลที่ตั้งใจทำความดีเกิดการท้อถอยบ้างหรือไม่ อาตมาก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าสำหรับตัวของอาตมาเองแล้ว เคยทำอย่างไรก็ยังคงทำอย่างนั้นต่อไป เพราะว่าเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เห็นความดีของพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง

หลายต่อหลายท่านก็แสดงความเห็นว่า “แต่เดิมไม่มีรูปเคารพของพระพุทธเจ้า เราสร้างขึ้นมาแล้วไปยึดมั่นถือมั่นเอง” โดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ว่าสิ่งที่เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า ก่อให้เกิดอนุสติ คือการตามระลึกถึงในสิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธ พระธรรม หรือว่าพระสงฆ์ก็ตาม ก็เลยทำให้มองเห็นว่า การศึกษาในปัจจุบันนี้ คนเราเรียนมากขึ้น มีการศึกษาสูงขึ้น แต่การเรียนรู้และนำเอาความรู้ในพระพุทธศาสนาไปใช้ประโยชน์ได้จริงมีน้อยลง และส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจเพียงผิวเผินเท่านั้น ต้องบอกว่าเสียชาติเกิดจริง ๆ..!”

เถรี 22-09-2019 21:00

พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงนี้เป็นช่วงระดมทุนสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ว่าจะจ่ายงวดแรกให้เขาวันที่ ๖ ตุลาคม ตอนนี้อาคารสำนักงานกับห้องน้ำจวนจะเสร็จแล้ว ตัวอาคารหลักก็ลงตอม่อเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น..ช่วงนี้อาตมามีอะไรก็ขนออกมาขายหมด เพื่อหาเงินให้ได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ ..(หัวเราะ)..”

วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีที่สร้างอยู่ วางแผนไว้หลายแผน แผนแรกก็คือ ถ้านักศึกษาน้อยลงก็ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด แผนต่อไปก็คือ พวกบาลีศึกษาหรือปริยัติสามัญอาจจะโยกไปรวมกันที่นั่น ให้ครูบาอาจารย์กับนักเรียนมีที่พักอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย”


เถรี 22-09-2019 21:01

พระอาจารย์กล่าวว่า จ่าบี (นิวัฒน์ จำรัส) อยู่ทางเหนือ เคยเจอผ้ายันต์หรือตะกรุดม้าเสพนางของครูบาวัง วัดบ้านเด่นบ้างไหม ? (เคยเจอที่บ้านท่านอาจารย์วิลักษณ์ครับ) ของท่านอาจารย์วิลักษณ์มีแน่นอน เพราะว่าท่านเองเล่นเรื่องนี้มานาน แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไปเขาหวงกันสุด ๆ ..(หัวเราะ).. ในความรู้สึกของอาตมา ตอนจัดกลุ่มตะกรุดให้เขาลงทะเบียน จะมีตะกรุดหลวงพ่อกุน วัดพระนอน ที่หายากเพราะว่าญาติโยมเขาหวงกัน ของครูบาวัง วัดบ้านเด่นนี่ใกล้เคียงกันเลย ประเภทตกทอดกันตามตระกูลอย่างเดียว ไม่มีหลุดไปถึงคนอื่นเลย

ไม่เป็นไร..เดี๋ยวพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนจะมีให้ดู ให้คนน้ำลายหกเล่น ..(หัวเราะ).. แล้วมีอีกอย่างหนึ่งที่เขาเรียกว่า พญาเขาคำ อาตมามีอยู่ ๒ องค์ แต่ตะกรุดครูบาวังมีแค่ดอกเดียว"

เถรี 22-09-2019 21:02

"ส่วนใหญ่พวกนี้มาสายเสน่ห์ คนเห็นคนรัก คนเห็นคนชม ผู้ใหญ่เกลียดขี้หน้าขนาดไหน พกเข้าไปนี่มืออ่อนตีนอ่อน ทำอะไรไม่ถูกเลย ..(หัวเราะ).. ไม่นึกว่าท่านจะทำได้ขนาดนั้นนะ แต่ถ้าดูจากรูปนี่ติดเรตอาร์เลยนะ ..(หัวเราะ).. (ตอนเด็ก ๆ ผมเห็นแล้วอายมาก..ไม่กล้าดู แต่เดี๋ยวนี้หาไม่ได้เลยครับ)

อาจารย์วิลักษณ์ท่านสะสมของเก่า แล้วก็เลือกเอาพวกนี้มาไว้เยอะ ไปที่บ้านของท่านนะ เจ้าประคุณเอ๋ย..เฉพาะสร้อยพันเอวที่ทำด้วยฟันม้า มีเป็นร้อย ๆ เส้นเลย ถามว่า “ท่านอาจารย์เอามาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้ ?” “ข้ามไปฝั่งพม่า ไปขอซื้อเขาทีละเส้นสองเส้น ใครยอมขายก็ซื้อไว้” คือเป็นเครื่องประดับของพวกชนเผ่าเขา ใช้ฟันม้าร้อยเป็นสายสร้อยคาดเอว”

เถรี 22-09-2019 21:03

ถาม : ท่านอาจารย์วิลักษณ์ไปเที่ยวเมืองจีน ล่าสุดเห็นมีกะโหลกท่านลามะมาด้วยครับ ?
ตอบ : พวกนั้นเขาเรียกว่า “กะปาละ” ส่วนใหญ่เอาไว้ให้หมอยา หมอยาเขาจะใช้ฝนยา ก็คือยิ่งถ้าเป็นผู้ที่ทรงความดี อย่างเป็นพระเจ้าพระสงฆ์ เขาว่าพลังของท่านมีมากอยู่แล้ว จะช่วยให้การรักษาดีขึ้น

“กะปาละ” มาจากภาษาบาลี ที่คนไทยเรียกว่า “กบาล” ก็คือกะโหลกของเรานี่แหละ ถึงเวลาเขาจะใช้เขี้ยวหรืองา ที่เป็นของสัตว์มีอำนาจ นำไปฝนแล้วก็เสก ทำเป็นยาคุณพระ ใช้รักษาโรคที่รักษาไม่ได้

ต้องบอกว่าทางด้านล้านนาของเรานั้น ภูมิความรู้พื้นบ้านหายากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่รู้จริงอย่างท่านอาจารย์วิลักษณ์ ท่านอาจารย์มาลา คำจันทร์ ก็แก่ลงไปทุกวัน อาจารย์มาลาจริง ๆ ชื่อ เจริญ มาลาโรจน์ แต่คนไปรู้จักนามปากกามากกว่า เคยได้คุยกันหลายทีอยู่เหมือนกัน

เถรี 22-09-2019 21:04

พระอาจารย์กล่าวว่า “ใครเคยดูการ์ตูนสุดขั้วยุทธภพบ้าง ? ในเรื่องเขามีอยู่คนหนึ่งอ้วนมาก ฝึกวิชาลูกยางพยัคฆ์ฟ้า คนอ้วนแต่ต้องไวเพราะว่าฝึกวิชาของเสือ อาตมานึกถึงหงจินเป่า นั่นเขาอ้วนจนกลมเลย แต่ไวจนดูไม่ทันเหมือนกัน ..(หัวเราะ)..

เพราะฉะนั้น..อย่ารังเกียจความอ้วนนะ ขอให้แข็งแรงเท่านั้นแหละ อ้วนไปเถอะ อาตมาวิ่งหาความอ้วนมา ๖๐ ปีแล้ว ยังไม่สำเร็จเลย..!”

เถรี 22-09-2019 21:06

พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงนี้อาตมาหัวหมุนอยู่กับคนป่วยและคนตาย เดี๋ยวพ่อคนโน้นป่วย แม่คนนี้ตาย ให้ยุ่งไปหมด พยายามไปแค่ที่ไปได้ เมื่อเช้าลูกน้ำบอกว่า “นิมนต์หลวงพ่อไปฉันเพลที่บ้าน” บอกลูกไปว่า “ไม่ไปหรอก กว่าจะได้กินมื้อหนึ่งวิ่ง ๓๐๐-๔๐๐ กิโลเมตร เหนื่อยตายห่.. ซื้อข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อกินง่ายกว่า..!”

ขนาดอาตมาไม่รับนิมนต์ส่วนตัว ยังไม่มีเวลาจะหายใจเลย ขืนไปรับเข้า ใคร ๆ ก็อยากให้ไป ก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี เมื่อ ๑-๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางด้านคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ขอให้ท่านนายกฯ จิรชัย ที่อยู่ในพื้นที่ท่าขนุนวิ่งมานิมนต์ บอกว่า “โยมแก่แล้ว ไปบ้านเติมบุญไม่ไหว ช่วยไปหาโยมที่บ้านสักครั้งหนึ่งเถิด”

คุณหญิงฝากคนมาทำบุญทุกเดือน แต่ว่าตัวเองมาไม่ไหว เป็นภรรยาของพลตำรวจเอกพจน์ บุณยะจินดา อดีตอธิบดีกรมตำรวจ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ท่านไปวัดท่าซุงประจำ พอไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ไปวัดท่าซุงไม่ไหว อยู่ตรงนี้ใกล้บ้านหน่อยก็ฝากเขามา บอกว่า “ช่วยไปให้เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจของโยมสักทีหนึ่งเถิด” ก็บอกท่านไปว่า “บ้านโยมรถติดตายชัก อาตมาไม่ไปหรอก” ท่านบอกว่า “ขอให้บอกว่าจะไปวันไหน เดี๋ยวให้เขาส่งรถนำมารับ” ดีเหมือนกันนะ ไปแล้วต้องใช้บัตรเบ่ง กลัวรถติด ต้องเอารถฉลามบกนำหน้า ..(หัวเราะ)..”


เถรี 22-09-2019 21:07

พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งว่า “ถ้าไม่อยากเป็นหวัดอีก อย่าเปิดพัดลมใส่ตัวตรง ๆ ต้องบอกว่าป่วยเพราะความประพฤติตัวเอง คนเราเวลาหลับ เลือดลมจะเดินน้อย พอโดนเย็นเข้าไปแล้วสู้ความเย็นไม่ได้ ก็กลายเป็นหวัด

บางทีโยมเขาก็สงสัยว่าทำอะไรอยู่ที่บ้าน หลวงพ่อก็พูดไปเรื่อย..! เพราะว่าถ้าไม่บอกเดี๋ยวก็เป็นอีก แล้วไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเพราะอะไร”


เถรี 22-09-2019 21:08

พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาต้องบอกว่าเป็นคนรุ่นเก่า ทั้ง ๆ ที่กลางเก่ากลางใหม่นี่แหละ ฝึกกรรมฐานตามแบบโบราณ คือหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนไว้ว่า “อุชุง กายัง” ตั้งกายให้ตรง ก็เลยเคยชิน ถึงเวลาก็นั่งท่ากรรมฐานอย่างนี้แหละ จะอยู่ท่าไหนก็เป็นท่ากรรมฐานไปในตัว บางคนก็บอกว่า อายุ ๖๐ ปีแล้วทำไมหลังยังตรงอยู่ ? ก็นั่งจนชิน หลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม อายุ ๙๐ กว่า นั่งหลังตรงเป๊ะ ก็คือฝึกมาแบบโบราณเหมือนกัน”

เถรี 22-09-2019 21:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้กำลังฮิตการใช้กัญชารักษาโรค แต่ปรากฏว่าไปไกลเกิน คือวิธีการต่าง ๆ ที่ทำมาเพื่อให้ได้ยารักษาโรคจากกัญชา ทำให้แพงขึ้นโดยใช่เหตุ อาตมายืนยันว่ากัญชาสดดีที่สุด แต่ก็ยังผิดกฎหมายอยู่ ถ้าเขาอนุญาตให้ปลูกบ้านละ ๖ ต้นเมื่อไรค่อยว่ากัน ไม่ต้องเสียเวลาสกัด ไม่ต้องเสียเวลาไปทำน้ำมัน กินสด ๆ ไปเลย

แล้วกัญชาไม่ใช่ยาวิเศษ ของทุกอย่างถ้าพอดีจึงจะเกิดประโยชน์ มากเกินไปหรือน้อยเกินไปนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้ว ก็อาจจะเกิดโทษขึ้นมาอีก แล้วคนไทยเราส่วนใหญ่ไม่รู้จักบันยะบันยัง ไม่กลัวยา เพื่อนพระรุ่นพี่ของอาตมาคือท่านโมเช่ เป็นกะเหรี่ยง นิสัยกลัวยามาก แล้วก็รอบคอบมาก ยาทุกอย่างที่เอาไปฝาก ท่านจะถามแล้วถามอีกว่ารักษาโรคอะไร ? กินแบบไหน ? กินเท่าไร ? จดรายละเอียดไว้หมดเลย แต่คนไทยเราไม่กลัวยา"

เถรี 22-09-2019 21:15

"อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ สงสารชาวบ้านที่ต้องเดินทางเข้าออก กว่าจะไปหาหมอหายาได้...ลำบากมาก จึงซื้อยาไปทิ้งไว้ที่สำนักงานป่าไม้ ถึงเวลาใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะได้มากินกันเอง ปรากฏว่าซื้อพาราเซตามอลกระปุกใหญ่ ๑,๐๐๐ เม็ด ไป ๓ วันหมด..! ถามว่ากินแทนข้าวเลยหรืออย่างไรวะ ? เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าพวกนี้นะ กินแล้วไปทำงาน คือก่อนทำงานกิน ๒ เม็ด ตอนทำงานไม่รู้สึกปวดไม่รู้สึกเมื่อยเพราะว่ายาออกฤทธิ์ ตอนเย็นเลิกงานกินอีก ๒ เม็ด น่าตายไหม ?

พวกที่ตับพัง ไตพัง ไตวาย ไปฟอกไตกันอยู่ทุกวัน จริง ๆ แล้วเป็นเพราะว่าเราทำร้ายตัวเอง โดยเฉพาะกินพวกสารสกัดต่าง ๆ เข้าไปมาก ยาเคมีทุกอย่างที่สกัดจนหาความเป็นธรรมชาติไม่ได้แล้ว...อันตรายมาก ลงไปแล้วร่างกายเราต้องใช้พลังงานในการแก้ไข ทำลาย หรือไม่ก็ขับออกจากร่างกายมาก ในเมื่อใช้งานมาก ร่างกายก็ชำรุดทรุดโทรมเร็ว เท่ากับว่าเรากินยาพิษเข้าไปทุกวัน

เพราะฉะนั้น..กัญชาไม่ใช่ยาวิเศษ ไม่ต้องเอามาถวายพระบ่อยหรอก ทุกครั้งที่มีอะไรก็ตามฮือฮาขึ้นมา พระจะกลายเป็นหนูลองยาทุกครั้ง ไม่ต้องเมตตาอาตมามาก อาตมาไม่ค่อยกินยาหรอก"

เถรี 22-09-2019 21:16

"ยาที่กินมากที่สุดในชีวิตก็พวกยาหม้อ คือยาที่คนเขาไม่ค่อยจะกินกัน ยาหม้อกินเข้าไปเถอะ กินเป็นปีก็ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร เพราะว่าส่วนเกินร่างกายขับออกมาได้หมด เห็นบางคนกินวิตามิน โดยเฉพาะเพื่อนพระที่อายุเริ่มมาก กินทุกวัน วันหนึ่ง ๔-๕ เม็ด บางคนก็เป็นกำเลย

ถ้าอย่างนั้นไม่ได้กินแล้วดีขึ้น กินแล้วจะตายเอา เพราะว่าวิตามินที่เหลือแล้วขับออกจากร่างกายได้ มีอย่างเดียวคือวิตามินซี เพราะว่าวิตามินซีละลายในน้ำ ส่วนวิตามินอื่น ๆ ส่วนใหญ่ละลายในไขมัน กินเกินมีโทษ..ไม่ใช่มีประโยชน์ ถึงเวลาบำรุงมากไป การเจริญเติบโตของร่างกายและเนื้อเยื่อก็ผิดปกติ มะเร็งจะรับประทานเอา..!"

เถรี 22-09-2019 21:18

"เห็นดาราสมัยนี้ชอบกันมาก กินวิตามินบอกว่าทำให้ผิวพรรณดี มีเรี่ยวแรง รับงานได้ เหมือนกับพลังงานที่เข้าไปกระตุ้นพลังงานสำรองของเราออกมาหมด พอถึงเวลาก็หมดแล้วหมดเลย หามเข้าโรงพยาบาลไปให้น้ำเกลือกัน ขนาดนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพราะอะไร เห็นลงข่าวว่าโหมงานหนัก แต่จริง ๆ แล้วก่อนที่จะงานหนักก็คือ กินพวกสารกระตุ้นนี้ไปเยอะ เพื่อให้รับงานได้ คราวนี้พอไปกระตุ้นพลังงานสำรองในร่างกายจนหมดก็เป็นเรื่อง

ดังนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือมัชฌิมาปฏิปทาสำคัญที่สุด พอเหมาะพอดีจะเกิดประโยชน์ มากเกินไปก็เป็นโทษ อาตมาเห็นเพื่อนพระบางรูปฉันซุปไก่สกัด เช้า กลางวัน เย็น ที่ฉัน เช้า กลางวัน เย็น เพราะว่าเขาถวายไว้เยอะ โดยเฉพาะมาถึงบั้นปลายอย่างพวกอาตมา อายุ ๖๐ ขึ้น ฉันแล้วมีประโยชน์อะไร ? ร่างกายสร้างเซลล์ต่าง ๆ น้อยลง ได้แต่นึกในใจว่าท่านกำลังเลี้ยงมะเร็ง เพราะว่าร่างกายสร้างน้อย ฉันเข้าไปพยายามกระตุ้นให้สร้าง เมื่อสร้างขึ้นมาก็ผิดที่ผิดทาง กลายเป็นมะเร็ง

โยมบางคนนี่รู้จักรักษาสุขภาพมาก ขับรถไม่กินกาแฟ ไม่กินเครื่องดื่มชูกำลัง แต่ไปกินซุปไก่สกัดแทน บอกว่าให้พลังงานดีพอ ๆ กับเครื่องดื่มชูกำลัง ก็น่าจะใช่นะ แต่อะไรที่เกินนี่ลำบากร่างกาย ซุปไก่สกัดเข้มข้นก็คือโปรตีนเข้มข้น ร่างกายเราต้องการวันละนิดเดียว ถ้าหากว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ คิดเป็นปริมาณเนื้อก็ประมาณราว ๆ สเต็กชิ้นเล็ก ๆ ต่อทั้งวัน ไม่ใช่มื้อละ... แล้วคุณตะบี้ตะบันซดซุปไก่เข้าไปทุกครั้งที่ขับรถ ในเมื่อเกินร่างกายก็ต้องขับออก ไตทำงานหนัก ท้ายสุดหน่วยไตพัง ก็ต้องไปฟอกไต"

เถรี 22-09-2019 21:20

"ก็แปลว่าพวกเราบอกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธไทย อยู่ในประเทศไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นประชากรส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้ใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิตเลย ทำอะไรถ้าไม่เกินก็ขาด ที่ทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะขาด ๆ เกิน ๆ นี่แหละ ถ้าพอดีก็หมดเรื่องไปนานแล้ว

จึงขอเตือนสติญาติโยมให้ทราบว่า อะไรที่พอดีจึงจะเกิดประโยชน์ ถ้ามากไปก็เป็นโทษ ท่านอาจารย์เตชะ พระธรรมทูตพม่าที่มาอาศัยจำพรรษาอยู่วัดท่าขนุน ไปต่างประเทศกลับมาทุกครั้ง จะซื้อพวกยาบำรุงพวกวิตามินมาถวายอาตมา ขวดใหญ่ ๕๐๐ เม็ด อาตมาก็ส่งต่อหลวงตาอายุ ๗๘ ปีฉันเข้าไป คนแก่จะได้ประโยชน์ อาตมา ๖๐ ยังแก่ไม่พอ ดีมากเลยยาของเขา ฉันไปแล้วหลวงตาอยู่นิ่งไม่ได้ เดินพล่านทั้งวัน...! เดินตรวจวัด เดินจับผิดพระลูกพระหลาน ฟ้องฉิบหายวายป่วงไปหมด...ดี...! อาตมาไม่ต้องทำหน้าที่ไปสอดส่องดูแล มีคนทำแทนแล้ว..!

ท่านอาจารย์เตชะกับอาตมาเกิดปีเดียวกัน อายุต่างกันประมาณ ๑ เดือน ท่านเองใช้ยาอยู่ตลอดเวลา สภาพร่างกายทรุดโทรมกว่ามาก อาตมาเองทั้ง ๆ ที่โรคภัยไข้เจ็บกินมาตลอด ยังดูโทรมน้อยกว่าท่าน ก็เพราะว่าท่านไปใช้เกิน พวกวิตามินรวมต่าง ๆ หรือมัลติวิตามินนี่ตัวอันตรายเลย ถ้ากินสักเดือนละครั้งก็พอเกิดประโยชน์ นี่เขาเล่นบอกให้ทุกวัน วันละ ๑ หรือ ๒ เม็ด สมควรตาย...! เอ้า...บ่นมากก็ไม่ดี เดี๋ยวหลวงตาท่านรู้ตัวเข้า คราวหน้ายกให้จะไม่กินอีก..!"

เถรี 25-09-2019 23:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราคงเคยได้ยินชื่อวัดชุมพลนิกายาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดไชยชุมพลชนะสงคราม จังหวัดกาญจนบุรี แล้วเคยได้ยินชื่อวัดเทพชุมพลไหม ? วัดเทพชุมพลปัจจุบันนี้ไม่มี เพราะว่ากลายเป็นมัสยิด สมัยอยุธยามีบรรดาแขกอิสลามเข้ามาช่วยเหลือราชการในกรุงศรีอยุธยากันมาก อย่างเช่นท่านเฉกอะหมัด ต้นตระกูลบุนนาค เป็นต้น

หลวงพ่อวัดเทพชุมพลท่านออกบิณฑบาต ขากลับมีแขกคนหนึ่งขออาศัยเรือข้ามฟากด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า "เรือเล็กจะล่มเอา เดี๋ยวให้ลูกศิษย์ไปส่งอาตมาที่ท่าน้ำวัดก่อน แล้วจะให้ย้อนกลับมารับ" ปรากฏว่าไปถึงท่าน้ำวัด แขกคนนั้นยืนรออยู่ก่อนแล้ว หลวงพ่อวัดเทพชุมพลท่านรู้ว่าเจอยอดฝีมือเข้าแล้ว ก็เลยอยากจะลองด้วย บอกว่า "พรุ่งนี้มาคุยกันหน่อย" แล้วก็แอบกระซิบบอกลูกศิษย์ บอกว่าพรุ่งนี้ให้รีบไปร้านขายหมู ขอหัวหมูเขามาหน่อย เอาไปแขวนไว้บนต้นไม้หน้ากุฎิ

พอถึงเวลาแขกอิสลามเข้ามา หลวงพ่อท่านก็เชิญเข้าในกุฎิ เขาก็เดินขึ้นมา หลวงพ่อวัดเทพชุมพลก็บอกว่า "อ้าว...ไหนว่าอิสลามรังเกียจหมู แล้วเดินลอดหัวหมูมาได้อย่างไร ?" แขกอิสลามก็ตอบว่า "หัวหมูที่ไหน นั่นหัวแพะ" หลวงพ่อท่านมองไป หัวหมูเมื่อเช้ากลายเป็นหัวแพะไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ว่าเจอคอเดียวกันก็อยากลองของ เพราะฉะนั้น..เรามาประลองวิชากัน คราวนี้ลองไปลองมา ถ้าลองอย่างเดียวก็ไม่สนุก เหมือนอย่างกับที่อาตมาโดนมานั่นแหละ ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าใครแพ้..ต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาของอีกฝ่ายหนึ่ง"

หลวงพ่อวัดเทพชุมพลขอแสดงฝีมือก่อน หายตัววับไปเลย ปรากฏว่าโยคีอิสลามเดินไปที่ท่าน้ำ เรียกว่า “ขึ้นมาเถอะ..ไปนอนอยู่ในฟองน้ำไม่สนุกหรอก” หลวงพ่อวัดเทพชุมพลก็เลยต้องขึ้นมา พอถึงคราวโยคีอิสลาม แกหายวับไป หลวงพ่อวัดเทพชุมพลท่านหาไม่เจอ"

เถรี 25-09-2019 23:42

"ท้ายสุดก็ต้องยอมแพ้ โยคีท่านก็โผล่ออกมา บอกว่า "ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ เป็นไรเกาะอยู่ที่ขนตาหลวงพ่อ" มองไกลไปหน่อยจึงหาไม่เจอ

หลวงพ่อวัดเทพชุมพลให้ลูกศิษย์เอาไข่มาตะกร้าหนึ่ง จับวางซ้อน ๆ เรียงไว้เป็นเสาเลย โยคีก็หัวเราะ หยิบใบสุดท้ายดึงออกมา เสาไข่ทั้งอันยังลอยอยู่ได้ หลวงพ่อวัดเทพชุมพลก็เลยต้องยอมแพ้ เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม วัดเทพชุมพลจึงกลายเป็นมัสยิดไป

โยคีอิสลามนั่นเข้ารับราชการกรุงศรีอยุธยา ได้รับบรรดาศักดิ์ด้วย แต่จำไม่ได้ ถ้าเรียกกันแบบที่เขาเรียกกันแบบชาวบ้าน ๆ ก็คือเจ้าคุณตะเกี่ย ถ้าเจ้าคุณนี่อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นพระยา ลองไปหาประวัติดู..เผื่อว่าจะมี"

เถรี 25-09-2019 23:43

"จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วไม่ว่าศาสนาไหนก็ตาม ถ้ามีวิสัยที่ทำมา ตั้งใจขยันหมั่นฝึกฝน เรื่องของฤทธิ์เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องปกติ เป็นของแถมจากการปฏิบัติ

ตั้งไข่ซ้อนขึ้นไปนั่นใช้ปฐวีกสิณก็ได้ แต่ประเภทดึงใบล่างออกแล้วที่เหลือลอยได้นี่ต้องเป็นวาโยกสิณ หายตัวนี่ก็คือนีลกสิณ แต่คราวนี้ท่านไม่ได้หายตัวแบบกำบัง แต่ว่าท่านหายไปทั้งตัว เปลี่ยนสภาพตัวเองใหม่ หลวงพ่อวัดเทพชุมพลท่านก็แปลงสภาพเป็นฟองน้ำลอยตุ๊บป่องอยู่ในแม่น้ำ เจ้าคุณตะเกี่ยก็กลายเป็นผงเป็นไรเกาะอยู่ที่ขนตา

สมัยโน้นอิสลามมีอำนาจมาก เพราะว่า
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ในช่วงปลายอยุธยาต่อต้นรัตนโกสินทร์ มีอำนาจมาก คุมกำลังต้องเรียกว่าแทบจะทั้งประเทศเลย"

เถรี 25-09-2019 23:46

"พระมีข้อจำกัดมาก อย่างเช่นว่าพระพุทธเจ้าสั่งห้ามพระสาวกแสดงฤทธิ์ อันนี้จริง ๆ แล้วท่านหวังไม่ให้คนยึดติดตัวบุคคล เพราะว่าการยึดติดตัวบุคคลจะเข้าถึงมรรคถึงผลไม่ได้ การจะเข้าถึงมรรคถึงผลต้องเข้าถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ แล้วคุณพระรัตนตรัยตรงนี้เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ก็คือไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่คัมภีร์พระธรรม ไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ แต่เป็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ

ถ้าไปแสดงฤทธิ์แล้วคนเห็น ก็จะไปยึดติดเฉพาะตัวบุคคลนั้น ๆ ทำให้เข้าไม่ถึงมรรคผลที่ตนเองต้องการ แต่ศาสนาอื่นของเขาไม่มีข้อจำกัดตรงจุดนี้ แต่ว่าผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ ส่วนใหญ่ก็จะรู้ว่าตัวเองแสดงได้แค่ไหน อย่างที่ฝรั่งไปเที่ยวอินเดียแล้วก็ถ่ายวิดีโอ อยู่ ๆ โยคีที่อยู่ห่างออกไปไกลลิบ ๆ เหาะวูบหายไปเลย โยคีเขาก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีฝรั่งทะลึ่งถ่ายวิดีโออยู่ เขาก็ถ่ายประเภทวัดวาอารามทิวทัศน์ของเขา ไปติดโยคีตอนกำลังเหาะพอดี

ในเมื่อรู้ว่าแสดงแค่ไหนถึงจะพอเหมาะพอดี ก็เลยไม่ค่อยมีใครที่ทำให้คนเขาเห็นกันมากมาย ส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้ก็ทำมาในลักษณะที่บอกว่าเล่นกล เป็นมายากล เป็น Magician อ้างออกไปในแนวนั้นก็สบาย พอบอกว่าเล่นกล คนก็คิดว่าเล่นกลก็จบแล้ว คราวนี้พระก็ดันเล่นกลไม่ได้อีก วิชาเล่นกลสมัยพุทธกาลเขาก็มีอยู่"

เถรี 26-09-2019 00:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้โลกกำลังปรับสมดุลตัวเองอยู่ ถ้าสมดุลคืนมา สิ่งที่เราบอกว่าเป็นภัยธรรมชาติก็จะลดน้อยลง โลกเราเสียสมดุลเพราะว่ามนุษย์มีเยอะเกินไป ล้างผลาญทรัพยากรมาก จนกลายเป็นเสียสมดุลโลกไปเลย

เราลองนึกดูว่าห้องนี้ ถ้าคุณนั่งกันเต็ม ๆ หายใจกันคนละทีอากาศก็จะหมด โลกของเราประชากร ๕-๖ พันล้าน แค่อากาศที่หายใจในแต่ละวันก็ลำบากแล้ว แต่คราวนี้การปรับสมดุลของโลกก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับกินยารักษาโรค ผ่าตัดรักษาโรค ช่วงนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงปรับกันยกใหญ่ ที่ลำบากก็คนอย่างพวกเรานี่แหละ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สั่งสมมานาน ถึงเวลาอาการออกก็เหมือนกับคนไข้หนัก"

เถรี 26-09-2019 00:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลบางอย่างที่ลงไว้ในกระทู้ให้ร่วมบุญ พอสิ้นเดือนแล้วอาตมาจะเอากลับ ก็จะมีคนมาจ้องบูชาวันสุดท้ายที่จะเอากลับ ตอนนี้กำลังรอดูว่าผู้โชคดีจะเป็นใคร ก็คือเหรียญหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ปี ๒๕๐๖ เป็นเหรียญเงินใหญ่ ที่เขาเรียกเหรียญจิ๊กโก๋ มีลายมือหลวงพ่อเงินท่านจารให้ด้วย

อาตมาเป็นเด็กนครปฐม แม่พาไปกราบหลวงพ่อเงินตั้งแต่เด็ก ๆ แต่คราวนี้คนที่ไม่ใช่คนนครปฐม ถ้าไม่ได้ศึกษาประวัติจะไม่รู้ว่า คำว่า ‘เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม’ ของหลวงพ่อเงินนั้น ท่านยิ่งใหญ่ขนาดไหน

ในสมัยที่หลวงปู่หลวงพ่อเป็นพระครูก็มีชื่อเสียงโด่งดังคับบ้านคับเมืองแล้ว หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นราชด้วย ก็คือนอกจากทางด้านปฏิบัติของท่านที่ใคร ๆ ก็ยอมรับว่าเยี่ยมวรยุทธ์จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของสายการปกครองของท่านก็ไม่แพ้ใคร ขึ้นไปถึงระดับเจ้าคุณชั้นราช

เราต้องนึกว่าหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ซึ่งถือเป็นอมตเถราจารย์ของนครปฐม หลวงปู่เพิ่มนี่ยุคเดียวกับหลวงพ่อเงิน ท่านเป็นแค่เจ้าคุณชั้นสามัญที่พระพุทธวิถีนายก แต่หลวงพ่อเงินเป็นสูงกว่านั้นอีกชั้นหนึ่ง เป็นเจ้าคุณพระราชธรรมาภรณ์ ก็คือจะให้ท่านสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติก็ได้ จะให้บรรยายธรรมก็ได้ จะให้ปาฐกถาก็ได้ จะเอาวิชาการหรือปฏิบัติท่านได้ทั้งนั้น เป็นพระที่ครบเครื่องจริง ๆ

แล้วลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งก็คือหลวงพ่อเวก วัดศาลาหมูสี ที่เพชรบุรี อันนั้นเรียนวิชาจากหลวงพ่อเงินไปแค่มุมเดียวเท่านั้น สรุปว่าไปเป็นครูบาอาจารย์ที่โด่งดังคนนับถือกันทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้าบอกว่าพระผงสิบทัศน์ หรือพระผงตั้งตัว หลวงพ่อเวก วัดศาลาหมูสี ใคร ๆ ก็อยากได้ ราคาแพงมาก ต่อให้ลำบากยากจนเวรกรรมซ้ำเติมขนาดไหน ถ้าได้พระหลวงพ่อเวกไป จะตั้งหลักได้ ตั้งตัวได้ มีกิจการมั่นคง มีครอบครัวมั่นคง ท่านเรียนจากหลวงพ่อเงินแค่มุมเดียวเท่านั้น"

เถรี 26-09-2019 00:20

พระอาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ว่า "ของแห้งอะไรที่เก็บได้ให้เก็บกลับวัดทั้งหมดเลยนะ ช่วงนี้ต้องเตรียมพร้อมรับน้ำท่วม ของวัดเองไม่มีปัญหา อย่างไรก็อยู่ได้ แต่ถ้าชาวบ้านเดือดร้อนเราต้องไปช่วย ตอนนี้คลังวัดว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือ แม่ชีกวาดไปช่วยเขาเรียบ แมลงสาบยังไม่มีกินเลย...! ปกติแมลงสาบต้องหาอาหารกินได้

คราวที่แล้วไปช่วย ญาติโยมที่ไปบอกว่าจะเน้นข้าวสาร อาตมาบอกว่าไม่ต้องเลย น้ำท่วมไม่มีที่จะอยู่ แล้วจะหุงข้าวอย่างไร บอกให้เอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไป ต่อให้ไม่มีไฟไม่มีฟืนก็ยังกินดิบ ๆ ได้ เคี้ยว ๆ แล้วกรอกน้ำตามลงไปก็อิ่มไปเองแหละ แต่ข้าวสารทำอย่างนั้นไม่ได้

คุณูปการของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่ได้ช่วยให้บริษัทสหพัฒน์ฯ รวยขึ้นมาเท่านั้น แต่ทำให้ชีวิตคนง่ายขึ้นอีกเยอะ เล่นหวยจนหมดอย่างน้อยก็ยังพอมีสตางค์ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ เดี๋ยวนี้เขามีซองเล็กซองใหญ่ มีของเด็ก ของเด็กนี่ซองนิดเดียว ไม่ใช่เด็กกินหรอก เขาให้คนเงินน้อยกินกัน"

เถรี 26-09-2019 22:13

ถาม : ผมเคยได้ยินว่า ดร.อาจอง เขานั่งสมาธิแล้วแนะนำนาซ่าถึงวิธีจอดยานบนดวงจันทร์ ผมสงสัยว่าอย่างนี้เราใช้สมาธิหารักษาโรคมะเร็งไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ใคร ๆ ก็ทำได้ เพียงแต่ว่าโรคนั้นเกิดจากกรรม ต่อให้คุณรักษาอย่างนี้ได้ ก็จะไปเป็นโรคอีกอย่างหนึ่ง คือ ถ้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย อย่างนั้นก็ต้องตายจนได้สักวิธีหนึ่ง

เถรี 26-09-2019 22:19

ถาม : ตอนนี้กำลังใจตกมาหน่อย คาถาเงินล้านก็อยากสวด มโนมยิทธิก็อยากฝึก นั่งสมาธิก็อยากทำ ตอนนี้เลยไม่ดีสักอย่าง ?
ตอบ : ก็ทำพร้อมกันได้ แสดงว่าทำไม่เป็น ยกกำลังใจขึ้นไปสวดพระคาถาเงินล้านถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ทั้งหมดที่เราบอกก็เท่ากับว่าทำไปครบแล้ว

ถาม : ต้อง ๑๐๘ จบไหมคะ ?
ตอบ : จะกี่ร้อยจบก็ว่าไปเถอะ อยากหลายอย่างแต่ดันทำไม่เป็น สมควรโดนประหารชีวิต...!

เถรี 26-09-2019 22:21

ถาม : ตอนน้ำท่วมย้ายศาลเจ้าที่ตี่จู้เอี๊ย ทีนี้พอย้ายบ้านใหม่ ต้องหาฤกษ์ย้ายกลับมาที่ใหม่ไหมคะ ?
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวท่านก็พอ บอกว่าย้ายที่ให้อยู่ตรงนี้ อย่างไรก็ขอให้ช่วยดูแลรักษาต่อไปด้วย

เถรี 26-09-2019 22:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณอรสา ณ ระนอง ตัดข้อความในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ใส่กรอบมาให้ ทำให้เห็นชัดว่า หลวงปู่หลวงพ่อบางท่านไม่ได้มีความยินดียินร้ายกับเรื่องยศเรื่องตำแหน่งอะไร แต่ลูกศิษย์ยังยินดีอย่างเต็มที่ อาตมาเองก็เฉย ๆ กับเรื่องแบบนี้ แต่เขาเห็นว่าสำคัญ ถึงขนาดตัดเอาข้อความใส่กรอบมาถวาย จึงเห็นว่าหลวงปู่หลวงพ่อหลายรูปท่านเองไม่ได้ยินดียินร้ายกับตำแหน่งแห่งหนสมณศักดิ์ใด ๆ แต่พอท่านได้ขึ้นมา ลูกศิษย์ก็ตื่นเต้นฉลองกัน ๗ วัน ๗ คืน

บางทีลูกศิษย์ก็ทำอาจารย์เสีย เพราะว่ายังอยากได้ใคร่ดีอยู่ บางทีก็ไปวิ่งไปเต้นให้ท่านได้ยศได้ตำแหน่งกัน แล้วท้ายที่สุด ถ้ากำลังใจของท่านยังไม่มั่นคง ก็จะไหลตามกระแสไป จนกู่ไม่กลับ ทำเอาพระดี ๆ เสียหายไปเลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นดาบสองคม ถ้ามั่นคงแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ากำลังใจยังหวั่นไหวอยู่ แล้วโดนลูกศิษย์ช่วยกันแห่ ก็จะพังในเวลาอันรวดเร็ว"

เถรี 26-09-2019 22:35

"ปีนี้คาดว่าหลังกฐินแล้วก็น่าจะมีกำหนดการในการถวายสมณศักดิ์ ซึ่งอาตมาไปมาหลายงานหลายครั้ง เห็นแล้วบางทีกลัวใจลูกศิษย์ ก็คือลูกศิษย์บางคนจัดรถแห่ครูบาอาจารย์ตัวเองอย่างเต็มที่ หลายท่านก็เอารถตั้งโต๊ะหมู่บูชาสูงหลายเมตร ให้หลวงพ่อตัวเองนั่งถือพัดยศอยู่ข้างบนนั้น แห่จากวัดที่รับพัดยศกลับไปยังวัดของท่านเอง

อาตมาเห็นแล้วกลัวใจ ถ้าหลวงพ่อท่านเวียนหัวแล้วร่วงลงมาจะเกิดอะไรขึ้น ? บางท่านมีลูกศิษย์ตามไป ๔๐ - ๕๐ คันรถบัส วัดที่จัดให้มีการรับสมณศักดิ์บางทีก็รองรับกำลังขนาดนั้นไม่ไหว ก็ทำให้เกิดรถติดแน่นไปหมด อาตมาเองไปคนเดียว บางทีก็มีโยมตามไปคนหนึ่ง กลายเป็นสัตว์ประหลาดในความรู้สึกของคนอื่นเขา ก็คือทำไมไม่มีใครมาด้วยเลย ?"

เถรี 26-09-2019 22:38

โยมถวายผ้าไตรสีเหลืองส้ม "คราวหน้าญาติโยมจะซื้อจีวร ช่วยมองหน้าอาตมาสักนิดหนึ่ง อาตมาใส่ชุดสีนี้ ที่ซื้อมาใช้ไม่ได้สักอย่างเลย ไม่อยากจะบอกให้กำลังใจตก แต่ให้หัดสังเกตดู ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราทำมาก็จะไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

ที่อื่นเขาไม่กล้าบอกกันหรอก เขากลัวโยมจะเสียกำลังใจ ให้มาอาตมาก็ไปให้วัดอื่นต่อได้ เพียงแต่บอกโยมให้รู้ว่า ถ้าช่างสังเกตหน่อยก็จะได้ประโยชน์มากกว่านี้ ที่อื่นเขาไม่กล้าบอก เขาปล่อยให้โยมโง่ไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเขาเกรงใจ แต่อาตมาเองไม่เกรงใจใครหรอก

พระพุทธศาสนาของเรา คำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นต้นด้วยปัญญา ก็คือสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ เพราะฉะนั้น..เราต้องใช้ปัญญาในทุกการกระทำและทุกความคิดของเรา ถ้าแค่นี้ยังไม่มีปัญญา สังเกตไม่เป็น พิจารณาไม่เป็น ก็ยังอีกนาน

บางทีพระเราทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่สั่งสอนญาติโยมบอกกล่าวในสิ่งที่ถูกที่ควร ดันมัวแต่เกรงใจ ว่าไปแล้วเดี๋ยวโยมโกรธ ไม่มาทำบุญ ไม่กล้าบอก ไม่กล้ากล่าว ปล่อยให้โยมทำผิดไปเรื่อย ๆ อาตมาตั้งใจจะติดป้ายไว้ที่หน้าบ้านเติมบุญว่า "ถ้ากลัวโดนด่าอย่ามาที่นี่...!" ส่วนที่วัดนั่นไม่ต้องติดหรอก เขารู้กันหมดแล้ว..!"


เถรี 26-09-2019 22:39

"บางคนมาวัด ใส่เสื้อกล้าม นุ่งกางเกงขาสั้นมา ไม่ได้ดูความเหมาะสมเลย จะเอาความสบายก็ไม่เป็นไร แต่ให้อยู่ที่บ้านเรา ไม่ใช่สถานที่อันควรเคารพอย่างในวัดวาอาราม เราก็ไปทำตัวตามสบาย ถ้าอย่างนั้นจิตก็หยาบเกินไป"

เถรี 26-09-2019 22:45

พระอาจารย์เล่าว่า "มีข่าวเล็ก ๆ อยู่ข่าวหนึ่ง แต่อาจจะเป็นข่าวใหญ่สำหรับบางคนก็คือ น้องตั๊ก บงกช เบญจรงคกุล คุณเธอใช้เวลา ๓ ปี ออกกำลังกายลดน้ำหนัก จาก ๘๗ กิโลกรัมลงมาเหลือ ๕๕ กิโลกรัม อยากจะบอกกับญาติโยมทั้งหลายว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง อยากลดน้ำหนักต้องออกกำลัง ไม่ใช่ไปกินยา ไม่ใช่ไปผ่าตัดกระเพาะให้เล็กลง ไม่ใช่ไปอดอาหาร โดยเฉพาะการอดอาหารเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ผิด เมื่อถึงเวลาหิวขึ้นมาก็เบรกแตก กินหนักกว่าเดิมอีก

ในส่วนนี้เราจะเห็นว่าน้องตั๊กใช้เวลา ๓ ปี ค่อย ๆ ออกกำลังกายลดน้ำหนักจนประสบความสำเร็จ นี่คือการปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มีฉันทะ คือความพอใจที่จะทำ แล้วก็วิริยะ พากเพียรทำไป จิตตะ กำลังใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายที่ตัวเองทำ ไม่ท้อถอย วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าถึงที่ที่ตนเองปรารถนาหรือยัง ? ถึงเป้าหมายหรือยัง ? ในส่วนนี้ทำให้เราเห็นว่า อิทธิบาทธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติตามก็จะประสบความสำเร็จ"

เถรี 26-09-2019 22:47

"แต่มีบางคนแย้งว่าน้องตั๊กรวยเป็นหมื่นล้าน แกเลยมีเวลาออกกำลัง ส่วนพวกเราทำมาหากินอยู่ จะเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลัง ? ก็เวลาทำมาหากินนั่นแหละ ถ้าตั้งใจทำงานจริง ๆ แล้วอย่ากินเยอะ ก็ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ทำมาหากิน..กินกระจายอย่างเดียว

มีคนรวยเยอะแยะไป ที่ฉันทะคือความพอใจไม่เพียงพอ จึงใช้วิธีทางลัด ก็คือไปผ่าตัดลดน้ำหนักบ้าง ไปดูดไขมันจนตายคาเครื่องบ้าง ก็เพราะว่าขาดอิทธิบาท ๔

ฉะนั้น..อิทธิบาทคือคุณเครื่องนำไปสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม ถ้าเราใช้ได้ถูกต้องอย่างแท้จริง ก็จะประสบความสำเร็จเช่นกัน

อย่างพระของเราก็แค่เดินบิณฑบาต แต่ละวันก็แทบจะมากกว่าโยมออกกำลังอยู่แล้ว อาตมาเดินบิณฑบาตวันละ ๕ กิโลเมตร เพื่อนพระหลายรูปที่น้ำหนักเหยียบ ๑๐๐ กิโลกรัมแล้ว มาสอบถามว่า "อาจารย์เล็ก ทำอย่างไรถึงรักษาหุ่นเอาไว้ได้ ?" อาตมาบอกว่า "ทำให้มากกว่าที่กิน" ฟังดูง่ายมากเลย ทำให้มากกว่าที่กิน ในเมื่อทำมากกว่า ก็ไม่มีเหลือเก็บ"

เถรี 26-09-2019 22:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมบางคนเห็นว่าอาตมาใช้คำพูดแรง หยาบคาย แต่สำหรับคนบางคนแล้ว ถ้าไม่แรงก็ไม่รู้ตัว ถ้าอยากได้แกงจืดหรือขนมหวานให้ไปที่วัดอื่น ถ้าจะเอากะเพราเผ็ดกระโดดก็มาที่นี่

นักปกครองสมัยโบราณบริหารด้วยพระเดชและพระคุณ คนจะทั้งรักทั้งกลัว ฉะนั้น...เวลาเราพูดถึงผู้ใหญ่ ที่เราใช้คำนำหน้าว่า พระเดชพระคุณ เกิดจากตรงนี้ พระเดชก็คืออำนาจที่ท่านมีอยู่ ซึ่งอำนาจนั้นจะมีขึ้น ก็เกิดจากตำแหน่งหน้าที่ของท่าน ที่ให้คุณให้โทษแก่ผู้อื่นได้ ถ้าไม่มีตำแหน่งแห่งที่ทางราชการ หรือตำแหน่งที่ให้คุณให้โทษแก่ผู้อื่นได้ ก็คือการเป็นปู่ย่าตายาย หรือเป็นพ่อเป็นแม่

ส่วนคำว่า พระคุณ คือคุณงามความดีที่ท่านได้กระทำไว้ สงเคราะห์ผู้คนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ปราศจากอคติ ทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน บาลีเขาใช้คำว่า บุรพการี คือผู้กระทำก่อน ส่วนผู้รับการกระทำแล้วก็กตัญญู คือรู้คุณ กตเวทิตาคือตอบแทนท่าน เพราะฉะนั้น..บางทีเราได้ยินว่าพระเดชพระคุณอย่างนั้น พระเดชพระคุณอย่างนี้ ให้รู้ด้วยว่าที่มานั้นมาอย่างไร ทำไมถึงใช้คำว่าพระเดชพระคุณ ไม่ใช่ฟังดูเหมือนเข้าใจ แต่ให้อธิบายกลับบอกไม่ถูก จบด็อกเตอร์มาแล้วยังโง่อยู่เลย..!"


เถรี 26-09-2019 22:56

พระอาจารย์เล่าว่า "ปลายเดือนที่ผ่านมา พระหลายรูปในวัดเรียนหมอดูจบแล้ว ขอไปเรียนอักขระเลขยันต์ต่อ อาตมาก็เลยเอาวันเดือนปีเกิดตัวเองไปให้ บอกว่าถอดดวงมา ของคุณเลข ๗ ตัว ของคุณมหาทักษา ของคุณถอดดวงอีแปะมา ปรากฏว่าพระท่านก็ทำนายดวงให้อาตมา ก็ต้องบอกว่าตามตำราบ้าง มั่วเอาบ้าง ประมาณการเอาจากที่สายตาเห็นบ้าง อาตมาก็เลยปล่อยให้ไปเรียนตามที่ตัวท่านต้องการ แต่ขณะเดียวกัน ก็คิดว่าแล้วจะได้อะไรวะ ?

เหตุที่สงสัยว่าจะได้อะไร ก็เพราะว่าศึกษามาแล้วไม่มีการค้นคว้าหาความชำนาญก่อน อาตมาเองแค่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ไปทดลองดูหมอตามตำราพรหมชาติดู ท่านบอกว่าของเขาน่ะของจริง อาตมาก็ไปเปิดตำราศึกษาเอาเอง จนกระทั่งจดจำได้ว่าแต่ละตัวเลขหมายถึงอะไร แล้วก็ซักซ้อมหาความชำนาญ ขอวันเดือนปีเกิดของพระของโยมมาดูเป็นร้อย ๆ คน จนกระทั่งแม่นยำเป็นที่ยอมรับ คนมากวนหัวไม่วางหางไม่เว้น ถึงได้ทิ้งเลิกไป

ลักษณะของการปฏิบัติธรรมกรรมฐานก็เหมือนกัน ถ้าทำกรรมฐานกองใดกองหนึ่งได้แล้ว ต้องซักซ้อมหาความชำนาญ ชนิดที่ต้องการเมื่อไรต้องกำหนดได้เมื่อนั้น เรื่องของเวทมนตร์คาถาก็เหมือนกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้คาถาบทไหนมา อาตมาจะทำจนขึ้นใจ ทำจนเกิดผล ซักซ้อมจนมั่นใจว่าต้องการเมื่อไรต้องได้อย่างนั้น แล้วก็ไปกราบเรียนรายงานให้ท่านทราบ ท่านก็จะให้คาถาบทต่อไปมา

พอถึงเวลาไปศึกษาอักขระเลขยันต์ โดยเฉพาะการเขียนผงลบผง เจ้าประคุณเอ๋ย...ต้องเขียนเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง แค่อักขระตัวเดียว ใช้คำว่าตัวเดียวก็ไม่ได้ หัวเดียว อย่างเช่นเราจะลบผงปถมัง ขึ้นหัว "นะ" ตัวเดียว หัวกลม ๆ ปถมัง พินธุกัง ชาตัง ลบไปเหอะ ลบจนกว่าผงจะลอดกระดานได้..!"

เถรี 26-09-2019 22:57

"แต่พระท่านบอกว่าเรียนหมอดูจบแล้ว ก็คือจบตามตำรา ไม่ได้หาความชำนาญอะไรเลย แล้วไปขอเรียนอักขระเลขยันต์ต่อ อาตมาถึงได้คิดว่าแล้วจะได้อะไร ? เรียนแบบนี้ โบราณเรียกว่าเรียนแบบเป็ด รู้หลายเรื่องแต่ไม่เก่งจริงสักเรื่อง เขาบอกว่า

จะให้ขัน........ขันได้ไม่เหมือนไก่
บินก็ได้..........แต่ไม่ทันพันธุ์ปักษา
ว่ายน้ำได้........ก็ไม่ทันเหล่าพันธุ์ปลา
เหมือนวิชา.......เรียนหลายสิ่งไม่จริงจัง


เรียนแบบเป็ด แต่สมัยนี้เขาต้องการเป็ดกันนะ ก็คือรู้ทุกเรื่อง รู้นิดรู้หน่อยให้รู้เข้าไว้ จะเอาตัวรอดได้ เขาว่าอย่างนั้น แต่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เรื่องของเวทมนตร์คาถา เรื่องของอภิญญาสมาบัติ ไม่ใช่รู้ทุกเรื่อง แต่เขาให้รู้จริงเรื่องเดียว เพราะว่าถ้าทำได้จริง ๆ อย่างเดียว อย่างอื่นต่อไปก็จะง่าย เพราะว่าใช้กำลังใจเท่ากัน ในเมื่อพระท่านคัน อยากจะเรียนอาตมาก็ปล่อยให้ไปเรียน อยากจะรู้เหมือนกันว่า ถ้าเรียนไปเรื่อยเปื่อยแล้วไม่ยอมซักซ้อมอะไร แล้ว
ใครจะประสบความสำเร็จบ้าง"

เถรี 26-09-2019 23:00

"อาตมาเรียนมโนมยิทธิ ซ้อมกันจนกระทั่งครูไล่ออกจากห้อง ซ้อมกันเป็นปี ๆ ที่ครูเขาต้องไล่ออกจากห้อง เพราะว่าไปพาเขาเสียหมด ที่พาเขาเสียหมดก็เพราะว่าครูแค่เอ่ยปากคำแรก อาตมาจะรู้ว่าทั้งประโยคคืออะไร ก็ชิงตอบก่อน ขณะที่คนอื่นเขายังไม่รู้ ก็พาเขาเสียหมด จึงโดนไล่ออกจากห้องมา

ครูเขาโวยวายว่า "เก่งขนาดนี้แล้วยังจะมาซ้อมอะไรกันอีก จะมาลองดีใช่ไหม ?" เดินหน้าเหี่ยวออกมา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "คล่องขนาดนั้นก็ไปเป็นครูสอนเขาได้แล้วลูก" ขนาดนั้นยังไม่มั่นใจตัวเอง ยังไปแอบซ้อมอีก ก็คือซ้อมข้าง ๆ ท่านนั่นแหละ นั่งถวายการรับใช้อยู่ข้าง ๆ ญาติโยมมาทำบุญ หลวงพ่อท่านจะแจกวัตถุมงคลตามราคาที่โยมทำบุญ

อย่างเช่นว่า ๑๐๐ บาท หรือไม่เกิน ๑๐๐ บาท แจกแหนบให้อันหนึ่ง ถ้าหากว่า ๒๐๐ บาท แจกอะไร ๓๐๐ บาทแจกอะไร ๕๐๐ บาทแจกอะไร อาตมาไม่เสียเวลาดู โยมวางซองปั๊บหยิบวัตถุมงคลส่งให้ปุ๊บ ขอยืนยันว่าไม่พลาด ต้องซ้อมให้ได้ขนาดนั้น ก็คือเงินในซองเขามีเท่าไรเราต้องรู้

มีอยู่รายหนึ่งมาวางซองปุ๊บ อาตมาหยิบฉีกไป ๒ ท่อน โยนลงถังขยะแล้วก็หยิบแหนบส่งไปให้อันหนึ่ง ลุงเอี๊ยงสะดุ้งเฮือก ตะปบขยะขึ้นมาดู ไอ้นั่นอยากได้วัตถุมงคลหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ไม่มีเงินทำบุญ ฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ พับใส่ซองมา ลุงเอี๊ยงเขาถึงได้เชื่ออาตมาจนหมดหัวใจ บอกอะไรเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่าซ้อมให้เห็นอยู่ทุกวัน

บางทีอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เซ็ง ๆ คนอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย นอกจากคิดติชาวบ้าน...! ฉะนั้น..ถึงเวลาทำอะไรต้องทำให้จริง ถ้ารู้จริงอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็จะรู้เหมือนกัน เพราะว่าใช้กำลังเท่ากัน (บอกกับโยมที่มาทำบุญ) จำไว้นะลูก จบหมอมาแล้วต้องเป็นทุกเรื่อง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว