กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1803)

เถรี 05-05-2010 21:50

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
 
พระอาจารย์แจ้งให้ทราบเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ว่า หลวงปู่เปลื้อง วัดลาดยาว จ. นครสวรรค์ ท่านมรณภาพแล้ว รวมสิริอายุ ๑๐๗ ปี

เถรี 05-05-2010 22:17

ถาม : หนูภาวนาคาถาเงินล้านแบบจับที่ศูนย์กลางกาย
ตอบ : ถ้าหากทำอย่างนั้นไม่ต้องภาวนามากก็ได้ ๙ จบก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว

ถาม : พอภาวนาได้ครู่หนึ่งแล้ว ลมหายใจก็ละเอียดขึ้นค่ะ
ตอบ : ถ้าหากจับจุดได้ถูกต้อง สมาธิจะทรงตัวเร็วมาก และส่วนใหญ่จะเป็นสมาธิใช้งาน

ถาม : เป็นสมาธิดีขึ้นเร็ว แต่ว่าไม่เห็นดิ่งลึกลงไปเลย
ตอบ : เอาให้ได้แค่นี้ก่อน ค่อย ๆ ทำ อย่าไปอยากให้เป็น ต่อไปก็จะเป็นอย่างนั้น จะดิ่งลงไปเอง

เถรี 06-05-2010 10:02

ถาม : ที่บ้านมีลูกพี่ลูกน้องมาอยู่ด้วยกันปีกว่าแล้ว รู้สึกอึดอัด ไม่อยากให้เขาอยู่ด้วย ควรจะทำอย่างไรให้สบายใจ เมื่อต้องอยู่กับเขา?
ตอบ : เปลี่ยนมุมมองกับเขาเสียใหม่ ทักทายพูดคุยกับเขา ชวนเขาไปกินข้าวบ้าง เผื่อเราจะได้เข้าใจว่าทำไมเขาจึงเป็นอย่างนี้ ลองดูซิว่าเขาจะสงสัยว่าเราผีเข้าหรือเปล่า ลองทำดูเผื่อจะดีขึ้น

อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าไม่สามารถให้เขาออกไปได้ ก็ต้องเป็นพวกเดียวกับเขาไปเลย

เถรี 06-05-2010 10:20

ถาม : หลังบ้านเป็นต้นขนุน เราจะตัดต้นขนุน ต้องบอกเขาอย่างไรคะ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจำเป็นจริง ๆ ก็ตัดได้ แต่ว่าให้ตั้งศาลหลังหนึ่ง ลักษณะแบบศาลพระภูมิ เมื่อบอกกล่าวเขาเสร็จแล้ว ตัดต้นเขาลงมา แล้วเอากิ่ง ๆ หนึ่ง ไม่ต้องใหญ่มาก ตัดสักคืบหนึ่งก็ได้ เอาตั้งไว้ในศาล โดยหันปลายกิ่งขึ้นข้างบน แล้วบอกให้เขาไปอยู่ในศาลนั้นแทน

ถาม : อย่างนั้นก็ต้องตั้งศาลก่อนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ

ถาม : แล้วในช่วงระหว่างทำบ้านละคะ ?
ตอบ : เก็บกิ่งเขาเอาไว้ พอทำบ้านเสร็จแล้ว ค่อยหาที่เหมาะสมตั้งศาลให้เขา

เถรี 06-05-2010 10:22

ถาม : เป่ายันต์มาหลายรอบแล้ว แต่คราวที่แล้วไปกินปีกไก่เหล้าแดง ยันต์หลุดไหมคะ ?
ตอบ : คราวหน้าไปรับยันต์ใหม่ได้เลยจ้ะ..!

เถรี 06-05-2010 10:41

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เวลาคนเรากลั้นใจ สติสมาธิทั้งหมดจะรวมอยู่จุดเดียวกัน ทำให้กำลังสมาธิสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ จะเห็นได้ว่าคนโบราณเวลามีการใช้คาถา ครูบาอาจารย์บางสายท่านบังคับไว้เลยว่าต้องกลั้นใจ

แต่คราวนี้พอเรามาทำทางด้านนี้ ศีล สมาธิ ปัญญาทรงตัวมากขึ้น เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำไปอย่างนั้นแล้ว เพราะเราอาศัยบุญในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาตรงนี้แทน ถึงเวลาติดขัดอะไรก็อ้างถึงบุญของเราได้ บนพระท่านก็ได้ บนเทวดาท่านก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยด้วยตัวเองแล้ว

จริง ๆ แล้วทำถูก เพราะคนเราถ้ากลั้นใจ สมาธิก็จะทรงตัวเอง คือ มันกลัวตาย จึงรวมเป็นหนึ่งเดียวเลย แต่อย่าไปทำอย่างนั้นอีก เพราะจะเสียตรงที่ว่า ถ้าเราทำอย่างนั้น ต่อไปถ้านั่งสมาธิก็จะไม่ทรงตัว

เถรี 08-05-2010 10:21

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปวัดเขาวง พอญาติโยมถวายปัจจัยมา ท่านก็ถวายให้หลวงตาทั้งหมด ขนาดตอนจะขึ้นรถกลับ เขาก็ยังถวายมาให้อีก กะว่าอย่างไรท่านก็ต้องเอากลับวัดแน่ แต่ท่านก็ยังหาทางให้ทางวัดเขาวงจนได้

ท่านกล่าวให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำเป็นธรรมเนียมเลยว่า รับปัจจัยที่วัดไหนก็ให้วัดนั้นไปเลย ยกเว้นส่วนใดที่เขาระบุทำบุญเฉพาะเจาะจงวัดของเรา เราต้องรับกลับมา จะได้ไม่ต้องไปแปรเจตนาของเขา

ฉะนั้น..เวลาเขาทำบุญมา จะส่วนตัวหรืออะไรก็ตาม อาตมาจะลงที่นั่นหมด ไม่แบกกลับมาหรอก บางทีก็บอกว่ารวยพอแล้ว..!"

เถรี 08-05-2010 10:23

พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงตาในวันงานหล่อพระที่วัดเขาวงว่า "พอหล่อพระเสร็จ หลวงตาก็หงายผลึ่ง ต้องให้น้ำเกลือ เราจะบอกโยมไปตรง ๆ ก็เกรงว่าโยมจะเป็นห่วง ก็เลยบอกว่าหลวงตานอนพักอยู่ ที่เห็นว่ารีบตะกายมานั่งรับสังฆทานต่อเพราะพี่เขาไม่ไหวแล้ว

ที่จริงหลวงตาเกิดวันที่ ๒๙ เมษายน ที่ท่านเลื่อนมา ๑ พฤษภาคม เพราะวันที่ ๑ เป็นวันหยุด เหมือนสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าท่านเลือกเกิดวันอาทิตย์ เพราะอย่างไรคนมาทำบุญแน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านเกิดวันเสาร์"

เถรี 08-05-2010 10:25

พระอาจารย์ท่านกล่าวถึงเรื่องเพศที่สามว่า "ถ้าเราเห็นเป็นเรื่องปกติก็เป็นเรื่องปกติ คือ วาระบุญวาระกรรมเขาเป็นอย่างนั้น บุคคลที่สร้างบารมีมาถึงอุปบารมีขั้นปลาย ก็จะเปลี่ยนจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ตอนช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนผ่าน ก็จะมีนิสัยผู้ชายติดตัวมา เขาก็ว่าเป็นทอม พอเปลี่ยนเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงติดมา เขาก็ไปเรียกว่าตุ๊ด

ทุกคนจะต้องผ่านช่วงนี้กันมาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าระยะนี้คนประเภทนี้เขาเกิดมากเท่านั้นเอง"

เถรี 08-05-2010 10:26

ถาม : การที่ภาวนาไปแล้วดิ่งไปเรื่อย ๆ หมายถึง ดิ่งที่กลางกาย หรือว่าอารมณ์ดิ่ง ?
ตอบ : ทั้งสองอย่าง จะกลางกายก็ได้ จะอารมณ์ดิ่งก็ได้ ให้ได้สักอย่าง หรือได้ทั้งสองอย่างเลยก็ยิ่งดี

เถรี 09-05-2010 10:46

ในเรื่องของความกตัญญู พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิมิตฺตํ สาธุรูปานัง กตญฺญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ภูมิ เว สปฺปุริสานํ กตญฺญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของคนดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสรับรองเอง

แม้กระทั่งหลวงพ่อท่านบอกว่า ให้สังเกตดูคนจีน ไม่ว่าจะมาเสื่อผืนหมอนใบขนาดไหน ไปอยู่ได้ไม่นานก็ตั้งหลักได้และเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะคนจีนมีความกตัญญูเป็นปกติ โดยเฉพาะกตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อผู้มีคุณ"

เถรี 09-05-2010 10:47

ถาม : ถ้าตัวเองบนหลาย ๆ ที่ กับบนเรื่องเดียวที่เดียว ต่างกันไหมครับ?
ตอบ : เรื่องเดียวแต่บนหลายที่โอกาสสำเร็จมีมาก เพราะขอความช่วยเหลือหลายแห่ง แต่จำให้แม่น ๆ ว่าบนอะไรไปบ้าง ถึงเวลาแก้ให้ครบด้วย

เถรี 09-05-2010 10:48

ถาม : ปกติมีดอกไม้ชนิดใดบ้างครับ ที่ห้ามมาบูชาพระพุทธรูป ?
ตอบ : ดอกอุตพิด..!

เถรี 09-05-2010 10:50

ถาม : ถ้าเราตั้งใจจะภาวนาคาถาเงินล้านหนึ่งชั่วโมง แต่ชั่วโมงนั้นเราฟุ้งซ่านมาก เลยใช้คาถารวมจิตเพื่อระงับความฟุ้งซ่าน ตรงนั้นถือว่าเป็นการผิดความตั้งใจหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เพิ่มเวลาภาวนาเข้าไปสิ สมมติว่าเราใช้คาถารวมจิต ๑๕ นาที ก็ไปเพิ่มการภาวนาคาถาเงินล้านเป็นหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที เท่ากับว่าได้ภาวนาเท่าเดิม

เถรี 10-05-2010 17:40

ช่วงวันที่ ๓ - ๔ - ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทุกเย็นที่บ้านอนุสาวรีย์ จะมีเสียงดังจากกลุ่มคนหลากสีที่มาชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

พระอาจารย์จึงเปรยถึงเรื่องการเมืองว่า "มีเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปไม่ได้อยู่เรื่องหนึ่ง...ที่น่าจะให้เป็น ก็คือ ต้องกำหนดคุณสมบัตินักการเมือง จะเรียนจบอะไรมาก็ช่างเถอะ แต่อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบัน..!

เพราะว่านักการเมืองเป็นได้แค่พระโสดาบัน ตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไปท่านไม่เอาแล้ว พระโสดาบันก็คงได้ไม่เกินโกลังโกละ ส่วนเอกพีชีท่านก็ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใครแล้วเหมือนกัน

เอกพีชีนี่ ถ้าคนตายท่านไม่ร้องไห้แล้วนะ คนที่รักตายท่านก็ไม่ร้องไห้ อาจจะรู้สึกสลดมีธรรมเวชบ้าง แต่ไม่เหมือนกับสัตตักขัตตุงหรือโกลังโกละ เอกพีชีและสกิทาคามีนั้น รัก โลภ โกรธ หลง เหลือหน่อยเดียวแล้ว

แต่ถ้าจะเอาพระอริยเจ้าจริง ๆ ก็คงจะไม่เหมาะ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีอารมณ์ใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านมุ่งมั่นเพื่อส่วนรวม"

เถรี 10-05-2010 17:42

"สถานการณ์ปัจจุบันนั้นอันตรายตรงที่ว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ตรงไปตรงมา พยายามใช่เล่ห์เหลี่ยมต่อกัน ในเมื่อขาดความจริงใจ เจรจาไปก็ไร้ผล

รัฐบาลก็พยายามยื้อให้นานที่สุด หวังให้ฝ่ายประท้วงหมดแรงไป ฝ่ายประท้วงก็พยายามที่จะทำให้เป็นเหตุใหญ่ขึ้นมา เพื่อที่รัฐบาลจะได้อยู่ไม่ได้ และมีมือที่สอง ที่สาม ที่สี่ ฯลฯ อีกไม่รู้เท่าไร

ถามว่ายืดเยื้อนานไหม ? ใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล กี่สีก็ไม่พ้น เพราะมีตัวอย่างเสียแล้ว ภาษิตโบราณเขาบอกว่า ขี้ก้อนใหญ่ให้เด็กเห็น ในเมื่อเด็กเห็น และเลียนแบบไปแล้ว ผู้ใหญ่ก็ว่าไม่ได้"

เถรี 10-05-2010 17:46

"ความเชื่อในลัทธิการเมืองไม่ใช่ความผิด แต่วิธีการปฏิบัติจะต้องเป็นไปตามกติกาที่เขากำหนด อย่างเช่นว่า มาสู้กันในรัฐสภา ถ้าหากสู้เขาไม่ได้ ก็ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่เขาต้องการรูปแบบนั้น เราก็ต้องยอมตามเขา ไม่เปลี่ยนความคิดของตัวเอง แต่ว่ารอจนได้โอกาสอีกครั้ง ก็คือ เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่

ในลักษณะอย่างนี้ที่เขาพูดกันอยู่ กลายเป็นการปลุกระดมสร้างอารมณ์ร่วม ไปกระตุ้นอารมณ์เกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นวิธีการที่ผิดตั้งแต่แรก ในเมื่อเห็นเขาเป็นคนละฝ่าย ความคิดที่จะให้เกิดความสามัคคีก็เกิดไม่ได้ เราแค่รับฟังเราก็รับรู้ได้ถึงกระแสโทสะเต็ม ๆ เลย แล้วจะไปสามัคคีกันได้อย่างไร ?

ถ้ามองต้องมองอย่างในหลวง ไม่ว่าจะเสื้อสีใด ไม่ว่าจะศาสนาไหน จะคนดีหรือคนชั่ว ก็คือพสกนิกรที่พระองค์ท่านต้องปกครองดูแล เพียงแต่พระองค์ท่านให้แนวไว้ว่า ต้องสนับสนุนให้คนดีมีอำนาจในการปกครองจริง ๆ เพื่อที่จะได้ข่มคนชั่วเอาไว้

การเล่นการเมืองในบ้านเรานั้นล้าหลังและน้ำเน่า มักจะสาดโคลนใส่กัน อยู่ในลักษณะที่ถ้าข้าชั่วเอ็งก็เลว ไม่มีการนำเอาข้อดีต่าง ๆ ขึ้นมาว่ากัน กลายเป็นไปขุดเอาความไม่ดีของอีกฝ่ายมาโจมตีกัน

ถ้าจะหาเสียงโดยไม่ให้กระทบกระทั่งคนอื่นเขา ก็คือ ตัวเองจะทำอะไร คิดว่าจะทำสิ่งที่ดีงามให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างไร มีแนวนโยบายที่จัดการในเรื่องอย่างนี้อย่างไร คงต้องรอพัฒนาการอีกสักชั่วคนหรือสองชั่วคน..!"

เถรี 10-05-2010 17:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลที่ควรจะได้สองขั้น สามขั้นทุกปี ก็คือ มาร

พญามารกับเสนามาร เขาขยันจริง ๆ ดูสิเขาทำงานเต็มที่เลย ไม่เคยอู้กับใคร ถ้าพวกเรารักปฏิบัติได้สักครึ่งหนึ่งของการทำงานของมาร น่าจะบรรลุไปแล้ว..!"

เถรี 10-05-2010 17:52

พระอาจารย์กล่าวเตือนว่า "อารมณ์ใจตั้งให้ถูก เบื่อก็คือเบื่อ แต่อย่าไปผสมโทสะ ถ้าหากมีโทสะแทรกเข้าไปแม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวจะกลายเป็นเกลียด ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่อารมณ์แห่งการหลุดพ้น แต่จะกลายเป็นอารมณ์ลงนรก..!

โทสะเป็นรากเหง้าของนรกโดยตรงเลย ถ้าหากโลภยังเป็นเปรตอสุรกายบ้าง"

เถรี 10-05-2010 17:57

พระอาจารย์กล่าวว่า"คำว่าคานกับนิพพานใกล้กันนั้น มาจากมหาสติปัฏฐานสูตร เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ทางนี้เป็นทางของบุคคลคนเดียว

คนที่อยู่บนคานมักอยู่คนเดียว ถึงได้บอกว่า คนอยู่บนคานมักได้เปรียบ เพราะว่าอยู่บนคานเท่ากับอยู่ใกล้นิพพาน ไปถูกทางแล้ว

เอกายะ คือ ทางสายเดียว แต่คนแปลมักแปลความหมายผิด ไปแปลว่า เฉพาะมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้นจึงจะไปนิพพานได้ เพราะเขาแปล เอกายะ ว่าเป็นทางสายเดียว ต้องบอกว่า นี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความบริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นแปดหมื่นกว่าพระธรรมขันธ์ก็ใช้งานไม่ได้

เนื้อหาทุกอย่างไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ถ้าขาดการสรุป เท่ากับว่าขาดใจความสำคัญไปด้วย ดังนั้น..ในพระไตรปิฎกรุ่นใหม่ ๆ เขามักจะไปตัดเนื้อหาออก ก็คือ ตัดที่มาและตัดผลลัพธ์ มีแต่เนื้อ ถึงจะเหมาะสำหรับคนใจร้อนจริง ๆ แต่เขาก็จะไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร ทำแล้วเกิดผลดีอย่างไร"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว