กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=673)

เถรี 13-07-2009 16:57

หลวงพ่อท่านสอนว่า "การบริโภคอาหารต้องรู้จักประมาณ โภชเนมัตตัญญุตา ไม่ใช่โภชเนมัตตัญญุตะกละ..!

เรื่องของการห้ามปากก็คือกำลังใจในการห้ามไม่ให้ละเมิดศีล ถ้าห้ามปากอยู่ ก็มีโอกาสในการรักษาศีลได้ครบถ้วน ถ้าห้ามปากตัวเองไม่อยู่ โอกาสที่จะรักษาศีลให้สมบูรณ์ก็ยาก เพราะว่ากำลังใจยังไม่พอ เดี๋ยวมีโอกาสก็ละเมิดศีลอีก มีทางเดียวคือต้องห้ามปากให้ได้"

เถรี 13-07-2009 17:15

ถาม : สีลัพพตปรามาสคืออะไรคะ ?
ตอบ : สีลัพพตปรามาส คือรักษาศีลไม่จริง เขาแปลว่า ลูบคลำในศีลพรต

ถาม : แล้วสำหรับกรณีคนที่ถือศีลมากกว่าแล้วถือว่าตนเองนั้นดีกว่าคนที่ถือศีลน้อยกว่า
ตอบ : อันนั้นจัดเป็นมานะ

ถาม : เคยอ่านเจอท่านผู้หนึ่งเขาอธิบายความหมายของคำว่า สีลัพพตปรามาสมาแบบนี้
ตอบ : นั่นผิดไปเป็นโยชน์ ส่วนเรื่องของการตีความนั้นขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคน เหมือนโรงมหรสพทางวิญญาณ ที่มีภาพแล้วให้เราตีความ ในเรื่องของการตีความธรรมะ กำลังใจสูงก็ตีความสูง กำลังใจต่ำก็ตีความต่ำ ถามว่าผิดหรือไม่...ไม่ผิด แต่ว่าท่านรู้แค่นั้น ถ้าหากว่าก้าวพ้นไปก็จะมีที่ถูกกว่านั้นอีก

เถรี 13-07-2009 17:35

หลวงพ่อกล่าวว่า "หลายท่านความรู้ทางพุทธศาสนาจำกัดมาก ถ้าเจอลูกศิษย์อย่างคุณเลิศนี่ตายเลย ถ้าแบบนั้นมาแล้วเขาไปคุยด้วยจะเกิดโทษอย่างมหาศาล มันเกิดโทษตรงที่ว่าเขาจะคิดว่านี่หรือพระ พระพุทธศาสนามีแค่นี้หรือ

เพราะฉะนั้นไปถึงระดับนั้นแล้ว ความเป็นเจ้าอาวาสหลักการมันต้องแม่น ทำไม่ได้ไม่ว่า...แต่ต้องบอกให้ได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าดีแท้แน่นอน ทำไม่ถูกไม่เป็นไรแต่บอกให้ถูก อย่างน้อย ๆ ก็เป็นอย่างพระสุธรรมเถร ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกใบลานเปล่า อย่างน้อย ๆ บอกถูกลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์เป็นพัน ตัวเราเองทำไม่ได้ไม่เป็นไร แต่หลักการทิ้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นทำไม่ได้หลักการจะต้องแม่น อย่างน้อย ๆ ก็เอาไปคุยกับชาวบ้าน


สมัยนี้เขายัดเยียดให้จำ
ยัดเยียดให้จำ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ได้ความรู้ แต่ว่าในขณะเดียวกันสิ่งที่จำเราสามารถเอาไปแตกกอต่อยอดได้หรือเปล่า ไม่ใช่เขาให้จำเราก็จำอย่างเดียว เดี๋ยวก็ไปกันใหญ่

สมัยผมเรียนทหารเพื่อน ๆ เรียกว่าไอ้รอบโลก เรื่องอะไรคุยได้หมด"

เถรี 13-07-2009 18:48

ถาม : เมื่อก่อนหนูว่ากิเลสตัวราคะมันแรงสำหรับหนู มาเจอตอนนี้โทสะมันก็แรงด้วย
ตอบ : มันแรงทุกตัวเพียงแต่ว่าเราจะเจอตัวไหน

ถาม : มันไม่ถึงกับโกรธ แต่มันก็รู้สึกสะกิดใจ
ตอบ : ให้มันเป็นแค่สะเก็ดไฟก็พอ

ถาม : ค่ะ
ตอบ : อย่าให้มันลุกลาม รีบตัดมันเสียตั้งแต่ต้น ข้างในจะอกแตกตายก็ช่างมัน

ถาม : ลึก ๆ เข้าไปแล้วมันจับไม่ได้ก็ปล่อยออกมา
ตอบ : อ้าว ก็บรรลัย

ถาม : ปล่อยออกมาก็คือ ดูแล้วว่ามันไม่มีอะไร มันจับไม่ได้ ก็เลยไม่ไปใส่ใจมัน
ตอบ : อ่อ มันก็ไม่มีอะไรต้องใส่ใจกับมัน แต่ทีนี้การใส่ใจของเรา บางทีความเคยชินสภาพจิตของเราที่เคยปรุงแต่งมันไปก่อน ในเมื่อมันไปก่อน กว่าเราจะรู้ตัว อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า แขกไม่ได้รับเชิญ
ต้องสร้างสติให้มันชัด สร้างสติให้รู้เท่าทันมัน ไม่ไปปรุงแต่ง มันก็เกิดไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ทันมันก็พาเราไปหลายกิโล


ถาม : สังเกตว่ามันสลับกันมา ถ้าช่วงนี้ราคะมา โทสะก็จะเงียบ ถ้าโทสะมา ราคะก็จะเงียบ มันผลัดเวรกันมา
ตอบ : อย่าตั้งใจ ตั้งใจละตัวไหน ตัวนั้นมาทันที ปล่อยมันตามสภาพ ไม่ยินดีและก็ไม่ยินร้าย มาก็รับรู้ไว้ ไปก็ไม่ดีใจ

ถาม : มันเริ่มเห็นอะไรไปลงที่ไตรลักษณ์ตลอด
ตอบ : นาน ๆ ไปก็จะบ้า คนรอบข้างก็เริ่มมา ปฏิบัติไป ๆ แล้วเขาชมว่าบ้าจงดีใจเถิด เพราะอย่างน้อย ๆ มันได้เห็นหน้าเห็นหลัง

เถรี 13-07-2009 18:56

ถาม : มีคนหนึ่งเขาบอกว่า บางท่านที่อยู่ในระดับอนาคามีมรรค สามารถค้างอยู่ในระดับนั้นเป็นปี ๆ กว่าจะเข้าถึงระดับอนาคามีผลได้ มีด้วยหรือคะ?
ตอบ : ขอยืนยันว่ามี ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นมันเป็นความฝังใจของเขาหรือเปล่า ถ้ามันเป็นความฝังใจมา ตราบใดที่ไม่ได้รับการตอบสนอง มันก็อยู่ตรงนั้น

เถรี 13-07-2009 20:12

ถาม : ความหมายของคำว่า "เลือดตกยางออก"
ตอบ : เลือดตกยางออก จริง ๆ ก็คือเลือดนั่นแหละ ทีนี้ยางออก ส่วนใหญ่เขาหมายถึงยางไม้ ลักษณะบางคนที่เขาอยู่ยงคงกระพันแต่ก็มีบาดแผลขีดข่วนบ้าง เลือดมันซึมอยู่หน่อย เขาเรียกว่ายางออก

เถรี 13-07-2009 20:31

หลวงพ่อเล็กท่านเล่าว่า "ครูบาเหนือชัยท่านมีลักษณะหลอกคน คำว่าหลอกคน ไม่ใช่ว่าท่านเที่ยวไปหลอกลวงใคร จริง ๆ ก็คือรูปร่างท่านหลอก เราเห็นนึกว่าท่านใหญ่มาก ๆ เลย แต่จริง ๆ แล้วท่านเล็ก

ลองตั้งใจสังเกตดูหรือไปยืนเทียบกัน ถ้าผ่านตาครั้งแรกจะรู้สึกว่าท่านใหญ่มาก ๆ เลย เคยเจอแบบนี้มา ๒-๓ คน แปลกใจ"

ถาม : แล้ว ๒-๓ คนที่ท่านเจอมีใครบ้าง?
ตอบ : บอกไม่ได้ เดี๋ยวเอ็งไปค้น..!

เถรี 14-07-2009 10:11

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "พวกนักค้นคว้าวิจัยต่างพยายามจะยืนยันให้ได้ว่ามนุษย์แต่แรกนั้นมีวิวัฒนาการมาจากพวกลิง จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่"

ถาม : คนมาจากไหน ?
ตอบ : คนมาจากอาภัสราพรหม

ถาม : แล้วเมื่อไหร่เขาจะหาความจริงนี้เจอ?
ตอบ : จนกว่าเขาจะปฏิบัติได้ทิพจักขุญาณ หลังจากนั้นก็ดูในยถากัมมุตาญาณหรือไม่ก็ดูในจุตูปปาตญาณ ว่าคนมาจากไหน

เถรี 16-07-2009 21:29

ต้นเดือนที่ผ่านมานี้ ที่บ้านอนุสาวรีย์คนจะมาน้อยกว่าเดือนอื่น ๆ ค่ะ โดยเฉพาะช่วงวันศุกร์นี่โล่งมาก สามารถตั้งวงเตะตะกร้อหลังห้องได้เลย

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวัน"

ท่านบอกว่า " นี่เขาเพิ่งไปงานเป่ายันต์เกราะเพชรมาไม่กี่วัน จะไปงานโสฬสอีก เมื่อเห็นตรงจุดนี้เขาก็เว้น (บ้านอนุสาวรีย์) ได้ ก็สบายเรา

มันเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่ง ก็คือ จัดลำดับความสำคัญก่อน-หลัง เร็ว-ช้า แสดงว่าการปฏิบัติเริ่มมีผล มีสติ สมาธิ และปัญญามากขึ้น อันนั้นสำคัญกว่า ก็เลือกทำอันนั้นก่อน อันไหนเร็วกว่าเลือกทำอันนั้นก่อน"

เถรี 16-07-2009 21:55

ถาม : ผู้ที่รับยันต์เกราะเพชร ทำไมบางคนถึงเป็นไข้ บางคนถึงไม่เป็น และคนที่เป็นบางทีสามวันจึงหาย?
ตอบ : แต่ละคนนอกจากกำลังใจจะไม่เท่ากันแล้ว จริตนิสัยยังไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการแสดงออกต่าง ๆ จะไม่เหมือนกัน เราก็คิดว่าเป็นไข้เพราะอากาศก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องสงสัย

ถาม : ไปหาหมอแล้วตรวจไม่เจอครับ
ตอบ : จะได้ยืนยันว่าเป็นเรื่องของพุทธานุภาพ ถ้าตรวจเจอก็แสดงว่าไม่ใช่สิ

เถรี 17-07-2009 12:36

หลวงพ่อสอนพระลูกศิษย์ว่า "เปิดตัวเร็วก็เป็นเป้าเร็ว ถ้าหนังไม่หนา หน้าไม่ด้าน ทนแรงเสียดทานไม่ไหว ก็เจ๊ง"

เถรี 17-07-2009 12:39

หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "การนำ อย่างน้อย ๆ มันนำได้ไม่กี่คน สำคัญที่สุดคือนำตัวเอง นำตัวเองให้รอดจากวัฏสงสารได้"

เถรี 17-07-2009 17:22

หลวงพ่อกล่าวถึงในเรื่องของกฐินว่า "การที่ทำหลาย ๆ วัด เราทำอานิสงส์แต่มันไปตัดโอกาสของวัด เนื่องจากหลายท่านอยากจะเป็นเจ้าภาพ แต่พอไปถึงเขาบอกว่าวัดนี้มีผู้เป็นเจ้าภาพกฐินแล้ว เขาก็ไม่รับ

กรณีที่เป็นเจ้าภาพถึง ๑๐ วัด ถ้าหาเงินได้ห้าแสนก็เฉลี่ยวัดละห้าหมื่น ห้าหมื่นสมัยนี้สร้างส้วมสักหลังยังต้องคิดเลย

ถ้าจะเอาเรื่องอานิสงส์กฐินวัดเดียวก็เหลือเฟือ อย่างมหาทุคตะทำอานิสงส์กฐินครั้งเดียวเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเลย

ดังนั้นก็คือ เล็งวัดใดวัดหนึ่ง แล้วก็บันทึกไล่ไปว่า พ.ศ. นี้ วัดนี้ ไล่ไปเรื่อย ๆ แล้วมันจะได้น้ำได้เนื้อ"

เถรี 17-07-2009 17:29

หลวงพ่อท่านบอกว่า "ปีนี้ขอแรงพวกเราไปช่วยหลวงพ่อสิงห์ วัดถ้ำป่าไผ่ หลวงพ่อเป็นหนี้เขาอยู่เยอะ วันก่อนโทรมา ตุ๊ป้อหมดแฮงแล้ว อายุ ๗๒ แล้ว รบกวนพระน้องช่วย

กฐินของท่านวันที่ ๑ พฤศจิกายน เราก็ต้องมารับสังฆทาน ๗-๘-๙ พฤศจิกายน

คนเรามันก็หลอกลวงกันได้ลงคอ มันปลอมหนังสือของพระราชวังขอให้ช่วยบริจาคเงิน หลวงพ่อสิงห์ก็บริจาคไป แล้วก็มารู้ทีหลังว่าของปลอม เท่ากับเสียเงินไปฟรี ๆ ก็เลยกลายเป็นหนี้เขาโดยปริยาย"

เถรี 17-07-2009 17:54

เราจะสังเกตได้ว่าหลวงพ่อท่านมีเรื่องราวเยอะแยะมากมายมาเล่าให้พวกเราฟัง แล้วท่านก็เอ่ยขึ้นว่า "หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ท่านบอกว่า บวชนาน นิทานจะมาก

เรื่องที่มันรู้มากขึ้น ๆ มันสอดแทรกเข้าไปได้ บางทีเรื่อง ๑ ข้อ อธิบายแค่สองนาทีก็หมด แต่ก็สามารถอธิบายยาวเป็นชั่วโมงได้ มันมีเรื่องแทรกไปเรื่อย ๆ "

เถรี 17-07-2009 22:07

มีโยมบางคนไม่ได้ฟังพระอาจารย์ท่านเทศน์ พอท่านอาจารย์ถามถึง เขาจึงไม่รู้ตัว ท่านจึงว่า "นึกถึงเรื่อง ๕ คน พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่แท้ ๆ แต่ปรากฏว่าคนหนึ่งนั่งมองฟ้า คนหนึ่งกอดเสา แถมเขย่าด้วย คนหนึ่งเอามือเขี่ยดินไปเรื่อย อีกคนหนึ่งก็หลับ อีกคนหนึ่งตั้งใจฟัง ปรากฏว่ามีรายนี้รายเดียวที่ตั้งใจฟัง บรรลุมรรคผล

พระอานนท์ก็แปลกใจ กราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์แสดงธรรมประดุจดั่งมหาเมฆบันลือ ไฉนบุคคลเหล่านี้จึงไม่ให้ความสนใจ พระพุทธเจ้าท่านก็อธิบายให้ฟังว่า
รายที่แหงนมองฟ้า เป็นหมอดูยกเมฆมาตลอด ๕๐๐ ชาติ เคยชินกับการดูเมฆ ก็เลยไม่ได้สนใจฟังเทศน์ เอาแต่แหงนมองฟ้า
ส่วนรายที่กอดต้นเสาเกิดเป็นลิงต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ
รายที่เขี่ยดินเกิดเป็นไส้เดือนมา ๕๐๐ ชาติ
รายที่หลับเกิดเป็นงูใหญ่มาตลอด ๕๐๐ ชาติ ถนัดการพาดหัวกับขนดแล้วหลับ
ส่วนรายที่ตั้งใจฟัง เกิดเป็นพราหมณ์เรียนไตรเพทมาตลอด ๕๐๐ ชาติ เมื่อได้ฟังสิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรม เกิดความสนใจเงี่ยหูฟัง ในที่สุดก็บรรลุมรรคผล"


ถาม : แล้วผมล่ะครับ?
ตอบ : เกิดเป็นวรนัสมา ๕๐๐ ชาติ..!

เถรี 18-07-2009 15:37

หลวงพ่อบอกว่า "บางอย่างเราไปห้ามเขาตรง ๆ เขาจะโกรธ จะประกาศตัวเป็นศัตรู

ดังนั้น เรื่องการปกครองจึงต้องมีเทคนิค เขาถึงได้บอกว่าการดำเนินชีวิตนั้นมีทั้งศาสตร์คือความรู้ มีทั้งศิลป์ก็คือวิธีการ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิปฺปญฺจ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การมีศิลปะ จัดเป็นอุดมมงคลอย่างสูง

ศิลปะไม่ใช่แค่ความรู้ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการหากินเท่านั้น แต่ศิลปะยังหมายถึงหลักการที่จะดำรงตนอยู่ในสังคม นี่ต่างหากที่สำคัญกว่า

เพราะฉะนั้นคำว่าสิปปัญจะ การมีศิลปะ ก็คือศิลปะที่เป็นวิชาความรู้และศิลปะในการดำรงชีวิต"

เถรี 18-07-2009 15:40

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังค่ะว่าท่านหุงข้าวเป็นตั้งแต่ตอน ป. ๒ ค่ะ ทั้งเตาถ่าน เตาแก๊ส ฯลฯ เป็นหมด
ท่านบอกว่า "หัดทำอะไรด้วยตนเองเสียแต่เนิ่น ๆ มันจะรู้มากกว่าชาวบ้านเขา"

เถรี 19-07-2009 20:34

หลวงพ่อบอกว่า "เรื่องแรงอธิษฐานนี่ร้ายแรงมาก เพราะฉะนั้นทำอะไรอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเราอธิษฐานอะไร ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเจอกรณีแบบเดียวกับขุนช้างที่อธิษฐานทับนางพิมพิลาไลย หรือกรณีแบบเดียวกับพระเจ้ากุสราช

พระเจ้ากุสราชในชาตินั้น เป็นชาวบ้านอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ พี่สะใภ้นั้นมีหน้าที่ทำอาหาร เวลาทำอาหารก็ทำไว้ ๓ ส่วน ของน้องชาย ๑ ของสามี ๑ ของตนเอง ๑

วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตผ่านมา พี่สะใภ้เห็นก็ดีใจเลยเอาอาหารส่วนของตนเองถวาย แต่ก็ยังไม่พอใจ ตัวเองอยากถวายให้มากกว่านี้ คิดว่าเรากับสามีก็เหมือนคน ๆ เดียวกัน เดี๋ยวเราทำให้ใหม่ก็ได้ จึงเอาอาหารส่วนของสามีถวายอีก แต่ก็ยังไม่พอ เอาอาหารส่วนของน้องสามีถวายไปด้วย

ปรากฏว่าน้องสามีกลับจากป่า ถามหาอาหารส่วนของตน พี่สะใภ้บอกว่าถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้ว น้องสามีก็เลยด่าพี่สะใภ้ พี่สะใภ้จึงทำอาหารให้ใหม่ และทำส่วนของตนเองด้วย แล้วก็นำไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกับอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าชาติไหนขออย่าให้ได้เจอน้องผัวแบบนี้ ทำบุญนอกจากจะไม่ยินดีแล้ว ยังด่าอีก

น้องสามีหรือพระเจ้ากุสราชในชาตินั้น เมื่อได้ยินเข้าก็เกิดโทสะ ตัดสินใจว่าไม่กินอาหารส่วนของตนแล้ว ถวายพระดีกว่า จึงเอาอาหารไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วอธิษฐานว่า ไม่ว่าเกิดชาติใดต้องได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมีย ก็เลยกลายเป็นว่าแม้จะอยู่บนปราสาทเจ็ดชั้น ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แค่เห็นหน้าเท่านั้น ก็หนีตามกัน

ดังนั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีมันอันตรายตรงที่ว่า ถ้าคนที่อธิษฐานทีหลังบารมีเขาสูงพอนี่...เราเสร็จเลย อย่างของพระเจ้ากุสราชตอนหลังท่านก็มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบารมีพระโพธิสัตว์"

เถรี 19-07-2009 20:37

พอหลวงพ่อเล่าเรื่องการอธิษฐานจบ มีคนถามต่อว่า พี่สะใภ้ในเรื่องควรจะอธิษฐานอย่างไร?

ท่านก็บอกว่า "อธิษฐานว่าอะไรก็ตามที่ไม่เป็นที่ต้องใจของเรา ขออย่าได้เจอ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:57


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว