กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3131)

เถรี 07-01-2012 11:24

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕
 
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานอาตมาไปพุทธาภิเษกที่สนามหลวง เจ้าของงานก็คือสมาคมศิลปินเพื่อพระพุทธศาสนา ซึ่งมีคุณดาวใจ ไพจิตรเป็นนายกสมาคม เขาสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒ แผ่นดิน ก็คือประเทศไทยกับภูฏาน อาตมาเรียก "ภูฐาน" มาตั้งแต่เด็กจนโต อยู่ ๆ เขามาเรียก"ภูฏาน" ฟังแล้วมึน

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีมอบพระทันตธาตุของสมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มาให้ชาวไทยได้สักการบูชาในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา

สมาคมนี้จึงสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คนได้บูชา แต่รายละเอียดอะไรสักอย่างก็ไม่มี กำหนดงานก็กะทันหันมาก แจ้งวันนี้จะเอาพรุ่งนี้ ที่ว่ารายละเอียดไม่มี อย่างเช่น ไม่มีพวกหนังสือประชาสัมพันธ์หรือว่ากำหนดการอะไรต่าง ๆ ไปถึงก็ไปนั่งรอจนกว่าเขาจะบอกว่าให้ทำอะไรเมื่อไร เป็นการจัดงานที่ค่อนข้างจะหละหลวมมาก

แล้วพระที่ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกทั้งหมด ๙ รูป คงมีแต่ท่านอาจารย์ตุ๊กับท่านอาจารย์โต ที่เคยได้ยินชื่อสมเด็จองค์ปฐม อย่างท่านอาจารย์โต (พระครูปลัดกฤต ฐิตวิริโย) ท่านสร้างสมเด็จองค์ปฐมที่วัดพระบาทปางแฟนเลย นี่ท่านรู้จักแน่ ท่านอาจารย์ตุ๊ (พระอาจารย์จิตติพงษ์ ปสนฺนจิตฺโต) ก็ถือว่าอยู่ในสายหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อบุญรัตน์ (พระครูปิยรัตนาภรณ์) วัดโขงขาว นอกนั้นแล้วอาตมาไม่คุ้นหน้าเลย

มีท่านหนึ่งที่ได้ยินชื่อเสียงก็คือหลวงพ่อเขียน (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ได้ยินชื่อท่านในฐานะเกจิอาจารย์ของภาคตะวันออก แต่ก็เพิ่งเคยได้พบหน้า รูปอื่น ๆ นี่ไม่เคยได้ยินชื่อเลย"

เถรี 07-01-2012 12:38

"อาตมาสงสัยว่าทำไมถึงต้องมางานนี้ ตอนแรกอาตมาปฏิเสธไม่มางานนี้เพราะติดงานอื่นอยู่แล้ว เพราะมีการประชุมพระสังฆาธิการของอำเภอทองผาภูมิทุกวันที่ ๕ ของเดือน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดไร่ขิงก็ติดต่อไป บอกว่าให้มาทำเอกสารเพื่อมาเตรียมสอบจบด้วย จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญกว่า

คราวนี้ทางวัดไร่ขิงเขานัด ๑๐ โมงเช้า ส่วนงานพุทธาภิเษกบอกว่าบ่าย ๔ โมง ก็เลยว่าไหน ๆ ก็มาแล้ว..ไปก็ไป... พอมาถึงเจอแต่ท่านที่ไม่รู้จักสมเด็จองค์ปฐมเลย ถึงได้ทราบว่าทำไมต้องมา เพราะถ้าไม่มาแล้วจะให้ใครไปกราบอาราธนาพระองค์ท่าน ?

เป็นที่น่าเสียดายก็คือว่า พระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาเอาไว้บนเวทีสูงลิบเลย แล้วไม่ให้คนขึ้นไป อาตมายังปรารภกับหลวงพ่อเจ้าคุณพระพรหมสิทธิ วัดสระเกศ ประธานในพิธีว่า “ชาวบ้านเขาอยากจะขึ้นไปกราบกันข้างบนนะครับ” ท่านบอกว่า “ถ้าให้ขึ้นมาก ๆ เวทีอาจจะพังได้..!”

งานนี้ถ้าใครไม่ได้ไปสักการบูชาให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวก็ต้องรีบไป เพราะว่าพระทันตธาตุจะอยู่อีกไม่กี่วัน แล้วจะอัญเชิญขึ้นไปวัดพระสิงห์ที่เชียงใหม่ คงจะไปจนครบทุกภาค แล้วถึงอัญเชิญไปถวายคืนแก่ประเทศภูฏาน

มีหลายคนถามว่าพระทันตธาตุของสมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีมาอยู่ถึงปัจจุบันนี้หรือ ? ต้องเรียกพวกสงสัยไม่เข้าเรื่อง มีข้าวให้กินอยู่ตรงหน้า ยังสงสัยว่าข้าวมีมาจนถึงปัจจุบันนี้หรือ ? เพราะข้าวมีมาแต่โบราณสมัยพระเจ้าสร้างโลกแล้ว ก็อยากจะตอบสั้น ๆ ว่า พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมเนิ่นนานกว่านั้นอีกยังมีเลย เป็นเรื่องของพุทธานุภาพ ถ้าหากว่าพระองค์ท่านต้องการจะให้มีเมื่อไรก็มีได้"

เถรี 09-01-2012 08:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาพระท่านถามข่าวคราวกัน เป็นอย่างไรขอรับหลวงปู่ ? เป็นอย่างไรขอรับหลวงพ่อ ? สังขารยังพอเป็นไปหรือ ?

ท่านตอบมาจนเราหงายท้องตึง “ยังพอทนได้อยู่” แสดงว่าทุกข์แค่ไหนท่านก็ทนได้..!"

เถรี 09-01-2012 08:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมายังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรถวายกุศลแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ดี ปีนี้พระองค์ท่านพระชนมายุ ๖๐ พรรษาแล้ว ประสูติปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๙๕

สมัยก่อนเห็นท่านเป็นพระราชโอรสหนุ่มน้อย แล้วไปเรียนที่ออสเตรเลีย กลับมาอีกทีสูงใหญ่เป็นฝรั่งไปเลย แต่พระองค์ท่านสง่างามมาก ๆ จนมาตอนหลังที่พระสุขภาพไม่ค่อยดี ดูพระองค์ท่านผอมไปหน่อยหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทั้งสูงใหญ่ล่ำสัน จนยืนประกบกับทหารฝรั่งได้สบายมาก

แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราก็สูงกว่าฝรั่งอีกนะ พวกเราจะสังเกตหรือเปล่าเท่านั้นเอง เวลาพระองค์ท่านประทับยืนสนทนากับพวกบรรดาผู้นำ หรือพระราชวงศ์ต่าง ๆ ของต่างประเทศ พวกฝรั่งสูงก็ไม่ใช่ว่าพระองค์ท่านจะต้องเงยพระพักตร์ตรัสด้วย เพราะว่าสูงพอกัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระพลานามัยไม่แข็งแรง แต่ปีใหม่ทรงอำนวยพรยาวยืดเลย ระยะหลังเมื่อ ๒-๓ ปีมานี่ พระองค์ท่านตรัสได้หน่อยเดียว พอมาปีนี้ตรัสได้เยอะแสดงว่าแข็งแรงขึ้นมาก ทรงอำนวยพรเสียยาวเหยียด นานตั้ง ๘ นาที"

เถรี 09-01-2012 10:05

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเป็นทหารมีการฝึกร่วมระหว่างออสเตรเลียกับไทย มีการนำทหารไทยไปฝึกที่ออสเตรเลีย รุ่นที่ไปมี ๗๐ คน เชื่อไหมว่า ถ้าเขาจับปิดตาแล้วไปปล่อยไว้ตรงนั้น เปิดตาขึ้นมาไม่รู้หรอกว่าอยู่ออสเตรเลีย เพราะภูมิประเทศตรงนั้นเหมือนของเราเลย

เขาพยายามหาพื้นที่เหมือนกับของเรามาให้ฝึก พอถึงเวลาจะได้คุ้นเคยกับภูมิประเทศ มีดงหญ้าคา มีหินลูกรังเหมือนบ้านเราเลย อากาศก็ร้อนตับแตกเหมือนกัน มารู้ทีหลังว่าออสเตรเลียมีทั้งเขตที่เป็นทะเลทราย เป็นป่ากึ่งร้อนอย่างของเรา มีทั้งพวกดงดิบ มีเขตที่เป็นหิมะตก

การฝึกของทหารหรือว่าการไปอยู่รับหน้าที่ในเขตที่ประกาศกฎอัยการศึก มีบางท่านพยายามหนีสุดชีวิต ถึงขนาดอาสาอยู่ส่วนหลัง ก็คือส่วนที่ไม่ต้องออกไปแนวหน้า หรือไม่ก็พยายามให้หมอบอกว่าป่วยบ้าง ตรงนี้ภาษาทหารเรียกว่า กำลังใจในการรุกรบไม่มี ในเมื่อไม่มีกำลังใจในการรุกรบ โอกาสที่จะต่อสู้กับข้าศึกก็ไม่ต้องพูดถึง

เหมือนกับพวกเราที่เป็นนักปฏิบัติ ถ้ากำลังใจในการที่จะสู้กับกิเลสไม่มี ก็แปลว่า ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ อนาคตยังไม่เห็นเลย อีกกี่กัปก็ไม่รู้..!?"

เถรี 09-01-2012 10:11

"คนที่กลัวตายเขาก็กลัวเสียจริง ๆ อาตมาถึงได้เคยบอกว่า ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวก็ไม่กลัวไปทุกอย่าง กลัวความสูง ตกลงไปแล้วเป็นอย่างไร..ตาย มาสรุปลงตรงตายหมด กลัวที่แคบ ติดอยู่นาน ๆ เป็นอย่างไร...ตาย กลัวผี เดี๋ยวผีมาหักคอ หักคอแล้วเป็นอย่างไร..ตาย

อาตมาตามดูคำว่ากลัวอยู่เป็นปี ๆ กลัวอะไร ท้ายสุดก็เจอ อ๋อ..กลัวตาย กลัวงู งูกัดแล้วเป็นอย่างไร..ตาย กลัวเสือ เสือกัดเป็นอย่างไร...ตาย ไม่เหลือจริง ๆ มาสรุปลงตรงตายหมดเลย

บางอย่างที่เหมือนกับไม่มีเหตุไม่มีผล อย่างกลัวจิ้งจก จิ้งจกกระโดดเกาะ ขยะแขยงสุด ๆ อาจถึงกับช็อกตาย สรุปแล้วลงตรงตายอยู่ดี ดูแล้วไม่มีอะไรหนีคำว่าตายพ้นเลย

ไปนั่งในป่าช้า รอผีมาหักคอ ดูซิว่าจะตายจริงไหม ? ผีก็ขี้เล่นเหลือเกิน ประเภทเอามือเย็นเจี๊ยบมาบีบคอ พอเราว่าพุทโธผีก็คลายมือแต่จับคาเอาไว้ พอเราเลิกพุทโธผีก็บีบต่อ พอเราพุทโธผีก็ปล่อยมือ ไม่ยอมไปไหนนะ เอามือคาไว้อย่างนั้น มือก็เย็นเจี๊ยบเลย ฟัดกันทั้งคืนจนกระทั่งเช้าบอกว่า "เฮ้ย..พอก่อน..จะไปบิณฑบาต" ผีก็ไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่ เป็นผีที่ว่าง่ายมาก"

เถรี 09-01-2012 12:44

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ออกพุทธาภิเษกหลายงานติด ๆ กัน ตั้งแต่พุทธาภิเษกวัตถุมงคลสำหรับแจกในงานปิดทองฝังลูกนิมิต ของวัดหนองม่วง แล้วมานั่งปรกอธิษฐานจิตเพื่อหล่อพระประธาน วัดดอนชะเอม และงานเมื่อวานพุทธาภิเษกที่สนามหลวง

ส่วนเดือนนี้ต้องทิ้งงานเพื่อนฝูงหลายงาน งานครูบาอริยชาติวันที่ ๙ ไปไม่ได้ งานพระราชทานเพลิงหลวงปู่ครูบาผัด ก็ไปไม่ได้ เพราะนั่งรับสังฆทานอยู่ตรงนี้ ส่วนงานสืบชะตาของหลวงพี่เอกก็ไปไม่ได้ เพราะอาตมาต้องรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศ ขืนไปก็ซวย ไม่เอาพัดยศเขาไม่ว่าหรอก แต่เขาจะฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ..!

เรื่องของยศตำแหน่งเราจะไม่ใส่ใจอย่างไรก็ได้ แต่พระราชทานมาแล้วต้องรับ รับแล้วคุณจะไปหมกไว้ก้นตู้ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าไม่รับเขาถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซวยไม่รู้จบจริง ๆ

ไม่ใช่เราสันโดษแล้วไม่รับ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตุง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพึงคล้อยตามพระราชา คำว่าพระราชา รวมความว่ากฎหมายด้วย เพราะสมัยก่อนพระบรมราชโองการก็คือกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเราเป็นพระแล้วก็จะทำอะไรตามใจได้"

เถรี 09-01-2012 14:09

http://multiply.com/mu/teemisa/image...&nmid=69980941
ภาพวาดผลงานของ อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดูรูปของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤตแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่า เวลาของอาจารย์เดินช้ากว่าคนอื่น อาจารย์จะทำอะไรในลักษณะใจเย็นสุด ๆ จนกระทั่งอาตมาสงสัยว่า เวลาของท่านเดินช้ากว่าเราหรืออย่างไร

รูปหลวงปู่ปานวัดบางนมโคกับรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงตอนสมัยอายุยังไม่มาก อาจารย์จักรพันธุ์เป็นคนวาดทั้งคู่ ที่เราเห็นว่าทำไมดูมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างกับภาพถ่าย นั่นฝีมืออาจารย์จักรพันธุ์วาด

แต่ที่ตลกกว่านั้นก็คือ แม่ของอาจารย์จักรพันธุ์ในตอนนั้น พอเห็นรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ว่า “อ้าว..พระองค์นี้ยังอยู่อีกหรือ ?” อาจารย์จักรพันธุ์ถาม “ทำไมหรือครับแม่ ?” แม่ตอบว่า “ส่วนใหญ่พระที่พูดเพราะ ๆ แบบนี้สาวเอาไปกินหมด..!” สมัยหนุ่ม ๆ หลวงพ่อเป็นพระนักเทศน์มีชื่อเสียง พูดจาไพเราะกับญาติโยม แสดงว่าโยมแม่เขาเคยเจอหลวงพ่อตอนที่อยู่วัดช่างเหล็กหรือไม่ก็ตอนที่อยู่วัดประยูรฯ"

เถรี 09-01-2012 16:26

1 Attachment(s)


พระอาจารย์พูดถึงหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๒ ว่า "มีคนให้ความเห็นมาว่า ทำไมเอาแต่ดอกบัวบาน ๆ มาเป็นปก แสดงว่าอาตมาชอบคนแก่ใช่ไหม ? เขาว่าซะเสียหายหลายแสน แต่ความจริงคนแก่คุยกันรู้เรื่องมากกว่านะ

สมัยก่อนเวลาอาตมาไปบ้านสาว ก็จะไปคุยกับพ่อกับแม่เขา คุยไปคุยมาจนพ่อแม่เขาทนไม่ได้ ถามจริง ๆ เถอะ นี่มาหาใครกันแน่ ?” อาตมาก็บอกว่า ตั้งใจจะมาคุยกับคนแก่ เพราะว่าคนแก่ประสบการณ์เยอะ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นคว้าเอง เขาก็แปลกใจ..เป็นเพื่อนกับลูกสาว แต่มาตั้งหน้าตั้งตาคุยกับพ่อกับแม่ ไม่ไปหาลูกสาวเลย"

เถรี 10-01-2012 10:12

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้..แต่เบื่อไม่จริง เอาแค่พระที่วัดท่าขนุนก็แล้วกัน "อาจารย์ครับ..ผมขอลาไปอยู่ที่โน่น" "อาจารย์ครับ..ผมขอลาไปอยู่ที่นี่" "ผมชอบอยู่เงียบ ๆ" ไปอยู่ได้ ๓ วันเผ่นออกมาเลย เพราะว่าเงียบเกินไป แสดงว่าชอบไม่จริง

พออยู่ในที่ที่ไม่ได้พูด ไม่ได้คุยกับชาวบ้านชาวเมืองก็อยู่ไม่ได้ แสดงว่าโดนกิเลสหลอก เพราะว่านักปฏิบัติถ้าทำถึงจริง ๆ ที่ไหนก็อยู่ได้ ลองดูหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาสสิ ใคร ๆ ก็เรียกท่านว่าพระป่ากลางกรุง ที่เรียกท่านว่าพระป่ากลางกรุง เพราะว่าท่านทำวัดเหมือนกับป่า ไม่ค่อยปฏิสันถารกับใครหรอก

ถึงเวลาออกมาสวดมนต์ทำวัตร หมดธุระก็กลับกุฏิ ญาติโยมถ้าเอาอาหารมาส่งก็วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวศิษย์วัดเอามาประเคนเอง ถ้าญาติอยากรู้ข่าวคราวก็โผล่หน้ามาทางหน้าต่าง โบกมือให้เห็นว่ายังไม่ตาย กลับไปได้แล้ว

นึกถึงท่านแล้ว สุดยอดมนุษย์จริง ๆ อยู่ท่ามกลางเมืองหลวง แต่ปฏิบัติตนจนเป็นพระสุปฏิปันโนที่คนเขาเคารพนับถือทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะฉะนั้นจริง ๆ ก็คือว่าที่ไหนก็ได้ ขอให้ทำจริงเท่านั้น

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาอย่างนั้นเลยหรือ ? อึดอัดใจเมื่อไรก็แปลว่าเกิดปฏิฆะหรือแรงกระทบอยู่แล้ว ในเมื่อมีแรงกระทบขึ้นมาก็แปลว่า การปฏิบัติของเรายังไม่ได้ผลจริง

เถรี 10-01-2012 13:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปลายเดือนนี้มีงานเป่ายันต์เกราะเพชร ปีนี้มีเสาร์ห้า ๓ ครั้ง อาตมาโดนสั่งให้เป่ายันต์ทั้ง ๓ ครั้ง รู้สึกปลื้มปีติกับสถานการณ์ประเทศชาติมาก โดยเฉพาะช่วงเดือน ๕ เดือน ๖ ของไทย ไม่ใช่เดือน ๕ เดือน ๖ ฝรั่งนะ บ้านเมืองเรายุ่งเป็นยุงตีกันเลย

คำว่า "ยุ่งเป็นยุงตีกัน" บางคนอาจจะไม่เคยเห็นยุงตีกันเป็นอย่างไร แต่อาตมาเคยเห็นมาแล้ว ไม่รู้อันไหนปีกอันไหนขา มั่วไปหมด กลิ้งเป็นก้อนอยู่กับพื้น ทะเลาะกันได้ขนาดนั้นนะ ทั้ง ๆ ที่ยุงตัวนิดเดียว รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็มหัวพอ ๆ กับคนเราเลย

ส่วนนกเอี้ยงตีกันชอบลุยกันเป็นฝูง ลงไปกลิ้งขนกระจายอยู่บนพื้น ตีกัน ๓-๔ คู่ ฟัดกันกลม ดู ๆ แล้วไม่ว่าจะคนหรือสัตว์พวกไหนก็ตาม ถ้าหากว่ายังไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เรื่องจะไประงับ รัก โลภ โกรธ หลง นี่ไม่ต้องไปหวังเลย อย่างนกเอี้ยงตีกันเสียงเอะอะเอ็ดตะโร แล้ววันร้ายคืนร้าย ถ้าเสียงดังเรียกความสนใจ ก็อาจจะมีแมวมาเป็นกรรมการ แล้วความซวยก็จะเกิดขึ้น บางทีนกก็เสร็จแมวทั้งคู่ เพราะมัวแต่ตีกันเพลินจนลืมสังเกต"

เถรี 11-01-2012 11:07

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ท่านทำปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทอง ปลุกด้วยคาถา จะภะกะสะ เอาใส่กาละมัง พายเรือไปเทไว้กลางแม่น้ำ แล้วก็มานั่งเรียกบนฝั่ง ปลาตะเพียนทำด้วยโลหะแท้ ๆ ถึงเวลาว่ายน้ำมาเข้ากาละมังได้"

เถรี 11-01-2012 12:20

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีฝรั่ง ๒ คน เขามาถามหาสังขารหลวงปู่สายว่าอยู่ที่ไหน ดันมาเจอเจ้าอาวาสเข้าพอดี ก็เลยพาไปที่กุฏิหลวงปู่สาย ตรงนี้ทำให้เห็นจุดอ่อนว่าพระของเราแม้จะเก่งภาษาอังกฤษหลายรูป แต่ไม่ถนัดในการปฏิสันถารกับญาติโยม จะเป็นเพราะท่านรักสงบสันโดษหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ?

ถ้าสมมติว่าคนเข้ามาในบ้านเราก็ควรถามเขาว่ามาธุระอะไร ? ใช่ไหม ? การปฏิสันถารต้อนรับสมควรต้องมี แต่นี่เปล่าเลย..ปล่อยให้เขาเดินหาเอาเอง

ถ้าอาตมาได้ยินเสียงหมาเห่าผิดปกติ ก็จะโผล่ออกไปดู ถ้าเห็นฝรั่งมา จะถามก่อนว่า..จะไปไหน ? มีธุระอะไร ? บางคนก็บอกว่าจะไป View Point อาตมาก็บอกให้ขึ้นเขาไปโน่นเลย บันได ๒๕๘ ขั้นเอง แต่ฝรั่งเขาไม่ท้อนะ บางคนดูว่าอายุประมาณ ๖๐-๗๐ ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุไม่เกิน ๔๐ ปี คนไทยเราถ้า ๖๐-๗๐ ปีก็ตะบันน้ำกินกันหมดแล้ว

อาตมาค่อนข้างจะหน้าด้านกับฝรั่ง เพราะว่าพูดภาษาเขาเราไม่กลัวผิด ก็ไม่ใช่ภาษาเรานี่ ในเมื่อไม่ใช่ภาษาเรา อุตส่าห์ใช้ภาษาของคุณแล้ว คุณฟังให้เข้าใจก็แล้วกัน อีกประการหนึ่งอาตมาเป็นคนไม่กลัวใคร ก็เลยไม่รู้ว่าพวกพระท่านกลัวหรือเปล่าเวลาต้องพูดกับฝรั่ง ? ทั้ง ๆ ที่หลายท่านนี่จบปริญญาโทจากอังกฤษมาเลย

อาตมาถือว่าถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็เป็นปัญหาของคุณไม่ใช่ปัญหาของผม ผมพูดภาษาคุณได้ก็ดีตายชักแล้ว จะเอาอะไรมากนัก ทีเขามาบ้านเราเขายังพูดภาษาที่เราฟังไม่รู้เรื่องได้เลยนี่นา

ตอนนี้ต้องให้ท่านยี้ (พระธีราวุธ นิสโภ) ช่วยดูแลให้ บอกกับท่านยี้ว่า คุณคอยดูด้วย..ถ้าฝรั่งเข้ามาให้ดูแลเขาหน่อย ถ้าชีตุ๊ (อุบาสิกากุลภรณ์ แก้ววิลัย)อยู่ ก็ให้ชีตุ๊ช่วย เพราะว่าฝรั่งผู้หญิงไม่ค่อยจะฟังเสียงหรอก เจอพระเขาชอบใจก็คว้าแขนยืนคู่ถ่ายรูปเลย เขาไม่รู้ธรรมเนียมของเรา พอบอกว่าแตะต้องไม่ได้ เขาก็สงสัยว่าทำไมถึงแตะไม่ได้..?!"

เถรี 11-01-2012 13:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดูชุดของพระภูฏานแล้วทะมัดทะแมงดี พวกวัชรยานสายทิเบตเขามีเสื้อกั๊กด้วย เมื่อไรเมืองไทยจะอนุญาตให้พระนุ่งกางเกงใส่เสื้อกั๊กกับเขาบ้างหนอ ?

วัชรยานสายทิเบตเข้าไปตอนที่พุทธศาสนาสายตันตระกำลังรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น..ความเชื่อของเขาบางอย่างก็เลยค่อนข้างจะค้านกับของเรา อย่างเรื่องศักติของพระพุทธเจ้า ศักติก็คือคู่ตรงข้าม อย่างเช่นผู้ชายตรงข้ามกับผู้หญิง พระพุทธรูปของสายวัชรยานจะมีปางที่มีผู้หญิงกอดเอวอยู่ เราไม่รู้ก็ไปหาว่าเขาสร้างปางอุบาทว์ ความจริงเป็นความเชื่อของเขาอย่างนั้น

เขาว่าผู้หญิงผู้ชายต้องประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวถึงจะประสบความสำเร็จ สามารถบรรลุธรรมได้ เขาใช้คำว่าความเข้มแข็งอย่างเดียวโดยไม่มีความอ่อนโยนมีแต่เกิน ไม่พอดี แล้วแนวความคิดอีกอย่างคือ การฆ่าเพื่อระงับฆ่า ถ้าสมมติว่าต้องฆ่าโจรสักคนหนึ่ง เพื่อไม่ให้โจรไปฆ่าคนอีกหลายคนนี่เขาก็จะทำ ก็เลยกลายเป็นความเชื่อในลีลาของพระโพธิสัตว์ ตัวเองยอมลงนรกเพื่อให้ผู้อื่นรอดไปได้"

เถรี 12-01-2012 10:29

"อย่างหลวงจีนคงซิ่งแห่งวัดเส้าหลิน ท่านเป็นว่าที่เจ้าอาวาส แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดวิปลาสขึ้นมา ดื่มสุรากินเนื้อ ซึ่งเป็นความผิดมหันต์ของสายมหายาน เพราะมหายานกินเจ ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ท่านคงซิ่งก็เลยโดนขับไล่ออกจากวัด

ก่อนที่ท่านคงซิ่งจะโดนขับไล่ออกจากวัดนั้น ไม้เท้าพระธรรมหายสาบสูญไป ไม้เท้าพระธรรมนี้เป็นของท่านตั๊กม้อหรือท่านโพธิธรรมเถระ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดเส้าหลิน ตอนหลังสืบหาเจอปรากฏว่าเขาขายให้กับขุนนางผู้ใหญ่ประเภทเจ้าพ่อ ทำให้ไม่มีใครกล้าทวง ทางวัดขอซื้อในราคาเท่ากับที่เขาซื้อมา เขาก็ไม่ขายให้

หลวงจีนคงซิ่งที่อยู่ ๆ วิปลาสขึ้นมา ถูกขับไล่ออกจากวัด ออกไปอาละวาดอยู่ในยุทธจักร แล้วครอบครัวที่ซื้อไม้เท้าพระธรรมนั้นมาก็โดนหลวงจีนคงซิ่งบุกเข้าไปฆ่าล้างโคตร เอาไม้เท้าพระธรรมคืนมาได้ สรุปว่าตั้งแต่นั้นมาหลวงจีนคงซิ่งก็เป็นคนบาปของแผ่นดิน แต่ไม้เท้าพระธรรมกลับคืนไปสู่วัดเส้าหลิน

เขาเพิ่งจะรู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ท่านจึงวิปลาสขึ้นมา เพราะต้องแกล้งบ้า ไม่อย่างนั้นเรื่องจะเดือดร้อนถึงวัด จึงต้องให้ตัวเองโดนไล่ออกจากวัดก่อน พอโดนไล่ออกจากวัดก็แกล้งเป็นบ้า ๆ บอ ๆ ในยุทธจักร ได้โอกาสก็บุกไปฆ่าล้างทิ้งเสียเลยทั้งตระกูล เอาไม้เท้าพระธรรมคืนวัดเส้าหลินไป

คราวนี้ทางการจะไปเล่นงานอะไรวัดเส้าหลินก็ไม่ได้เพราะว่าท่านโดนไล่ออกแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับวัด นี่แหละคือลักษณะของพระโพธิสัตว์ ถ้าเพื่อประโยชน์ส่วนรวมตัวเองลำบากแค่ไหนก็ยอม"

เถรี 12-01-2012 10:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ไม่รู้ว่าเขาฮิตอะไร จัดงานสวดมนต์ข้ามปีกันทั้งประเทศเลย เสียงตอบรับปีนี้ดีมาก เพราะชาวบ้านมาร่วมสวดมนต์ด้วยเยอะ ส่วนท่านที่ไม่ได้มาสวดมนต์ เพราะว่าต้องเตรียมการเกี่ยวกับงานของทางเทศบาล เขาบอกว่าฟังอยู่ที่บ้าน เพราะเวลาทางวัดท่าขนุนสวดมนต์เสียงจะได้ยินไปไกลเกือบทั่วอำเภอ

ช่วงใหม่ ๆ ที่วัดสวดมนต์ จะโดนคนโทรศัพท์มาด่า แต่เขาด่าผิดคน เพราะเขาไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนด่าเก่งขนาดไหน..!"

เถรี 12-01-2012 11:07

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนโยมแม่ของอาตมาขายล็อตเตอรี่ ขายไปจนเหลือใบท้าย ๆ ขนาดลดราคาแล้วก็ไม่มีใครซื้อ ปรากฏว่าใบท้าย ๆ นั่นแหละถูก ที่ขายก็ขายไป ที่เหลือแม่ก็ถูกเองด้วย กำไร ๒ ต่อ ลดราคาแล้วเขายังไม่ซื้อเพราะว่าเลขไม่สวย เลขไม่สวยนั่นแหละออกดีนักแล

มีเจ้าหน้าที่เขื่อนวชิราลงกรณรายหนึ่งรับล็อตเตอรี่ไปส่งต่อ มีคนหนึ่งแทงหวยเลข ๐๐๐ (ตองศูนย์) แทงมา ๕,๐๐๐ บาท เจ้าหน้าที่คนนี้ก็รับกินเอง แล้วดันออกตองศูนย์ คิดดูว่าบาทละ ๕๐๐ เขาแทงมา ๕,๐๐๐ บาท ได้ไป ๒ ล้านกว่าบาท หมดตัวเลย เห็นว่าเลขนี้ไม่มีทางออก แต่ดันออกมาจริง ๆ

เรื่องของการพนัน ไม่ว่าจะเป็นหวยหรืออะไรก็ตาม เป็นลาภที่เกิดจากการทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน อย่างเช่น ออกไปเห็นเขามีกองบุญการกุศลก็ทำเลย ถ้าอย่างนั้นจะมาลักษณะลาภลอย

มีใครรู้จัก ดร.เอ (อัจฉรา เสาว์เฉลิม) บ้างไหม ? รายนั้นถ้าเล่นเป็นถูกทุกงวด แต่พอไปดูเขาเล่น เห็นบัญชีหางว่าวยาวเป็นกระดาษชำระเลย หักกลบลบล้างแล้วเหลือไม่กี่ร้อยบาท แต่เขาถูกทุกงวด ขอให้คิดจะเล่นเถอะต้องถูก หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าเป็นพวกกองลาดตระเวน เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย เจอบุญที่ไหนเขาทำหมด ทำไปทำมาก็กลายเป็นลาภลอย

บุญก็คือ ความดีในอดีตส่งผลถึงปัจจุบัน เขาเรียก ปุพเพกตปุญฺญตา ผลบุญที่ทำมาแต่ปางก่อน ดังนั้น..เราจะหวังว่ามาทำตอนนี้แล้วก็จะได้ชาตินี้ ก็คงต้องทำต่อเนื่องกันหลาย ๆ ปีหน่อย เราทำตอนนี้ขยับไปหน่อยก็เป็นอดีตแล้ว ถึงเวลาพออดีตต่อเนื่องกันได้นาน ๆ ความดีเริ่มส่งผล ปัจจุบันก็จะดี

แต่ว่าความจริงควรจะมาเน้นในเรื่องของสมาธิภาวนา เพราะถ้าเราทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผลการปฏิบัติก็จะดีขึ้น"

เถรี 12-01-2012 11:18

ถาม : ผมรู้สึกว่าเบื่อการเกิดแล้วครับ แต่บางทีก็ไม่เบื่อเลย อยากจะให้เบื่อแบบจริง ๆ ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เบื่อ ๆ อยาก ๆ ใช่ไหม ? ถ้าอยากจะกลัวการเกิดแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่าทุกวินาทีในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา เรากำลังลุยอยู่บนกองทุกข์ ในเมื่อเราอยู่บนกองทุกข์ แค่ที่เห็นนี่ยังนับว่าดี แต่ถ้าหากว่าต้องพลาดลงอบายภูมิไป กองทุกข์นี้จะมหึมาขึ้นอีกหลายเท่า ถ้าหากว่าสามารถเห็นได้ว่าทุกวินาทีเราอยู่บนความทุกข์ เราไม่ปรารถนาเช่นนี้อีก เราก็จะกลัวการเกิดจริง ๆ

ถาม : กลัวอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : กลัวอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้ถึงด้วย กลัวอย่างเดียวเป็นแค่ภยตูปัฏฐานญาณ

เถรี 12-01-2012 11:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีฝรั่งจะมาขอบวช พูดไทยได้แค่ "สวัสดีครับ" ถ้ามาเจอคำขอบวช ๕ หน้ากระดาษ คงปางตายเลย..!

วันก่อนมาย่ายังสวดมนต์ได้เลย แต่มาย่าเขาอ่านตามแบบของเขา เขาอ่านเป็น อา-เร-หะ-โต แสดงว่าเขาท่องอะระหะโตแบบภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังอุตส่าห์สวดอิติปิโสได้ ใช้ได้เหมือนกันนะ อย่างน้อย ๆ ไปปรับเอาทีหลังได้

อาตมาฟังแล้วก็ขำ จะไปว่าเด็กก็ไม่ได้ เพราะเขาท่องได้ เพียงแต่ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่านั้น อย่าไปว่าอะไรฝรั่งเลย ขนาดคนไทยแท้ ๆ ยังออกเสียงเป็น อา-รา-หัง กันแทบทั้งนั้น ทั้งที่มีแต่อะระหัง

คราวที่แล้วหยงหยงเป็นขวัญใจเพื่อนร่วมรุ่น ครั้งนี้เป็นมาย่าเพราะเป็นเด็กฝรั่ง ตอนยกย่างเหยียบ เขาเองไม่เคยชินกับการที่โดนตีกรอบ เขาก็ดึงแม่ "ไม่เอาแล้ว" พอแม่เขาไม่สนใจ มาย่าก็งอนสะบัดก้นออกจากวง ตอนที่อยู่นั้นมีเด็ก ๆ หลายคน น้องภูก็วิ่งตามมาย่าไป พักเดียวก็พากลับมา...เก่ง เด็กเขารู้ภาษาเด็กด้วยกัน เขาก็พากลับมาเล่นของเขาต่อ เล่นก็คือเดินกันต่อไป"


https://www.watthakhanun.com/webboar...1325550280.jpg
น้องภู น้องมาย่า น้องบัว น้องโมจิ น้องไอวี่

เถรี 12-01-2012 12:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปาจารี แปลว่า ผู้เป็นแบบอย่าง ปาจารีเป็นบาลี ถ้าไทยเขาอ่านเป็นบาจารี

เราเรียกว่าครูบา ครูก็คือครุ บาคือบาจารี ครุคือผู้รับภาระอันหนัก บาจารีคือผู้เป็นแบบอย่าง ก็คือแม่พิมพ์นั่นแหละ จำไว้แม่น ๆ ว่าพ่อพิมพ์ไม่มีนะ แม่พิมพ์ก็คือต้นแบบที่จะหล่อหลอมสิ่งอื่นออกมาให้เหมือนต้นแบบ คราวนี้เขาดันไปคิดว่าถ้าหากผู้หญิงเป็นแม่พิมพ์ ผู้ชายต้องเป็นพ่อพิมพ์ เข้าไม่ถึงรากศัพท์เลยไปทำเขาเพี้ยนหมด ยังดีไม่บ้าจี้เปลี่ยนแม่ทัพเป็นพ่อทัพไปด้วย..!"

เถรี 12-01-2012 12:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเดินทางไกลครั้งนี้ เขาใช้คำว่าพลิกฟื้นพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย อันนี้เป็นคำอาราธนาของบุคคลในอดีตที่มองไม่เห็นตัว อาตมาก็เลยต้องไป บุคคลคนนี้มีนามว่าขุนอินทร์ เขาอาราธนาให้ไป

ความจริงแล้วอินโดนีเซียเป็นอาณาจักรพระพุทธศาสนาที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ก็คืออาณาจักรศรีวิชัย สมัยพระโสณเถระมาสุวรรณภูมิ ก็ไปโปรดที่นั่นจนกระทั่งสามารถที่จะตั้งพระพุทธศาสนามั่นลงได้ จนกระทั่งเกือบ ๑,๔๐๐-๑,๕๐๐ ปี กษัตริย์รุ่นต่อมาท่านหันไปนับถืออิสลาม ศาสนาพุทธก็เลยโดนเบียดเบียนเสียจนกระทั่งอยู่ไม่ได้ จึงต้องกลับไปฟื้นคืนมา"

ถาม : ขุนอินทร์นี่มาจากขุนอินโดนีเซียหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ท่านชื่ออินทร์จริง ๆ แต่ไม่รู้จะเป็นชื่อของอินโดนีเซียหรือเปล่า อาตมามีหน้าที่พกบุญไปเยอะ ๆ ไปแบ่งให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น แล้วก็เป็นภาระของท่านจัดการเองไม่เกี่ยวกับอาตมา เพียงแค่ไปให้ถึงเท่านั้น อย่างที่บางคนเขาบอกว่าไปเหยียบเสียหน่อย

คุณเกรซ(เกสรมณีช์ จารย์ไธสง)บอกว่ายังมีผู้ร่วมคณะเพิ่มไปได้นะ ลองถามเขาดูว่าเพิ่มได้สักกี่คน

เถรี 12-01-2012 16:05

ถาม : ปีนี้ต้องระวังอะไรบ้างคะ?
ตอบ : ระวังลมหายใจเข้าออกไว้ ลืมเมื่อไรตายแน่..!

ถาม : ที่สำคัญเป็นพิเศษค่ะ
ตอบ : สำคัญที่สุดเลย หายใจเอาไว้แล้วจะปลอดภัย

ถาม : แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างคะ ?
ตอบ : โอ๊ย...เยอะแยะ ตั้งแต่หลับยันตื่น สารพัดจะเกิด มีทั้งวันแหละ

อะไรจะเกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง สำคัญที่สุดคือมีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน หยุดรัก โลภ โกรธ หลงที่จะเข้ามาทำอันตรายใจของเราให้ได้ เมื่อหยุดลงได้แล้ว พิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ แล้วกำจัดสิ่งไม่ดีนั้นออกไปจากใจ นี่ถึงจะเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องและเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง อย่างอื่นเป็นเรื่องที่หาทุกข์ให้เราทั้งนั้น

เถรี 12-01-2012 16:08

สมมติเด็กชายปลาบู่บอกว่าเขื่อนจะแตก ถ้าอย่างนั้นวัดท่าขนุนตายแน่เพราะอยู่ปากเขื่อน ผวาจนไม่ต้องหลับกันทั้งคืน ถ้าเด็กชายปลาบู่เก่งจริงก็คงไม่ตายตั้งแต่เด็ก

อาตมาเคยใช้คำพูดเวลามีคนเขามาถามว่า โยมท่านนั้น อาจารย์ท่านนี้ ว่าไว้อย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ค่อนข้างจะขวางโลก บอกกับเขาไปว่า “จำไว้ว่าฆราวาสที่เก่งจริงตายหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ได้เกิน ๗ วัน ที่ยังอยู่ไม่เก่งจริงหรอก ถ้าเก่งจริงถึงที่สุดก็อยู่ไม่ได้ ไปหมดแล้ว"

เพราะฉะนั้น..ที่ยังอยู่พยากรณ์อยู่ปาว ๆ นี่ ยังไม่เก่งจริงหรอก เพราะว่าทุกอย่างมีตัวแปรอยู่เสมอ ตัวแปรพวกนี้อาจจะมาในลักษณะที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ถึงเวลาสิ่งที่พยากรณ์ไว้ก็มีการเคลื่อนมีการผิดพลาดไป อย่างเช่นบอกว่าปีนี้เขื่อนจะแตก เราก็รอดูปรากฏเขื่อนไม่แตก เราก็สบายใจ ที่ไหนได้ปีหน้าโดนไปตูมเบ้อเร่อเลย เพราะฉะนั้น..เราจะประมาทไม่ได้

สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าหยุดจิตเราอยู่กับปัจจุบันได้ความทุกข์จะน้อย นอกจากความทุกข์ตามสภาวะของร่างกายแล้ว เราไม่ต้องทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยู่กับตอนนี้เดี๋ยวนี้มีความสุขจะตายไป ไม่เห็นต้องไปฟุ้งซ่านเรื่องอะไรเลย

เถรี 12-01-2012 16:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสถึงม้าอาชาไนยว่าเป็นสิ่งที่ฝึกมาดีแล้ว ช้างศึกและม้าอาชาไนยถึงต้องอาวุธก็ไม่ร้อง เพราะมีความอดทนมาก

พระพุทธเจ้าต้องการให้พระภิกษุสงฆ์ของท่านได้รับการฝึกดีแล้วแบบเดียวกับม้าอาชาไนย อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง โดยมีสติรับรู้ รู้เห็นว่าความทุกข์นั้นเป็นธรรมดาของร่างกายนี้ เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยวาง ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้จะไม่มีอีก

ตรงนี้เราดีกว่าม้าหน่อยหนึ่ง ดีกว่าตรงที่เราสามารถคิดต่อได้ ส่วนม้าได้แต่ทนอย่างเดียว..!"

เถรี 13-01-2012 10:15

พระอาจารย์กล่าวถึงการรับพัดยศและเสาเสมาธรรมจักรว่า "ปีนี้อยู่ ๆ อาตมาก็ได้รางวัลใหญ่ ๒ รางวัล ก็คือ ในหลวงพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศให้ในวโรกาสที่เจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา และ วันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี อาตมาได้รางวัลเสาเสมาธรรมจักร ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา อย่างกับธรรมะจัดสรรจริง ๆ จะช้าก็ไม่ได้จะเร็วก็ไม่ได้ มาได้ในวาระสำคัญพอดีทั้งสองอย่าง

งานฉลองนั้นจะจัดขึ้นวันที่ ๙ มิถุนายน ตรงกับวันเสาร์ ที่ต้องรอรับในเดือนมิถุนายนเพราะว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะพระราชทานเสาเสมาธรรมจักรให้ในวันวิสาขบูชา ก็เลยต้องรอไปก่อน แล้วปีนี้เดือน ๘ มี ๒ หน วันวิสาขบูชาเลื่อนไปเป็นวันที่ ๒ มิถุนายน รับแล้วค่อยฉลองพร้อมกันไปเลยทีเดียว

จะไม่ฉลองก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้ชาวทองผาภูมิตื่นเต้นกันมาก อยากฉลอง..ต้องจ่ายเงินให้เข็ด..! เขาไม่รู้หรอกว่าจัดงานแต่ละครั้งพระจ่ายไปเท่าไร เห็นนิมนต์พระมาครั้งหนึ่งหลายร้อยรูป แหม..ปลื้มใจมาก ว่าแล้วก็ช่วยทำบุญ ๒๐ บาท..! อัตราต่ำสุดของอาตมา ขนาดถวายเณรยัง ๒๐๐ บาทเลย ฉะนั้น..ไม่ต้องไปพูดถึงการถวายพระหรอก

ที่ขำก็ท่านพระครูวรกาญจนโชติ รองเจ้าคณะอำเภอ ท่านบอกว่า "พวกเณรดีใจมากเลย เปิดซองมาเจออาจารย์เล็กถวายไป ๒๐๐ บาท ไม่เคยได้เยอะอย่างนี้มาก่อน แล้วรุ่งขึ้นก็มาฟ้อง หลวงพ่อครับ..ผมโดนขโมยเงินครับ..!" นี่ตกลงหลวงพ่อจะแจ้งข้อหาผมใช่ไหมว่าทำให้เณรขโมยเงินกัน(หัวเราะ) พอเห็นมีเงินเยอะเณรของท่านก็เลยขโมยกันเอง

เป็นห่วงวัดอื่นเพราะว่าเรื่องของศีลเขาไม่ค่อยมีความเข้าใจ อย่าลืมว่าสามเณรก็คือเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่เขาเคารพบูชาเหมือนกัน"

เถรี 13-01-2012 10:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือประวัติวัดท่าขนุนเล่มเก่าที่เขาทำ มีรูปหลวงปู่สายกำลังเดินขึ้นสะพานอยู่ แต่ท่านเดินหันหลังให้ เขาใช้คำบรรยายว่า “สายไปเสียแล้ว” พวกเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ เขาบอกว่าท่านอาจารย์รูปนี้มีไหม ? ขอเถอะ..ติดใจจริง ๆ อาตมาบอกว่าไม่มี เป็นเจ้าอาวาสช้าไปหน่อย อะไรก็ไม่ค่อยจะเหลือมาถึง

ตอนนั้นหลวงปู่กำลังเดินข้ามสะพาน เขาถ่ายรูปทางด้านหลังท่านแล้วเอามาลงไว้ เหมือนตั้งใจให้เป็นปริศนาธรรมว่า “ท่านไปแล้วนะ” แล้วบรรยายว่า “สายไปเสียแล้ว”

เถรี 13-01-2012 10:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่สมัยใหม่มักจะเลี้ยงลูกแบบสมัยใหม่ คือทำตัวเป็นเพื่อนกับลูก พอนาน ๆ ไปเด็กจะคุ้นชินแล้วขาดความกลัวเกรง ไม่ได้เห็นแม่เป็นแม่ แต่เห็นแม่เป็นเพื่อน ก็เลยต้องมีการทำโทษไว้บ้าง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่เกรงอาชญา” คือกลัวการลงโทษ ถ้าไม่มีการลงโทษบ้างก็มักจะแหกคอกไปเรื่อย กฎหมายบ้านเมืองต่าง ๆ มีมาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็มีคนประเภทไม่กลัวกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้แทนราษฎรแท้ ๆ เลย ยังกระทำผิดซึ่งหน้าอีก

ความจริงลักษณะอย่างนั้นยอมรับผิดอย่างลูกผู้ชายไปเลย แล้วสู้คดีว่าบันดาลโทสะยังเข้าท่ากว่าเยอะ ถ้าบันดาลโทสะแล้วไม่เคยทำผิดมาก่อนนี่ ดีไม่ดีโทษนิดเดียวเอง อาจจะสั่งลงโทษเท่านั้นเท่านี้ปีแล้วรอลงอาญา"

เถรี 13-01-2012 10:57

ถาม : ลูกจะสอบเข้าโรงเรียนสาธิตค่ะ
ตอบ : ถ้าเด็กเรียนโรงเรียนสาธิตนี่เราต้องทำใจเลยนะ เพราะโรงเรียนจะสอนให้เด็กกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เพราะฉะนั้น..เขาจะต้องเถียงแม่แน่นอนเลย

ต่อไปเราต้องรอบคอบและรัดกุมมากกว่านี้ ถ้าทำอะไรแล้วมีช่องว่างหรือรอยโหว่นี่เด็กเถียงแน่นอน

เถรี 13-01-2012 11:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยได้ยินสำนวนว่า นอนกินบ้านกินเมืองไหม ? นอนกินบ้านกินเมืองมาจากนิทานในธรรมบทว่า ชายคนหนึ่งมีนิสัยเกียจคร้านเป็นปกติ นอนจนคนอิดหนาระอาใจ วันดีคืนดี ก็มีพระราชาของอีกเมืองหนึ่งมาท้าแข่งกับพระราชาของเมืองนี้ ให้ส่งคนมาแข่งขันการนอน ถ้าใครแพ้ก็ต้องเสียบ้านเสียเมืองให้อีกฝ่ายหนึ่ง

เจ้าเมืองก็เลยต้องประกาศหาว่ามีใครที่มีความสามารถในการนอนได้นานกว่าคนอื่น ไปเจอชายจอมขี้เกียจเข้าก็เลยเอาไปแข่ง ปรากฏว่าชนะ ก็เลยได้บ้านได้เมืองคนอื่นเขามา สรุปว่าคนเราถ้ามีความสามารถจริง ๆ อย่างเดียวก็พอแล้ว อย่างที่ในโคลงโลกนิติท่านว่า

วิชาควรรักรู้......................ฤๅขาด
อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์............ว่าน้อย
รู้จริงสิ่งเดียวอาจ.................มีมั่ง
เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย...............ชั่วลื้อเหลนหลานฯ

เพราะฉะนั้น..นอนเก่งอย่างเดียวก็ชนะได้บ้านได้เมืองมา สำนวนนอนกินบ้านกินเมืองได้มาจากนิทานเรื่องนี้แหละ"

เถรี 13-01-2012 11:23

มีโยมถวายบะหมี่ไวไวควิกให้พระอาจารย์ แล้วตั้งจิตปรารถนาขออานิสงส์ให้ได้อะไรเร็ว ๆ ไว ๆ

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "จะเอาเร็วจริง ๆ ไหม ? ให้ถวายเครื่องบินคองคอร์ด ๑ ลำ รถไฟแม็กเลฟ ๑ ขบวน เสือชีตาห์อีก ๑ ตัว รับรองว่าอานิสงส์เร็วทันใจ เพราะที่ว่ามานั้น เป็นสุดยอดของความเร็วทั้งนั้นเลย หรือไม่ก็ถวายนกเหยี่ยวเพเรกริน อีก ๑ ตัว"

เถรี 13-01-2012 11:37

พระอาจารย์เตือนโยมว่า "เพศตรงข้ามที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ใช่เพราะว่าเรามีเสน่ห์ แต่มาเพราะแรงกรรม เพราะฉะนั้น..ต้องระมัดระวังให้ดี พลาดเมื่อไรจะไปต่อกรรมให้หนักเข้าไปอีก..!"

เถรี 13-01-2012 12:25

พระอาจารย์เล่าว่า "ศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร เป็นสุดยอดอาจารย์ที่สอนวิชาสันสกฤต ท่านเก่งสันสกฤตเพราะว่าไปได้อาจารย์ดีที่พาหุรัด

เดิมอาจารย์แสงชอบภาษาสันสกฤตอยู่แล้ว ท่านก็เลยจำพวกโคลง พวกโศลกสันสกฤตแล้วก็ท่อง วันนั้นเดินท่องไป แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนพูดภาษาสันสฤตด้วย ท่านอาจารย์ก็หันไปเจออาบังขายผ้าคนหนึ่ง ถามว่าบังมีอะไรหรือ ? อาบังก็บอกว่า “ที่พูดไปนี่ท่านไม่เข้าใจใช่ไหม ?”

“ไม่เข้าใจหรอก แต่ถ้าเขียนมาก็พอจะอ่านได้” “แล้วที่ท่องมานั่นท่านเข้าใจไหม ?” “พอจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงสักเท่าไร” อาบังก็บอกว่า “ถ้าท่านอยากเข้าใจ มีเวลาก็ให้แวะมาหา” แล้วอาบังก็ให้เลขที่ร้านของแกไว้

ท่านอาจารย์แสงแวะไปถึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้วอาบังเป็นอาจารย์ทางด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ท่านอยู่อินเดียแล้วทำมาหากินลำบาก เงินทองหายาก จึงทิ้งตำแหน่งหน้าที่มาขายผ้าที่เมืองไทย ท่านอาจารย์แสงก็เลยโชคดีได้อาจารย์ดี ไม่อย่างนั้นสมัยก่อนนี่อาจารย์แสงใช้ภาษาบาลีสันสกฤตแบบภาษาเมียเช่าฝรั่ง แต่ก็คุยรู้เรื่องนะ พูดจนกระทั่งพวกแขกอินเดียเข้าใจได้

อย่างเวลาท่านอาจารย์แสงพาพวกแขกไปเที่ยวพระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นพุทธสถานแห่งแรกในประเทศไทย ท่านอาจารย์อธิบายให้พวกแขกอินเดียเข้าใจได้ “อตีเต วนาโต พหูพยัคโฆ ปัจจุปันนะกาละวะเสนะ นัตถิ” พวกที่ฟังก็พยักหน้าหงึก ๆ ทั้งที่เป็นภาษาแบบเมียเช่า ไม่ใช่บาลี

“อตีเต วนาโต” แต่ก่อนนั้นตรงนี้เป็นป่า
“พหูพยัคโฆ” มีเสือเยอะ
“ปัจจุปันนะกาละวะเสนะ นัตถิ” เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

พูดอย่างนี้เลย คุยกันจนรู้เรื่อง คนที่เขามีความตั้งใจจริง เขาพยายามสื่อสารจนรู้เรื่อง แล้วอีก ๒ ท่านที่เก่งทางด้านนี้ก็คือ ท่านอาจารย์กรุณา กับ ท่านอาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย ๒ สามีภรรยา นั่นท่านไปเรียนอยู่อินเดียมา จนกระทั่งใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่ ๒ ของชีวิตไปเลย"

เถรี 13-01-2012 13:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ช่วงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ดินทองผาภูมิไร่หนึ่งราคาเป็นล้าน พอมีข่าวเขื่อนแตกหลายครั้งเข้า เดี๋ยวนี้ไร่หนึ่ง ๓๐,๐๐๐-๔๐,๐๐๐ บาทก็พอซื้อได้ จากไร่ละเป็นล้านนะ..คนถือครองคนสุดท้ายนี่ไม่รู้จะเอาอย่างไร ในที่สุดก็..สามหมื่นก็สามหมื่นวะ..ดีกว่าไม่ได้คืนเลย

แต่ระยะหลังทองผาภูมิไปเน้นเรื่องยางพารากับปาล์มน้ำมัน เขาเห่อทำตามคนอื่นที่รวยเพราะเรื่องนี้ เคยเตือนพวกเขาแล้วว่า การปลูกพืชจะให้ดีนั้น เมื่อถึงเวลาถ้าขายไม่ได้ควรจะกินได้ ไม่อย่างนั้นคุณจะไปพึ่งพาอะไรใครได้ ขายไม่ได้ก็ไม่มีสตางค์ไปซื้อข้าวซื้อปลา ถ้าคุณมีพืชไร่อยู่ยังกินได้ คราวนี้เขาไปเห่อตามพวกที่เขารวย เห็นคนอื่นเขารวยเพราะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ก็เลยปลูกกันยกใหญ่

ถามว่าปลูกแล้วดีไหม ? ก็ดี..อย่างน้อย ๆ เท่ากับทดแทนพื้นที่ป่าได้ แต่ไม่ดีตรงที่ว่าถ้าขายไม่ได้แล้วจะกินอะไร ส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเป็นพวกเขาหรือพวกเราก็ตาม เวลาทำกิจการอะไร เรามักจะมองรายได้อย่างเดียว เรามักจะคิดแบบ ๑ + ๑ = ๒ ทำแค่นี้ เดือนหนึ่งมีรายได้แค่นี้ ปีหนึ่งมีรายได้แค่นี้ หักรายจ่ายแค่นี้ เหลือเท่าไรแล้วก็จบ

แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจจา ทุกอย่างไม่เที่ยง ถ้าเกิดว่าขายไม่ได้ขึ้นมาล่ะ ? เพราะฉะนั้น..ถ้าจะทำกิจการอะไรก็ตาม ต้องคิดหาทางถอยไว้ก่อน ว่าถ้าไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนแล้วจะแก้ไขอย่างไร จะถอยไปยืนที่จุดไหน จะดึงเอาส่วนไหนมาโปะตรงนี้ถึงจะค้ำจุนกิจการให้อยู่ได้

ถ้าสามารถคิดคำตอบตรงนี้ได้เสร็จสรรพ จะทำกิจการอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้ายังให้คำตอบตรงนี้กับตัวเองไม่ได้ อย่าเพิ่งไปทำเลย ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ เห็นว่าเจ๊งมาเยอะแล้ว..!"

เถรี 13-01-2012 14:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้สุขภาพของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านไม่ค่อยไหว เพราะต้องล้างไตบ่อย ก่อนหน้านี้หมอให้ล้างไตวันหนึ่งเว้น ๒ วัน แล้วหมอไม่ให้ท่านฉันน้ำ ท่านเองก็ทรมานมาก ช่วงนั้นรู้สึกว่าสุขภาพกายสุขภาพใจทรุดไปหมดเลย เพราะสังขารแย่ ขนาดเวลาบ้วนปากแล้วเขาเอากระโถนมารอง มีน้ำเหลือนิดเดียว เพราะท่านแอบกลืนลงไป

หมอเขาจำกัดน้ำ จึงทรมานสุด ๆ ท้ายสุดท่านก็เลยตัดสินใจว่าฟอกไตทุกวันดีกว่า จะได้ฉันน้ำได้ แล้วก็ดูว่าท่านกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อย แต่ก็แบบคนแก่อายุ ๘๐ กว่านั่นแหละ ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านยังแข็งแรงอยู่ อาตมาไปกราบท่านทุกครั้ง ท่านก็ปรารภว่า “คุณกับผมแย่พอ ๆ กัน คุณไม่แข็งแรงเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ผมไม่แข็งแรงเพราะแก่"

ระยะหลังที่ไม่ได้ไปเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนท่าน แต่วันที่ ๑๑ มกราคมนี้อย่างไรก็ต้องไปเพราะมีฎีกามา เป็นงานวันเกิดครบ ๗ รอบของท่าน"

เถรี 14-01-2012 10:42

ถาม : ผมฝันถึงน้อง เขาบอกว่าที่ผมเจริญกรรมฐานอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาไม่ได้รับ เขาต้องการอย่างอื่น
ตอบ : แสดงว่าน้องโง่..คราวหน้าถ้าน้องมาก็ด่าไปเลย..!

ถาม : หรือว่าผมกังวลไปเองครับ ?
ตอบ : น่าจะอะไรประมาณนั้นแหละ กังวลใจว่าน้องจะได้บุญไหม ก็เลยเก็บเอาไปฝัน อันนี้เรียกว่าจิตนิวรณ์ เพราะว่าฝันมีธาตุวิปริต กินมากก็ฝันเลอะเทอะไปเรื่อย กรรมนิมิต ความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุ จิตนิวรณ์ เก็บความฟุ้งซ่านไปฝัน เทพสังหรณ์ เทวดาสงเคราะห์ให้รู้

เรื่องของบุญนั้น ได้ตั้งแต่เจตนาทำแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาหํ ภิกขเว ปุญญํ วทามิ ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย การตั้งเจตนาก็เป็นบุญแล้ว นี่ขนาดเราลงมือทำบุญเขาต้องได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่ว่าผีโง่เกินไป ก็เป็นเพราะตัวเราฟุ้งซ่านเอง แต่ความจริงจะไปโทษผีก็ไม่ได้นะ เพราะว่าผีมีอาชีพหลอก ถ้าบอกผิด ๆ ก็ถือเป็นอาชีพของเขา

อาตมาเคยไปถามผีว่า เรื่องอะไรมาเที่ยวไล่หลอกชาวบ้าน เขาบอกว่าเขาไม่ได้หลอก เขาตั้งใจจะมาบอกว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่คนหนีเขาทุกที เพราะเขาบุญน้อย มาแสดงภาพให้ปรากฏได้ก็ดีตายชักแล้ว

เขาแสดงภาพให้ปรากฏได้ แต่สภาพบุญกุศลตัวเองมีน้อย หน้าตาก็เลยออกมาดูไม่ได้ หรือไม่บางทีเกิดอุบัติเหตุตายไป ก็พยายามทำภาพเก่าให้เห็นจะได้จำเขาได้ แต่ปรากฏว่าคนเราดันรับไม่ได้เอง เผ่นอ้าวกันหมด พอจะมาสวยเช้งวับ เดี๋ยวบอกว่าสบายแล้วก็ไม่ทำบุญให้อีก

เถรี 14-01-2012 10:52

ถาม : เคยฝันเห็นคุณพ่อท่านลำบากครับ
ตอบ : ถ้าฝันเห็นได้แสดงว่าท่านไม่ลำบาก เพราะถ้าลำบากมาเข้าฝันไม่ได้หรอก แต่คราวนี้ภาพที่ติดตาเราอาจเป็นภาพที่ท่านกำลังป่วยอยู่ ก็เลยต้องแสดงภาพนั้นให้เห็น ถ้ามาในฝันได้แสดงว่ามากวนเราได้ ที่มากวนเราได้นี่ไม่ลำบากหรอก พวกที่ลำบากเขาจะมาไม่ได้เลย

ถาม : แต่พอนานไปก็ไม่ได้ฝันถึงอีก
ตอบ : ท่านสบายแล้ว มัวแต่เพลินอยู่เลยไม่ค่อยจะมา ก็เหมือนกับคนจากไปใหม่ ๆ คิดถึงกันบ่อยจึงมา พอนาน ๆ ไปความคิดถึงก็เริ่มจางลง เป็นเรื่องปกติ

ถาม : แสดงว่าถ้าไม่ได้ฝันถึง..
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือลำบากไปเลย อีกอย่างก็คือสบายแล้วเพลิน ลืมคิดถึงคนอื่น

เถรี 14-01-2012 11:17

ถาม : ในบารมี ๑๐ ตัวไหนสำคัญที่สุดครับ ?
ตอบ : สำคัญทุกอย่าง แต่ให้ทำปัญญาบารมีให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเสียชื่อ ประเภททำทุกอย่างแต่ปัญญาไม่มี เขาเรียกว่าทำแบบโง่ ๆ ขายหน้า..เสียชื่อหลวงพ่อหมด..!

ถาม : การที่จะสอนธรรมคนอื่น เป็นฆราวาสหรือเป็นพระดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความมุ่งมั่นของคุณ ถ้าความมุ่งมั่นของเราเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคคลอื่น ในสภาพไหนเราก็ทำได้ จะเป็นฆราวาสหรือพระก็ไม่ได้ต่างกัน แต่ถ้าความน่าเชื่อถือแล้ว เป็นพระชาวบ้านเขาจะเชื่อถือกว่า

ถาม : แล้วบารมี ๓๐ ทัศละครับ ?
ตอบ : ก็คือบารมี ๑๐ นั่นแหละ ทำบารมี ๑๐ ให้ครบจริง ๆ ก็ครบ ๓๐ ทัศแล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บารมีต้น กลาง ปลาย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าไม่ถึงระดับบารมีตอนกลาง ก็ยังสละชีวิตตัวเองได้ยาก ถ้าถึงอุปบารมีตอนกลางเป็นต้นมา ก็พร้อมที่จะให้ชีวิตเป็นทานได้ ถ้ายิ่งถึงปรมัตถบารมีนี่การสละชีวิตเป็นเรื่องเล็กเลย

เมื่อเช้าเล่าเรื่องหลวงจีนคงซิ่ง ท่านบวชอยู่จนอนาคตจะเป็นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินแท้ ๆ แต่แกล้งบ้ากินเหล้ากินเนื้อจนเขาไล่ออกจากวัดมา ที่ไหนได้ ท่านเจตนาจะไปเอาไม้เท้าพระธรรมของวัดคืน เสียสละตัวเอง เขาก็เลยเรียกกันว่า "เจ้าอาวาสนอกโบสถ์" เพราะอาวุโสท่านมาก พวกลูกศิษย์รุ่นหลัง ๆ ก็เกรงใจ แล้วยิ่งรู้ว่าท่านยอมสละตัวเองขนาดนั้นเพื่ออนาคตของวัด ก็ยิ่งให้ความเคารพนับถือมาก

เถรี 14-01-2012 11:28

ถาม : (เรื่องการเข้าทรง)
ตอบ : ทรงสมาธิให้ได้ระดับอุปจารสมาธิขั้นละเอียด หรือที่หลวงพ่อท่านเคยใช้คำว่า อุปจารฌานขึ้นไป แล้วความแจ่มใสของสภาพจิตใจจะมีเป็นปกติ ถ้ายิ่งได้ถึงปฐมฌานละเอียดขึ้นไปยิ่งดี ไม่อย่างนั้นแค่กำลังของเรานิดเดียว พอเขากดลงมาเราก็จะซึมเป็นปกติ บางคนสติขาดไปเลย ต้องออกอาการตามที่เขาต้องการ

เถรี 14-01-2012 11:41

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อปจายนมัยเป็นของดี ถ้าเราทำได้ก็ถือว่าเป็นคุณแก่ตัว ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ได้เกิดโทษอะไร นอกจากในส่วนของธรรมะไม่ก้าวหน้าเท่านั้นเอง

เถรี 14-01-2012 11:46

ถาม : ทำอย่างไรจะบรรเทากรรมไม่ดีให้ลดลง ?
ตอบ : ทาน ศีล ภาวนา ทำให้มากเข้าไว้ คำว่ามากเข้าไว้ ไม่ได้หมายความว่าสละทรัพย์สมบัติมาก ๆ แต่ให้ทำบ่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องของศีล เรื่องของภาวนา ถ้าสามารถรักษาให้คงสภาพอย่างชนิดที่เรียกว่าปฏิบัติทุกวัน ทำให้กำลังบุญใหญ่เกิดขึ้นกับเรา กรรมต่าง ๆ ก็จะถอยหลังไปเอง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว