กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5399)

เถรี 15-02-2017 21:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี โดยเฉพาะเขตอำเภอทองผาภูมิ ก็คือ ยอดเขาช้างเผือก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวไปตกเขาช้างเผือก ป่านนี้ก็ยังเป็นตายเท่ากัน

แหล่งเที่ยวธรรมชาติ โดยเฉพาะการเดินป่า เดินเขา ประมาทไม่ได้ โบราณว่า คืบก็ป่า ศอกก็ป่า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล หมายความว่าอันตรายมาถึงได้ทุกเวลา เผลอเมื่อไรอันตรายก็มาถึงตัว"


เถรี 15-02-2017 21:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "เสือของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว แกะออกมาแล้วหน้าตาเหมือนหมา (นักษัตรปีจอ) ของหลวงปู่อ่ำ วัดหนองกระบอกเลย คนเอาไปก็ชอบที่จะเอาไปลงรักเหมือนกัน เราต้องจำหน้าตาให้ได้ ว่าคนละฝีมือช่าง"

เถรี 15-02-2017 21:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำผึ้งไม่ว่าจะเป็นผึ้งป่าหรือผึ้งเลี้ยงก็มีคุณภาพเหมือนกัน ถึงเป็นผึ้งเลี้ยงก็จริง เขาก็ต้องย้ายรัง เพื่อให้ผึ้งไปเก็บน้ำหวานจากธรรมชาติเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาเอาน้ำตาลมาละลายให้ผึ้งกิน

น้ำผึ้งถือว่าเป็นอาหารที่ฟื้นกำลังคนป่วยได้ดีมาก แต่ถ้ากินมากไปก็ร้อนใน เสียงหายหมด"

เถรี 15-02-2017 22:00

มีโยมเอาเครื่องมือช่างมาถวาย "ทำถูกแล้ว ส่วนใหญ่โยมมักจะถวายหมอน พระก็นอนอย่างเดียวสิ ต้องถวายเครื่องมือทำงาน เห็นบวชนาคแต่ละรายแย่งถือหมอนกัน คราวหน้าเอาพวกจอบเสียม เครื่องมือช่างไปให้เยอะ ๆ นาคจะได้ไม่นอน เอาหมอนไปให้ก็นอนอย่างเดียว

มีนาคอยู่รายหนึ่ง มีสาวถือหมอน ๒๒ ใบ อย่างนั้นบวชครึ่งเดือนก็ยังใช้หมอนไม่ครบเลย"

เถรี 16-02-2017 15:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติหมอศัลยกรรมที่ศึกษาการศัลยกรรมก็เพื่อช่วยเหลือคนที่ประสบอุบัติเหตุ พูดง่าย ๆ ก็คือ ช่วยให้เขามีหน้าตาเหมือนเดิม แต่สมัยนี้จุดมุ่งหมายเปลี่ยนไป เป็นศึกษาไปเพื่อเปลี่ยนหน้าตาของคน จากการศึกษาแต่แรกเริ่มเพื่อประโยชน์ของคนไข้ กลับกลายเป็นศึกษาเพื่อการค้า

เดี๋ยวนี้ประเทศเกาหลีหรือประเทศไทย แต่ละปีทำเงินจากการศัลยกรรมเป็นแสน ๆ ล้าน อาตมาก็มานั่งคิดว่า คนเรายอมลงทุนเจ็บตัวขนาดนั้น แล้วก็ไปฝืนสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าฝืนไม่ได้อยู่แล้ว เวลาเห็นคนแต่งหน้าแต่งตา อาตมาจะรู้สึกเหนื่อยแทน ยิ่งอายุมากก็ยิ่ง
ต้องแต่งมาก เพื่อจะให้ดูดีเหมือนตอนสาว ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

คำว่า "อนัตตา" มีความหมายหนึ่งว่า บังคับไม่ได้ เราต้องการจะให้เป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไปตามนั้น มีอย่างเดียวก็คือเป็นไปโดยธรรมชาติ ถึงเวลาก็แก่ไป ร่วงโรยไป

ถ้าอาตมาสรุปว่าผู้ชายดูดี ดูสวยกว่าผู้หญิง ผู้หญิงจะยอมรับไหม ? เพราะผู้ชายไม่ต้องแต่งหน้า ก็ต้องดูดีแล้วสิ ส่วนผู้หญิงต้องแต่ง ก็คือยังดูไม่ดี...ใช่ไหม ?"

เถรี 16-02-2017 15:50

"เรื่องกินกับเรื่องสวย ถ้าจำเป็นต้องจ่ายอย่างเดียว ผู้หญิงจะเลือกจ่ายอย่างไหน ? ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพก็คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นอกจากนั้นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะฉะนั้น...โปรดทราบว่าความสวยมาทีหลัง ถ้าไม่มีกินก็สวยไม่ได้หรอก หน้าเหี่ยวทุกคนแหละ

ถ้าผู้หญิงลดเรื่องการแต่งตัวลงสักครึ่งหนึ่ง แต่ละปีจะมีเงินเหลือเยอะมาก อาตมาขอยืนยัน สมัยอาตมาเป็นฆราวาส มีสาว ๆ หลายคนที่อาตมารู้การกระทำของเขา บางทีก็นึกเสียดาย อย่างเช่น ออกจากบ้านทุกครั้งก็ต้องเดินห้างช็อปปิ้ง แล้วก็ซื้อเสื้อผ้า...ซื้อเสื้อผ้า...ซื้อเสื้อผ้า ซื้อไปก็ไม่ได้ใช้หรอก ซื้อจนเต็มตู้ไปหมด เก่าหน่อยก็โละให้คนอื่น แล้วก็ไปซื้อใหม่ มีอยู่คราวหนึ่งซื้อกางเกงยีนส์มา ราคา ๗๐๐ บาท ใส่ครั้งเดียว ราคา ๗๐๐ สมัยทองคำบาทละสี่พัน..!

อาตมาเชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ มีเสื้อผ้าใส่สองอาทิตย์นี่ไม่ซ้ำชุดหรอก แต่ก็ยังคงหาอยู่เรื่อย อย่าไปเชื่อกิเลส กิเลสกำลังหลอกเรา...! ดูสิ...นางแบบนายแบบแต่ละคนหุ่นของเขาเป็นอย่างไร ? ใส่ลงไปแล้วสวยมาก เราต้องนึกถึงหุ่นเราด้วยสิ ไม่นึกถึงหุ่นของเราเราเลยนี่หว่า..! เห็นว่าสวยก็ซื้อแล้ว ต่อไปต้องหาดีไซเนอร์สักคนหนึ่งและโมเดลลิ่งสักคนหนึ่ง ที่ทำเสื้อผ้าสำหรับคนอ้วนโดยเฉพาะ น่าจะขายดีมากเลย

บ้านเราตอนนี้คนอ้วน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปแล้ว แปลว่าคนเดินมา ๑๐๐ คน จะมีคนอ้วนอยู่ ๓๐ คน ถ้าเดินมา ๑๐ คน จะมีอย่างน้อย ๓ คนที่อ้วน ซึ่งความจริงไม่มีอะไรหรอก ถ้าเลิกกินพวกน้ำหวานเสียหน่อยก็ไม่อ้วนแล้ว"

เถรี 16-02-2017 16:01

"พระที่วัดอาตมาฉันข้าวมื้อละสองช้อน ตอนนี้น้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัม..! เพราะว่าตั้งแต่ตอนหลังเพลไปท่านฉันน้ำหวานตลอด บอกเท่าไรก็ไม่ฟัง ห้ามตัวเองไม่ได้ กลายเป็นคนติดหวานไป บอกว่า "คุณดูสิ...หลังเพลแล้วผมฉันอะไรเสียที่ไหน" แต่ท่านก็ทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็จงอ้วนต่อไปเถอะ ใครไปใครมาอาตมาก็ชี้นิ้ว "โน่น..เจ้าอาวาส" อาตมาไม่อ้วนเลยไม่ใช่เจ้าอาวาส

พออ้วนขึ้นมา สุขภาพชำรุดหมด ข้อเข่าเสื่อม หัวใจต้องทำงานหนัก กลายเป็นโรคหัวใจ เบาหวานก็ถามหา อาตมาแนะนำญาติโยมหลายคนไปหาพระอาจารย์บ๊ะ ที่วัดโพธิ์ลังกา อินทร์บุรี ให้ท่านรักษาโรค พอไปถึง ท่านอาจารย์บ๊ะบอกให้ลดน้ำหนัก ถ้าผอมจะไม่เป็นโรคนี้หรอก สรุปว่าโรคที่เป็นอยู่ทั้งหมดเกิดจากความอ้วน

แต่สำหรับโยมหลายคนขาดวินัย
การขาดวินัยกับขาดกำลังใจนี่ราคาเท่ากัน การมีวินัยคือการทำอะไรเข้มแข็งจริงจัง คนที่จะทำอะไรเข้มแข็งจริงจัง ต้องมีกำลังใจที่คิดจะทำ อยากจะทำ ญาติโยมหลายคนตั้งใจว่า "เอาละ...ตอนนี้จะลดน้ำหนักแล้ว จะออกกำลังกายแล้ว" ซื้อเครื่องออกกำลังกายไปสองหมื่นกว่าบาท ปัจจุบันนี้เอาไว้ตากผ้าแทบทั้งนั้น

บางคนก็ไปสมัครฟิตเนส เข้าไปได้สองอาทิตย์ อาทิตย์ที่สามเป็นต้นไปก็เลิกเข้า เต้นมาแล้วเหนื่อย เหนื่อยแล้วก็กิน พอกินแล้วไม่เต้นคราวนี้ก็ยิ่งอ้วนเข้าไปใหญ่"

เถรี 16-02-2017 19:17

"น้องพลอยลูกสาวของอาตมากินกระจาย กินชนิดที่คนอื่นอิจฉา สามารถกินได้มากกว่าโยมสามเท่าเป็นอย่างน้อย เพราะเขาออกกำลังและเล่นกีฬา ต้องใช้งานหนักก็ต้องกินหนัก

ถ้าโยมไปพม่า เวลาซื้ออาหาร ข้าวหนึ่งจานของเขา พอที่เราจะกินได้สองคน ถ้าไปเนปาล จานหนึ่งกินได้สักสามคน อาตมาเจอเข้าไปจานเดียวจุกตาตั้งเลย เพราะเขาเห็นว่าเป็นพระ เขาก็เลยโปะมาให้เป็นพิเศษ แทนที่จะเท่านี้ก็กลายเป็นเจดีย์ไปเลย ทำเอาพระแทบตาย เราไม่ได้ทำงานหนักขนาดเขา กินเท่าเขาไม่ได้ เขาทำงานหนัก เขากินประมาณนั้น เขาเห็นว่าพอดี พอ ๆ กับบะหมี่จับกังเยาวราช บะหมี่จับกังถ้าแยกเอามาขายต่างหากได้ประมาณ ๕ ชาม เพราะคนทำงานหนักต้องกินมากเป็นเรื่องปกติ


ถ้าไม่ออกกำลังกาย เอาแต่กินอย่างเดียว นอกจากอ้วนแล้ว โรคภัยไข้เจ็บยังตามมา สังคมคนอ้วนไม่ใช่สังคมที่น่าปรารถนา เพราะเป็นสังคมของคนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ารักตัวเอง สงสารตัวเอง เมตตาตัวเอง ก็พยายามลดลงหน่อย

ไม่ต้องลดอะไรหรอก ลดกาแฟ ลดน้ำอัดลม ลดชาเขียว ลดพวกนี้ลง ถ้าลดทีเดียวไม่ได้ก็เหลือตอนเช้า ๑ ตอนบ่าย ๑ เอาแค่นั้นก่อน หลังจากนั้นพยายามกัดฟันฝืนไว้ ตอนเช้าไม่กินไปกินตอนเที่ยง แล้วตอนบ่ายก็ค่อยอด ค่อย ๆ ลดไปจะลดได้ แต่คนที่ใจคอเข้มแข็งเด็ดขาด ตูมเดียวเลิกเลยอาตมาก็เจอมาเยอะเหมือนกันนะ"

เถรี 16-02-2017 20:36

พระอาจารย์เล่าว่า "มีทิดรุ่นล่าสุดอยู่คนหนึ่งถามว่า “ถ้าผมสึกไปพระอาจารย์จะจำผมได้ไหม ?” เป็นคำถามที่น่าทึ่งมาก ...(หัวเราะ)... ถ้าเอ็งสำคัญพอข้าก็จะจำได้"

เถรี 17-02-2017 19:50

(หลังจากจารยันต์ให้ลูกศิษย์) “ปกติยันต์เฑาะว์นี่ถ้าไม่ใช่งานเฉพาะแล้วอาตมาจะไม่ใช้ ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนโน้น ลูกศิษย์หลวงพ่อพระครูปฐมโชติวัฒน์บอกว่าจะลงเสาเอก เอาไม้มงคลไปให้เจิม ๑๖ ชุด ๑๔๔ อัน ถามว่านี่ตกลงจะทำอะไร ? เขาบอกใส่ทุกเสาเลยครับ เลยถามว่านี่ตกลงบ้านเอ็งมีแต่เสาเอกเลยใช่ไหม ?

เมื่อกี้ตอนกำลังจะเสกพระท่านบอกว่าใส่ได้แล้ว ใส่ก็ใส่ ปกติไม่ค่อยอยากจะใส่ เพราะเป็นงานที่เจ้าของภาระหนัก ยันต์เฑาะว์นี่เหมาะสำหรับพุทธภูมิโดยเฉพาะ ยันต์ ๑ ตัวแทนพระพุทธเจ้า ๑ องค์”

เถรี 17-02-2017 20:01

พูดถึงพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม "อย่าให้หล่นโดนพื้นแข็ง ๆ นะ แตกเลยนะ เมฆสิทธิ์เมฆพัตร ส่วนผสมหลัก ๆ ก็คือกำมะถัน ทำให้เนื้อกรอบ"

เถรี 17-02-2017 20:10

พระอาจารย์กล่าวว่า “ครูบาอาจารย์บางท่านนี่ท่านใช้อักขระเป็นบาลีไทยเลย อย่างเสด็จในกรมหลวงชุมพรหรือไม่ก็หลวงปู่ชู ท่านเล่นอักษรไทยแต่ก็เสกขลังเหมือนกัน ฉะนั้น...ไม่ได้สำคัญตรงคาถา สำคัญที่คนเสก สมาธิดี ทำขลัง ทำขึ้น จะเสกด้วยอะไรก็ได้”

เถรี 17-02-2017 20:20

ถาม : คำว่ายันต์ครูนี่คือยันต์แบบเฉพาะหรือแล้วแต่สายคะ ?
ตอบ : เขาเรียกกันไปอย่างนั้นเอง อาตมาไม่ได้เรียกหรอก คนที่เห็นอาตมาใช้ก็เลยเรียกว่ายันต์ครู อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป

น่าจะเปิดหลักสูตรให้ได้นะ วันก่อนเจอหลวงพ่อพระครูวิสุทธิ์บุญญาคม วัดทินกรนิมิตที่นนทบุรีนี่แหละ ถามว่าหลวงพ่อไม่ได้เรียนต่อหรือครับ ? ท่านบอกว่าเรียนไม่ไหว แก่แล้ว แต่ถ้าหากว่าจะเปิดหลักสูตรพิเศษปริญญาโทระดับเขียนเลขเขียนยันต์แล้วให้บอก ผมจะไปเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษให้เอง แบบนี้ก็น่าเปิดนะ

บรรดาลูกศิษย์ มจร.ด้วยกันต้องบอกว่าเชื้อสายเดียวกัน มีแนวความคิดดีเหมือนกัน จริง ๆ แล้วต้องเปิดเรียนตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร คือ สอนให้เขียนอักขระเลขยันต์ให้คล่องตัวก่อนก็รับประกาศนียบัตรไป แล้วก็มาเรียนการเขียนยันต์ ชักยันต์ พระคาถาหัวใจ ๑๐๘ แล้วก็ให้ปริญญาตรีไป


ถาม : แล้วทำไมเขาไม่เปิด ?
ตอบ : ไม่มีอาจารย์ที่เป็น เนื่องจากว่าผู้ที่จะสอนระดับประกาศนียบัตรตัวเองต้องจบปริญญาตรี ผู้ที่จะสอนระดับปริญญาตรีอย่างน้อยตัวเองต้องจบปริญญาโท ผู้ที่จะสอนปริญญาโทอย่างน้อยตัวเองต้องจบปริญญาเอก ผู้ที่จะสอนระดับปริญญาเอกต้องมีตำแหน่งทางวิชาการ

ถาม : ก็มีผู้เชี่ยวชาญแล้วนี่คะ ?
ตอบ : การเปิดหลักสูตรต้องมีอาจารย์ประจำ ถ้าไม่มีอาจารย์ประจำก็เปิดหลักสูตรไม่ได้ ก็แปลว่าต้องศึกษากันเอง ไปออกประกาศนียบัตรแบบนั้นไม่ได้ ถ้าเขาเปิดหลักสูตรอาตมาพอจะเป็นอาจารย์ประจำให้ได้ แต่ทีนี้หลักสูตรหนึ่งมีอาจารย์ประจำ ๕ คน แล้วจะไปหาอาจารย์ประจำ ๕ คนที่ไหนได้


เถรี 17-02-2017 20:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "การจะเขียนเลข เขียนยันต์ ใช้เวทมนต์คาถา สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ ศรัทธาที่แน่วแน่มั่นคง ไม่ลังเลสงสัยเลย ฉะนั้น...ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปนั่นแหละจะทำได้ดี พวกนักเรียนนักศึกษาไม่เป็นเรื่องหรอก เริ่มขี้สงสัย

ที่ขำที่สุดคือวันก่อนแม่ชีชื่นมาถามว่า “หลวงพ่อ...พระ ๑,๒๕๐ รูปที่มาประชุมกันในวันมาฆบูชาแรก เป็นพระอรหันต์หมดเลยใช่ไหม ?” ตอบไปว่า “เป็นสิ” แม่ชีเลยบอกว่า “เห็นไหม วันก่อนในห้องเรียนเขาเถียงกันอยู่นั่นแหละว่าไม่เป็น มีพระโสดาบันบ้าง พระอนาคามีบ้าง พระอรหันต์บ้าง เถียงกันเท่าไรไม่จบ หนูโมโหเลยบอกว่า เดี๋ยวจะไปถามหลวงพ่อเล็กให้ ถึงได้เงียบกัน”

เขาบอกว่า พระไตรปิฎกมีการสังคายนาหลายครั้ง รุ่นหลัง ๆ อาจจะเติมเข้าไป ก็เลยบอกเขาไปว่า ถ้าคุณคิดอย่างนั้น ต้องคิดว่ารุ่นหลังแค่ไหนเขาก็เกิดก่อนเรา คนที่เขาเกิดก่อนเรา เขาใกล้ชิดข้อมูลมากกว่าเรา สิ่งที่เขาเขียนไปโอกาสที่จะถูกย่อมมีมากกว่าเรา ถ้าคุณจะมาสงสัย ควรจะสงสัยตัวเองมากกว่า คิดดูว่าวิเคราะห์กันอยู่นั่นแหละ บ้าชัด ๆ"

เถรี 17-02-2017 20:36

ถาม : ในพระไตรปิฎกก็ระบุไว้ชัดเลยนี่คะ ?
ตอบ : ระบุเอาไว้ แต่คราวนี้เขาบอกว่าพระไตรปิฎกสังคายนาหลายครั้งอาจมีการเติมไป อย่างเช่นกถาวัตถุ กถาวัตถุนี่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระท่านเขียนเติมเข้าไปให้ในพระอภิธรรม ๗ บท แต่อันนั้นท่านก็ระบุไว้ว่าเพิ่มเข้าไป ไม่ใช่ว่าแทรกเข้าไปแล้วคนอื่นมาจับได้ทีหลังเสียเมื่อไร

กลายเป็นว่าเกิดการปรามาสพระรัตนตรัยขึ้นมา เพราะเรียนแล้วเขาสอนให้สงสัยไปทุกเรื่อง เรื่องของพระไตรปิฎกเหมือนอาหารสำเร็จรูปที่ทำวางไว้แล้ว เรามีหน้าที่กินอย่างเดียว มาสงสัยอยู่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ทำกันอย่างไร ส่วนผสมถูกหรือเปล่า ก็ปล่อยให้อดตายไปเถอะ..!


ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ท่านถึงบอกว่าต้องประกอบไปด้วยศรัทธา ๔ คือ กัมมสัทธา เชื่อกรรม วิปากสัทธา เชื่อการส่งผลของกรรม กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่ากรรมทั้งหลายย่อมให้ผลต่อสรรพสัตว์ ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว และตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าขาดตัวสุดท้ายนี่เจ๊งเลย เพราะว่าจะสงสัยไปทุกอย่าง

เถรี 21-02-2017 18:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าที่หลวงตาวัชรชัยจะหล่อ ใหญ่กว่า ๙ นิ้วใช่ไหม ? (ขนาด ๓๐ นิ้วครับ) บอกหลวงตาว่า ถ้าช้าเดี๋ยวพระอาจารย์เล็กทำแทนนะ คือโครงการนั้นเริ่มมาด้วยกัน พระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๓๐ นิ้ว เริ่มมาตั้งแต่สมัยโน้น ตอนนั้นมีแต่พรรษาน้อย ๆ กันทั้งนั้น อาตมาก็เพิ่งจะพรรษา ๒ พระอาจารย์สมปองก็เพิ่งจะบวชเข้ามาพรรษานั้นแหละ

พระผู้ใหญ่คงเห็นว่าไปทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา เพราะว่าประกาศโครงการแค่ ๔ วัน ทั้งเงินทั้งทองคำไหลมาเทมา ก็เลยมีการไปพูดให้เสีย ๆ หาย ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็เลยต้องรับโครงการไปทำเอง จึงกลายเป็นงานคาใจอยู่ว่าต้องทำให้ได้ อาตมาก็รอว่าถ้าพี่ไม่ทำเดี๋ยวผมทำเอง"

เถรี 21-02-2017 18:09

โยมเอาซุปไก่สกัดมาถวาย "เอาอาหารเลี้ยงมะเร็งมาถวาย บรรดาซุไก่ถ้าไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอย่าไปกินเลย เพราะเป็นอาหารเลี้ยงมะเร็งที่ดีที่สุด"

เถรี 21-02-2017 18:46

ถาม : การฝึกปฏิบัติโดยการ....(ไม่ชัด).... ตอนนี้รู้สึกใจสบาย ทำให้มีสติกว่าได้ยาว พอเดินไปเรื่อย ๆ เจอปัญหามา บางวันเหมือนว่าสู้กับปัญหาได้ ประคองได้เรื่อย ๆ ครับ เราจะต้องทำอย่างไรต่อดีครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรื่องของการปฏิบัติต้องทำให้ถึงขนาดว่า ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน หรือทำการทำงานอะไร เราต้องรักษาอารมณ์ให้ได้ ไม่อย่างนั้นโอกาสก้าวหน้าจะมีน้อยมาก เพราะว่าเราชนกับกิเลสอยู่ทุกวัน มีโอกาสโดนเขากลืนหมดในเวลาอันรวดเร็ว จึงต้องซักซ้อมการปฏิบัติในลักษณะว่าเคลื่อนไหวแล้วต้องทำได้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเราขาดสติเพียงนิดเดียว หลุดจากการภาวนา หลุดจากอารมณ์ที่เราประคับประคองอยู่เมื่อไรก็โดนกิเลสกินหมด

ฉะนั้น...ไปซักซ้อมการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการทรงฌาน หรือทรงสมาธิในขณะที่เราเคลื่อนไหว หรือทำการทำงานอยู่ให้ได้

เถรี 21-02-2017 19:09

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะว่าไปแล้วทางด้านสายหลวงปู่มั่นอยู่ในลักษณะที่ว่า รักษาแนวการปฏิบัติได้ดี สร้างความเลื่อมใสให้คนได้มาก ถือเป็นหลักของคณะสงฆ์เราเลย เพียงแต่ว่าถ้าเราไปแยกธรรมยุต มหานิกาย ก็จะรู้สึกว่าคนละพวกกัน แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเป็นพระในพระพุทธศาสนา ทำงานเพื่อพระศาสนาเหมือนกันก็จบ

เถรี 21-02-2017 19:26

ถาม : ถ้าเราอยากเสียภาษีแบบเต็มใจ เราควรจะวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็คิดว่าเรากำลังสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติเรา อันดับแรก...เป็นหน้าที่ที่เราต้องเสียภาษีเพื่อบำรุงประเทศชาติ อันดับสอง เราได้สร้างความเจริญให้คนอื่นเขา เท่ากับเราได้ทำบุญใหญ่เหมือนกับสังฆทาน

อย่าให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรมาเอาตูไปเทศน์เรื่องนี้อีกนะ เข็ดจริง ๆ เลย เดี๋ยวนี้พวกหน่วยงานต่าง ๆ เวลาให้เทศน์ เขามักจะกำหนดหัวข้อมาให้ พอกำหนดหัวข้อมาให้ เขาก็ได้ฟังเฉพาะเรื่องของเขา ส่วนเรื่องที่เราอยากบอก เขาก็ไม่ได้ฟัง

การกำหนดหัวข้อเทศน์ก็ดีอยู่หรอก แต่จริง ๆ แล้วถ้าไม่ได้กำหนดตายตัวมา อย่างไรผู้เทศน์ก็รวบกลับไปหาเขาได้อยู่แล้ว ในเมื่อเขากำหนดหัวข้อมา ก็ได้แต่เรื่องของเขา เรื่องของเราเลยไม่ได้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:04


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว