กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=673)

เถรี 09-07-2009 10:16

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒
 
พระอาจารย์ได้เล่าเรื่องราชวงศ์อินเดียสมัยก่อนให้ฟัง ท่านได้เอ่ยถึงพระเจ้าจันทรคุปต์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์คุปตะว่า

"พระเจ้าจันทรคุปต์ตอนทำศึก แพ้เขาอยู่หลายครั้ง วันหนึ่งเลาะไปตามชายป่า ย่องไปขออาหารเขากิน เจอหญิงชาวบ้านคนหนึ่งทำขนมทอด เวลาทอดขนมขึ้นมาใหม่ ๆ มันจะร้อน เมื่อลูกเห็นขนมเข้าก็ร้องอยากกิน กินเข้าไปก็ร้องออกมาเพราะว่ามันร้อนมาก แม่ก็เลยด่าว่า "เอ็งนี่โง่เหมือนจันทรคุปต์ ใครเขาไปกินคำโต ๆ เล่า เล็มเอาทีละน้อย ๆ สิ"

จันทรคุปต์ได้ยินก็สะดุดใจ คิดว่าที่เราแพ้เพราะเราโง่อย่างนี้นี่เอง เนื่องจากตนใช้วิธีไปปะทะกับเขาตรง ๆ ก็เลยเปลี่ยนไปใช้วิธีใหม่ โดยรวบรวมกำลังพลมา ใช้ยุทธวิธีกองโจร ตอดเล็กตอดน้อยตัดกำลังเขาไปเรื่อย ตัวเองก็ค่อย ๆ สั่งสมกำลังเยอะขึ้น ๆ พออีกฝ่ายหนึ่งอ่อนแอก็ทุ่มกำลังใส่ทีเดียว คราวนี้ชนะ ได้บ้านเมืองเขามา

จันทรคุปต์ต้องไปขอบพระคุณหญิงชาวบ้านคนนั้นที่ช่วยด่าให้หายโง่

อย่างพวกเราก็ต้องมียุทธวิธีในการรบกับกิเลส ระวังจะเจอแบบนี้....โง่เหมือนจันทรคุปต์..!"

เถรี 09-07-2009 10:18

"ต้องไปท่องยุทธวิธีตามตำราพิชัยสงคราม มีฤทธี สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน เถื่อนกำบัง พังภูผา ม้ากินสวน พวนเรือโยง โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า ฟ้างำดิน อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู ฯลฯ

วิธีของจันทรคุปต์เป็นวิธีม้ากินสวน ก็คือ ค่อย ๆ เล็ม"

เถรี 09-07-2009 11:02

ตอนนี้พระอาจารย์ได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนพระนิสิต

ท่านกล่าวว่า "การไปสอนพระนักศึกษา ไม่ได้เห็นประโยชน์เรื่องอื่น นอกจากว่าจะได้มีโอกาสนำเอาบางสิ่งที่เราเห็นว่าดีไปเพิ่มให้เขา เมื่อวานก็บอกกับเขาว่า ตอนที่พระพุทธศาสนาสูญไปจากอินเดีย เกิดจากคณะสงฆ์ติดในลาภสักการะ ละทิ้งหลักการที่แท้จริง คล้อยตามความต้องการของชาวบ้าน

บรรดาหลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลาย เห็นอยู่แล้วว่าพระพุทธศาสนาสูญไปจากอินเดียเพราะอะไร ตอนนี้บ้านเราก็เริ่มมีสภาพคล้าย ๆ อย่างนั้น ก็คือเริ่มติดในชื่อเสียง ลาภ ยศ ติดในตำแหน่ง คล้อยตามเอาใจชาวบ้านเพื่อให้เขามาวัด

อาตมาบอกเขาว่า เราจะเป็นพระได้ ก็เพราะมีส่วนต่างจากชาวบ้าน ที่คนเคารพพระเพราะพระต่างจากชาวบ้าน ถ้าหลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลายทิ้งหลักการโดยเฉพาะศีลพระ จะไม่มีอะไรต่างจากเขา แล้วจะไปหาความเคารพจากชาวบ้านได้อย่างไร? ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปศาสนาพุทธก็จะล่มจมเหมือนอย่างที่อินเดีย

เพราะฉะนั้น..แม้ว่าเราจะไม่สามารถปฏิบัติตามหลักการได้เต็มที่ แต่ก็ต้องมีหลักการอยู่ ต่อไปพวกลูกพระ หลานพระที่เขามารับช่วงต่อ อาจมีอัจฉริยะสักรูปเกิดขึ้นมา นำเอาหลักการนั้นนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผล จะทำให้ศาสนารุ่งเรืองขึ้นมาได้อีกวาระหนึ่ง

ดังนั้น..แม้ว่าเราไม่สามารถทำดีได้แต่อย่าทิ้งหลักการ สอนญาติโยมก็ให้สอนตามหลักการ เผื่อญาติโยมนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดีกับตัว ก็จะมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

สิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่ตั้งใจว่าจะคอยหยอดให้เขาทีละนิดทีละน้อย มันเป็นส่วนที่นอกเหนือจากบทเรียน บทเรียนเขามีกรอบบังคับว่าต้องสอนแบบนั้น เราเองไม่สามารถที่จะไปสอนเต็มที่ตามที่เราต้องการได้ มีอยู่อย่างเดียวคือหยอดไปเรื่อย ๆ ถ่ายทอดทายาทอสูรให้มาก ๆ ขึ้น ถึงแม้ว่าฟังแล้วจะผ่านหู แต่อย่างน้อยก็เคยได้ยิน พอไปถึงระยะหนึ่งกุศลมันเข้า เขาจะรู้สึกสะกิดใจและนำไปปฏิบัติ ก็จะเป็นประเภทต้นคดปลายตรงก็ยังดี"

เถรี 09-07-2009 11:43

"ตอนนี้ลูกศิษย์ ๓๗ รูปใน ๑ ห้องเรียน เท่าที่ดูมียึดหลักการอยู่ ๒ รูป ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะปกติจะเละหมดทั้งห้อง

เขาสอนกันมาเป็นรุ่นต่อรุ่น พยายามผ่อนผันเรื่องศีล อย่างเช่น กินข้าวเย็นได้ ดูหนังฟังเพลงได้ เพื่อเอาใจพวกเณรให้อยู่เรียนกับสำนักนี้ ถ้าเขาเรียนได้มากเท่าไร ตัวเองก็เบิกค่าหัวได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าเงินช่วยเหลือจากส่วนกลางเขาจะมีอยู่ เป็นเงินช่วยในการศึกษา เพราะฉะนั้น..มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราจะได้ข่าวว่ามีสำนักเรียนในกรุงเทพฯ แจ้งยอดนักเรียนเกินเป็น ๗๐๐-๘๐๐ รูป แล้วก็เบิกเงินตามนั้น พอเขาไปตรวจสอบก็บอกว่าไม่มี อ้างว่าสึกไปแล้ว ถ้าเจตนาแบบนั้นมันชัดเกิน ความเป็นพระไม่น่าจะเหลือ

ฟัง ๆ แล้วน่าสลดใจ อาตมาไปสอนนี่ไม่ได้ตั้งใจอะไร ตั้งใจตักน้ำรดหัวตอ มันไม่งอกเอาแค่เปียกก็ยังดี มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ทำอย่างไม่หวังผล ทำเพราะเป็นสิ่งที่เราต้องทำ เมื่อได้ทำเราทุ่มเทไปแล้วถือว่าเราทำหน้าที่สมบูรณ์ไปแล้ว ผลจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิด เป็นเรื่องของเขาไม่ใช่ของเรา

ค่าบรรยายที่เขาให้ก็ไม่พอค่ารถ ไปกลับเที่ยวหนึ่งก็ ๖๐๐ กว่าบาท บรรยายไปสองชั่วโมงได้มา ๔๐๐ บาท ยังดีที่ไม่ต้องจ่ายฟรี ๖๐๐..!"

เถรี 09-07-2009 20:08

ถาม : การพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ต้องวางกำลังใจอย่างไร?
ตอบ : ตรงนั้นมันเกินสำหรับเรา อันดับแรก ให้รู้ตัวก่อนว่าเราต้องตาย ในเมื่อเราตาย เราเอาอย่างอื่นไปได้ไหม?

ถาม : ไม่ได้ครับ
ตอบ : แล้วถ้าคนอื่นตายล่ะ?

ถาม : เอาไปไม่ได้ครับ
ตอบ : ทำไปทีละขั้น ของเรากระโดดไปเรียนด็อกเตอร์ ไม่ทันกิน ต้องตีในระดับประถมหรือมัธยม ส่วนในระดับมหาวิทยาลัยเขาเรียนแบบใช้เหตุใช้ผลกัน ค่อยไปตีเอาทีหลัง

เพราะฉะนั้น..พิจารณาให้เห็นก่อนว่าเราต้องตายแน่ ๆ ไม่ใช่แต่เรา เขาก็ด้วย ถ้าหากว่าเราตายแล้วอยากไปดี ก็อย่าทำให้ใจตัวเองเศร้าหมอง ไปซ้อมอยู่จุดเดียวพอ เอาตายท่าเดียว

ไม่ใช่แสวงหาความตายนะ แต่เห็นว่าธรรมดาต้องตาย ในเมื่อตายก็ไม่มีอะไรแบกไปได้ แม้กระทั่งตัวของเราที่รักก็ยังเอาไปไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ต่างกัน

เถรี 09-07-2009 20:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "กำลังใจที่เหมือนภูเขาทั้งลูกที่แบกไว้ พอวางลงได้ ตรงจุดอย่างนี้ถ้าหากว่าใครพบ พยายามจำมันให้ได้ กำลังใจที่เราปลงภาระอะไรบางอย่างลงได้ รู้สึกเบา รู้สึกสบาย มีความสุข

ถ้าหากในด้านของธรรมะ กำลังใจที่เราปลงรัก โลภ โกรธ หลงลงได้นี่ มันมีสุขมากกว่านั้นนับประมาณ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้หรอก คนที่แบกของหนักแทบจะล้มประดาตาย วางของลงมันสบายจริง ๆ ส่วนกำลังใจที่ปลงจากรัก โลภ โกรธ หลงอันนั้นสบายกว่า สุขจนนับไม่ถูก"

เถรี 09-07-2009 23:58

มีคนนำ 'ขนมโคคนธรรพ์' มาถวายหลวงพ่อเล็ก ลักษณะของขนมโคคนธรรพ์ตามที่เห็นนั้น เหมือนกับหินเม็ดใหญ่ ๆ เป็นสีขาว กลม ๆ แต่กินไม่ได้

พระอาจารย์บอกว่า "ขนมโคคนธรรพ์นี้จะอยู่ตามลำธาร ถ้าไปเก็บออกมาจะออกจากป่าไม่ได้ ต้องบอกกล่าวขอขมาท่าน ส่วนใหญ่เขาจะเอามาทำเป็นส่วนผสมของวัตถุมงคล

นอกจากนี้ยังมีของบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนปลัดขิก เป็นหินแต่ว่ายน้ำได้ ต้องไปตะครุบเอาเอง แดง(มงคล จอมผา) พอเขาก้มลงจะจับมัน ก็ปรากฏว่าเหมือนมีพัดลมใหญ่เป่าวูบออกมาจากถ้ำ ก็เลยไม่กล้าแตะ

นอกจากนี้ก็ยังมีของแปลกอย่างอื่นอีก ทางพม่าเขาเรียกว่า "แท่งยาพระฤๅษี" เขาบอกว่ามันอยู่ยงคงกระพัน ทหารพม่าก็เลยเอามาลองยิง ปรากฏว่าปืนที่ยิงพังกระจายเลย

สรุปว่า กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ของดีแค่ไหน ต้องดูกำลังใจ มันจะได้อย่างนั้น"

เถรี 10-07-2009 07:56

มีป้าคนหนึ่งนำซองมาถวายพระอาจารย์ บอกว่าทำบุญสร้างปราสาททองคำ

พระอาจารย์จึงบอกว่า "อาตมาไม่ได้สร้าง สร้างแต่พระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าอาตมาต้องเริ่มต้นสร้างปราสาททองคำใหม่ ไม่เอานะจ๊ะเพราะต้องลงทุนเป็นพันล้าน เรื่องของพระ เวลาโยมเขาระบุให้ทำอะไร ต้องทำอย่างนั้น เราเปลี่ยนเจตนาเขาไม่ได้ เขาปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ ก็แปลว่าลงอเวจีมหานรกเท่านั้น

คราวนี้โยมเขาจะสร้างปราสาททองคำ อาตมาไม่เอาด้วยหรอกจ้ะ มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นไปอยู่วัดท่าขนุนปีแรก หลวงพ่อจังหวัดท่านสั่งให้ไปช่วยบูรณะวัดท่าขนุน ตรงโลงแก้วหลวงปู่สาย คนซื้อเขาซื้อตู้ปลามาบรรจุ เราก็รำคาญสายตา พอไปอยู่วัดท่าขนุนก็เลยสั่งโลงแก้วประดับมุกมาถวาย

ปรากฏว่าญาติโยมก็ไปช่วยกันเช็ด ช่วยกันถู เสร็จสรรพเรียบร้อยยกเก็บเข้าที่ แล้วก็มีคนที่มีความคิดบรรเจิดว่า โต๊ะหมู่ไม้มันไม่เข้ากับโลงแก้ว ถ้าเป็นโต๊ะหมู่ประดับมุกจะดีมาก ว่าแล้วเขาก็ควักเงิน ๑๐๐ บาท เป็นเจ้าภาพโต๊ะหมู่ อาตมาก็ต้องโทรไปสั่งโต๊ะหมู่ราคา ๘๘,๐๐๐ บาท โดยที่อาตมาจ่ายไป ๗๙,๙๐๐ บาท..! เพราะฉะนั้น..ต่อไปใครจะทำอะไร ที่ต้องจ่ายเยอะ ๆ ไม่ต้อง ยกเว้นเป็นเจ้าภาพเลย

เราเปลี่ยนเจตนาเขาไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านปรับโทษไว้ ต้องทำตามที่เขาให้ ดังนั้น..ระยะนี้ ถ้าใครมาแบบผิดท่าผิดทางอาตมาไม่เอาทั้งนั้น"

เถรี 10-07-2009 11:00

ถาม : ทุกวันนี้จับลมทั้งวันค่ะ เวลาที่จิตมันนิ่ง ๆ ตรงหน้าผากมันจะหนักค่ะ แล้วจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ บางทีแบบจะระเบิดเลยถ้าไม่หยุดค่ะ
ตอบ : อย่าไปใส่ใจ ก็ให้มันระเบิดตายไปเลย

ถาม : ไม่ผิดอะไรใช่ไหมคะ?
ตอบ : ไม่มีอะไรผิดจ้ะ สมาธิมันเริ่มทรงตัวมากขึ้น ถ้ามากเข้า ๆ จะเหมือนกลายเป็นหินไปทั้งตัว นี่ของเรานี่แค่เป็นบางส่วน

ถาม : แล้วจับลมกับรู้อิริยาบถนี่แทนกันได้เลยหรือเปล่าคะ?
ตอบ : สามารถทำควบกันได้ ถ้าหากว่าเอาแต่รู้อิริยาบถอย่างเดียว สมาธิมันเบาเกินไป จะเผลอหลุดได้ง่าย ทำเรื่องลมให้คล่องแล้วไปเอาอิริยาบถทีหลัง

ถาม : ทุกวันนี้เวลาตอนเช้ากิเลสมันจะงอกงามมากเลยค่ะ เหมือนกับตื่นเช้าแล้วก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ทุกเช้าอย่างนี้
ตอบ : ก็เพราะว่าสติมันไม่ต่อเนื่อง มันงอกตั้งแต่ตอนหลับ พยายามทำ ทำอย่างไรให้หลับแล้วรู้ตัว จะได้ทันกิเลส

ถาม : แล้วต้องทำอย่างไรคะ?
ตอบ : เพิ่มสติขึ้นไปเรื่อย ๆ

ถาม : แล้วถ้ามีสติตลอดเวลาทั้งหลับและตื่นนี่ คนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอริยเจ้าเขาทำได้ด้วยหรือคะ?
ตอบ : ได้ แค่ปฐมฌานละเอียดแค่นั้น

ถาม : หนูเคยภาวนาแล้วหลุดออกไปค่ะ แต่ทีนี้ภาพที่เห็นตอนหลุดออกไปกับตอนที่เป็นจริงนี่มันมีความแตกต่างกันเยอะมากเลยค่ะ แต่ก็มีบางจุดที่ทำให้รู้ว่าเป็นที่เดียวกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นคะ?
ตอบ : ที่หลุดไปมันละเอียดกว่า

ถาม : แสดงว่าของจริงคือตอนที่หลุดออกไปหรือคะ?
ตอบ : ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับความหยาบละเอียดของจิตตอนนั้น ต้องบอกว่าเป็นแค่ตอนนั้น

เถรี 10-07-2009 11:03

ถาม : เมื่อนั่งสมาธิพอจิตนิ่งแล้ว ทำการวิปัสสนาแล้วเกิดอาการตัวแข็ง ๆ โดยเฉพาะหน้าจะมีอาการตึง ๆ แล้วจะมีอะไรบางอย่างหมุนวนตรงปลายจมูกติดอย่างนี้มา ๒-๓ ครั้ง ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อ เพราะคำภาวนาไม่มีและไม่ได้จับลม?
ตอบ : รู้ไว้เฉย ๆ รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น อย่าอยากให้มันหายและอย่าอยากให้มันเป็น แล้วจะไปลึกกว่านั้น ตอนนั้นอาจจะตกอกตกใจว่าตัวถูกสาปกลายเป็นหินไปแล้ว

ถาม : ก็คือถ้าวิปัสสนาอยู่ ก็วิปัสสนาต่อไปไม่ต้องสนใจ?
ตอบ : พิจารณาต่อไป ไม่ต้องไปใส่ใจ

ถาม : หลัง ๆ บางครั้งได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือก่อนที่คนจะโทรมาจริง ๆ สัก ๕ วินาที เป็นเพราะจิตรับรู้ได้เร็วขึ้นหรือเปล่า?
ตอบ : มันดังแล้ว

ถาม : ดังแล้วหรือคะ?
ตอบ : ดังจากต้นทาง

ถาม : อ๋อ
ตอบ : มันยังมาไม่ถึงปลายทาง อันนี้ได้ยินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เถรี 10-07-2009 11:05

ถาม : ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านก่อนนอน ตอนหลับไปไม่รู้ตัว แต่พอตื่นแล้วก็ภาวนาต่อเลยนี่... ?
ตอบ : พอไหว

ถาม : คาถาเงินล้านนี่สามารถฝืนวิบากกรรมได้มากน้อยแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ได้นิดหน่อย แค่เป็นมหาเศรษฐี แค่นี้ก็น่าจะพอใจนะ..!

ถาม : ถ้าตามดวง อย่างหมอดูฟันธงว่าจนแน่ ๆ นี่ก็ทำให้ถึงกับรวยได้เลยหรือคะ ?
ตอบ : เรื่องของเขา เขาว่าจนเดี๋ยวเราจะรวยให้ดู อาตมาไม่เคยเชื่อเลยพวกหมอดู

เถรี 10-07-2009 13:09

ถาม : เป่ายันต์เกราะเพชรแล้วไปกินเหล้า กับมีวัตถุมงคลที่เป็นยันต์เกราะเพชรแล้วไปกินเหล้า อย่างไหนจะคุ้มครองดีกว่ากัน?
ตอบ : ดีต่างกันตรงที่ว่า ถ้าเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วยันต์จะไม่หาย ถ้ารักษาได้ยันต์จะติดตัวเราตลอด แต่ถ้ากินเหล้านี่เสื่อมเลย
ส่วนวัตถุมงคลที่เป็นยันต์เกราะเพชร ถ้ากินเหล้าจะไม่คุ้มครองเฉพาะตอนนั้น ถึงเวลาหายเมาก็อาราธนาคุ้มครองใหม่ได้


แต่ถ้าเผลอหรือลืมทิ้งวัตถุมงคลไว้ก็หาย ไม่ได้ติดตัวไปตลอดเหมือนการเป่ายันต์ เพื่อความไม่ประมาทก็ทั้งวัตถุมงคลที่เป็นยันต์เกราะเพชรแล้วก็เป่ายันต์ด้วย เอาทั้งสองอย่าง

เถรี 10-07-2009 13:35

ถาม : เรื่องการบวชนาคแบบพิสดาร ที่ต้องเขย่านาคที่นั่งอยู่บนคาน
ตอบ : เขาทดสอบบารมีว่าจะได้บวชหรือตกมาคอหักตาย..!

ถาม : ต้องถึงกับเขย่าด้วยหรือคะ?
ตอบ : อย่าลืมว่าพวกที่แบกเขาเมาทั้งนั้น เขาก็เล่นสนุกสิ ก็เลยเป็นการทดสอบว่านาคจะมีบารมีพอที่จะบวชหรือตกลงมาคอหักตาย?..!

แม้กระทั่งสมัยนี้ประตูโบสถ์วัดท่าขนุน ก็ยังอุตส่าห์ให้นาคขึ้นตบคานประตู สมัยก่อนโบสถ์เขาสร้างไว้เตี้ย ถึงเวลานาคเดินเข้าจะเอามือตบคานประตู เพื่อบอกให้รู้ว่าก้มหน่อย เดี๋ยวนาคหัวแตก แล้วก็ถือเป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงเวลาก็ให้นาคขี่คอขึ้นไปตบ วันก่อนเจอนาคหนัก ๑๔๐ กิโลกรัม คนโดนนาคขี่แทบเป็นลมตาย บางอย่างเขาทำตาม ๆ กันมาโดยที่ไม่พยายามศึกษาว่าเขาทำโดยมีสาเหตุอะไร

เถรี 10-07-2009 14:42

อาตมาไปพม่า ไปเจอต้มเห็ด เขาใส่ผักบุ้ง ใส่ข้าวลงไปในต้มเห็ด กลายเป็นข้าวต้มเห็ด จึงถามเขาว่า "นี่คืออะไร?" เขาบอกว่าข้าวต้มเห็ด ถามต่อว่า "รู้ไหมว่าเขาใส่ผักบุ้งและข้าวไปทำไม?" เขาก็ตอบว่า "เพราะมันอร่อย"

นี่เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ที่เขาใส่เห็ดเพราะว่าเห็ดบางอย่างที่หามาจากป่าซึ่งไม่รู้ว่ากินได้หรือไม่ เวลาต้มเมื่อเอาข้าวสุกใส่ลงไป ถ้ามันเป็นเห็ดมีพิษ ข้าวจะเป็นสีดำ ขณะเดียวกันผักบุ้งเป็นตัวยาถอนพิษชนิดที่ดีที่สุด เขาป้องกันโดยใส่ปนกันไปเลย ถ้ากินลงไปมันจะได้แก้ลงไปในตัว

ทีนี้เขาไม่รู้ถึงสาเหตุก็ใส่ลงไปเรื่อย ๆ กลายเป็นข้าวต้มผักบุ้งเห็ด เราเห็นนี่นั่งกุมขมับเลย คนที่ตอบนี่เป็นครูนะ เขาบอกว่าใส่เพราะอร่อยดี เขาไม่พยายามที่จะคิดเลยว่ามันเกิดจากอะไร เห็นเขาใส่ก็ใส่ตาม เขาเรียกว่าเถรส่องบาตร เห็นอาจารย์ส่องตัวเองก็ส่องบ้าง บาตรอาจารย์รั่วอาจารย์ก็เลยดูว่ารูมันใหญ่พอที่จะเปลี่ยนหรือไม่ ลูกศิษย์เห็นอาจารย์ตนเองส่องก็ส่องตามไปเรื่อย ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ทำตาม ๆ กัน

คนพวกนี้แปลก เรื่องที่ไม่น่าสงสัยเขาจะไปสงสัย เรื่องที่ควรสงสัยเขาไม่สงสัยหรอก"

เถรี 10-07-2009 15:48

ถาม : เรื่องการจบกิจ หมายถึง?
ตอบ : ถ้าจบตรงนั้นแปลว่าจบทุกอย่าง อายุไม่เกี่ยว จบตอน ๗ ขวบ ก็ตายตอน ๗ ขวบ

อาตมายืนยันไปหลายครั้งว่า ฆราวาสที่เก่งจริง ตายหมดแล้ว ที่อยู่นี่ยังเก่งไม่จริง แต่คนก็ไม่ค่อยฟังกัน ไป ๆ มา ๆ ก็จะมานั่งบ่นกันว่า ฆราวาสคนนี้ไม่ชอบมาพากล มาบ่นทำไม?

เถรี 10-07-2009 16:52

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "กลางเดือนมิถุนายน มีอุบัติเหตุตรงบริเวณไทรโยค ตรงแถว ๆ ทุ่งเลี้ยงสัตว์ รถที่ชนกันเป็นคนทองผาภูมิ ตายคาที่ไป ๔ ศพ อยู่โรงพยาบาล ๑ คน บาดเจ็บสาหัสอีก ๒ คน รถหมดสภาพ ที่ตายมีอยู่รายหนึ่ง เป็นพระที่อบรมเจ้าอาวาสรุ่น ๑ ตายคาที่ พอตายแล้ว เพื่อนพระก็มาสะกิดถามว่าเขามีสมเด็จนางพญา แล้วตายได้อย่างไร? สรุปก็คือว่า วันนั้นเขาไม่ได้เอาไป คนเราพอถึงวาระมันมีเหตุให้เป็นแบบนี้

นึกถึงผู้พันท่านหนึ่ง ท่านมีวัตถุมงคลของอาตมา แม้กระทั่งปืนที่เขาติดตัวอาตมาก็เสกให้ ปรากฏว่าวันนั้นไปโดนพวกกะเหรี่ยงล้อมยิง ตัวเองหลุดจากวงล้อมมาได้ เป็นห่วงลูกน้องย้อนกลับไปช่วยเขา ปรากฏว่าตาย ขาขาด อาตมาถามลูกน้อง ลูกน้องบอกว่า วันนั้นตั้งแต่ออกเดินทางผู้พันก็บ่นว่าใจคอไม่ดีเพราะลืมวัตถุมงคล พออาตมาถามถึงปืนที่เสกให้ ลูกน้องก็บอกว่าผู้พันไม่ได้พกไป

พอวาระมาถึงมันมีเหตุให้เป็นอย่างนี้จริง ๆ ตกลงว่าแหวกวงล้อมเอาตัวเองออกมาได้ แต่สุดท้ายตัวเองก็เป็นศพตามลูกน้อง"

เถรี 10-07-2009 16:56

พระอาจารย์บอกว่า "ถ้าอกุศลแรง กุศลจะเข้าไม่ได้
ความดีความชั่วเหมือนกับต้องนั่งเก้าอี้ตัวเดียว ใจเราเป็นเก้าอี้ตัวเดียวโดด ๆ ถ้าความชั่วเข้าไปนั่ง ความดีก็ไม่มีที่จะนั่ง...เพราะว่าเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากความดีนั่งอยู่ ความชั่วก็เข้าไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น..แต่เช้ารีบนั่งก่อน เอาตัวดี ๆ มานั่ง ไม่ใช่เอาตัวเลว ๆ มานั่ง..!"

เถรี 12-07-2009 09:39

ถาม : เรื่องลางสังหรณ์?
ตอบ : ลางสังหรณ์จัดเป็นทิพจักขุญาณอย่างหนึ่ง ในเมื่อมีทิพจักขุญาณอยู่ ก็ต้องพอรู้อะไรบ้าง

เถรี 12-07-2009 10:02

พระอาจารย์กล่าวถึงในเรื่องการปฏิบัติว่า "การปฏิบัติอย่าหวังพึ่งอาจารย์ ได้หลักมาแล้วต้องทำเอง โดยเฉพาะถ้าหวังความก้าวหน้าแล้วต้องทำให้ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่พวกเราจะทำเฉพาะตอนนั่งอยู่ พอเลิกแล้วก็ทิ้งเลย

กำลังใจที่เราปฏิบัติคือกำลังใจที่ทวนกระแสโลก เมื่อว่ายทวนน้ำพอเราทิ้ง เราก็ไหลตามน้ำ เราก็ทวนน้ำใหม่แล้วเราก็ทิ้ง ไหลตามน้ำอีก กลายเป็นว่าเราขยันเท่าไร แต่ผลงานก็ไม่มีเพิ่ม ก็เลยหาความก้าวหน้าไม่ได้ ทำอย่างไรที่เราเลิกปฏิบัติแล้วจะรักษาอารมณ์ให้ได้เท่ากับตอนที่นั่ง นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องไปประคับประคองรักษามันไว้

แรก ๆ แป๊บเดียวก็หาย แต่พอเราตั้งสติจดจ่ออยู่กับมัน มันก็จะได้นานขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราสามารถทรงกำลังใจในสภาพเหมือนนั่งสมาธิต่อกันเป็นวันเป็นเดือนได้ ความผ่องใสของจิตจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะมีมากตาม
ต้องทำด้วยตนเอง ไม่ต้องหวังพึ่งอาจารย์ อาจารย์บอกแค่หลักการเท่านั้น หรือไม่ก็แนะนำตอนติดขัด แต่ทำแทนเราไม่ได้แน่นอน"

เถรี 12-07-2009 10:59

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่อาตมาเจออาจารย์จันทร์แรก ๆ อาจารย์จันทร์ท่านเป็นพระที่ชอบปฏิบัติ อาตมาจึงแนะนำเรื่องการปฏิบัติให้ พอแนะนำไป อาจารย์จันทร์ก็เกิดความสงสัย จึงถามว่า "ที่อาจารย์บอกว่าปฏิบัติเอาแค่เสมอตัวกับกำไร ก็คือ ถ้าเราทำไปจนกำลังใจมันดีแล้วเรารักษาสภาพไว้ ถ้ารู้สึกว่ามันฟุ้งซ่านเอาไม่อยู่ ให้เราเลิก สอนตรงกันข้ามกับอาจารย์ของผม อาจารย์ผมบอกว่าตราบใดที่ยังฟุ้งซ่านอยู่ เลิกไม่ได้ ต้องทำจนกว่าจะหายฟุ้ง

อาตมาจึงบอกว่า "ขึ้นอยู่กับว่านิสัยของเราเป็นแบบไหน? เพราะหลักการปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามี

ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ยาก บรรลุก็ลำบาก
ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติยากแต่บรรลุง่าย
สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา แม้ปฏิบัติง่ายแต่กลับบรรลุยาก
และสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายและบรรลุเร็ว
ชอบแบบไหนก็ว่ามา"


แต่จริง ๆ เขาเป็นคนมีปัญญานะ พอเห็นต่างเขาถามก่อน ว่ามันต่างกันอย่างไร อาตมาชอบแบบเสมอตัวหรือไม่ก็กำไร ถ้าทำแล้วรั้งความฟุ้งซ่านไม่ไหวก็ปล่อยเลย ประมาณว่าชั่วโมงนี้ข้ายกให้เอ็ง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:23


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว