กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3194)

เถรี 07-02-2012 16:37

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
 
พระอาจารย์กล่าวว่า "อีกไม่กี่เดือนรถไฟฟ้าจะมาลงปากซอยบ้านวิริยบารมี เขากำลังทำสถานีอยู่ อาตมาซื้อที่ตรงนี้แพงเพราะว่าเป็นแนวรถไฟฟ้าพอดี แต่ก็ต้องยอมจ่ายแพงเพื่อความสะดวกในการเดินทางของญาติโยม ปรากฏว่าพอซื้อที่เสร็จ นายกฯ ทักษิณหลุดออกจากตำแหน่ง โครงการของเขาก็เลยโดนดองไว้ นี่เพิ่งจะมาเริ่มกันใหม่

พอดีปีนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมพระราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา เขาว่าจะสร้างให้ทันงานฉลอง ก็แปลว่าประมาณสิงหาคมน่าจะเปิดทำการรถไฟฟ้าได้ ถ้าไม่ได้อย่างไรก็ต้องไปเดือนธันวาคม วันพ่อโน่นเลย

อาตมาไปอินโดนีเซียเที่ยวนี้ไปเครื่องบินแบบประหยัด มีกระเป๋าติดตัวได้ใบเดียว ซึ่งอาตมาก็เคยชินกับการไปไหนกระเป๋าใบเดียว ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องเขาจะต้องถามตอนตรวจตั๋วว่ามีสัมภาระไหม ? อาตมาไม่เคยมีกับใคร กระเป๋าใบเดียวเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก..!"

เถรี 07-02-2012 17:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ครูบาผัด วัดหัวฝาย ต้องบอกว่าท่านท้าทายวิทยาศาสตร์มาก เผาเสร็จไม่ทันไรอัฐิกลายเป็นพระธาตุเลย แล้วที่ท้าทายมาก คือเป็นกระดูกครึ่งหนึ่ง เป็นแก้วครึ่งหนึ่ง สุดยอดจริง ๆ อาตมาดูมาหลายองค์แล้ว องค์อื่นยังไม่เคยเห็นแบบนี้เลย

ทางเหนือเขาจัดงานฌาปนกิจแบบอลังการมาก แต่น่าเสียดายที่เผา ไม่ได้เก็บสังขารเอาไว้เหมือนทางด้านเรา"


อัฐิธาตุของหลวงปู่ครูบาผัด แปรสภาพเป็นพระธาตุภายในคืนเดียวอย่างน่าอัศจรรย์



แปรสภาพเป็นพระธาตุเพิ่ม

เถรี 08-02-2012 10:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อช่วงก่อนปีใหม่สัก ๒ อาทิตย์ มีห้างใหญ่ลดราคาเครื่องใช้ในครัว อาตมาให้เงินแม่ชีไป ๗ หมื่นบาท กลับมาไม่เหลือสักบาทเดียว..! แม่ชีซื้อของมาเป็นรถกระบะเลย ตอนนี้กำลังพ่นสีชื่อวัดติดของทุกชิ้นกันอยู่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก คนที่เขาหยิบยืมไปใช้ ถ้าจะเอาเสียอย่างต่อให้ติดชื่ออยู่เขาก็เอา ไม่ว่าจะซื้อของมามากแค่ไหน พอโยมยืมไปยืมมาก็จะร่อยหรอไปเรื่อย แล้วก็ต้องซื้อเพิ่มอีก

เรื่องการยืมของ อาตมาพยายามที่จะให้รัดกุมแล้ว แต่บางทีเด็กวัดหรือแม่ชีก็เกรงใจโยม ที่วัดจะมีบัญชีรับส่งอยู่ว่าเขายืมอะไรไป แล้วเอามาส่งคืนครบหรือไม่ แต่ปรากฏว่าพอเขาเอามาส่ง แม่ชีก็ไม่กล้าตรวจสอบต่อหน้าเขาเพราะเกรงใจ เขากลับไปแล้วค่อยมาตรวจใหม่ พอไม่ครบก็ว่าอะไรไม่ได้แล้ว ดูท่าจะต้องเปลี่ยนจากแม่ชีหรือเด็กวัดที่ดูแลให้เป็นพระ แล้วต้องเลือกท่านที่โหด ๆ หน่อยด้วย..!

ญาติโยมบางท่านก็ค่อนข้างจะมีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นระดับนายกเทศมนตรีบ้าง สมาชิกสภาเทศบาลบ้าง นายกอบต. บ้าง สมาชิกอบต. บ้าง คนในวัดก็ไม่กล้าไปว่าอะไรเขา ส่วนอาตมาด่าตั้งแต่นายอำเภอลงมาถึงภารโรงเลย..! เขาเคยชินแล้วแหละ นายอำเภอคนเก่าโดนด่าไปต่อหน้าเลย บรรดานักการเมืองท้องถิ่นจะโดนบ่อย ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในลักษณะหาเสียง พอถึงเวลาจะประเคนของก็ต้องประกาศเรียกขึ้นมาประเคนทีละคน ๆ อาตมาก็พอรับได้ตรงนี้ เพราะรู้ว่าเป็นลีลาของเขา

แต่พอบอกว่าให้ประเคนตอนนี้ เขากลับไม่ทำ พอเลิกงานแล้วดันมาทำ พระก็ยังกลับไม่ได้ ปกติตอนช่วงถวายสังฆทานอาตมาบอกเขาว่า ถ้าใครจะถวายอะไรก็จัดมาตอนนี้เลย เขาก็เฉย ๆ กระทั่งพระยถาสัพพีฯ ญาติโยมกรวดน้ำรับพรเสร็จแล้ว เขาค่อยประกาศเรียกพรรคพวกมาถวาย พออาตมาจับไมค์ได้ก็ด่าส่งไปเลย เพราะถ้าไม่มีใครว่าเขาจริง ๆ ต่อไปเขาก็จะทำผิด ๆ ไปเรื่อย ตกลงว่าอาตมาต้องยอมเป็นคนปากร้ายไปคนเดียว"

เถรี 08-02-2012 11:16

ถาม : รับยันต์เกราะเพชรที่บ้านก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จ้ะ อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอให้ตั้งใจรับด้วยความเคารพ ต่อให้อยู่ดาวดวงอื่นก็รับได้ บารมีพระที่ท่านสงเคราะห์นี้ไม่มีประมาณ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่พวกเรามักจะขาดความมั่นใจ อยากจะมารับที่วัด แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่มีหลายรายรับอยู่ที่บ้านแล้วมีอาการระบุชัด ๆ ว่าได้รับแน่นอน ครั้งต่อไปดันไปรับที่วัดอีก

แต่ถ้าไปรับที่วัด บางทีสมาธิจะเสียหนัก เพราะว่าคนที่ไปบางรายโดนไสยศาสตร์หรือพวกผีเจ้าเข้าสิงมา พอถึงเวลาเริ่มพิธีก็จะอาละวาดตึงตังโครมคราม ทำให้เราเสียสมาธิ แต่เรื่องพวกนี้เป็นหน้าที่ของท่านท้าวมหาราชและบริวารท่านจัดการ เพราะว่าจะอาราธนาท่านช่วยกำจัดพวกนี้โดยเฉพาะเลย

ถาม : ครั้งต่อไปเมื่อไรครับ ?
ตอบ : ๒๓ มิถุนายน กับ ๒๐ ตุลาคม ปกติแล้วปีหนึ่งจะมีครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ปีนี้มี ๓ ครั้ง แล้วทุกครั้งที่มีเสาร์ ๕ เหตุการณ์บ้านเมืองจะไม่ค่อยดี ก็เลยจัดพิธีขึ้นมาเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา คนที่ตั้งใจภาวนารวมกันอยู่หลาย ๆ พันคน พรหมเทวดาที่ท่านดูแลประเทศท่านสามารถเอากำลังที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ไปคานกับสิ่งที่ไม่ดีได้

เถรี 08-02-2012 12:47

ถาม : ท่านลาพุทธภูมิแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ไม่เอาแล้ว อาตมาตกกระไดพลอยโจน ตามหัวแถวก็คือหลวงพ่อมาเรื่อย จนกลายเป็นว่าระยะเวลาได้ แต่ไม่ใช่ความตั้งใจของตัวเองที่แท้จริง

ตอนที่ลาพุทธภูมิครั้งแรกท่านไม่อนุญาต ครั้งที่ ๒ ท่านไม่อนุญาต จนกระทั่งถึงครั้งที่ ๓ ท่านอนุญาตแบบแปลก ๆ ท่านบอกว่าให้ลาได้ แต่งานเดิมทำไปก่อน ฟังแล้วงง ๆ เหมือนกับว่า ถ้าแน่จริงเอ็งก็ไปพระนิพพาน แล้วถ้าไม่แน่จริงก็อยู่ต่อไปเถอะ เลยกลายเป็นคนที่ลาแล้วออกอาการประหลาด ๆ

แต่เห็นชัดอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า เรื่องรอบข้างไม่เอาแล้ว สมัยที่ลาพุทธภูมิ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนว่า “เล็ก..แกระวังไว้นะ ลาพุทธภูมิแล้วกำลังจะตก” อาตมาก็มานั่งพิจารณาดูว่าตกตรงไหน สมาธิสมาบัติก็เหมือนเดิม ความบ้าความบวมก็เหมือนเดิมทุกอย่าง พอดูไปดูมาระยะหนึ่งถึงได้เห็นว่าตกจริง ๆ

คำว่ากำลังตกตรงจุดนี้ก็คือ ไม่เอาเรื่องคนอื่นแล้ว ถ้าไม่ใช่มาดิ้นพราด ๆ ล้มทับตีนจนเดินหนีไม่ได้ ก็ไม่ช่วยใครแล้ว ไปเองดีกว่า กำลังตกจริง ๆ ก็คือไม่เอาเรื่องคนอื่นแล้ว กำลังใจเหลือแค่นี้เอง

เถรี 08-02-2012 16:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังกายไม่ไหวบางคนก็ท้อเสียแล้ว ตอนนั้นจะเห็นกันชัด ๆ เลยว่า ของใครสะสมมามากกว่า ถ้าพวกสะสมมามากความบ้ายังเหลืออยู่ ก็ยังไปได้เรื่อย

ตอนนั้นอาตมาแบกถังน้ำมันเข้าไปที่ทุ่งใหญ่ ถังละ ๔๐ ลิตร จำนวน ๒ ถัง แบกไปได้..! ตั้งใจจะไปช่วยเขา ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดิน ๔๕ กิโลเมตร พอเดินเข้าไปสัก ๒๕ กิโลเมตร ไปเจอคณะของ ดร.บุญส่ง โยกาส ตอนนั้นท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สอนเกี่ยวกับธรณีวิทยา ท่านพาลูกศิษย์ไปเก็บแร่ ท่านเห็นก็สงสัยว่าพระมาทำอะไร ท่านจึงเดินขึ้นจากข้างทางมาถาม พอรู้ความท่านก็เลยเอารถไปส่ง

ต้องบอกว่าเรื่องของธรรมะจัดสรรจริง ๆ ไม่อย่างนั้นอาตมาก็เดินอ่วมอรทัยอีกครึ่งค่อนวัน เพราะจะเดินเร่งเต็มที่เหมือนเดินตัวเปล่าก็ไม่ได้ แบกถังน้ำมันไป ๒ ถัง อย่าลืมว่าน้ำมันเบนซิน ๑ ลิตรหนักเกือบ ๑ กิโลกรัม แล้วนี่ ๓๐ - ๔๐ ลิตร ๒ ถังด้วยกัน"

ถาม : ไปทุ่งใหญ่ต้องพกอะไรไปบ้างครับ?
ตอบ : พกกำลังใจไปเยอะ ๆ วัตถุมงคลอะไรก็ได้ สำคัญที่กำลังใจของเรา

ตอนนี้ชวนพระครูหน่อยเท่าไรก็ไม่ไปหรอก ท่านไปทุ่งใหญ่แล้วเจอเสือเข้า เดิน ๆ อยู่จ๊ะเอ๋กับเสือ ตกใจพร้อมกัน
เสือนั่นก็บ้า ๙ โมงกว่าแล้วเพิ่งจะกลับ พระครูหน่อยบอกว่า พอเจอเสือแล้วเหมือนอย่างกับความทรงจำหายไปชั่วคราว มารู้ตัวอีกทีตอนอยู่บนยอดไม้แล้ว..!

ช่วงที่ขึ้นไปบนต้นไม้ ขึ้นไปอย่างไรท่านไม่รู้เรื่องเลย ไปนั่งใจสั่นอยู่ข้างบนเป็นชั่วโมง จนกระทั่งมั่นใจว่าเสือไม่ได้อยู่แถวนั้นแล้วก็ปีนลงมา แล้วเดินทางต่อ เดินทางไปได้พักหนึ่ง ปรากฏว่าเสือตัวนั้นเกิดสงสัย ว่าเมื่อกี้นี้ตัวอะไรแน่ ก็เลยย่องตามมาดูอีก พระครูหน่อยบอกว่าไม่รู้ความกลัวมาจากไหน คราวนี้วิ่งไม่คิดชีวิตเลย

เรื่องของความกลัวเป็นสัญชาตญาณที่ฝังลึกอยู่ ตราบใดที่ยังไม่หายกลัว ก็จะกลัวอยู่ตลอด กลัวทุกเรื่อง

เถรี 09-02-2012 08:29

ถาม : เวลาขึ้นไปกราบพระข้างบน ตอนอยู่ที่นั่นหนูรู้สึกว่าทุกอย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่พอกลับมาลืมตาปุ๊บ ความรู้สึกเปลี่ยนไปทันที เพราะสภาวะข้างบนกับข้างล่างต่างกันมาก ถ้าที่อยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง การที่ไปอยู่ข้างบนก็ต้องไม่จริง ที่ไปคุยกับพระอาจจะหลอนไปเองก็ได้ ความรู้สึกแบบนี้แท้จริงดีหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ดี...เพราะหลอกให้ลังเลสงสัย ตัวนี้ที่เรารู้สึกชัดเจนเพราะว่าประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอาศัยร่างนี้อยู่ ส่วนทางด้านบนเราสัมผัสด้วยใจ ความชำนาญในการสัมผัสด้วยใจ ถ้าไม่เต็มร้อย เราก็จะยังสงสัยอยู่ตลอดเวลา หลายคนคิดว่าฝันไปกระมัง แต่ให้ฝันแบบนั้นบ่อย ๆ

และหมั่นสังเกตว่าตอนช่วงนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ไหม ? ถ้ากินใจเราไม่ได้ ให้รักษาอารมณ์ที่ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้แบบนั้นให้อยู่กับเราได้นานที่สุด อยู่กับเราในร่างกายนี้ และถ้าทำได้บ่อย ๆ จะดีกับเราเอง ตอนนี้จะจริงหรือไม่จริงช่างมัน ถ้าหมดกิเลสได้ ต่อให้ฝันก็ฝันไปเรื่อยแล้วกัน

ถาม : ที่บอกว่าให้ไม่เชื่อไว้ก่อน การไม่เชื่อมีระดับที่เกินไปไหมคะ ? หรือยิ่งมากยิ่งดีเหมือนสติคะ ?
ตอบ : ให้รั้งกำลังใจไว้ส่วนหนึ่งอย่าเชื่อทั้งหมด ใช้ปัญญาพิจารณาดูเหตุการณ์ทั่วไป แต่เรื่องแบบนี้เคยโดนหลอกมาเต็ม ๆ เลย เพราะทุกอย่างเขาวางหมากให้เป็นแบบนั้น ทุกอย่างรอบข้างก็จะเป็นไปตามทุกอย่างที่เขาว่ามา จะมีหลายซับซ้อน หลายชั้นหลายเชิงด้วยกัน

แต่สำคัญที่สุด ให้มีสติรู้อยู่เสมอว่า เรื่องที่เราทำ..เรารู้ ช่วยในการละกิเลสได้หรือไม่ ? ถ้าหากช่วยในการละกิเลสไม่ได้ สักแต่รู้เห็นกว้างไกลออกไปเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปใส่ใจตามหรอก ดึงกำลังใจออกมาพิจารณาตัดกิเลสของเราดีกว่า เอาเรื่องของการละกิเลสเป็นใหญ่ เรื่องอื่นเก่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าละกิเลสไม่ได้ก็ไม่เก่งจริงหรอก

ถาม : ในการพิจารณาต้องอยู่ที่อุปจารเท่านั้นใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าคล่องตัวแล้วระดับไหนก็พิจารณาได้ และการพิจารณาจะชัดเจนเด็ดขาดกว่ากันเยอะ เพียงแต่ว่าเราต้องซ้อมให้คล่องตัว ถ้าหากว่าเกินจากปฐมฌานไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะคิดไม่ได้

ถาม : พยายามถอยลงมาก็ไม่ค่อยเป็น พิจารณาก็ไม่ไป
ตอบ : บอกแล้วว่าซ้อมการเข้าออกฌานให้คล่องไว้

ถาม : เส้นคั่นระหว่างความมั่นใจแล้วยั้งไว้ กับที่เขาทำให้เราลังเลสงสัย เส้นคั่นอยู่ตรงไหนคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเอาการละกิเลสเป็นหลัก ถ้าหากพิจารณาดูแล้วช่วยในการละกิเลสหรือตัดราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงได้ เราก็เอา ถ้าอะไรที่ช่วยตรงนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ

เถรี 09-02-2012 14:52

ถาม : ควรเรียนต่อดีไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายังมีไฟก็เรียนสิจ๊ะ การเรียนควรจะต่อเนื่อง แต่ถ้าหมดไฟแล้ว ไปทำงานสักระยะหนึ่งก็จะอยากกลับมาเรียนใหม่

ถาม : ระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ ที่ไหนดีกว่า ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้ไม่ว่าในประเทศกับต่างประเทศก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ไปต่างประเทศเปลืองค่าใช้จ่ายกว่าด้วย ลำบากให้พ่อแม่ต้องห่วงใยอีก จะเรียนที่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเอาจริงก็โกยมาได้เยอะแยะเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เอาจริงก็แย่พอกันนั่นแหละ

เถรี 09-02-2012 16:37



พระอาจารย์กล่าวว่า "แนวคิดของวัดอัปสรสวรรค์ เขาถือว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาทั้งหมด ๒๔ พระองค์ รวมพระองค์ท่านด้วยก็เป็น ๒๕ พระองค์ แต่ในกัปที่พระองค์ท่านได้รับพยากรณ์นั้นมีพระพุทธเจ้ามาก่อนแล้ว ๓ พระองค์ รวมทั้งหมด ๒๘ พระองค์

วัดอัปสรสวรรค์ก็เลยสร้างพระประธาน ๒๘ พระองค์ เป็นพระประธานหน้าตักประมาณ ๑ ศอก และจัดได้สวย แต่คนเข้าไปก็จะแปลกใจว่า ทำไมในโบสถ์มีพระประธานองค์เล็ก ๆ ของเขาเล็กก็จริง แต่เยอะมาก

คนโบราณทำอะไรเกี่ยวกับศาสนา เขาจะทุ่มเทจริง ๆ นี่เขาปั้นหุ่นทีละองค์ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ถอดแบบได้ เพราะฉะนั้น..พระประธานแต่ละพระองค์ที่เขาปั้น อย่างเก่งจะมีหน้าตาใกล้เคียงกัน แต่ไม่ได้เหมือนกันสักองค์"

เถรี 09-02-2012 17:09

ถาม : มาทำบุญให้ผู้ที่เสียชีวิตไปค่ะ เพราะพี่เขามาหา
ตอบ : การที่ผีมาหาเพราะว่าเขามาหาคนที่มีบุญ เมื่อเราทำบุญเขายิ่งมาหาใหญ่เลย (หัวเราะ) อันนี้ขู่นะจ๊ะ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ส่วนใหญ่แล้วคนที่ตายก่อนหมดอายุขัย ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตายโหง คือไม่ได้ตายแบบปกติ ด้วยความเคยชินของเขา พอตายแล้วเขาจะกลับบ้าน หรือไปหาคนที่เขาคุ้นเคยก่อน ถ้าหากว่าเขาได้บุญไป เขาก็จะมีความสบาย ก็จะห่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ

แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า แรก ๆ ที่ตายเขาจะไปหาคนที่ยังไม่รู้ข่าวว่าเขาตาย คนรู้แล้วไม่เป็นไรหรอก เขารู้ว่ามาหลอกต้มเราไม่ได้แล้ว เมื่อสัก ๗-๘ ปีก่อน มีโยมพี่อยู่คนหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกันมาก น้องชายเขาตกตึกตาย...ตกตึกตายนะไม่ได้กระโดดตึกตาย พอเขาตายพี่เขาก็โทรศัพท์ไปบอกเพื่อนของน้องชายว่า น้องตายแล้วให้มารดน้ำศพด้วย

เพื่อนน้องชายก็โวยวายว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่ยังช่วยผมยกเก้าอี้อยู่เลย คือเขาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน ผีก็ไปช่วยงานเพื่อน ไปช่วยจัดโต๊ะจัดเก้าอี้ให้ เพื่อนก็เลยไม่เชื่อ แห่กันไป ๕-๖ คน ขอเปิดโลงดู ปรากฏว่าตายจริง นั่นแหละส่วนใหญ่เขาจะไปหาคนที่ยังไม่รู้ ถ้ารู้แล้วเขาไม่กวนหรอก เพราะไม่สามารถที่จะหลอกได้แล้ว

ดีแล้วจ้ะที่พวกเรารู้จักทำบุญไปให้ เพราะว่าบางคนในช่วงที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้สั่งสมในส่วนของบุญกุศลเอาไว้ เราเองไปช่วยเขา ถึงเวลาเขาก็จะได้รับความสุขสะดวกสบาย ถ้าหากว่ามีอะไรไม่เกินวิสัย เขาก็จะช่วยสงเคราะห์เราได้ บอกเขาไปว่าหาลูกค้ามาให้เยอะ ๆ แล้วฉันจะทำบุญให้แกอีก

ถาม : ทำอย่างไรให้เขาพ้นทุกข์ตรงนั้น ?
ตอบ : ไม่ต้องกังวลจ้ะ ทำบุญให้เขาไป เขาได้ส่วนกุศลตรงนี้แล้วก็จะได้มีความสบายกว่าเดิม พอเขาอยู่ครบอายุขัยของความเป็นมนุษย์ เขาก็จะไปเอง ตอนช่วงนี้จะเป็นส่วนที่บาลีเขาเรียกว่าสัมภเวสี บุคคลที่ยังไม่หมดอายุความเป็นมนุษย์ เขาก็จะวนเวียนไปเรื่อย ๆ ไปสวรรค์ก็ไม่ได้ ไปนรกก็ไม่ได้ พอหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์แล้ว เขาสามารถที่จะไปรับความดีที่เราทำให้ได้ ก็เท่ากับว่าขึ้นข้างบนไปเลย

แต่คราวนี้ไม่ต้องกังวล เพราะว่าอาจจะเหลือเวลาอีกตั้งนาน วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา เขาเดินเล่นอยู่ครึ่งค่อนวันเดี๋ยวก็ไปแล้ว เวลาต่างกันมาก จะเห็นได้ว่าเวลาเรามีความสุขแวบเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งค่อนวันไม่รู้ตัว ของเขาก็เหมือนกัน ถ้าอยู่ในที่สบายเวลาผ่านไปเร็ว

อย่ากังวลมาก ถ้ากังวลมากเราจะคิดถึงเขาตลอดเวลา เท่ากับว่าสื่อถึงเขา เดี๋ยวเขามาเยี่ยมบ่อย คิดถึงนี่เท่ากับต่อโทรศัพท์หา เดี๋ยวเขาแวะมาเยี่ยม ประตูบ้านแข็งแรงดีไหม ? เดี๋ยวเขามาหาเราจะวิ่งทะลุประตูเป็นรูปคนไปเลย..!

เถรี 10-02-2012 09:49

คนเราในอดีตเคยสร้างกรรมมา ถ้าเป็นกรรมที่ฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ใหญ่เอาไว้ ถึงวาระเศษกรรมที่มาถึง อุปฆาตกรรม กรรมที่มาตัดรอนให้ถึงแก่ชีวิต จะทำให้คิดผิด ตัดสินใจผิดได้ง่ายมากเลย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะกรรมเดิมมาถึง

แต่อุปฆาตกรรมมีทั้งฝ่ายที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล ถ้าหากว่าฝ่ายที่เป็นอกุศลก็ทำให้เราคิดผิด อาจจะถึงขนาดฆ่าตัวตายหรือว่าฆ่าคนอื่นก็มี แต่ถ้าหากเป็นฝ่ายกุศลเข้ามา ก็จะมาตัดรอนสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด เหมือนอย่างกับพลิกฟื้นคืนมาใหม่ แบบเดียวกับพระองคุลีมาล ฆ่าคนมาเป็นพัน แต่พอถึงเวลาอุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลเข้ามา ได้พบพระพุทธเจ้า ได้บวชปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์ จากมหาโจรวางดาบกลายเป็นพระอรหันต์ นั่นก็คืออุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลที่มาช่วย

แต่ถ้าฝ่ายอกุศลต้องอย่างพระเทวทัต ปฏิบัติจนได้อภิญญาสมาบัติ แสดงฤทธิ์ได้มากมายมหาศาล แต่พออุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามาถึง เกิดคิดผิด เห็นว่าตัวมีความสามารถในการปกครองคณะสงฆ์แทนพระพุทธเจ้าได้ ก็ตั้งใจที่จะฆ่าพระพุทธเจ้าเพื่อที่จะยึดตำแหน่งแทน

หน้าที่ของกรรมตัวนี้ก็คือ มาตัดรอนสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าดีอยู่ก็จะกลายเป็นเลว ถ้าหากว่าเลวอยู่จะกลายเป็นดี ตรงกันข้ามหมด

เถรี 10-02-2012 10:09

ถาม : ปกติแล้วเวลาผมสวดมนต์แผ่เมตตา ผมจะอธิษฐานให้เจ้ากรรมนายเวรตลอด แต่มีอยู่วันหนึ่งเหมือนเห็นมโนภาพว่าเขามากันเยอะ ไม่ทราบว่าเขามากันเพื่ออะไรครับ ?
ตอบ : เราจะเรียกหรือไม่เรียก เจ้ากรรมนายเวรเขาก็มาเป็นปกติ รอวาระบุญเราขาดช่วงลง เขาก็จะสอยเราร่วงตอนนั้น..! ถ้าเราเห็นเขาได้ก็ดี จะได้ไม่ประมาท

เถรี 10-02-2012 11:03

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเดือนก่อนไปรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศกับผ้าไตร ที่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เจอหลวงตาวัชรชัย กลายเป็นรักษาการเจ้าคณะอำเภอไปแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีรับสั่งแต่งตั้งอีกไม่นาน

เพื่อน ๆ พระสังฆาธิการทางทองผาภูมิ เขาบอกว่าอาตมาไม่ยอมเอาตำแหน่งกับเขาสักที พอถึงคราวตัวเองแล้วก็ไม่เอา ผัดผ่อนไปเรื่อย ปรากฏว่าหลวงปู่พูน วัดบ้านแพน ก็เพิ่งจะรับพัดยศไปเหมือนกัน (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก เราอย่างเก่งก็เป็นแค่หลวงพ่อ แต่นั่นหลวงปู่แล้วเพิ่งจะรับเอง

มีอยู่ ๖ รายที่ไปรับไม่ไหว นอนโรงพยาบาล และมีอีก ๗-๘ รายที่ต้องใส่รถเข็นเข้าไปรับ เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ทำงานหนักมากเลย นอกจากจะต้องรับแทนแล้ว ยังต้องเข็นรถให้ท่านเข้าไปรับอีกต่างหาก"

เถรี 10-02-2012 11:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่กระโดดตึกตาย จริง ๆ แล้วต้องกล้าหาญมาก สมัยที่อาตมายังเรียนทหารอยู่ จะมีการฝึกกระโดดร่ม ขนาดว่ามีสายโยงแน่นหนามาก เพื่อนบางคนยังยืนขาสั่นพั่บ ๆ เลย ไม่กล้ากระโดด ครูฝึกต้องเมตตาถีบส่งให้ ไม่มีรุ่นไหนที่ไม่โดนถีบหรอก โดนถีบทุกรุ่น..!

เขาทำวิจัยกันแล้วว่าระยะสูงตั้งแต่ ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะมีความกลัวอยู่ เพียงแต่จะกลัวแล้วกล้าทำหรือไม่กล้าทำ คนที่กลัวแล้วไม่กล้าก็จะโดนถีบ ครูฝึกจะช่วยถีบให้ แล้วเขาก็เลือกให้กระโดดร่มในระยะที่คนกลัวพอดี พอเป็นอย่างนั้นไม่ว่าคนที่กลัวความสูงหรือไม่กลัว ไปถึงตรงนั้นก็เสียววาบทุกคน

เพียงแต่ว่าตอนที่กระโดดร่มจริง ขออย่างเดียวคือขอพับร่มเอง ถ้าตายก็ขอให้ตายเพราะเราผิดพลาดเอง อย่าเป็นเพราะคนอื่นเขาพลาดเลย เพราะฉะนั้น..พอถึงเวลากระโดดร่มทุกคนจะขอพับร่มเอง ถ้าคนอื่นพับให้แล้วร่มไม่กาง ตายเป็นผีจะตามไปหลอก..! (หัวเราะ)"

เถรี 10-02-2012 14:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมา เขาออกแบบบายศรีเป็นมังกรพันต้นบายศรีอยู่ ๔ ทิศ แล้วมีเจ้าแม่กวนอิมประทับบนหลังหงส์อยู่ตรงกลาง เป็นฝีมือของพระจำเนียรกับพระคมสันเหมือนเดิม ท่านมีฝีมือด้านนี้จริง ๆ

โดยเฉพาะเกล็ดมังกรเสียเวลาเย็บมากเป็นพิเศษ ปกติเวลาเย็น ๆ บายศรีก็เสร็จแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เจอมังกรเข้าไป ๔ ทิศ ไปทำเสร็จตอนตี ๔ ยังดีนะที่เสร็จตี ๔ เพราะพุทธาภิเษกตอน ๗ โมงครึ่ง ถ้าไปเสร็จเอา ๗ โมง ดีไม่ดีอาตมาจะหัวใจวายไปด้วย เพราะต้องมาลุ้นว่าจะเสร็จหรือเปล่า ?

เขาทำเป็นมังกร ๕ เล็บ ตามความเชื่อของชาวจีน ถ้ามังกร ๕ เล็บจะเป็นมังกรแท้ สืบสายตระกูลของพญามังกรในทะเลทั้งสี่ แต่ถ้าหากว่าเป็นมังกร ๔ เล็บจะเป็นมังกรแปลง คือสัตว์อื่นอย่างงูหรือปลาบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นมังกรขึ้นมา ถ้าเราดูภาพมังกรของจีนแล้วมีความเข้าใจ จะแยกแยะออกว่าเป็นมังกรแท้หรือมังกรแปลง แต่จะว่าไปแล้วมังกรแท้ก็คงจะเหมือนลูกเจ้าลูกนาย มีชาติมีตระกูล แต่มังกรแปลงต้องดิ้นรนจนตนเองประสบความสำเร็จ จริง ๆ แล้วน่าเลื่อมใสกว่า

สมัยก่อนคนจีนเขาเชื่อว่า ถ้าปลาหลีฮื้อว่ายข้ามสามโตรกแยงซีเกียงได้ก็จะกลายเป็นมังกร เพราะว่าจุดสุดท้ายเป็นประตูมังกร ปลาต้องว่ายทวนน้ำไป จากแม่น้ำกว้างเป็นกิโล ๆ โดนบีบเหลือกว้างแค่ไม่กี่ร้อยเมตร น้ำจำนวนมหาศาลที่โดนบีบ ถ้าปลาไม่แข็งแรงจริงว่ายทวนขึ้นมาไม่ได้ เขาก็เลยเชื่อกันว่าถ้าปลาว่ายผ่านตรงนั้นได้จะเป็นมังกร"

เถรี 10-02-2012 19:17

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุงไม่เอาเรื่องก่อสร้างเลยนะ นอกจากอยู่เวรอยู่ยามแล้ว เวลาที่เหลือภาวนาอย่างเดียว พอออกจากวัดท่าซุงมา ตั้งแต่อาทิตย์แรกถึงอาทิตย์สุดท้ายก่อสร้างมาแทบทุกวัด ข้าวของราคาเท่าไรรู้หมด พูดง่าย ๆ ว่าปัจจุบันนี้ราคาในท้องตลาดเท่าไร ต้องใช้ประมาณเท่าไร แค่มองด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าต้องใช้เงินเท่าไร

อย่างรถเอาเหล็กข้ออ้อยขนาด ๒๕ มิลลิเมตร มาลง ๑ คันรถ อาตมามองวูบเดียวบอกได้เลยว่าไม่หนี ๔ แสนบาท พอเขาส่งใบเสร็จมา ราคา ๔ แสน ๔ หมื่นกว่าบาท พอรถเอามาลงอีกหนึ่งคัน บอกได้เลย คันนี้ค่าเหล็ก ๖ แสนกว่าบาท เรื่องคำนวณต้องยกให้อาตมาคนหนึ่ง ทำจนชำนาญขนาดมองก็รู้ว่าเท่าไร"

เถรี 11-02-2012 11:00

ถาม : ที่หลวงพ่อฤๅษีเคยบอกว่า คนผิดศีลข้ออทินนาทาน กฎแห่งกรรมก็คือทรัพย์สมบัติที่มีจะถูกทำลายโดยภัยธรรมชาติ หรือภัยต่าง ๆ ในกรณีที่เพื่อน ๆ ผมที่ทำงานถูกน้ำท่วม และทรัพย์สินเสียหาย ควรจะมีการชักชวนเขามาชำระพระหนี้สงฆ์ ไม่ทราบว่าผลจะตรงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : สิ่งที่เราทำเป็นความดีใหญ่ แต่ผลไม่ตรง เพราะว่าทรัพย์สินเสียหายเกิดจากกรรมเก่าที่เราสร้างมาในอดีต ส่วนบุญใหม่ที่เราสร้างในปัจจุบันเป็นส่วนของบุญ บุญกับกรรมนี่ต่างคนต่างอยู่ ถึงเวลาต่างคนต่างให้ผล เพราะฉะนั้น..ทำไว้ดีกว่าไม่ทำ แต่ไม่ใช่การแก้กันโดยตรง

ในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สิน มีเคล็ดลับง่าย ๆ ว่าให้ปล่อยนกบ่อย ๆ สักเดือนละตัวสองตัวก็ได้ ถ้าปล่อยนกจะป้องกันในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สินได้ เพราะถึงเวลานกบินไปแล้วไปลับ ก็ปล่อยนกไปแทน จริง ๆ โบราณเขาเก่งเหมือนกัน การปล่อยสัตว์อย่างปล่อยนก จะมีอานิสงส์พิเศษคือป้องกันเรื่องข้าวของสูญหาย ทรัพย์สินเสียหาย

เรื่องของการปล่อยปลา ถ้าทำเป็นประจำจะมีความเป็นอยู่คล่องตัว คนอื่นเขาลำบากแค่ไหนเราก็ไปได้เรื่อย เหมือนปลาที่แถกเหงือกไปเรื่อย ๆ เพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ แต่นี่เราปล่อยลงแม่น้ำใหญ่ ก็ยิ่งสบายใหญ่เลย

การปล่อยไก่จะตัดเคราะห์กรรมใหญ่ได้ แต่ถ้าเคราะห์กรรมประเภทอุปฆาตกรรมหนักจะถึงแก่ชีวิต ให้ปล่อยพวกวัวหรือควาย ที่ว่ามานี้ถ้าได้สัตว์ประเภทที่เขากำลังจะฆ่าได้ก็ยิ่งดี เพราะว่าเท่ากับใช้ชีวิตแลกกัน เรื่องของการปล่อยสัตว์นอกจากได้เมตตาบารมีแล้ว ยังมีอานิสงส์พิเศษที่ว่ามาอีกด้วย

เถรี 11-02-2012 11:18

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยไปเจอปูทะเลแล้วปล่อย อาตมาเรียนถามว่ามีอานิสงส์พิเศษอะไรครับ ? ท่านบอกว่าหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงษาราม ฝั่งธนบุรี เป็นอาจารย์สอนเทศน์ของหลวงพ่อท่าน เคยปล่อยปูด้วยความสงสาร ท่านบอกว่า "ไอ้ปูอีปูเอ๊ย..ข้าจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พวกเอ็งไม่ต้องตามไปเกิดเป็นบริวารของข้าหรอกนะ ข้าปล่อยพวกเอ็งไม่ได้ต้องการให้พวกเอ็งไปเป็นบริวารของข้า ข้าปล่อยพวกเอ็งเพราะต้องการให้พวกเอ็งพ้นทุกข์เท่านั้น"

ปูโดนมัดมาทั้งวัน บางตัวพอตัดเชือกออกมาขาหลุดหมดเลย คนเรานั่งนิ่ง ๆ ท่าเดียวก็แย่แล้ว แต่นี่โดนมัดด้วย ปรากฏว่าพอหลวงปู่ท่านปล่อยปูไปไม่นาน อาการที่ท่านเคยปวดหลังเมื่อยเอวอยู่ ๆ ก็หายไปเฉย ๆ หลวงปู่ท่านก็เลยคิดขึ้นมาได้ว่า น่าจะเป็นอานิสงส์ของการปล่อยปูให้พ้นจากการโดนมัด ท่านก็เลยเอามาเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็จำไว้ ถึงเวลาหลวงพ่อท่านก็มาปล่อยบ้าง

เพราะฉะนั้น..เรื่องของการปล่อยสัตว์ บางทีอานิสงส์พิเศษบางอย่างก็มีชนิดที่เรานึกไม่ถึง แต่ถ้าเกี่ยวกับข้าวของที่สูญหายหรือเสียหาย ก็ให้ปล่อยนกแทน ปล่อยเดือนละตัวสองตัวก็ได้ อาตมาเองถ้าไปวัดเชียงมั่นที่เชียงใหม่ ไปไหว้พระแก้ววัดเชียงมั่น ก็จะปล่อยนกเขา เพราะว่าตรงนั้นจะมีนกเขาให้ปล่อย ที่อื่นไม่เคยเจอ

ไปถึงก็ต่อรองราคากันสนุกสนานเฮฮา ตอนหลังเขาจำได้แล้ว ไปถึงเขาก็วิ่งมาให้ปล่อยเลย แรก ๆ เขาก็ถาม "ปล่อยนกบ่เจ้า" อาตมาบอกว่า "นกชนิดนี้ไม่ปล่อยหรอก ชอบกินมากกว่า" ญาติโยมก็หัวเราะกันสนุกสนานเฮฮา แรก ๆ จะขายตัวละ ๑๕๐ บาท ต่อไปต่อมาเหลือแค่ตัวละ ๘๐ บาท หายไปครึ่งหนึ่ง อย่าไปเชื่อเขานะว่าปล่อยชีวิตสัตว์แล้วต่อราคาไม่ได้ ต่อไปเถอะ..เพราะเงินที่เหลือเราเอามาซื้อปล่อยเพิ่มได้

เถรี 11-02-2012 11:29

มีอยู่รายหนึ่งมาบอกกับอาตมาว่า "หลวงพ่อครับ..ผมไปดูหมอมา เขาบอกว่าให้ปล่อยปลาไหลเท่าอายุ ต้องเขียนชื่อตัวเองและวันเดือนปีเกิดติดตัวปลาไหลไปด้วย" อาตมาได้ยินก็หัวเราะก๊ากเลย ถามว่า "ตกลงตายห่าหมดเลยใช่ไหม ?" "หลวงพ่อรู้ด้วยหรือครับ ?"

"จะไม่ตายได้อย่างไร ? ปลาไหลตัวลื่น ๆ เขียนไม่ได้ ถ้าคุณจะเขียนชื่อได้ คุณต้องเช็ดจนเมือกหมดก่อน ถ้าปลาไหลไม่มีเมือกก็เหมือนคนโดนถลกหนัง แล้วจะไปเหลืออะไร" ท้ายสุดเขาบอกว่าตายหมดจริง ๆ

อาตมาเป็นเด็กบ้านนอกอยู่กับทุ่งอยู่กับนา รู้จักสัตว์พวกนี้ดี ที่น่าอนาถที่สุดคือ ตามทุ่งนาตอนหน้าแล้งเขาจะเผาตอซัง ก็คือตอข้าว พอเผาแล้วก็เป็นขี้เถ้าไปทั้งทุ่ง พอฝนลงขี้เถ้าพวกนี้จะไหลไปในรูปลาไหล โอ้โห..เหมือนกับโดนน้ำกรดราด เพราะปลาไหลพวกนี้แพ้ขี้เถ้า ก็ตะกายขึ้นมาเต็มทุ่ง แล้วที่ตะกายขึ้นมาไปไหนก็ไม่รอดแล้ว เพราะโดนไปเต็ม ๆ เหมือนคนโดนน้ำกรดราดไปทั้งตัว

อาตมาเองเห็นทีไรสยองทุกที เขาไม่ได้เจตนาหรอก เป็นผลพลอยได้ เพราะชาวนาต้องเผาตอซังเพื่อให้เป็นปุ๋ยทุกปี แต่พอถึงเวลาฝนตกแล้ว น้ำที่เกิดจากขี้เถ้าไหลลงไป เรียบร้อย..เล่นเอาปลาไหลเผ่นขึ้นมา เก็บกันทีเป็นหาบ ๆ เลย..!

เถรี 11-02-2012 13:54

ถาม : ถ้าปล่อยปลาแล้วปลาใหญ่มากินละครับ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ อย่าไปเสียกำลังใจ ปล่อยไปแล้วตายหรือปลาใหญ่มากินไปก็ช่างเถอะ เพราะเราได้ปล่อยแล้ว แต่ปลาที่เราปล่อยไปแล้วมีปลาอื่นมากินเข้า เพราะกรรมเขาไม่พ้นที่จะต้องตาย เขาไปก่อกรรมไว้กับอีกฝ่ายหนึ่ง พอถึงเวลาเขาก็มาเอาคืนพอดี

ตอนอาตมาอยู่วัดท่าซุง ไปเจอกบที่ไข่ไว้บนพื้นซีเมนต์ที่สวนไผ่ ๖ ไร่ พอไข่เป็นลูกอ๊อดพอดีน้ำตรงนั้นจะแห้ง อาตมาจึงเอาช้อนไปตักขึ้นมาทีละช้อน ๆ ใส่ถังได้ครึ่งค่อนถัง ก็เอาไปปล่อย เทลงที่แม่น้ำหน้าวัด อาตมาก็ไม่นึกว่าจะพาพวกเขาไปตาย เพราะที่หน้าวัดมีปลากระแหเป็นฝูง ๆ เลย พอเทลงไปปลากระแหก็ว่ายมาเมียง ๆ มอง ๆ พอเห็นว่ากินได้ก็พุ่งเข้าใส่เลย พึ่บพั่บ ๆ พักเดียวเป็นพัน ๆ ตัวหมดเกลี้ยง..!

ถ้าโยมเจออย่างอาตมาคงใจฝ่อตาย ตั้งใจจะช่วยแท้ ๆ กลายเป็นทำให้พวกเขาตายเร็วขึ้น แต่ความจริงเราต้องแยกแยะให้ออก เราไม่ได้เจตนาจะทำให้เขาตาย จะปล่อยเขาให้รอด แต่ดันลงไปที่ดงปลากระหายเลือดพอดี

อาตมาเคยปล่อยปลาดุก ปลากระแหมาดึงหนวดปลาดุกไปกินเกลี้ยงเลย อะไรที่ยื่นเกินออกมาโดนดึงไปกินหมด แล้วอย่างลูกอ๊อดก็ตัวละคำพอดี

เถรี 11-02-2012 14:11

ถาม : ถ้าผมจะแนะนำเพื่อน ๆ ภาวนาคาถาเงินล้าน จะมีท่อนหนึ่งเป็นคาถาปัดอุปสรรค จะช่วยลดปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติลงได้ไหมครับ ?
ตอบ : ปัดอุปสรรคในคาถาเงินล้าน ส่วนใหญ่จะเป็นปัดอุปสรรคในเรื่องทำมาหากิน ถ้าเราเห็นว่าภัยธรรมชาติจะเป็นอุปสรรคในการทำมาหากินก็ภาวนาควบไปด้วย ถึงจะช่วยด้านนี้ไม่ได้แต่เรื่องความรวยได้แน่ เพราะฉะนั้น..ทำไปเถอะ

ถาม : ในหนังสือกระโถนผมเห็นบอกว่าคาถานี้ให้เริ่มต้นที่นาสังสิโม อีกที่หนึ่งว่าเริ่มต้นที่สัมปะจิตฉามิ เลยไม่แน่ใจว่าเริ่มตรงไหนดีครับ ?
ตอบ : เกินดีกว่าขาด ใส่ไปเถอะ

เถรี 11-02-2012 14:27

ถาม : เดินขาไม่เท่ากัน เกิดจากอุบัติเหตุ
ตอบ : อาตมาก็ขาไม่เท่ากันนะ แต่เวลาเดินคนสังเกตไม่ออก เกิดจากอุบัติเหตุตกจากต้นมะพร้าว ตอนตกขาขวากระแทกลงก่อน เพราะฉะนั้น..ขาขวาของอาตมาจะสั้นกว่าขาซ้ายประมาณเซ็นต์กว่า ๆ

ตกลงมาแล้วไม่กล้าบอกพ่อบอกแม่ด้วย ขาบวมฉึ่งเลย กลัวพ่อแม่จะรู้ ทำเป็นเดินเขย่งเล่น ที่ไหนได้รุ่งขึ้นลุกไม่ได้ แต่โบราณเขาเก่ง ใช้ไพลกับต้นขาไก่ตำด้วยกัน เอาไปคั่วให้ร้อน ห่อผ้าแล้วมาประคบ รุ่งขึ้นเดินปร๋อเลย เพิ่งมารู้ว่าใช้ใบพลับพลึงลนไฟแล้วมาพันก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ขาของอาตมาสองข้างยาวไม่เท่ากัน แต่คนดูไม่รู้เท่านั้น

เถรี 11-02-2012 14:47

ถาม : อยากจะมานั่งกรรมฐานบ่อย ๆ
ตอบ : อย่าอยาก ให้มาเลย..ถ้ามัวแต่อยากไม่ได้มาหรอก..!

เถรี 12-02-2012 09:57

ถาม : ช่วงนี้มีคนเอาเพชรพญานาคมาให้ดู ไม่ทราบท่านพอจะมีความรู้ด้านนี้ไหมครับ ?
ตอบ : มีความรู้ว่าปัจจุบันปลอมเสีย ๙๙.๙๙%

ถาม : เขาเอาเพชรไปไว้ในหินครับ ?
ตอบ : อาตมามีวีดีโอที่เขาไปพิสูจน์มาแล้ว เขาผ่าหินออกมาให้ดู พบว่ามีรอยต่อ ตอนที่ทำรอยต่อเขาใช้กาวพิเศษทา ส่วนด้านนอกเอาน้ำโคลนลูบจนทั่วแล้วไปเผา ถ้าเพชรพญานาคที่ออกมาจากหินในลักษณะเหมือนดินเผา มีเศษ ๆ ขี้เถ้าด้วยแล้วของปลอมทั้งนั้น ถ้าของจริงจะเหมือนกับก้อนหินปูน หนักมากเลย แต่ว่าเขย่าแล้วข้างในมีเสียง

ถาม : ของจริงมีไหมครับ ?
ตอบ : ของจริงมีอยู่จ้ะ มีพระธุดงค์รูปหนึ่ง จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่พระธุดงค์อาชีพหรอก ท่านเป็นเจ้าอาวาสแล้วสร้างโบสถ์ค้างอยู่ ท่านไปธุดงค์ระงับความฟุ้งซ่าน แต่ไม่เป็นอันภาวนาเพราะนึกห่วงโบสถ์ อยู่ ๆ ก็นิมิตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาบอกว่าจะช่วยในเรื่องการสร้างโบสถ์ รุ่งเช้าจะเอาของสำคัญมาให้ ให้ไปดูที่ริมน้ำ ในถ้ำที่ท่านไปธุดงค์มีลำห้วยอยู่ด้วย

รุ่งเช้าพระท่านเข้าไปดูก็ไม่เห็นอะไร นอกจากหินที่มีลักษณะกลม ๆ ประหลาด ๆ หน่อย ท่านหยิบขึ้นมาลองเขย่าดู มีเสียงอยู่ข้างใน เลยลองทุบดูแล้วก็เจอเพชรพญานาคเข้า จึงเอามาให้คนเขาบูชา ได้เงินไปสร้างโบสถ์จนเสร็จจริง ๆ

เถรี 12-02-2012 10:16

ของสำคัญในบ้านเรา ขอให้คนเห่อขึ้นมาเถอะ พักเดียวก็เต็มตลาดแล้ว ผลิตมาขายที่ท่าพระจันทร์ทัน ๆ กันเลย สมัยนี้ใครอยากได้พระบรมสารีริกธาตุสีไหน แบบไหน ไปเอาที่ท่าพระจันทร์ได้ มีเป็นถัง ๆ เลย เขาผลิตกันขึ้นมาเอง

มีอยู่ระยะหนึ่งเขาผลิตมักกะลีผล ผลิตได้แสบมากเลย เพราะใช้เถาวัลย์จริง ๆ แต่ว่าเข้าเครื่องปั๊มจึงออกมาหน้าตาเหมือนกันทุกตัว มีตำหนิที่เดียวกันหมด ถ้าใครรู้จักสังเกตก็จะเห็นว่าเป็นมักกะลีผลที่เขาตั้งใจทำขึ้นมา แต่ถ้าเอาไปพิสูจน์ก็คือเนื้อไม้นั่นแหละ แล้วก็ไปตื่นเต้นว่าเป็นของจริง แต่ความจริงเป็นเถาวัลย์ปั๊มขึ้นมา

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาปลอมช้างน้ำกัน ถ้าอยากดูช้างน้ำของจริง อาตมารู้จักโยมอยู่คนหนึ่ง ตั้งแต่เขาได้ช้างน้ำมา แทนที่จะเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นตกระกำลำบากระเหเร่ร่อน เขาไปได้ช้างน้ำเป็น ๆ มาเลย ก่อนหน้านี้เขาเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์ชื่อรุ่งโรจน์ภัณฑ์ อยู่ที่อำเภอทองผาภูมิตรงข้าง ๆ สถานีตำรวจ ปัจจุบันนี้จุดนั้นกลายเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วทางโรงเรียนเทศบาลขอพื้นที่ไปใช้ก่อน

พอข่าวกระจายออกไปว่าเขามีช้างน้ำ พวกหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ก็แห่กันไป เขาต้องหอบช้างน้ำหนีเตลิดเปิดเปิงไปแถวปากช่อง ต้องไปเริ่มต้นทำมาหากินกันใหม่ ใคร ๆ ว่าได้ช้างน้ำไปแล้วเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นว่าเขาได้ไปแล้วตกระกำลำบาก แต่ว่าทุกวันนี้เริ่มตั้งหลักได้แล้ว เขาบอกว่า "อาจารย์..ถ้าต้องการ ผมถวายอาจารย์คนเดียวนะครับ คนอื่นให้เงินผมเท่าไรผมก็ไม่ให้หรอก" อาตมาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอามาให้เดือดร้อนทำไม เลยบอกว่าเก็บไว้เถอะ

เพื่อนพระรูปหนึ่งคือท่านพระครูประทีปกาญจนธรรม ชาวบ้านเรียกพระอาจารย์เต้ บ้านเกิดอยู่ที่เมืองพะอาง รัฐกะเหรี่ยงของพม่า ตอนเด็ก ๆ อาจารย์เต้บอกว่า ชาวบ้านหาปลาจับช้างน้ำได้ ก็ช้อนมาใส่กะละมัง ท่านก็ไปดู เห็นว่ายไปว่ายมาอยู่ในกะละมัง เป็นช้างตัวเล็ก ๆ แต่อยู่ในน้ำ ของจริงเขามี แต่ของปลอมก็ปลอมมาเร็วทันตาเหมือนกัน

เถรี 12-02-2012 10:20

ถาม : ตอนนี้ช้างน้ำยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ตายไปแล้ว ตากแห้งอัดใส่กรอบพลาสติกไว้ เขาบอกว่าถ้าอยากได้เขาจะถวายมา จะได้รู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร แต่อาตมาไม่อยากให้คนแห่ไปวัดเพราะไปดูช้างน้ำ อยากให้เขาไปวัดเพราะอยากไปปฏิบัติธรรมมากกว่า

ความจริงถ้ามีช้างน้ำ แค่แจ้งสื่อมวลชนไป คนก็จะแห่กันมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แล้วก็จะได้เงินเข้าวัด แต่วัดก็จะแย่ เพราะคนไม่ได้เข้าเพื่อมาปฏิบัติ เมื่อไม่ได้อะไรในทางธรรมขึ้นมา เลยไม่รู้ว่าจะเอาไปทำไม

เถรี 12-02-2012 17:28

ถาม : ไปอบรมบาลีที่วัดสร้อยทอง ไม่รู้ว่าจะสอบได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวล ทำให้เต็มที่ของเราก็แล้วกัน ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ไว้เยอะ ๆ สมัยนี้เราต้องหัดเล่นของบ้าง เขาแย่งกันไปอบรมที่วัดสร้อยทอง คงหวังจะโชคดีเหมือนพระมหาสันติ

พระมหาสันติไปอบรมที่วัดสร้อยทอง ท่านไปนอนในโบสถ์ อยู่ ๆ เทวดาก็เดินออกมาจากพระประธาน บอกว่าข้อสอบจะออกหน้าไหน ท่านก็เลยท่องแค่ ๒ หน้านั้น แล้วก็ออกจริง ๆ ด้วย

ท่านไม่ค่อยได้เรียนประโยค ๘ หรอก แต่สอบได้ ส่วนตอนนี้ประโยค ๙ ท่านก็ย่องไปอบรมที่วัดสร้อยทองเหมือนเดิม แต่เทวดาไม่มาแล้ว (หัวเราะ)

เถรี 12-02-2012 19:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมรุ่นหลัง ๆ เลี้ยงเด็กแบบต่างประเทศ ก็คือเลี้ยงเด็กแบบเป็นเพื่อน ทำให้เด็กไม่กลัวและพลอยดื้อกับพ่อกับแม่ไปด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าเชื่อโบราณก็รักลูกให้ตี ถ้าไม่กล้าตีเองก็เอาไปฝากไว้ที่วัดสักเดือน..!

เมื่องานบรรพชาสามเณรถวายในหลวง เณร ๑๕๗ รูป พระตีจนแขนโตไปเลย วันแรก ๆ เณรก็เหมือนกับลิงดี ๆ นี่เอง พอวันท้าย ๆ ก็อยู่ในระเบียบ บางทีอาตมาได้ยินพี่เลี้ยงพูดก็ขำ พี่เลี้ยงเขาตั้งกติกาเพิ่มขึ้นมา "ตกลงนะครับ" ไม่มีใครตกลงสักคน พี่เลี้ยงตกลงเอง ที่ตกลงก็คือ ถ้าผิดเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น

แต่ต้องทำ..เพราะว่าสามเณรคือเชื้อสายของสมณะ เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาให้ความเคารพบูชาเหมือนกัน ถ้าบวชแล้วไม่ได้เป็นเณร เกิดโทษหนัก พระเลยต้องตีกระจาย ตอนแรกเขายังไม่รู้นโยบาย พอบอกว่าฟาดได้เลย พระก็เตรียมอาวุธกันเป็นแถว บางรูปมีไม้เรียว ๓ อัน ถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่าถ้าตีแล้วไม้หักจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาใหม่ พ่อแม่บางคนมาเห็นก็กลืนน้ำลาย "อยู่บ้านหนูไม่กล้าตีเลย..!" ไม่เป็นไร..เดี๋ยวพระจัดการให้..!

มีเด็กที่เคยบวชเณรอยู่ ๓ - ๔ คน สึกไปแล้วยังมาใส่บาตรเป็นประจำ อาตมาถามว่า "ตกลงว่าชอบรสชาติไม้เรียวที่วัดท่าขนุนใช่ไหม ?" สึกจากเณรไปโผล่มาใส่บาตรทุกวัน อยากให้พระฉันข้าวจะได้มีแรง ครั้งหน้าบวชใหม่จะได้โดนอีก..!

ภูมิปัญญาโบราณแต่ละอย่างสืบทอดมาเป็นร้อยเป็นพันปี พอสรุปมาเป็นองค์ความรู้แล้วไม่พลาดเท่าไรหรอก อย่างเรือนไทยโบราณใต้ถุนสูง เพราะบ้านเราพอถึงเวลาน้ำจะหลากมาประจำอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น..ที่ท่านบอกว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีนั้นชัดเลย ถ้าไม่ผูกไว้ วัวไปกินข้าวนาคนอื่นเขา จะทำให้เจ้าของต้องทะเลาะกัน บางทีถึงฆ่ากันก็มี หรือถ้าปล่อยไปเรื่อยอาจจะโดนขโมยไป มีลูกถ้าอยากให้ได้ดีต้องมีการลงโทษ และให้รางวัลไปด้วย ทำดีได้รางวัล ทำไม่ดีได้ไม้เรียว เด็กเขาก็จะรู้เองว่าต้องทำอย่างไร แล้วเมื่อเคยชินก็จะเพาะเป็นนิสัย เลือกทำแต่ในสิ่งที่ดี ๆ ไปเอง"

เถรี 12-02-2012 20:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงปีที่ผ่านมา ถ้ายอมให้น้ำท่วมสนามบินสุวรรณภูมิ น้ำจะอยู่ไม่นาน คราวนี้ไม่ยอมให้น้ำท่วมสนามบินสุวรรณภูมิ ไปกักเอาไว้ พอกักเอาไว้น้ำก็ทะลักมาทางตรงข้าม ก็หาทางลงยาก อย่าลืมว่าสุวรรณภูมิคือหนองงูเห่า เป็นหนองน้ำ เป็นพื้นที่รับน้ำใหญ่โตมโหฬาร ในเมื่อน้ำลงที่ต่ำไม่ได้ก็สะสมตัวมากขึ้น ๆ ล้นไปตามที่สูง คนที่ไม่เคยท่วมก็โดนท่วม ไม่ใช่ว่าไม่รู้....รู้..แต่ถือว่าเอาจุดที่สำคัญที่สุดไว้ก่อน คือรักษาสนามบินเอาไว้

ความจริงถ้าไม่กั้นเลย ใช้แบบโบราณก็ท่วมไม่กี่วันหรอก เพราะน้ำดาหน้ามาพร้อม ๆ กัน อย่างเก่งก็สักครึ่งแข้ง ท่วมโดยทั่วหน้ากันทั้งในทั้งนอก เดี๋ยวก็ลงทะเลไป แต่เราไปกักเอาไว้ พอไปกักเอาไว้ปริมาณก็สูงขึ้น ๆ จนคันกั้นน้ำเอาไม่อยู่ พังมาตูมเดียวก็เรียบร้อย นิคมอุตสาหกรรมยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เอาไม่อยู่

เป็นการวางแผนจัดการที่ผิดพลาดแต่โทษใครไม่ได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาแล้งจัด พอน้ำมาก็ต้องรีบเก็บ ปรากฏว่าพอเก็บน้ำได้ตามปริมาณระดับที่ตัวเองต้องการ อยู่ ๆ พายุก็พรวดพราดมา ๓ - ๔ ลูกติด ๆ กัน พอน้ำจะเกินระดับก็ต้องทำการพร่องน้ำตามหลักวิชาของเขา ก็คือระบายน้ำออก แต่พอเขื่อนใหญ่ ๆ ระบายลงมา ๓ - ๔ เขื่อนพร้อม ๆ กัน กรุงเทพฯ ก็ท่วมเรียบร้อย มาปีนี้เห็นไหม ? เขารีบเททิ้งตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะชักเข็ดแล้ว ถ้าตอนปลายปีแล้งขึ้นมา คราวนี้ก็น้ำตาเล็ดเลย..(หัวเราะ).."

เถรี 12-02-2012 20:37

ถาม : พายุสุริยะ...?
ตอบ : เกิดเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะมีช่วงที่ปะทุหนักอยู่ อย่างไรก็เกิดแน่ ๆ จ้ะ หากถ้าว่าใครเก็บข้อมูลต่าง ๆ ลงแถบแม่เหล็กหรือคอมพิวเตอร์ก็ต้องระวังผลกระทบพวกนี้อยู่เหมือนกัน เพราะว่าถ้าวูบมาทีหนัก ๆ ก็เท่ากับล้างข้อมูลเกลี้ยงเลย

ถาม : แล้วจะเก็บแฟลชไดร์ฟไว้ที่ไหน ?
ตอบ : เอาไว้ที่ไหนก็โดน อย่าลืมว่าเป็นการจัดเรียงด้วยระบบไฟฟ้า พายุสุริยะเป็นโคตรไฟฟ้าเลย..(หัวเราะ)..ต้องติดตามข่าวทางขั้วโลก ถ้าขั้วโลกเหนือเกิดแสงออโรร่ามากเป็นพิเศษ แสดงว่ากำลังพายุแรงมาก เพราะว่าแสงออโรร่าเกิดจากพายุสุริยะปะทะกับขั้วแม่เหล็กโลก แล้วก็เกิดเป็นสารพัดสีขึ้นมา ดูแสงแล้วก็เพลิน ๆ ดีเหมือนกัน

เถรี 12-02-2012 20:46

ตอนที่อยู่เกาะพระฤๅษี มีฟ้าผ่าห่างไปประมาณ ๔ กิโลเมตร แต่กำลังไฟฟ้าที่วิ่งผ่านมา ทำให้เสาอากาศวิทยุของหน่วยป่าไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ละลาย สายขนาดประมาณนิ้วชี้ พลาสติกหุ้มสายละลายลงมาเหลือแต่โลหะล้วน ๆ เลย ส่วนที่เกาะพระฤๅษีสายไฟในโรงครัวก็ละลาย ฟิวส์ละลายหมดเลย ไม่รู้ว่าเข้าไปทางไหนได้ คาดว่าไฟฟ้าปริมาณที่มหาศาลที่ผ่าตูมลงมา ไปถึงไหนก็จะแทรกเข้าไปทุกจุด

ต้องยอมรับว่าสภาพจิตของเราถึงเวลารู้ก็รู้จริง ๆ อาตมานอนอยู่ พอฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางดึก ..ไฟช็อต เห็นหมดเลยว่าอยู่ตรงไหนบ้าง พอวิ่งไปดูก็เป็นตามที่เห็นหมดเลย อะไรจะรู้ปานนั้น..? แต่ตอนเห็นด้วยจิตนั้นเห็นแบบสว่าง ๆ เหมือนตอนกลางวัน แต่พอไปดูต้องเอาไฟฉายไป..(หัวเราะ)..สภาพจิตที่ฝึกมาดีแล้ว พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า สุทันตา เยวะ อิทธิยา ผู้ฝึกตนดีแล้วย่อมเป็นผู้มีฤทธิ์

อาตมาเป็นคนขี้สงสัย พอเห็นคว้าไฟฉายออกไปดูเดี๋ยวนั้นเลย ไปไล่ดูทีละแห่งว่าจริงหรือเปล่า ? ตอนออกไปก็ไม่ได้นึกหรอกว่าฟ้าจะผ่าตายหรือเปล่า ? แค่อยากรู้เท่านั้น อยากรู้ว่าที่ตัวเองเห็นทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่ กับของจริงนั้นเหมือนกันไหม ?

เถรี 13-02-2012 08:25

ถาม : พวกสรรพวิชาที่เป็นสัมมาทิฐิ เราท่องคาถาสหัสสเนตโตฯ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : จะเป็นวิชาที่เป็นสัมมาทิฐิหรือมิจฉาทิฐิ ก็ท่องได้ทั้งนั้น จะเกิดความคล่องตัวเหมือนกัน เพราะว่ามิจฉาทิฐิเป็นวิชาฝ่ายต่ำกว่า สัมมาทิฐิเป็นวิชาฝ่ายสูงกว่า ในเมื่อวิชาฝ่ายสูงกว่ายังทำได้ ต่ำกว่าก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าอย่าให้เกินอนาคามีไป เพราะเจ้าของคาถาท่านอยู่ที่อรหัตมรรค (หัวเราะ) ถ้าเกินอนาคามีไป จะเอากำลังแบบพระอรหันต์ท่าน บางทีเจ้าของคาถาท่านก็ว่าขอให้ไปหาคนอื่นเถอะ..!

เถรี 13-02-2012 08:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครเซ็นลายเซ็นแล้วอ่านยาก อย่าไปเซ็นให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เห็นนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า แกงไดก็คือลายเซ็น ควรที่จะอ่านออก จะได้รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะฉะนั้น..ใครเซ็นแล้วอ่านไม่ออก พระองค์ท่านบอกว่าให้อ่านว่านายหมา ถือว่าเป็นมงคลนามที่ทรงพระราชทานให้..!"

เถรี 13-02-2012 12:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครั้งนี้อาตมาไปสิงคโปร์ จะไปดูแอสโคเซนด้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีใครรู้ข่าวนี้บ้างไหม ? สิงคโปร์ผสมกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ได้ ตั้งชื่อกล้วยไม้พันธุ์นี้เป็นชื่อนายกรัฐมนตรีของไทย

จะว่าไปแล้วสิงคโปร์เขาเอาของที่ตัวเองไม่มีไปทำจนมี เพราะปกติแล้วประเทศเขามีกล้วยไม้ไม่กี่ชนิดหรอก เขาขนไปจากเมืองไทยแทบทั้งนั้น แล้วก็ไปสร้างเป็นโบทานิกการ์เด้น พอทำเสร็จเรียบร้อยก็ผสม ออกมาได้พันธุ์ใหม่เมื่อไรก็ตั้งชื่อเท่ ๆ เข้าไว้

http://www.toonne.com/picture/content/n2066-002.jpg
แอสโคเซนด้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


ประเทศเราส่วนใหญ่พอพบพันธุ์ใหม่ เราจะใช้ชื่อบุคคลสำคัญมาตั้ง ถ้าเป็นฝรั่งทำ เขาตั้งชื่อออกพระนามเลย เช่น กุหลาบควีนสิริกิติ์ ดอนญ่าควีนสิริกิติ์ แต่ถ้าคนไทยทำ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเรียกตรง ๆ เช่น โมกราชินี ปูราชินี ลองไปเสิร์ชหากุหลาบควีนสิริกิติ์ดู จะได้รู้ว่าสวยแค่ไหน

http://www.rspg.org/royals/queen/qs1.jpg
กุหลาบควีนสิริกิติ์


รู้จักดอกยี่สุ่นไหม ? ดอกยี่สุ่นหรือกุหลาบมอญ ดอกเล็ก ๆ อาตมาเกิดมาในสมัยที่มีดอกยี่สุ่น จึงไม่ได้คิดว่ากุหลาบดอกจะใหญ่ จนกระทั่งโตมาหน่อยหนึ่งก็มาเจอกุหลาบตูมดอกเท่ากำปั้น ครั้งแรกที่ไปเจอที่พระตำหนักภูพิงค์ ดอกตูมแต่ใหญ่เกือบเท่ากำปั้นเราแล้ว ดอกบานจะใหญ่แค่ไหน? ครั้งนั้นฟิล์มหมดเป็นม้วน ๆ เพราะไล่ถ่ายแต่รูปกุหลาบภูพิงค์

http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:A...FkqUdjnyxA&t=1
กุหลาบเวียงพิงค์ ใหญ่เท่าหน้าคน


อะไรที่เป็นโครงการหลวง พวกเราจะทุ่มเทกันมาก แล้วออกมาสวย โครงการหลวงที่ดอยอ่างขางมีหญ้าหอมด้วย ปลูกเป็นบันได พอเดินผ่านแล้วกลิ่นน้ำมันหอมระเหยออกมาด้วย กลิ่นหอมตลบเลย เอามือลูบผ่านกลิ่นก็ติดมือมาด้วย แล้วก็มีสนเลื้อย ต้นสนไม่ขึ้นตรง ๆ แต่แผ่เลื้อยกับพื้น ที่นั่นมีพันธุ์ไม้อะไรประหลาด ๆ หลายอย่าง"

เถรี 13-02-2012 13:03

"มีอยู่ช่วงหนึ่ง เด็ก ๆ เขานิยมพับดาวใส่ขวดมาให้ อาตมาก็คิดว่ากินได้ แกะออกมาไม่มีอะไรเลย มารู้ทีหลังว่าคืออะไร หลังจากที่แสดงความโง่ไปแล้ว ไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ที่เขาทำอะไรกุ๊กกิ๊กกัน อุตส่าห์แกะดูข้างใน นึกว่าเป็นของกินได้ สรุปว่าไม่รู้เรื่องเอง..!

สมัยก่อนไปไหนกับแดง(มงคล จอมผา) เดินผ่านต้นไม้นี่เฉาเลย แดงเขาจะดูว่านี่เป็นต้นอะไร ? ราคาเท่าไร ? ส่วนอาตมาก็ดูว่าต้นอะไร ? กินได้ไหม ? สรุปแล้วไม่รอดมือสองคนนี้ไปหรอก ถ้ากินไม่ได้ก็ต้องขายได้ พอคู่นี้ไปด้วยกัน เดินผ่านต้นไม้จึงเฉาทันตาเลย..!"

เถรี 13-02-2012 13:22

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนงานของวัดท่าซุง จะใช้คณะกลองยาวประยุกต์ของวิทยาลัยครูนครสวรรค์ เขาเอากลองยาวตั้งเป็นฐาน เอาคนต่อขึ้นไปได้ ๓ - ๔ ชั้น แต่คงต้องบอกเพื่อนว่าอย่าเต้นนาน เต้นนานเดี๋ยวฐานทรุด เพราะคนข้างล่างรับไม่ไหว..!

เวลาไปงานคนอื่นเขา ความที่อาตมาไม่เคยชิน ไปเจอเสียงดนตรีเสียงอะไรดัง ๆ บางทีรู้สึกสะเทือนไปทั้งอก รับไม่ค่อยได้ ต้องเผ่นไปไกล ๆ แต่เขาก็นิยมกันจัง วันก่อนที่วัดบวชลูกชายของรองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ก็ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่คนเขารู้จักกันเยอะ ขบวนแห่ทำหน้าที่จนคุ้ม แต่ขอโทษเถอะ...เพลงอุบาทว์เป็นบ้าเลย..!

ถามพระว่า "นี่คุณรู้ไหมว่าเขาเล่นเพลงอะไร ?" เขาตอบกันไม่ได้ บางคนบอกว่าเป็นเพลงรุ่นใหม่ อาตมาบอกว่านี่ลาวดวงเดือน พระเขาไม่เชื่อนะ จนกระทั่งเขาใช้บีบีเข้าอินเทอร์เน็ต เปิดลาวดวงเดือนฟัง ถึงได้รู้ว่าใช่ "เออ..ใช่จริง ๆ ด้วย แต่นี่ทำไมจังหวะถึงเร็วอย่างนั้น ?" อาตมาบอกว่า "ถ้าไม่เร็วเขาก็เต้นกันไม่ได้" จึงกลายเป็นเพลงลาวดวงเดือนที่เต้นรำกันได้เพลิดเพลินเจริญใจมาก"

เถรี 13-02-2012 13:29

ถาม : บางครั้งหนูภาวนาแล้วรู้สึกว่าตัวหลุดออกมาแล้วนิดหน่อย แต่ไม่ใช่จุดที่ทุกทีออก เลยกลายเป็นว่าพอถึงจุดที่ทุกทีออก ตัวก็กลับเข้ามาแล้วค่อยออกไปจริง ๆ อีกทีค่ะ แสดงว่าไม่ได้ออกได้แค่จุดเดียวสิคะ ?
ตอบ : ออกได้สารพัดจุดแหละจ้ะ ถ้าตั้งใจดูจะรู้ว่าออกได้ทุกมุม อย่าไปเสียเวลาเลย ให้ไปได้ก็พอ

อาตมาเคยไปนั่งจ้องมาแล้ว จะออกทางไหนหว่า..? หลวงพี่อาจินต์บอกว่าของท่านออกทางกระหม่อม หลุดผลัวะออกไปเหมือนอย่างกับเข้าปล่องเลย อาตมาก็พยายามจะดู ไป ๆ มา ๆ ท้ายสุดก็คือไปได้ทุกมุม

สภาพจิตมีความละเอียด กายหยาบของเรานี่หยาบเกินไป ระหว่างอณูของร่างกายที่ต่อ ๆ กัน จนเป็นแท่งทึบที่เราเห็น แต่ว่าในสภาพความละเอียดของจิต รอยต่อนั้นกว้างกว่าประตูเสียอีก จะไปทางไหนก็ไปได้

เถรี 13-02-2012 16:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ของที่ทำมาจากงาช้าง ต้องขยันลงน้ำมันบ่อย ๆ งาจะได้ไม่แตก เพราะเวลางาโดนความร้อนแล้วมักจะแตก

สมัยแรก ๆ ที่อาตมาไปพม่า ยังไม่ค่อยมีน้ำมันทานาคา ไปเสียหลายครั้งกว่าจะมีน้ำมันทานาคา ในที่สุดเขาก็สามารถผลิตได้ แสดงว่าเขาก็ก้าวหน้าเหมือนกัน เมื่อได้น้ำมันทานาคาก็ใช้ลงพระพุทธรูปงาช้างเป็นประจำ แต่ว่าในส่วนที่จะโดนหลอกง่ายที่สุดก็คือไม้จันทน์

ถ้าเราดูเนื้อไม้ ไม้จันทน์จะคล้ายคลึงกับไม้ฝรั่งมากที่สุด ส่วนใหญ่เขาจะเอาไม้ฝรั่งมาแกะพระ หรือว่าทำเป็นประคำ แล้วไปอบกลิ่นไม้จันทน์ให้ติดมา ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นไม้ฝรั่งหรือเป็นไม้จันทน์ ให้ดูว่าเขาใส่ถุงพลาสติกไว้หรือเปล่า ถ้าใส่ถุงพลาสติกไว้ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ฝรั่ง เพราะถ้าไม่ใส่ถุงพลาสติกกลิ่นจะระเหยหมดไปง่าย แต่ถ้าไม้จันทน์แท้ คุณทิ้งตากแดดตากฝนไว้อย่างไรก็หอม แต่ก็ไม่ต้องไปว่าเขานะ เราก็เออ ๆ คะ ๆ ไป บอกว่ายังไม่ชอบ ยังไม่อยากได้ อะไรก็ว่าไป

ใครที่บูชาพระนาคปรกเนื้อบรอนซ์ไป ทางบริษัทเขาแนะนำมาว่า ให้ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช็ดบ่อย ๆ พอเช็ดไปเรื่อย ๆ น้ำยาที่เขาเคลือบหลุดออกมาแล้ว จะเงาสวยมาก"

เถรี 13-02-2012 17:18

ถาม : เราตั้งใจถวายของสงฆ์ที่ดีที่สุด แต่เราซื้อไม่เป็น ดันไปซื้อของไม่ดีมา แต่ซื้อด้วยราคาของดี อานิสงส์เป็นอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเจตนาเราดีก็จะได้อานิสงส์ที่ดี แต่คนที่ขายให้เราคงจะซวย..!

เถรี 14-02-2012 11:26

ถาม : พระคาถาเงินล้าน บางท่านก็ขึ้นด้วยนาสังสิโม บางคนก็ขึ้นต้นด้วยสัมปะจิตฉามิ
ตอบ : มีเกินดีกว่าขาด ชอบใจตรงไหนก็ขึ้นต้นตรงนั้นแหละ คาถาเขาห้ามสงสัย ให้ทำอย่างเดียว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว