กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3194)

เถรี 27-02-2012 08:16

สมัยนั้นวัดท่าซุงใช้จีวรสารพัดสี มีทั้งสีเหลือง สีกรัก สีแก่นขนุน สีแดงแบบทางสายพม่า มีพระอยู่รูปหนึ่ง ตอนนี้ก็คือทิดสมคิด (น้องชายของพระอาจารย์สมปอง) เป็นพระรูปเดียวที่ใส่ ๕ สี สบงสีหนึ่ง อังสะสีหนึ่ง จีวรสีหนึ่ง สังฆาฏิสีหนึ่ง ผ้ารัดอกอีกสีหนึ่ง แสดงว่ามาจากคนละสำรับทั้งนั้นเลย คือเก่าใหม่ไม่เท่ากัน ก็เลยกลายเป็น ๕ สี

มีอยู่วันหนึ่ง พอหลวงพ่อท่านลงโบสถ์ท่านก็พูดถึงเรื่องนี้ ท่านบอกว่า “ข้าดูพวกแกมานานแล้ว ว่าทำไมห่มจีวรสีไม่เหมือนกันสักที พอดีวันนี้ก่อนจะลงโบสถ์ข้านอนอยู่ เห็นผีเดินมา ห่มจีวรมาด้วย ไม่มีหัวมีแต่ตัว ห่มเสร็จแล้วจีวรลอยมา แต่ไม่เห็นว่าเป็นใคร

ถามว่าใคร ? ก็มีเสียงตอบว่าโมคคัลลาน์ครับ..มาทำไม ? ท่านตอบว่าทำให้ดูว่าสมัยก่อนผมห่มจีวรสีนี้ครับ” หลวงพ่อท่านบอกว่าพระโมคคัลลานะห่มจีวรสีเหลือง หลวงพ่อท่านก็ถามว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้นุ่งห่มด้วยผ้าย้อมน้ำฝาดไม่ใช่หรือ ? แล้วทำไมถึงห่มผ้าสีเหลือง มีเสียงย้อนตอบกลับมาว่า “แล้วขมิ้นมันหวานหรือเปล่า ?” นักเลงจริงนี่เขาไม่ตอบตรงคำถามนะ เขาย้อนถามคืน ถ้าขมิ้นหวานจะได้ไม่ใช้

ท่านก็เลยต้องไปค้นตำรามาอ่านใหม่ เพราะว่าอ่านมาตั้งแต่สมัยบวชพรรษาแรก ชักลืม ๆ ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าระบุไว้ว่าให้ใช้จีวรสีเหลือง สีเหลืองเจือแดงเข้ม และสีกรัก ได้ ๓ สี หลวงพ่อท่านก็สรุปว่า สาเหตุที่พระธุดงค์หรือพระป่าท่านใช้จีวรสีกรักเพราะว่าเปื้อนยาก เดินป่าอยู่ตลอด ทำให้ผ้าสกปรกง่าย ถ้าหากว่าเป็นจีวรสีเหลืองก็คงดูไม่ได้เลย แต่ถ้าอยู่ในเมืองก็ให้ห่มจีวรสีเหลืองไป

สรุปว่าวัดท่าซุงก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเสมอกันหมด ไม่อย่างนั้นตอนแรกทั้งวัดมีสารพัดสี ตอนนั้นนี่สามัคคีจริง ๆ มาจากทิศไหนสีไหนก็อยู่ด้วยกัน ลายไปทั้งโบสถ์

เถรี 27-02-2012 08:22

เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ไปรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศและผ้าไตรที่วัดพระพุทธบาท เจอท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี ก็เข้าไปกราบท่าน แจ้งว่าเป็นรุ่นน้องของหลวงตาวัดเขาวงครับ ท่านจำหน้าได้ก็ถามว่า “แล้วทำไมห่มคนละสีกัน ?” อาตมาก็เลยแจ้งว่า “วัดใหม่ที่ผมไปอยู่เป็นสีนี้กันทั้งวัด ผมจะไปเหลืองอยู่คนเดียวก็น่าเกลียด ก็เลยต้องคล้อยตามส่วนรวมเขา”

โดยเฉพาะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีการอบรมพระนวกะ พระผู้ใหญ่ท่านแนะนำว่า ให้พระทั้งวัดห่มสีหนึ่ง แล้วให้เจ้าอาวาสห่มอีกสีหนึ่ง จะได้เด่นให้คนเขารู้ว่าใครเป็นใคร อาตมาก็เลยบอกว่า “ถ้ามีโจทก์ก็ตายฟรีสิครับ” เด่นไม่เหมือนใคร รับรองว่าเล็งหัวไม่พลาดแน่ ส่วนใหญ่อาตมาจะคิดไม่เหมือนเขา

ปัจจุบันบริขารของพระหาง่าย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องไปชักผ้าบังสุกุลมาซัก มาย้อม แล้วก็มาตัดเย็บเป็นจีวรกัน ผ้าหายาก ต้องทะนุถนอมมาก หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์สมัยบวชใหม่ ๆ ท่านนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าเทียนล้มใส่ จีวรไหม้เกือบหมด แต่ความที่ท่านทรงสมาธิลึกก็เลยไม่รู้ว่าจีวรที่ห่มอยู่ไฟไหม้

ท่านบอกว่าพอลืมตาขึ้นมาเห็นแล้วขวัญหาย รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า คล้าย ๆ กับว่าของที่หายากที่สุด เป็นธงชัยพระอรหันต์ เป็นสิ่งที่พระอุปัชฌายาจารย์ท่านอุตส่าห์เสาะแสวงหามา เพื่อให้ตัวเองได้บวช โดนทำลายด้วยมือของตน ท่านบอกว่ายังดีที่ว่าครูบาไชยลังกาท่านรู้ข่าว ท่านรีบหาผืนใหม่มาให้ ไม่อย่างนั้นถ้าคิดอีกหลายวันสงสัยได้บ้าแน่..!

เถรี 27-02-2012 08:36

ตรงจุดนี้จริง ๆ จะได้เห็นว่าเรื่องของสมาธิคุ้มกันอันตรายได้ แบบเดียวกับที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้านิโรธสมาบัติอยู่ คณะของนางสามาวดีในชาตินั้นไปก่อไฟผิงแล้วกลายเป็นไฟป่า ไหม้พระปัจเจกพุทธเจ้าไปด้วย นางสามาวดีเห็นก็ตกใจว่าเราเผาพระตายเสียแล้ว ก็เลยช่วยกันสุมไฟประชุมเพลิงต่อให้ ความจริงก็ด้วยความหวังดี แต่เขาไม่เข้าใจว่าพระท่านเข้าสมาธิอยู่ ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะคุ้มกันอันตรายได้

พอถึงเวลาตัวเองกลับไป พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเข้านิโรธสมาบัติครบกำหนด ท่านก็ออกจากนิโรธสมาบัติ เห็นว่าทำไมขี้เถ้าเต็มไปหมด ที่แท้โดนเขาสุมฟืนเผาซะแล้ว ด้วยกรรมที่ได้ทำในชาตินั้น แม้จะไม่เจตนาก็ตาม พอมาในชาติปัจจุบันจึงได้โดนนางมาคัณฑิยาให้คนเอาไฟเผาปราสาท นางสามาวดีพร้อมหญิงบริวารอีก ๕๐๐ จึงโดนเผาตาย แต่ว่าท่านตายในลักษณะของพระอริยเจ้า เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระสกทาคามีบ้าง เป็นพระโสดาบันบ้าง

ส่วนอาตมาเองนั่งสมาธิแล้วตัวลอย ดันลอยขึ้นไปหาพัดลมเพดาน ถ้านั่งต่อไปก็คงไม่มีปัญหาหรอก แต่ดันเกิดความรู้สึกว่ามีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว ก็เลยลืมตาขึ้นมาดูว่าคืออะไร พอเห็นว่าเป็นพัดลมเพดาน สมาธิก็คลายเลยร่วงลงมา ยังดีว่าเป็นการตกในขณะที่นั่งสมาธิ ก็เลยไม่เจ็บ ถ้าหากว่าไม่ใช่ตกในสมาธิ ด้วยความสูงประมาณ ๒ เมตรครึ่งได้ ตกมาก็คงต้องเจ็บบ้าง

เถรี 27-02-2012 08:42

1 Attachment(s)
:4672615:เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ:4672615:

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1330306865


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว