กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5682)

เถรี 02-07-2017 20:19

เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
 
ถาม : การบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เทพเทวดา หรือพระพุทธรูป ด้วยวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ได้กำหนดตายตัว บางคนจะบนมาก บางคนจะบนน้อย อยากทราบว่าการบนมากหรือน้อยนั้น ให้ผลจากการบนแตกต่างกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : วัตถุในการบนแทบจะไม่มีความหมาย สำคัญตรงบุญเก่าที่เราสร้างเอาไว้ ถ้าบุญเก่าเราสร้างเอาไว้มากเพียงพอ การบนเป็นการเติมส่วนขาดเพียงเล็กน้อย ถ้าอย่างนั้นก็จะบนสำเร็จ

แต่ถ้าบุญเก่าเราสร้างไว้น้อย ของใหม่เติมเข้าไปมากมายมหาศาลเท่าไรก็ยังไม่ได้จำนวนที่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นบนให้ตายก็ไม่สำเร็จ ก็แปลว่าสาระสำคัญอยู่ที่บุญเก่าของเรา ถ้าบุญเก่าของเราเพียงพอ เติมเพียงเล็กน้อยก็สำเร็จแล้ว

เถรี 02-07-2017 20:21

ถาม : เวลาผมทำบุญ ผมอธิษฐานให้วิมานเป็นต้นโพธิ์ทั้งดุ้นแทนได้ไหมครับ ผมชอบต้นโพธิ์ครับ ?
ตอบ : ดูท่าจะได้เกิดเป็นแค่รุกขเทวดา..!

เถรี 02-07-2017 20:24

ถาม : ผมนั่งสมาธิไปสักระยะแล้ว พอจิตเริ่มเป็นสมาธิมากขึ้น อยากจะให้ทรงสมาธิแบบนั้นไปนาน ๆ แต่สักพักก็เริ่มเบื่อขึ้นมา ไม่ทราบว่าผมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ ถึงจะสามารถทำสมาธิได้อย่างต่อเนื่องไปนาน ๆ ?
ตอบ : เวลาทรงสมาธิได้แล้ว อย่าเผลอให้สติหลุดจากสมาธินั้น ที่กล่าวมาแสดงว่าเป็นแค่อุปจารสมาธิเท่านั้น

ถ้าเป็นแค่ปฐมฌานขึ้นไป เราสามารถกำหนดได้ว่าจะทรงนานเท่าไร จิตของเรามีสภาพจำ ถ้ายังไม่ครบตามกำหนดเวลา ก็จะไม่คลายออกมาจากสมาธินั้น

เถรี 02-07-2017 20:26

ถาม : ผมสมัครบวชเนกขัมมะเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา เกิดเหตุที่ไม่สามารถไปได้กะทันหัน ก็คือ ขณะที่ขึ้นรถตู้กับแฟน แฟนผมน็อคจนต้องเข้าโรงพยาบาล ปรากฏว่าเป็นโรคหัวใจ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ฝันเห็นหลวงพ่อเล็กมาเรื่อย ๆ ครับ ในฝันหลวงพ่อบอกกับผมว่า "ถ้าอยากรู้อะไร ให้บวชสัก ๑ ปี แล้วจะรู้ทุกอย่าง" แถมวันนั้นแฟนผมก็ฝันเห็นหลวงพ่อเหมือนกัน

เมื่อคืนผมก็ฝันว่า หลวงพ่อให้หีบสมบัติมา เขียนชื่อหีบไว้ยาว ผมจำได้แต่คำว่า รัตนะ ผมตีความหมายของความฝันไม่ออกครับว่าหมายถึงอะไร
ผมต้องบวชไหมครับ ? และถ้าต้องบวช ผมก็มองไม่เห็นหนทางเลยครับว่าจะไปบวชได้อย่างไร ?

ตอบ : ก็แค่นั่งรถสายกรุงเทพฯ-ทองผาภูมิ..!

เถรี 02-07-2017 20:28

ถาม : หากว่าเราเจตนาสวดพระคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ปรากฏว่าพอสวดได้ไม่กี่จบก็เกิดอาการง่วงมากทนไม่ไหวจึงหลับไป ตื่นอีกทีตอนเช้าหลาย ๆ วันติดกัน จะต้องหาเวลาสวดชดเชยจำนวนจบคงเหลือที่สะสมมาทั้งหมดหรือไม่ ?
ตอบ : ควรที่จะชดเชยเพราะคาถาเป็นบาทของอภิญญา บุคคลที่มีวิสัยจะได้อภิญญาต้องเป็นคนจริงจัง จริงใจ ทำอะไรสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น...รีบไปชดเชยเสียไว ๆ แต่ก็คงอีกนานกว่าจะครบ

เถรี 02-07-2017 20:34

ถาม : เวลาที่ผมภาวนาแบบต่อเนื่องกันนาน ๆ ประมาณ ๔ ชั่วโมงขึ้นไป ผมมักจะมีอาการตันขึ้นมา และรู้สึกเบื่อ ๆ เหงา ๆ จนไม่อยากจะภาวนาต่ออีก ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นสมาธิก็เริ่มรู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว สุดท้ายก็ต้องไปหาอะไรอย่างอื่นทำจนได้ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ อยากจะทราบว่าผมควรจะทำอย่างไรครับถึงจะภาวนาได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่เบื่อไม่เหงาครับ ?
ตอบ : ถ้าภาวนาอย่างเดียวไม่มีใครไปรอด พอภาวนาไปจนถึงระดับหนึ่ง สภาพจิตเหมือนกับแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มแล้ว จะรับเพิ่มม่ได้อีก ควรที่จะคลายกำลังใจออกมา แล้วหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา เป็นการใช้งานกำลังที่เราทำมาได้ เมื่อใช้ไปจนแบตเตอรี่พร่อง ก็สามารถที่ภาวนาใหม่ได้อีกครั้ง

ให้ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้ ไม่ใช่เอาแต่ภาวนายาวอย่างเดียว จนกว่าเราจะมีความสามารถในการทรงฌานตั้งเวลาได้ ถ้าอย่างนั้นเราจึงจะสามารถรักษากำลังใจไว้ได้ตลอดเวลาอย่างที่ต้องการ


ถาม : ถ้าไปดูหนังฟังเพลงแล้วสามารถพิจารณาทุกข์จากสิ่งที่ได้รับมา จะมีประโยชน์ไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่เจอว่าใครทำได้ ส่วนใหญ่ก็ไหลตามกิเลสไปหมด ตอนแรกก็ตั้งใจพิจารณา พอ ๕ นาทีต่อมาก็ลืมหมดแล้ว

เถรี 02-07-2017 20:37

ถาม : เห็นต่างประเทศเกิดพายุทอร์นาโดบ่อยมาก และบางทีก็มีเสียงดังมากและน่ากลัวลอยโหยหวนมาตามท้องฟ้า แต่หาต้นตอของเสียงไม่ได้ แต่ทำไมที่เมืองไทยถึงไม่ค่อยจะเจอกับพายุขนาดใหญ่หรือเหตุการณ์ประหลาดแบบนั้นสักเท่าไรครับ ?
ตอบ : เมืองไทยของเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกันอยู่มาก เพราะว่าบุคคลยังอยู่ในศีลในธรรมมากอยู่ โปรดดีใจเสียเถิดว่าเราเกิดในปฏิรูปเทส คือ แผ่นดินที่เหมาะสม มีภัยธรรมชาติน้อย แต่ถ้าคนของเรายังเพลิดเพลิน ไหลตามกระแสกิเลสไปเรื่อย ๆ ต่อไปภัยธรรมชาติก็จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน

เถรี 02-07-2017 20:38

ถาม : คาถาที่เอาไว้ใช้ทดสอบวัตถุมงคลว่ามีอานุภาพในด้านใดบ้างนั้นคือคาถาอะไรครับ ?
ตอบ : เท่าที่เคยใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ใช้ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง ส่วนวิธีการไปค้นหาเอาเอง เคยบอกไปหลายชาติแล้ว...!

เถรี 02-07-2017 20:44

ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า มีของขลังใดที่สามารถกันงูได้บ้างครับ ?
ตอบ : ความจริงมีมากด้วยกัน สำคัญที่ตรงความมั่นใจ ถ้าเราขาดความมั่นใจก็ไม่สามารถที่จะกันได้ ถ้าจะกันงูส่วนใหญ่โบราณจะหาเครื่องรางที่เป็นรูปพญาครุฑ หรือไม่ก็หาว่านนาคราช แต่ว่านนาคราชหายาก อาตมาเคยได้มาตอนธุดงค์ อุตส่าห์บอกแม่ไว้ว่าเป็นของดีหายาก แม่ก็เลยช่วยรดน้ำเช้าเย็นจนเน่าตายไปเลย

เถรี 02-07-2017 20:47

ถาม : ญาติของผมได้ไปทำบุญสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วมีคนหลายคนเกิดความสงสัยในคำสอนและการปฏิบัติตนของสถานที่แห่งนั้น จนไปสอบถามถึงการปฏิบัติตนและคำสอนของทางเจ้าของสถานที่แห่งนั้น แต่ได้คำตอบกลับมาว่า "การถามแบบนี้ทำให้สมเด็จองค์ปฐมท่านร้องไห้" ซึ่งผมเพิ่งเคยได้ยิน จึงกราบขอความเมตตาว่าเป็นความจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาตมาก็เพิ่งเคยได้ยิน ก็เลยตอบไม่ได้...! ตั้งแต่พระโสดาบันเอกพีชีขึ้นไป ท่านก็เลิกร้องไห้กันแล้ว นี่ต้นตำรับคือพระพุทธเจ้ามาร้องไห้ ก็แปลว่าสถานที่นั้นไม่ควรที่จะไป เพราะไปแล้วบาป ทำให้พระพุทธเจ้าต้องร้องไห้ทุกที...!

เถรี 03-07-2017 09:25

ถาม : ผมอ่านเก็บตกจากบ้านเติมบุญเดือนมิถุนายน แล้วไปสงสัยตรงที่หลวงพ่อบอกว่า ถ้าคนที่เคยมีพื้นฐานมาก่อน เมื่อใจของบุคคลนั้นสงบ ฌานต่าง ๆ จะมาเอง ตอนผมอายุ ๑๕ ป้าผมพาผมไปนั่งสมาธิที่วัดไม่ถึง ๓๐ นาที แล้วตอนนั้นความรู้ทางศาสนาผมไม่รู้เลยสักนิด และไม่เคยนั่งสมาธิแบบจริงจังมาก่อน และก็ไม่ได้เชื่อศาสนามากเท่าไร แต่พอผมนั่งสมาธิไปแล้ว จู่ ๆ ผมมีความรู้สึกสุขหาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ แล้วต่อมาตรงเหนือสะดือเหมือนมีอารมณ์ดิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วผมก็รู้สึกเหมือนรู้สึกตกจากที่สูงตอนที่ป้าเรียกผม

ผมก็ไปค้นหาในกูเกิ้ลเกี่ยวกับอารมณ์ฌานที่หลวงพ่อท่าซุงอธิบายไว้ แต่ไม่เจอเกี่ยวกับอารมณ์ดิ่ง เลยอยากทราบว่าอารมณ์ดิ่งตรงเหนือสะดือ คืออารมณ์ฌานหรือเปล่าครับ ? ถ้าใช่หลวงพ่อช่วยบอกได้ไหมครับ เป็นอารมณ์ฌานระดับใด ?
ตอบ : อารมณ์เกือบจะเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นปฐมฌานหยาบ ช่วงที่เรามีความสุขนั้นคือส่วนหนึ่งของอารมณ์ก่อนที่จะเข้าถึงฌาน แต่เนื่องจากไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ เกิดการพลัดออกจากฌาน จึงมีความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ให้พยายามเข้าไว้ เกือบจะขึ้นชั้นอนุบาลหนึ่งได้แล้ว

เถรี 03-07-2017 09:35

ถาม : ผมอ่านเจอว่าสถานที่ก็ช่วยกับการทำให้ใจสงบเช่นกัน ในกรณีผมอยู่ต่างประเทศ ไม่มีวัดให้ช่วยในการทำให้ใจสงบ ควรทำอย่างไรให้เข้าฌานได้ทุกสถานที่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากเข้าฌานได้ทุกสถานที่ จำเป็นต้องขยันหมั่นฝึกซ้อม เรื่องของสถานที่มีส่วนช่วย แต่ความเพียรของเราเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า ถ้าหมั่นซ้กซ้อม หมั่นกระทำ จนสามารถเข้าฌานได้ทุกเวลาตามต้องการ จะเป็นสถานที่ไหนก็ไม่จำเป็นแล้ว

ถาม : การระลึกถึงลมหายใจตลอดเวลา ในตอนที่รู้ตัวจะสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าฌานและทรงฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทำได้ โอกาสที่จะทรงฌานได้ก็มีสูง

ถาม : การที่บางครั้งผมทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงคนคุยกันภาษาอะไรไม่รู้ ตอนนั้นสมาธิผมเข้าฌานหรือว่าเป็นแค่อุปจารสมาธิครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะเป็นแค่อุปจารสมาธิ ทำให้เกิดทิพโสตหรือทิพจักขุญาณขึ้น แต่ส่วนใหญ่พอได้ยินเสียงหรือได้เห็นภาพ เรามักจะไปให้ความสนใจ ช่วงที่เราให้ความสนใจระดับสมาธิจะเคลื่อนคลายไปจากจุดที่เราเข้าถึง จะทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหายไป

เถรี 03-07-2017 09:36

ถาม : อยากทราบว่าเหตุปัจจัยหรือธรรมอันใด ที่สามารถช่วยให้จิตเข้าถึงฌานสมาบัติง่ายยิ่งขึ้นครับ เท่าที่ผมทราบมาคือ สถานที่ วัตถุมงคล ?
ตอบ : อันดับที่ ๑ สถานที่ต้องไม่เกลื่อนกล่นด้วยบุคคล เป็นสัปปายะ พอเหมาะพอสม อันดับที่ ๒ อากาศที่เหมาะสม อันดับที่ ๓ ตัวเราต้องมีร่างกายแข็งแรง พักผ่อนอย่างเพียงพอ ฯลฯ

เถรี 03-07-2017 09:48

ถาม : ผมอยากจะฝึกอภิญญา โดยเฉพาะกสิณลมกับกสิณสีเหลือง เพราะว่าเดินทางสะดวกดีและหาเงินได้ดีด้วยการเสกทอง แต่ผมสงสัยว่าการเสกทองด้วยอำนาจอภิญญาไม่เป็นการฝืนกรรมหรือครับ ?
ตอบ : อาตมาฝึกแทบตาย สุดท้ายถ้าไม่เดินก็ต้องนั่งรถอยู่ดี...! นี่คงคิดว่าอภิญญาฝึกแล้วใช้ได้ทุกเวลาตามที่ต้องการกระมัง ? ถ้าไม่ใช่ว่าจำเป็นสุดขีดจริง ๆ เขาให้ใช้สังขารร่างกายนี้ทำหน้าที่ไปตามปกติ ไม่ใช่นึกจะใช้อภิญญาก็ใช้ นั่นเป็นการฝืนกฎของกรรมมากเกินไป

ถาม : ผมลองฟุ้งซ่านเล่น ๆ สมมุติผมอยากซื้อบ้านใหญ่ ๆ สัก ๑๐ ล้านก็เสกทองแล้วไปขาย หรือถ้าผมอยากทำบุญใหญ่ ๆ ที่หาโอกาสยากมาก ๆ อย่างการเป็นประธานสังคายนา ก็เสกทองแล้วเอาไปขาย แล้วเอาเงินที่ได้มาช่วยการสังคายนา สิ่งที่ผมฟุ้งซ่านนี่ ถ้าผมหรือบุคคลใดที่สามารถได้กสิณสีเหลือง ท่านทำสิ่งเหล่านี้ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเลิกฟุ้งซ่านแล้วเอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ก็มีโอกาสที่จะทำได้มากกว่า..!

เถรี 03-07-2017 09:55

ถาม : บารมีหรือกำลังใจสามารถขึ้นลงได้ไหมครับ ? ยกตัวอย่างง่าย ๆ ผมตั้งใจจะออกกำลังกายทุกวัน แต่ทำได้ไปแค่ ๑ อาทิตย์ก็เลิก แปลว่า ๑ อาทิตย์นั้นผมมีสัจจบารมีดี แต่หลังจากนั้นสัจจบารมีลดลงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ลดลง เท่าเดิมนั่นแหละ ยังอยู่ในระดับเฮงซวยใช้การไม่ได้เท่าเดิม..!

เถรี 03-07-2017 10:08

ถาม : พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่าใน ๑๐ บารมี ตั้งแต่ทานบารมีจนถึงอุเบกขาบารมี พระพุทธเจ้าสรรเสริญปัญญาบารมีที่สุด ผมเลยอยากทราบว่า ในชาตินี้อยากมีปัญญาบารมีมาก ๆ แล้วเผื่อไปชาติหน้าด้วย ควรจะทำบุญประเภทใดนอกจากการภาวนาและการถวายพระไตรปิฎก ?
ตอบ : พิจารณาวิปัสสนาญาณไว้บ่อย ๆ ถ้าสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วยอมรับได้ ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าอีกด้วย

ถาม : การภาวนาต้องเข้าถึงระดับฌาน ๘ และวิปัสสนา ๑๖ จะได้มีปัญญาบารมีมาก ๆ ในชาตินี้และเผื่อในอนาคตชาติด้วย แบบขนาดที่ว่าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งเดียวแล้วบรรลุเลย หรือเปล่าครับ หรือแค่ได้สมาธิไม่ถึงระดับฌานก็พอ ?
ตอบ : แค่กำลังใจเราเกาะความดีจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนของเก่าให้ก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว ถ้าถึงวิปัสสนาญาณ ๑๖ ก็ไม่ต้องเกิดกันอีก บรรลุตั้งแต่เข้าถึงแล้ว

เถรี 03-07-2017 20:17

ถาม : ผมเข้าใจถูกไหมครับว่า การรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังคิดดีหรือคิดชั่ว ไม่เป็นมโนกรรมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดก็เป็นไปแล้ว แต่ในส่วนที่เรารู้ตัวนั้น ต้องสามารถหยุดความคิดนั้นได้ ถ้าไม่สามารถหยุดความคิดนั้นได้ ก็ยังชั่วอยู่เหมือนเดิม

ถาม : แล้วการที่เราปรุงแต่งหรือคิดวางแผนต่าง ๆ ใครกันแน่เป็นคนคิด ตัวจิตหรือตัวสังขารครับ ?
ตอบ : สภาพจิตสั่งงาน สมองคิด

เถรี 03-07-2017 20:19

ถาม : ผมเคยอ่านมาว่า บุคคลสามารถพูดคุยกับสัตว์ได้ด้วยการใช้ภาษาใจ ผมเลยสงสัยว่าภาษาใจในศาสนาพุทธเขาฝึกกันอย่างไร หรือจริง ๆ แล้วจะฝึกภาษาใจได้ต้องเป็นระดับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าครับที่สามารถเข้าใจทุกภาษาได้ ?
ตอบ : ภาษาใจแค่อภิญญา ๕ ก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงระดับดังที่กล่าวมา

เถรี 03-07-2017 21:04

ถาม : พระโพธิสัตว์กับปุถุชนทั่วไปมีข้อแตกต่างหรือเปล่าครับ ? เพราะบางชาติพระโพธิสัตว์ก็ทำบาปทั้งที่ ๆ ดูแล้วไม่น่าจะทำ อย่างโตไทยพราหมณ์โพธิสัตว์ ที่จะได้ตรัสรู้ในกัปหน้า ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ก็คือบุคคลที่เหมือน ๆ กับเรานี่เอง ประกอบด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน เพียงแต่เป้าหมายในการดำรงชีวิตของท่านเหล่านั้นยิ่งใหญ่มาก คือ ตั้งใจขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ดังนั้น...การเป็นพระโพธิสัตว์นั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นอยู่แน่แท้ คือลงนรกเป็นปกติ..!

เถรี 03-07-2017 21:05

ถาม : บุคคลที่สามารถระลึกชาติได้ เขาระลึกเหมือนกับการระลึกว่าเมื่อวานเราทำอะไร แต่เปลี่ยนจากเมื่อวานเป็นชาติที่แล้วหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แบบนั้นเลย

เถรี 03-07-2017 21:10

ถาม : ผมอ่านเรื่องอาฬวกยักษ์ ยักษ์ท่านนี้มีอาวุธประจำกาย คือผ้าพันคอที่มีอานุภาพทำลายมหาศาลยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์อีก ผมสงสัยว่าในโลกสวรรค์ เทวดา พรหม ท่านเหล่านี้มีอาวุธประจำกายไว้ทำอะไรหรือครับ ?
ตอบ : มีเอาไว้ยืด...! เป็นไปตามบุญบารมีของตน จะเอาไปทำอะไรใครก็ไม่ได้ เพราะถ้าหากทำร้ายผู้อื่นด้วยโทสะ ตนเองก็จะสูญเสียกายทิพย์เพราะไฟคือโทสะเผาผลาญไป พูดง่าย ๆ ว่าสอนให้รู้จักระงับยับยั้งใจเสียยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป เช่น ถ้าเรามีอาวุธปืน ต้องรู้จักระงับใจของตนเอง เพราะการชักอาวุธออกมาเขาปรับโทษเท่ากับยิงแล้ว เพราะถือว่าพยายามฆ่าเท่ากัน

เถรี 04-07-2017 19:17

ถาม : ถ้าจะจัดบวงสรวงในห้องที่อยู่ในร่มใต้ชายคาได้หรือไม่คะ เพราะพื้นที่ไม่อำนวยให้จัดกลางแจ้งค่ะ ?
ตอบ : ใครเป็นคนบอกว่าต้องจัดกลางแจ้ง ?

ถาม : จัดในร่มได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : วัดท่าขนุนจัดบวงสรวงในศาลา ในร่มหรือเปล่า ?

เถรี 04-07-2017 19:26

ถาม : วัดแต่ละวัดสามารถจัดการองค์กฐินให้ตนเองหรือให้วัดอื่นได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องของกฐินใครจะเป็นคนจัดก็ได้ แต่ต้องเป็นเจตนารมณ์ของเจ้าภาพ ไม่ใช่พระวัดนั้นไปขอเขามา ถ้าไปขอจากเขาเมื่อไร แปลว่าอานิสงส์กฐินไม่มี ถ้าภาษาบาลีเรียกว่า กฐินเดาะ ไม่มีอานิสงส์ตั้งแต่แรกแล้ว แปลว่าทำบุญก็ได้บุญไปเฉย ๆ ส่วนพระไม่ได้อานิสงส์อะไรเลย

ถาม : พระในวัดสามารถร่วมบุญกฐินในวัดตนเองได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำไปเลย อย่าทำน้อยก็แล้วกัน...!

ถาม : การจัดหากิจกรรมเพื่อหารายได้เป็นกฐิน ถวายให้วัดตนเองทำได้ไหมครับ เช่น การสร้างวัตถุมงคลให้เช่าบูชา นำรายได้เข้ากองกฐิน ?
ตอบ : ดูด้วยว่าเจตนาแต่แรกที่ทำเช่นนั้นเป็นของใคร ถ้าเจ้าอาวาสตั้งใจทำเป็นกฐินก็ได้ เพราะถือว่าท่านเป็นเจ้าภาพเอง แต่ถ้าเราเองอยากจะทำบุญกฐิน แล้วไปขอให้เจ้าอาวาสออกวัตถุมงคล อานิสงส์กฐินของเจ้าภาพก็จะยิ่งน้อยมากเท่านั้น เรียกง่าย ๆ ว่า อย่าไปใช้พระหาประโยชน์ให้กับเรา

เถรี 04-07-2017 20:27

ถาม : โยมตั้งใจอุปัฏฐากพระพุทธศาสนา ช่วยรักษาศาสนสถานที่เจ้าของที่ดินตั้งใจถวายเพื่อก่อตั้งวัด แต่เกิดเรื่องราว ยังไม่ได้เป็นวัดตามระเบียบของมหาเถรสมาคม วันที่ ๒๐ นี้จะมีการประกาศผลว่าสิ่งที่ปลูกสร้างที่พักสงฆ์จะโดนยึดไปหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : โดนแน่ ๆ เจ้าค่ะ..! เรื่องของการสร้างวัดเขามีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ดินนั้นต้องมีสิทธิครอบครองอย่างชัดเจน และเจ้าของทำหนังสือสัญญาหรือเอกสารยกให้กับทางวัดแล้ว ถ้าไม่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่มีอะไรเลย โดนเขายึดคืนไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ

เถรี 04-07-2017 21:20

ถาม : เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เรื่องการตัดเข้ามรรคผลนิพพานโดยตรง แต่ผู้รับฟังกลับบรรลุอรหันต์ได้เป็นจำนวนมาก ? อ้างอิงจากตอนที่พระพุทธเจ้าหนีพระภิกษุสองฝ่ายที่ทะเลาะกันหนีไปอยู่ที่ป่าเลไลยก์ และพระอานนท์พร้อมทั้งสาวก ๕๐๐ รูปไปตาม หลังเทศน์เรื่องการคบมิตรแล้วทำให้พระภิกษุ ๕๐๐ รูปบรรลุอรหัตผล ?
ตอบ : เพราะว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นท่านฉลาด ส่วนเราโง่ก็เลยไม่บรรลุเสียที...! ในเรื่องของเทศนาจะต้องส่งใจตามธรรมไป โดยเฉพาะเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไร้สาระแก่นสารของการเกิดมาในโลกนี้

ถ้าหากปัญญาถึง สามารถรู้เห็นได้อย่างชัดเจน สภาพจิตถอนจากการยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ไม่ใช่ว่าต้องป้อนไปจนกระทั่งถึงปาก ต่อให้ป้อนถึงปาก ถ้าเราไม่อ้าปาก ก็ไม่สามารถที่จะกินข้าวนั้นได้อยู่ดี

เถรี 05-07-2017 17:42

ถาม : เวลาหนูจับภาพพระแล้วยกจิตขึ้นพระนิพพาน หนูเห็นรูปพระพุทธเจ้า แต่มีคนบอกว่าหนูยังไปไม่ถึงพระนิพพาน กราบเรียนว่าหนูจะมั่นใจได้อย่างไรคะว่าหนูยกจิตขึ้นถึงพระนิพพานแล้ว ?
ตอบ : ถ้าเราเห็นแปลว่าเรายังอยู่ที่เดิม ถ้ารู้สึกว่าอยู่ในสถานที่นั้นแปลว่าเราไปถึงแล้ว

เถรี 05-07-2017 17:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรม สิ่งที่เพิ่งเข้าถึงใหม่ ๆ จะเหมือนกับได้อะไรเยอะแยะมหาศาล เพราะเป็นอารมณ์ใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าถึง แต่พอซักซ้อมทบทวนไปสักระยะหนึ่ง มีความเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะเข้าใจว่าที่เราทำได้นั้นมีแค่นิดเดียวเอง

ในส่วนนี้ทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปใหญ่โตว่า ตนเองเข้าถึงมรรคผลแล้วอย่างนั้น เข้าถึงสมาบัติแล้วอย่างนี้ ความจริงได้แค่อุปจารสมาธิ ยังไม่ทันเข้าถึงปฐมฌานเลยก็มี"

เถรี 05-07-2017 18:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันงานผลไม้ของดีทองผาภูมิ ๒๒-๒๖ มิถุนายนที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้าไปออกร้านในงานได้ มีอยู่ร้านหนึ่งไปคั้นน้ำผึ้งสด ๆ ตรงนั้นเลย ก็ยังมีคนไม่ไว้ใจ บอกว่าขอซื้อที่เป็นรังเลยได้ไหม ? เจ้าของร้านบอกว่ายินดี แต่ขายอีกราคาหนึ่ง

อาตมาขอยืนยันว่า ต่อให้ซื้อรังผึ้งมาก็ไม่แน่ว่าจะได้น้ำผึ้งแท้ พวกเรารู้จักฝีมือคนน้อยเกินไป เขาใช้เข็มฉีดยาดูดเอาน้ำผึ้งแท้ไปใส่ขวดนานแล้ว ที่ฉีดเข้าไปนั่นเป็นแค่น้ำตาลเคี่ยวล้วน ๆ แถมยังมีรังและตัวอ่อนให้อีกด้วย

ถ้าญาติโยมอยากได้น้ำผึ้งแท้ ไม่ว่าจะเป็นผึ้งเลี้ยงหรือผึ้งจริง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำผึ้งเหมือน ๆ กัน ผึ้งเลี้ยงก็แค่เขายกกล่องไปให้หากินแค่นั้นเอง ไม่ใช่เขาเอาน้ำตาลไปเลี้ยงผึ้งเสียเมื่อไร แค่ยกหรือย้ายไปในสถานที่ซึ่งเหมาะสม อย่างเช่นตามสวนหรือไร่ อาตมาเห็นเขาเอาเข้าไปในสวนลิ้นจี่ สวนลำไย ไร่ที่ปลูกงา เวลางาออกดอกบานพร้อม ๆ กันทั้งไร่ เอารังผึ้งไปวางไว้ ผึ้งก็บินออกไปหากิน

เพราะฉะนั้น...จะผึ้งเลี้ยงหรือผึ้งธรรมชาติ น้ำผึ้งก็มีคุณภาพเหมือนกัน ไม่ต้องไปเลือกหรอก...เสียเวลา ไปซื้อของ....ก็ได้ ของ....ก็ได้ ไม่ปลอมด้วย"

เถรี 05-07-2017 19:25

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องหวย "การพนันจะเล่นชนะได้มา ส่วนใหญ่ต้องเคยทำบุญแบบไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน ไปเจอกองบุญการกุศลที่ไหนก็ควักเงินร่วมด้วยเลย ถ้าตั้งใจทำอย่างพวกสังฆทานซึ่งพวกเรามาทำที่นี่ เกิดใหม่ก็รวยไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเล่นหวย

ต้องถามอาจารย์ ดร.เอ เพราะว่ารายนั้นถูกหวยทุกงวด แต่โพยหวยยาวมาก ประเภทเก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย บุญเขาทำมาทางนี้"

เถรี 05-07-2017 19:32

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้านั่งใต้ต้นไม้บ้าง นั่งกลางแจ้งบ้าง ส่วนญาติโยมก็นั่งล้อมฟังธรรมกัน

อาตมาไปนึกถึงโยมคนหนึ่ง เจอหลวงพ่อวัดท่าซุงกำลังเดินข้ามถนน จากฝั่งวัดเก่าเพื่อไปฝั่งวัดใหม่ แกกราบกลางถนนนั่นแหละ หลวงพ่อบอกว่า "แดดกำลังร้อน พื้นถนนร้อน ๆ โยมลุกขึ้นก่อน" "ไม่ครับ นรกร้อนกว่านี้" แสดงว่าเขาไปจนชิน..!

ที่พูดถึงก็คือ สมัยพุทธกาลเขาลำบากกว่าเราเยอะ รุ่นของเราสบายแล้ว มีเครื่องปรับอากาศ ส่วนรุ่นนั้นไม่มีอะไรเลย มีเพียงแต่สภาพจิตที่จดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับหลักธรรม ทำให้ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพอากาศภายนอก"

เถรี 05-07-2017 20:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์ปั้น ออกสมัยที่ท่านยังอยู่วัดปากทะเล อาตมาเอาลงกระทู้คนมีเงินฯ ไปเล่น ๆ อย่างนั้นแหละ แต่ดันมีคนเอาจริง แสดงว่ามีคนรู้จักของ เพราะว่าของจริงแพงมาก ในสนามพระคนที่อยากได้เขาให้ถึงเลขแปดหลักเลย

ส่วนใหญ่พวกเราดูของกันไม่ค่อยเป็น พิมพ์ปั้นนี้จะดูจากฝีมือปั้น เนื้อหามวลสาร รัก ทองและความเก่า องค์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่อาตมาเคยมีมาอยู่ที่คุณศิวาภา ไปขอดูเอาเอง องค์นั้นคนปั้นไม่ยั้งมือ ถ้าเอาผงไปปั้นองค์อื่นจะได้สององค์เลย"

เถรี 05-07-2017 20:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวง "ท่านย่า" เตือนมาว่า พวกเราที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ควรที่จะสังวรณ์ไว้ด้วย การเข้าหาผู้ใหญ่ทั่ว ๆ ไป ก็ยังต้องมีการขออนุญาตพบก่อน พอท่านอนุญาต เมื่อมาถึงก็ต้องแจ้งขอพบ หลังจากนั้นท่านจึงจะพิจารณาให้เข้าพบได้หรือไม่ ? แต่พวกเราทำกับพระพุทธเจ้าเหมือนกับเป็นเพื่อนเล่นของเรา ถึงเวลาก็ตั้งเครื่องบวงสรวงเอาไว้ นึกจะพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเมื่อไรก็อาราธนาท่านเลย

ท่านบอกว่า "ใครจะมาทำให้แก ?" อาตมาก็เถียงว่า "ย่า...หลวงตาแก่แล้ว ให้คนอื่นทำงานแทน คนอื่นก็อาจจะมีการหลงลืมบ้าง" ท่านบอกว่า "ความแก่ไม่ใช่ข้ออ้าง สมัยพ่อแกอยู่ไม่ได้แก่กว่าหลวงตาหรือ ? ทำไมพ่อแกถึงไม่ลืม ถึงเวลาก็มีการขึ้นไปบอกกล่าวก่อน หลังจากนั้นก็ทำการบวงสรวงบอกกล่าวอย่างเป็นทางการ แล้วจึงอาราธนาทำพิธี เสียทีที่พ่อสอนมโนมยิทธิให้พวกแก แล้วใช้งานกันไม่เป็น ใช้งานกันไม่ถูกต้อง" ตกลงว่าแก้ตัวไม่ได้

ขนาดถามว่า "ย่าด่าผิดตัวหรือเปล่า ?" "ไม่ผิดหรอก...ถ้าไม่ด่าแกแล้วจะไปด่าใคร ไอ้พวกหูหนวกตาบอด ด่าไปไม่รู้เรื่องหรอก...!" สรุปอาตมาโดนเป็นชุดเลย"

เถรี 05-07-2017 20:26

"พอนั่งลงตั้งใจจะออกไปกราบพระ อ้าว...ใครมายืนชนหน้าอยู่เลย ? พอมองดี ๆ ใจหายแว้บ ย่าใส่ชุดแดงมา คว้าหูได้ก็หิ้วไปเลย ถ้าเป็นสมัยก่อนก็บิดหูลากไปเลย สรุปว่างานนี้ไม่มีข้อแก้ตัว รับไปเต็ม ๆ งานต่อไปไม่ต้องนิมนต์อาตมานะ กลัว..! ...(หัวเราะ)...."

เถรี 05-07-2017 20:34

"สรุปแล้วงานหลวงตา อาตมาได้อยู่อย่างเดียว คือ ได้หลวงพ่อเจ้าคุณดำ (พระราชสุวรรณเวที) ไปงานวันแม่ที่วัดท่าขนุน สอบถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า หลังจากสิ้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้ว งานในรั้วในวังก็รู้สึกว่าน้อยลง จะมีงานก็โน่น...ตอนเย็น อาตมาจึงสรุปว่า "ตอนเช้าไปวัดผมก่อนก็แล้วกัน" ไม่ใช่ว่าถึงเวลามีฎีกาด่วนขึ้นมาอีกนะ

ท่านถามว่าทำไมจึงต้องจัดงานวันที่ ๑๒ สิงหาคม ? กราบเรียนว่า "พ่อผมตาย ๑๒ สิงหาฯ จะให้ผมไปจัดวันไหน ?" โยมพ่อตาย ๑๒ สิงหาคม โยมแม่ตาย ๑๘ กันยายน อาตมาบอกกับญาติพี่น้องว่า จัดงานให้ครั้งเดียว จะเอาวันไหนก็เลือกเอา สรุปว่าเลือกเอา ๑๒ สิงหาคมกัน เพราะว่าเป็นวันหยุด"

เถรี 05-07-2017 20:38

"ให้คนอื่นจัดงานแทน ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับ "ท่านย่า" นะ เพราะว่าเราเป็นเจ้าของงาน ส่งลูกน้องไปทำงานผิดพลาด เจ้านายก็ต้องรับ ไม่ใช่ประหารชีวิตลูกน้องเซ่นความผิดพลาด..!"

เถรี 05-07-2017 20:50

"มโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาสอนมานั้น คุณค่าที่สำคัญที่สุด คือ รู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง ถ้าเราจดจำอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ได้ ตอนที่เรากลับลงมาแล้วประคับประคองรักษาเอาไว้ เท่ากับว่าเราเข้าถึงอารมณ์ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ถ้าสามารถทำได้บ่อย ๆ เข้า ระยะเวลาที่เราทรงอารมณ์แบบนั้นได้ก็จะนานขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะเข้าถึงความหมดกิเลสไปจริง ๆ นั่นคือเป้าหมายหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาสอนให้กับพวกเรา"

เถรี 05-07-2017 20:56

"ส่วนเป้าหมายรองลงไปก็คือ พิสูจน์ว่าบรรดาภพภูมิต่าง ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้นมีจริงหรือไม่ ? ดูว่าผลของกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาจะส่งผลอย่างไร ? ถ้าเห็นชัดเจนขนาดนั้นแล้วยังเลือกที่จะทำชั่ว ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรแล้ว

แต่พวกเรามักจะเอาไปใช้ผิด ก็คือไประลึกชาติว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็เกิดมาลำบากอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่เข็ด แถมไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีกต่างหาก ที่อาตมาเคยเปรียบว่า เราลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แทนที่จะรีบว่ายขึ้นฝั่ง กลับไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายกันทั้งหมดนั่นแหละ..!"

เถรี 06-07-2017 19:24

"สาเหตุที่อาตมาไม่สอนมโนยิทธิให้กับใคร ยกเว้นว่าติดขัดแล้วมาสอบถามได้ ก็เพราะกลัวว่าพวกเราจะเอาไปใช้ผิด ๆ ในปัจจุบันนี้เท่าที่เห็น ร้อยละ ๙๙ ใช้กันผิดหมด แม้กระทั่งอาตมาเอง ก็เกือบจะหลงทางไปเป็นหมอดูอยู่แล้ว

ถามว่าการเป็นหมอดูดีหรือไม่ ? ดี...แต่เป็นขี้ข้าชาวบ้าน ถ้าคิดจะซักซ้อมมโนมยิทธิให้ดี มีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะแยะ การเป็นหมอดูต้องไปยุ่งกับกรรมชาวบ้าน ถ้าเราไม่เข้าถึงยถากัมมุตาญาณจริง ๆ มีสิทธิ์ที่จะเดี้ยงได้ เพราะกรรมชาวบ้านบางคน ก็หนักเกินกว่าที่เราจะควรไปยุ่งด้วย


บุคคลที่ได้มโนมยิทธิแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องซักซ้อมให้ชัดเจนเหมือนกับตาเห็น และจะยุ่งเกี่ยวกับคนรอบข้างไม่ได้ เพราะไปยุ่งเกี่ยวเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น สภาพจิตก็จะเฝือ เพราะความผ่องใสหมดไป ความชัดเจนก็จะไม่มี แต่พวกเราก็ชอบกันจัง...ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน

บางคนก็เอาไปใช้ประโยชน์ในด้านผิดอีกต่างหาก เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่มีคนเอาถาดทองคำมีค่าแสนกหาปณะไปให้สุนัขจิ้งจอกเยี่ยวรด ก็คือเอาสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสสอนไปใช้ในทางที่ผิด ๆ"

เถรี 06-07-2017 19:39

"อาตมาเล็งดูแล้วว่า ขนาดตัวเราเองค่อนข้างจะรู้ตัวเร็ว ผิดพลาดอะไรก็แก้ไขได้เร็ว ก็ยังไปติดอยู่ตรงนี้ถึงสามปีเศษ ๆ เวลาไปดูอะไรให้ใครเขาชมแล้วก็ฟู อยากจะได้รับคำชมอีก ก็เที่ยวไปเป็นขี้ข้ารับใช้เขาอีก คำพูดประเภท "รู้ได้ชัดเจนเหลือเกิน" "เหมือนกับตาเห็นเลย" "ทำไมแจ่มใสอย่างนี้" ฟังแล้วฟูฟ่อง ตัวจะลอย หารู้ไม่ว่าตายตอนนั้นก็ไม่ได้ไปพระนิพพานอย่างที่ต้องการหรอก

พอได้สติขึ้นมาก็ทิ้งเรื่องหมอดูหมดเกลี้ยงเลย เลิกดูกันที แต่ถ้าไม่หลง ไม่พลาด ก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน บางทีเราบอกคนอื่นเขายังไม่รู้ตัว บอกไปก็เท่านั้น ฟังแล้วก็ผ่านหูไปเฉย ๆ จนกว่าจะเจ็บจนพอนั่นแหละ จึงจะรู้สึกตัว

อาจารย์เอเจอรุ่นหลัง ๆ แล้วรู้สึกเบื่อบ้างไหม ? แต่ละคนเก่งฉิ..หายเลย อาตมาขอยืนยันว่าใช้คำพูดถูกต้องนะ ...(หัวเราะ)... ไม่ได้เก่งแล้วดีหรอก"

เถรี 07-07-2017 08:47

ถาม : (ถามเรื่องลูกที่จะเกิด)
ตอบ : อันนี้คงต้องไปถามหมอดูจะได้เสียสตางค์ต่อไป เรื่องแบบนี้อาตมาไม่รับรู้หรอก

ถาม : (ลูกหลง)
ตอบ : ทำไมถึงเรียกว่าลูกหลง ? ลูกหลง หมายความว่า เคยมีลูกแล้ว เวลาผ่านไปนาน แล้วอยู่ ๆ ก็มีโผล่มาใหม่ นี่เขาเรียกว่าลูกหลง โยมใช้คำพูดผิดนะสิ ถึงได้ถามว่าทำไมเรียกว่าลูกหลง ?

ถาม : ทำไมเขาจึงมาเกิดกับเรา ?
ตอบ : ก็ถือว่าเป็นบุญของเขาและเราที่เคยหนุนเสริมกันมา มาแล้วจะทำให้เราเจริญรุ่งเรืองก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นดูแลให้ดี ๆ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไปตรวจให้ดี ๆ ก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ เครียดขึ้นมาประจำเดือนหาย ก็ไปตกใจว่ามีลูกเดี๋ยวก็ยุ่งอีก ไปตรวจซ้ำดีกว่า ตอนเช้า ๆ ตื่นมาก็ฉี่ใส่ขวดเตรียมไว้ให้หมอเลย

ทองผาภูมิมีอยู่ ๒ รายที่อาตมารู้จักสนิทมากเลย ทำอย่างไรเขาก็ไม่มีลูก เครียดเสียจนหายเครียดไปเอง ไม่ว่าจะวิธีหมอ วิธีพระ วิธีผีอะไร ก็ไม่มีลูกทั้งนั้น ก็คนจะไม่มี

ไปนึกถึงพระโพธิราชกุมาร...ใช่ไหม ? นั่นขนาดอาราธนาพระพุทธเจ้าไปเองเลยนะ ปูผ้าขาวอธิษฐานว่า ถ้าจะมีลูกขอให้พระพุทธเจ้าเดินบนผ้าขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อทิ้งหมดเลย แล้วบัญญัติศีล ๑ ข้อ ห้ามภิกษุเดินบนผ้าขาวอันชาวบ้านปูลาดไว้ให้ เพราะว่าถ้าไม่มีทิพจักขุญาณที่ใช้งานในด้านต่าง ๆ แล้ว เกิดไม่รู้เท่าทันไปเดินเข้า ก็ต้องหาลูกให้เขาให้ได้ ตัวเองไม่รู้ว่าจะโดนตัดอะไรไปบ้าง

อย่าลืมว่าแรงอธิษฐานคนหนักมากนะ อาตมาเดินเลี่ยงมาหลายทีแล้ว มีคนเอาผ้าขาวปูผืนเล็ก ๆ อาตมา ก็เดินหลบซ้ายเลี่ยงขวาไปเรื่อย เขาบอกว่าอยากได้รอยเท้าไปบูชา อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องเลย...พระพุทธเจ้าห้าม" ถ้าปูไว้ตรงทางเดินก็จบเลย แต่ถ้าหากว่าตั้งใจทำให้ก็คนละเรื่องกัน เพราะว่าไม่ได้ปูให้เดิน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:41


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว