กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   คติธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1339)

คิมหันต์ 23-11-2009 16:25

คติธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
 
1 Attachment(s)

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1258975535

คัดลอกมาจากบางส่วนของหนังสือ ๑๐๑ ปี หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
แต่ถ้าเมื่อใดแกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
เมื่อนั้น...ข้าจึงว่าแกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว"

คิมหันต์ 23-11-2009 16:26

...บ่อยครั้งที่ท่านต้องเอาผ้ามาคาดที่หน้าผากเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ อีกทั้งก็มีอาการเท้าชารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่ละความเพียร สมดังที่ท่านเคยสอนลูกศิษย์ว่า “นิพพานอยู่ฟากตาย” ในการประพฤติปฏิบัตินั้น จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไป ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง"

คิมหันต์ 23-11-2009 16:33

...เพราะบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ท่านมิได้จำกัดศิษย์อยู่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นคณะศิษย์ของท่านจึงมีกว้างขวางออกไป ทั้งที่ใฝ่ใจธรรมล้วน ๆ หรือที่ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล"

...แม้ว่าหลวงพ่อดู่จะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือการปฏิบัติ ดังจะเห็นได้จากคำพูดของท่านว่า "เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้"

คิมหันต์ 24-11-2009 09:52

...อีกครั้งหนึ่งมีชาวบ้านหาปลามานมัสการท่าน และก่อนกลับท่านก็ให้เขาสมาทานศีล ๕ เขาเกิดตะขิดตะขวงใจกราบเรียนท่านว่า “ผมไม่กล้าสมาทานศีล ๕ เพราะรู้ว่าประเดี๋ยวก็ต้องไปจับปลาจับกุ้ง มันเป็นอาชีพของผมครับ” หลวงพ่อตอบเขาด้วยความเมตตาว่า "แกจะรู้หรือว่าแกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลาจับกุ้งก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร อย่างไรก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มีศีล"

คิมหันต์ 24-11-2009 10:00

...หลวงพ่อดู่ท่านพูดถึงการประพฤติปฏิบัติของคนสมัยนี้ว่า "คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก เรื่องเละ ๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง"

...หลวงพ่อดู่ท่านสอนให้มีปฏิปทาสม่ำเสมอ ท่านว่า "ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าวแล้ว นั่นแหละ จึงค่อยเลิกทำ"

คิมหันต์ 25-11-2009 10:27

...หลวงพ่อดู่ท่านให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา ท่านว่า "ถ้าไม่เอา (ปฏิบัติ) เป็นเถ้าเสียดีกว่า"

...มีลูกศิษย์วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้ให้ท่านฟัง ในเชิงว่ากล่าวว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาและความยุ่งยาก แทนที่ท่านจะเออออไปตามอันจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลายออกไป ท่านกลับปรามว่า "เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม"

คิมหันต์ 25-11-2009 10:37

...หลวงพ่อดู่ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักไหน ๆ ในเชิงลบหลู่หรือเปรียบเทียบดูถูกดูหมิ่น ท่านว่า "คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร" ซึ่งลูกศิษย์ทั้งหลายได้ถือเป็นแบบอย่าง

...หลวงพ่อดู่เป็นพระพูดน้อย ไม่มากโวหาร ท่านจะพูดย้ำอยู่แต่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมและความไม่ประมาท เช่น "ของดีอยู่ที่ตัวเรา หมั่นทำ (ปฏิบัติ) เข้าไว้" "ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต" "อย่าลืมตัวตาย" และ "ให้หมั่นพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เป็นต้น

คิมหันต์ 25-11-2009 22:24

หลวงพ่อเคยเปรียบธรรมะของพระพุทธเจ้าเหมือนแกงส้ม แกงส้มนั้นมี ๓ รส คือ เปรี้ยว เค็ม และเผ็ด ซึ่งมีความหมายดังนี้

รสเปรี้ยว หมายถึง ศีล ความเปรี้ยวจะกัดกร่อนความสกปรกออกได้ฉันใด ศีลก็จะขัดเกลาความหยาบออกจากกาย วาจา ใจ ได้ฉันนั้น

รสเค็ม หมายถึง สมาธิ ความเค็มสามารถรักษาอาหารต่าง ๆ ไม่ให้เน่าเสียได้ฉันใด สมาธิก็สามารถรักษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณความดี ได้ฉันนั้น

รสเผ็ด หมายถึง ปัญญา ความเผ็ดร้อนโลดแล่นไป เปรียบได้ดั่งปัญญาที่สามารถก่อให้เกิดความแจ้งชัด ขจัดความไม่รู้ เปลี่ยนจากของคว่ำเป็นของหงาย จากมืดเป็นสว่าง ได้ฉันนั้น

คิมหันต์ 26-11-2009 12:17

...หลวงพ่อท่านเคยพูดเสมอว่า "อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีดชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ"

...เคยมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งมีปัญหาถามว่า นั่งปฏิบัติภาวนาแล้วจิตไม่รวม ไม่สงบ ควรจะทำอย่างไร ท่านแก้ให้ว่า

"การปฏิบัติ ถ้าอยากให้เป็นเร็ว ๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็นมันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลาง ๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกัมมัฏฐานที่เรายึดมั่นอยู่นั้น แล้วภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าวไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อย ๆ กินไปมันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัวเรา แล้วจะรู้ชัดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป"

คิมหันต์ 26-11-2009 12:34

...มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ด้วยเสียงอันดัง และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ ก็จับแขนดึงขึ้นมาทั้งที่กำลังนั่งภาวนา เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า

"ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง “แซก” ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว นกแสกตัวนั้นยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย"

คิมหันต์ 27-11-2009 10:54

...มีผู้กล่าวว่าการทำสมาธิแล้วบังเกิดความสว่าง หรือเห็นแสงสว่างนั้นไม่ดีเพราะเป็นกิเลส มืด ๆ จึงจะดี หลวงพ่อท่านกล่าวว่า

"ที่ว่าเป็นกิเลสก็ถูก แต่เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส (อาศัยกิเลสส่วนละเอียดไปละกิเลสส่วนหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดในแสงสว่างหรือหลงแสงสว่าง แต่ให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างกับเราเดินผ่านไปในที่มืดต้องใช้แสงไฟ หรือจะข้ามแม่น้ำมหาสมุทรก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ แต่เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่ได้แบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไป"

คิมหันต์ 27-11-2009 10:56

...เคยมีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า "ภาวนามาก็นานพอสมควรแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มีนิมิตภายนอก แสดงสีต่าง ๆ เป็นต้น ดังที่ผู้อื่นเขารู้เห็นกันเลย"

หลวงพ่อท่านย้อนถามสั้น ๆ ว่า "ปฏิบัติแล้ว โกรธ โลภ หลง ของแกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลง ข้าว่าแกใช้ได้"

คิมหันต์ 27-11-2009 23:12

...ท่านว่าปฏิบัตินี้มันยาก ต้องคอยบำรุงดูแลรักษาเหมือนกับเราปลูกต้นไม้

ศีล................คือ ดิน
สมาธิ..............คือ ลำต้น
ปัญญา.............คือ ดอก ผล

ออกดอกเมื่อใดก็มีกลิ่นหอมไปทั่ว การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ผู้รักการปฏิบัติต้องคอยหมั่นรดน้ำพรวนดิน ระวังรักษาต้นธรรมให้ผลิดอกออกใบ มีผลน่ารับประทาน ต้องคอยระวังตัวหนอน คือ โลภ โกรธ หลง มิให้มากัดกินต้นธรรมได้

อย่างนี้....จึงจะได้ชื่อว่าผู้รักธรรม รักการปฏิบัติจริง

คิมหันต์ 28-11-2009 16:17

...ท่านได้อบรมศิษย์ผู้หนึ่งเกี่ยวกับการรู้เห็นและได้ธรรมว่ามีทั้งชั้นหยาบ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด อุปมาเหมือนอย่างซองยานี่ (หลวงพ่อท่านชี้ไปที่ซองบุหรี่)

"แรกเริ่มเราเห็นแค่ซองของมัน ต่อมาเราจะไปเห็นมวนบุหรี่อยู่ในซองนั่น ในมวนบุหรี่แต่ละมวนก็ยังมียาเส้นอยู่ภายในอีก แล้วที่สุดจะเกิดตัวปัญญาขึ้น รู้ด้วยว่ายาเส้นนี้ทำมาจากอะไร จะเรียกว่าเห็นในเห็นก็ได้ ลองไปตรองดูแล้วเทียบกับตัวเราให้ดีเถอะ"

คิมหันต์ 30-11-2009 12:47

...หลวงพ่อเคยเตือนพวกเราไว้ว่า "การไปอยู่กับพระอรหันต์ อย่าอยู่กับท่านนาน เพราะเมื่อเกิดความมักคุ้นแล้ว มักทำให้ลืมตัวเห็นท่านเป็นเพื่อนเล่น คุยเล่นหัวท่านบ้าง ให้ท่านเหาะให้ดูบ้าง ถึงกับออกปากใช้ท่านเลยก็มี การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการปรามาสพระ ลบหลู่ครูอาจารย์และเป็นบาปมาก ปิดกั้นทางมรรคผลนิพพานได้ จึงขอให้พวกเราสำรวมระวังให้ดี"

คิมหันต์ 30-11-2009 12:50

...ในเรื่องการสร้างอุเบกขาธรรมขึ้นในใจนั้น ผู้ปฏิบัติใหม่เมื่อได้เข้ามารู้ธรรม เห็นธรรม ได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ และคุณค่าของพุทธศาสนา มักเกิดอารมณ์ความรู้สึกว่าอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆ โดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงพ่อท่านบอกว่า

"ให้ระวังให้ดี จะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคนสองคน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อ แล้วเขาเป็นคนจุดไฟ... บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาจะพาตกเหว"


แล้วท่านยกอุทาหรณ์สอนต่อว่า

"เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่ ๑ มีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่ ๒ มีกรุณามาช่วยดึงอีกก็ตกลงเหวอีก คนที่ ๓ มีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่ ๔ สุดท้าย เป็นผู้มีอุเบกขาธรรม เห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่จะช่วย ก็มิได้ทำประการใด ทั้ง ๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตาม เพราะอุเบกขาธรรมนี้แล"

คิมหันต์ 01-12-2009 16:36

"หลวงพ่อครับ กระผมจะได้สำเร็จหรือไม่ หลวงพ่อช่วยพยากรณ์ทีครับ"

หลวงพ่อนิ่งสักครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "พยากรณ์ไม่ได้"

พระภิกษุรูปนั้นได้เรียนถามต่อว่า "เพราะเหตุไรหรือครับ"

หลวงพ่อจึงตอบว่า "ถ้าผมบอกว่าท่านจะได้สำเร็จ แล้วท่านเกิดประมาทไม่ปฏิบัติต่อ มันจะสำเร็จได้อย่างไร และถ้าผมบอกว่าท่านจะไม่สำเร็จ ท่านก็คงจะขี้เกียจและละทิ้งการปฏิบัติไป นิมนต์ท่านทำต่อเถอะครับ"

คิมหันต์ 02-12-2009 22:44

...หลวงพ่อเคยบอกว่า "การปฏิบัติ ถ้าหยิบจากตำราโน้นนี้หรือแบบแผนมาสงสัยถาม มักจะโต้เถียงกันเปล่า โดยมากชอบเอาอาจารย์โน่นนี่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา การจะปฏิบัติให้รู้ธรรม เห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง ข้าเป็นคนมีทิฐิแรง เรียนจากครูบาอาจารย์นี้ยังไม่ได้ผลก็จะต้องเอาให้จริงให้รู้ ยังไม่ไปเรียนกับอาจารย์อื่น ถ้าเกิดไปเรียนกับอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูอาจารย์"

...หลวงพ่อเมตตากล่าวเสริมอีกว่า "คนที่กล้าจริง ทำจริง เพียรปฏิบัติอยู่เสมอ จะพบความสำเร็จในที่สุด ถ้าทำจริงแล้วต้องได้แน่ ๆ"

คิมหันต์ 03-12-2009 11:27

...หลวงพ่อเคยบอกข้าพเจ้าว่า "คนทำ (ภาวนา) เป็นนี่ ใคร ๆ ก็รัก ไม่เฉพาะคนหรือสัตว์ที่รัก แม้แต่เทวดาเขาก็อนุโมทนาด้วย"

...ท่านว่า "ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนเป็นหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น"

คิมหันต์ 04-12-2009 15:14

...หลวงพ่อเคยเล่าเรื่องการปลุกเสกพระให้ฟังว่า "เรื่องคงกระพันชาตรีนั้นทำง่าย แค่ขนลุกก็เหนียวแล้ว แคล้วคลาดยังดีกว่าเพราะไม่เจ็บตัว แต่ที่ดีที่สุดคือเมตตา เพราะแคล้วคลาดยังมีศัตรูแต่รอดพ้นได้ ส่วนเมตตานั้นมีแต่คนรักไม่มีศัตรู การเสกพระให้มีพุทธคุณทางเมตตาจึงทำได้ยากที่สุด"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:15


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว