กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   หลวงตาเล่าเรื่องในบ้านใหญ่(ตอนที่ ๔) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=745)

ทาริกา 24-07-2009 17:02

หลวงตาเล่าเรื่องในบ้านใหญ่(ตอนที่ ๔)
 
ลูกหลานเอย...เมื่อฉบับที่แล้ว 'เสียงจากถ้ำ' ได้เล่า 'เรื่องในบ้านใหญ่' มาถึงไหนแล้วหนอ ถึงไหนก็ถึงตามนั้น... แต่ว่าที่กำลังจะมาถึงก็คือต้องส่งต้นฉบับนี้ให้โรงพิมพ์ทันต้นเดือนเมษายน เขาจะได้พิมพ์ถวายทันงานมุทิตาจิต ๑ พฤษภาคม แบบสบาย ๆ ไม่ต้องลุ้นเร่งกันหายใจไม่ออกบอกไม่ถูกไม่ถ้วนเรื่องที่ควรจะได้

ก่อนจะเล่าเรื่องใหญ่ต่อไป ก็พอเหมาะที่วันมะรืนนี้ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑...เป็นวันงานประจำปีของวัดท่าซุง 'บ้านใหญ่' พอดี เลยมีแรงส่งให้เขียนเล่าถึงความหลังเมื่อยังอยู่ในบ้านของหลวงตาหลังนี้ ย้อนหลังไป ๒ ปี.. งานนี้หลวงพี่นันต์ยังนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระผู้ใหญ่มาในงานตามที่พ่อเคยทำตลอดมา แต่เมื่อ ๒ ปีที่แล้วมา หลวงพี่นันต์งดนิมนต์พระมหาเถระดังกล่าวแล้ว คงนิมนต์แต่พระอาจารย์ เจ้าคณะที่เป็นศิษยานุศิษย์ที่เคารพรักหลวงพ่อฤๅษีโดยเฉพาะ...จากทั่วประเทศ... มาร่วมงานเดือนมีนาคม ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเจตนาพี่นันต์หรือไม่ก็ตามใจใครเถิด แต่หลวงตาคิดว่าหลวงตาเข้าใจดี...เพราะมีภาพชัดเจนติดใจหลวงตาอยู่ ๒ เรื่อง ๒ วาระ

ทาริกา 24-07-2009 20:55

เรื่องแรก...ก่อนหลวงตาจะได้บวช เป็นฆราวาสผู้ปรารถนาจะบวชทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าธรรมชาติชีวิตจิตใจของนักบวชเป็นอย่างไร...ตอนนั้นนะลูก...ก็ห่ามเห่อไปตามเรื่องหมาน้อยที่ยังไม่รู้จักกลิ่นเสือ ถวายชีวิตรับใช้พ่อรับใช้คณะสงฆ์วัดท่าซุง ซึ่งมีพระคุณหลวงพี่นันต์ พระคุณหลวงพี่โอ เจิดจ้าอร่ามเหลืองในหมู่สงฆ์อยู่ก่อนแล้ว (นี่หลวงตา...นี่น่าจะเรียกทั้งสองท่านว่า 'พระอาจารย์' ได้แล้ว ทำไมยังไม่เรียกเสีย...) ตอนนั้นหลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงพี่สุรจิตยังไม่ได้บวช ยังร่วมวงธรรมสนทนา..ก็กลุ่มใหญ่เชียวล่ะ.. หลวงตาน่ะ...ความดีน้อยแต่เสียงดังกว่าเพื่อน ก็เลยหลุดพูดออกมาตามภาพในใจ

"อีกไม่นานนะ... พอพวกเราบวชแล้ว แยกย้ายกันไปทำความเพียร ตั้งตัวเป็นหัวหน้าเป็นอาจารย์เขาแล้ว (ก็ยังอายอยู่นะลูกที่เล่าออกมานี่น่ะ...) พวกที่อยู่กับพ่อก็อยู่ไป พวกที่ไปประกาศพระศาสนาก็ประกาศไป พอถึงวันงานประจำปีนะ...พวกเรา...ก็จะมารวมกันที่บ้านใหญ่ กลับมาหาพ่อ มาหาพี่น้องกัน นัดหมายกันมา (ก็ยังพอฟังได้ไม่ขัดหู...นะ ตอนนี้)...เอาเลย! อย่างเรานี่ นั่งขัดสมาธิ มาเลย.. เอาประคำแกว่งเหนือหัว...เฮลิคอปเตอร์มาเลย..(...ฟังได้ไหมลูก? มันคอยจะล้นขอบเกินเขตไปเสียอย่างนี้แหละ..แต่พ่อฟังไม่ค่อยได้...เสียงดังมาก...ดังว่า เฮ้ย...เฮ้ย... มาจากทางหน้าต่างศาลานวราช ไม่รู้ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร มันดึกแล้วนาลูกตอนนั้น...ก็ร่วงลงกับพื้นพับเพียบกราบ กราบ กราบ... แล้วก็วงแตกสลายตัวในทันทีทันใด) ...จะบอกลูกหลานว่าหลวงตามั่นใจว่าต้องมีวันที่พี่น้องนักบวชที่ไกลบ้านจะกลับมารวมกันเป็นประเพณี

เรื่องที่สอง...เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนหลวงตาบวชแล้ว เป็นเฮลิคอปเตอร์ออกจากบ้านใหญ่... มาประจำอยู่ที่วัดเขาวงนี้แล้ว วันนั้นเป็นวันงานทำบุญบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่สำนักแม่ชีประทุมที่ปากช่อง...เจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศฯ เป็นประธาน หลวงพี่...(เอาเลย! เริ่มเรียกว่า)...พระอาจารย์อนันต์และคณะสงฆ์วัดท่าซุงเมตตาไปกัน พร้อมพรั่งด้วยศิษยานุศิษย์พระคุณหลวงพ่อฤๅษีมากมาย หลวงตาก็ไปด้วย จึงได้เห็นภาพนั้น... เห็นหลวงพ่อสมเด็จเรียกพระอาจารย์อนันต์เข้าไปพูดคล้ายสั่งความสำคัญอยู่นานเกือบ ๑๕ นาที พอเสร็จความพระอาจารย์อนันต์ก็ถอยมานั่งติดกับหลวงตา ท่านบอกว่าหลวงพ่อสมเด็จฯสั่งให้ท่านเป็นหัวหน้ารวบรวมศิษย์หลวงพ่อฤๅษีไว้ให้เป็นปึกแผ่น ทั้งที่เป็นพระสงฆ์และที่เป็นฆราวาส ให้คอยกำชับกำชาให้ประพฤติปฏิบัติตามที่หลวงพ่อฤๅษีสั่งสอนให้อยู่ในร่องรอยเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้ก็ให้หาทางมอบนโยบายการปฏิบัติกรรมฐานและการสั่งสอนเผยแผ่...เป็นแบบอย่างเดียวกัน ใครจะทำอะไรที่เป็น..จำเป็นต้องผิดแผกเพิ่มเติมออกไปบ้างก็ให้ปรึกษาพระอาจารย์ พระครูปลัดอนันต์ก่อนทุกครั้งไป

ทาริกา 24-07-2009 21:00

ลูกหลานเอย... หลวงตายอมรับว่าหลวงตาหนักใจแทนพระอาจารย์อนันต์ แต่ก็มั่นใจว่าพระอาจารย์ต้องหาทางทำได้ มาบัดนี้ วันมะรืนนี้...วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และอีก ๒ ครั้งย้อนหลังไป ...หลวงตาก็เริ่มเห็นชัดว่าท่านทำได้...ท่านทำให้พระอาจารย์เจ้าสำนักและพระภิกษุที่เคารพรักหลวงพ่อฤๅษีมารวมกันได้ในงานประจำปี และท่านก็กล้าที่จะยกวันนี้ให้เป็นวันรวมพี่น้องร่วมพ่อครูอาจารย์ ไปดูกันเอาเองเถิดลูกหลาน พี่น้องร่วมสำนักทั้งหลาย ว่ามีมามากมายเพิ่มขึ้นทุกปีเพียงไร ท่านที่ยังไม่กล้าตัดสินใจ.. ยังลังเลอยู่..ก็รีบไปกันเสีย! แต่ไม่ต้องถึงกับควงประคำเหาะไปหรอกหนา

พ่อคุณเอ๋ย... ไปรวมกันที่บ้านใหญ่ของเรา..

ทาริกา 24-07-2009 21:10

วันนี้ ๑๕ มีนาคม...เล่าเรื่องต่อไปเกี่ยวกับบ้านใหญ่ที่วัดท่าซุง นี่หลวงตาเพิ่งรับสังฆทานญาติโยมเสร็จ เขามากันจากกรุงเทพฯบ้าง.. เขื่อนป่าสักบ้าง.. มีเวลาก็จะพิมพ์บันทึกเล่าไปเรื่อย ๆ ละทีนี้ จะรอให้ว่างแล้วเขียนแบบนักเขียนอาชีพไม่ได้แล้ว ลูกหลานเอย...พรุ่งนี้หลวงตาก็จะได้เห็นพระสงฆ์พี่น้องมากหน้าหลายตา... พบผู้หญิงผู้ชายหลายหลากมากใจหลายกระแสบุญ กะจะออกจากวัดเขาวงสัก ๖ โมงเช้า ทันงานสบาย ๆ จะได้พบคนอ่าน 'เสียงจากถ้ำนารายณ์' บ้างไหมหนอ

นึกย้อนไป...นึกได้แล้วก็อาย เฮ้อ...เอาละ!...เล่าก็เล่ากัน คือในเวลาที่พ่อยังมีชีวิตอยู่นั้น หรือแม้แต่สมัยที่สมเด็จพระบรมศาสดายังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น โลกธรรมและกามคุณทั้งหลาย ก็ยังคงแสดงกำลังอำนาจควบคุมใจของสรรพสัตว์ที่ยังติดยึดขันธ์ห้าว่าเป็นของตนอยู่เป็นปรกติ แต่ว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่สนใจร่างกายขันธ์ห้า ท่านไม่ยอมรับว่ามันเป็นท่าน และท่านจะเป็นมัน.. ท่านพ้นเด็ดขาดแล้ว... โลกธรรมกามคุณที่มีอยู่ประจำโลก จึงทำร้ายใจท่านไม่ได้ แต่ว่าหลวงตาไม่เด็ดขาดเหมือนอย่างท่าน จึงถูกกระแสกิเลสเหล่านั้น ควบคุมให้อยู่ในอำนาจของมัน... ที่จริงคงจะพอใจเป็นทาสความเลวนั้นด้วย จะเล่าให้ฟัง...

ทาริกา 25-07-2009 08:41

สมัยโน้น...พระและญาติโยมทั้งหลายที่เคารพนับถือพ่อมีมากมายนัก มีอยู่คณะหนึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อและถิ่นที่อยู่ แต่ฟังเรื่องแล้วใครนึกออก ก็ขอได้โปรดทราบว่าหลวงตากำลังเล่าถึงวิบากกรรมความเลวของหลวงตาในเหตุการณ์ขณะนั้น หลวงพี่ท่านก็มุ่งดี ทำดี มีคนเคารพนับถือติดตามเป็นกลุ่มใหญ่มาก ดีทุกอย่าง...แต่มันเกิดเรื่องตรงที่ท่านมาคิดว่าหลวงตาเป็นพระดี ดีถึงที่สุดเสียด้วย ...กรรมดีของท่าน แต่เวรภัยร้าย..เป็นของหลวงตา

เวลาที่ท่านมากราบพระคุณพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีฯ พระราชพรหมยาน พระอาจารย์พ่อของหลวงตาและของพวกเราทุกคน) ท่านก็มากราบหลวงตาด้วยทุกครั้ง...ท่านมีพรรษาพระมากกว่าอายุขันธ์ห้าน้อยกว่า หลวงตายังนึกไม่ออกว่าเราเองยอมให้ท่านกราบได้อย่างไร น่าจะพอใจด้วยละหนา ลูกเอ๋ย...โธ่ก็ท่านกราบจริง ๆ กราบทันทีที่พบหน้า ที่พื้นวัดหน้าโบสถ์ ท่านก็ทรุดตัวลงกราบกับพื้น มานึกดูตอนนี้นี่ ถ้าท่านไม่เคารพจริง ๆ ก็ต้องเป็นจงใจทำร้ายกันจริง ๆ กราบนี่ กราบกอบใส่หัวด้วยนะ พูดออกปากด้วยนะว่า

“ขอพระคุณปกเกล้า เป็นที่พึ่งได้กระผมได้บรรลุตามด้วยเถิด”

หลวงตาพยายามนึก แต่นึกไม่ออกว่า ตัวเองรับได้อย่างไรและวางใจอย่างไร แต่ก็ปล่อยให้เหตุการณ์อย่างนั้นเกิดต่อเนื่องได้ตลอดมา... เคยบอกท่านเหมือนกันว่า หลวงตายังไม่ดีตามที่ท่านพูดหรือคาดหวัง แต่ท่านบอกว่า

“พระบอก ไม่ผิดหรอก”

พระหนอพระ (ของท่าน) ...หลวงตาก็อยากจะเชื่อเสียด้วย แต่ไม่ยอมเชื่อตามนั้น! แล้วเหตุการณ์ใหญ่ก็เกิดขึ้นจนได้ เกิดประจักษ์ชัด ๆ ...จนหลวงตาจะเชื่อเสียดีกระมัง... คือมันอย่างนี้ลูก

ทาริกา 25-07-2009 08:56

ท่านและคณะก็มาที่กุฏิหลวงตาบ่อยขึ้น (กุฏิมันอยู่ติดกับเมรุเผาศพ ดูขลังอยู่ละ) ครั้งสำคัญนั้นก็คือมาบอกว่าพระในอารมณ์กรรมฐานมาบอกให้ท่านและลูกหลานคอยโมทนาธุการเหตุการณ์สำคัญ ...หลวงตาของพวกเราทั้งหลายจะจบกิจ บรรลุอรหัตผล ในเวลา ๐๔.๐๐ น. ...ของคืนสำคัญนั้น ท่านก็เลยจัดงานสำคัญล่วงหน้า คือนิมนต์พระสงฆ์วัดท่าซุง ๕ องค์ มีหลวงตาเป็นประธานไปโปรดลูกหลานถึงถิ่นที่อยู่ทางไกลโน้น... ในวันที่หลวงตาจะได้บรรลุ...เออหนอ...เป็นพระขีณาสพเจ้า ไปฉลองเป็นมงคลแก่ท้องถิ่นนั้น ฝนฟ้าจะได้ตกต้องแผ่นดินเสียที แห้งแล้งกันมานานแล้ว...

ก็เครียดสิหลวงตา !

ก็ชักจะได้กลิ่นฝนตามเขาไปสิหนา ... จะคิดอย่างไรดีหนอ

ไอ้เราก็รู้ว่าเรายังติด ยังขัด ยังขาดอะไรเพียงไหน... มันจะได้เชียวหรือในคืนเดียวนี้

เอ...ถ้ามันไม่มีเค้า เขาก็คงไม่จริงจังกันขนาดนั้น หรือจะจริงตามเขาว่า
เอาละ ! เราก็ทำความเพียรปรกติอยู่บ้างแล้ว จะเพิ่มอธิษฐานทับให้ได้ทันตามเขาว่าเสียดีไหม ถึงอย่างไรก็ไม่ขาดทุนเสียหายอะไรนี่นา

ลูกหลานเอย...ความเพียรที่ผิดปรกติ..ความเพียรที่มีความหวังตามเขาว่า อยากให้เขาได้โมทนาคุ้มค่าน้ำใจเขา เป็นความเพียรที่สร้างความเครียดให้หลวงตามาก..มาก เอ.. พรุ่งนี้เขามารับจะนั่งตรงไหน นั่งท่าไหน จึงจะสมภูมิ ..เอ้อ ..พระ.. อรหันต์ (โอย ..พุทโธ ธัมโม สังโฆ) แล้วหลวงพ่อ.. หลวงพี่นันต์.. หลวงพี่โอ.. หลวงพี่อาจินต์ ท่านจะ..จะ..ว่า จะโมทนาตอนไหน ลูกเอย...คืนนั้นหลวงตาไม่ได้นอน...ผุดลุกผุดนั่ง เดินจงกรมบ้าง ยืนบ้าง จนตี ๔...

ทาริกา 25-07-2009 10:17

เอ...ฟ้าก็ยังไม่แลบ ไม่คำรณคำรามรับรองกันบ้างเลยหรือ...ฟ้าสางแล้ว พวกเขามากันแล้ว มากันเต็มหน้ากุฏิ เรานี่นะ ก็นั่งตัวตรงงงงุนอยู่

"โถ...เจ้าประคุณ พวกเรามาดูกัน ท่านไม่เหมือนเดิมจริง ๆ นั่งนิ่งทรงอุเบกขางามตามตำราเสียจริงหนอ..."

ลูกหลานของหลวงตาเอย หลังจากอ่านคราวนี้แล้ว ห้ามมาถามซ้ำเหตุการณ์ตอนนี้ นึกถึงแล้ว...ขนหัวมันลุก...ลูกหลานเอ๋ยอุตส่าห์มีชีวิตรอดนรกมาได้ อย่าถามให้หลวงตาเสียใจเลยหนา

เอาละ ก็เล่ากันต่อไป ก็ขึ้นรถตู้กันไปเต็มคัน ทั้งพระและฆราวาส มีติดตามกันอีกหลายคัน ไอ้หนูอีหนูเอ๋ย ... พอเข้าเขตลพบุรีต่อโคราช อ้าว...ว่าจะไม่ออกชื่อสถานที่... พอรถวิ่งเข้าเขตทิวเขา เรื่องที่ชวนให้เชื่อก็เกิดขึ้น

อยู่ดี ๆ ฝนก็ปรอยพรำลงมา อนิจจา ! มันตกลงมาแกล้งใครบ้างก็ไม่รู้ คือมันตกถูกหลังคารถเพียงครึ่งคัน ...อีกซีกครึ่งคันแดดออก เห็นเป็น ๒ ซีก ๒ ฝั่งไปตลอดทางข้างหน้าโน้น...ผู้คนในรถก็ฮือฮาปลื้มปีติกันสิหนอ หันมายกมือไหว้หลวงตา (พระองค์สำคัญของเขา) ลูกตาเชื่อมไปด้วยน้ำตาแห่งความปีติสุข หน้าตาของเขาผ่องใสยองใยกันเชียวละ (ลืมบอกไปว่า พอออกจากวัดท่าซุงฟ้าก็ครึ้มแล้วละ ...ดูท่านทำเถิดลูก)

หลวงตาทำอย่างไรล่ะทีนี้ ใจเรานะ.. ที่จริงก็อยากเป็นพระอรหันต์ ไม่อย่างนั้นจะบวชเข้ามาทำอะไร? แต่ใครล่ะจะรู้จักอารมณ์ใจเราเท่าตัวเราเอง มันไม่ใช่ ! ก็เลยแกล้งอธิษฐานจ้องตาไปที่ยอดเขาทางขวามือ

"...ถ้าที่เห็นอยู่ ที่เขาเชื่อกันอยู่มันเป็นความจริง เอ้า ! ขอให้ฟ้าแลบหรือฟ้าผ่าเป็นสายฟ้าลงไปที่ยอดเขา แล้วแลบให้ยาวติดต่อกันไป...ตลอดทิวเขาทั้ง ๓ ยอดนั้นเดี๋ยวนี้เลย..."

ทาริกา 26-07-2009 12:40

ลูกเอ๋ย ดูท่านทำ นึกไม่ทันขาดคำความหมายที่อธิษฐาน ฟ้าก็พลันผ่า ...ย้ำว่าผ่า แล้วแลบยาวต่อกันเป็นสายฟ้าเขียวปั้ดไปตลอดทั้งสามยอดนั้น โอยเวรกรรม ผู้คนก็พลันยกมือไหว้เทิดศีรษะ ส่วนหลวงตา...ไม่กล้าคิดต่อ ไม่กล้าคิดเด็ดขาด เพราะฝนก็พลันตกหนัก ตกชนิดจะพาหลวงตาตกนรกได้ถ้าหลงตัวเองไปตามเขา คือฝนตกออกหน้า ตกนำหน้ารถที่หลวงตานั่งไปสักครึ่งกิโลเมตรข้างหน้าโน้น เห็นรถบรรทุกดินวิ่งขึ้นถนนจากซอยข้างทาง...ฝุ่นลูกรังคลุ้งแดงนำหน้าฝนไป...เออ นำไป...ภายในรถก็โมทนาสาธุการออกทางปากด้วยว่า

“..(ออกชื่อจังหวัด)..ฝนไม่ตกมาเดือนกว่าแล้ว แห้งแล้งหนักหนา พอเจ้าพระคุณหลวงตามาเหยียบแผ่นดิน(ออกชื่อจังหวัด).. ฝนก็ตกด้วยบุญพระอรหันต์ (ขอโทษที่ต้องเขียนคำนี้) เป็นวาสนาของพวกเราแท้หนอ...(หนอ...หนอ.. ๆ)

ลูกหลานเอย เสียงนั้นส่วนหนึ่งมันก้องกังวานเข้าไปหวานชื่นอยู่ในใจหลวงตา อีกส่วนหนึ่งของสติก็เตือนว่า ...เราย่อมรู้เรื่องนิมิตที่เห็นด้วยตา เรื่องคำของคนที่เขาชม เขาด่า มันเป็นของไม่จริงจังอะไรหรอกลูกเอ๋ย อย่าเอาตรงนี้มาเป็นแก่นสารของการปฏิบัติธรรม ไปถามหลวงพี่นันต์หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว ท่านก็ยิ้มแบบเข้าใจเรา

“เอ้อ...เอ้อ.. ระวัง ระวัง อย่าเชื่อใคร.. ให้เชื่อใจเราเองตอนมีสติปัญญา เอ้อ.. ดี ดี”

ไม่กล้าถามหลวงพ่อ
ไม่กล้าแม้แต่คิดจะถาม
เทวดามีจริง แล้วก็มีอานุภาพจริงนะลูก... แต่สิ่งที่ท่านทำได้จริงนั้นอาจจะไม่จริงก็ได้ ...แกล้งลองใจคนเสียก็ได้...

ทาริกา 26-07-2009 12:48

๑๖ เมษายนแล้ว... จบไปตอนหนึ่ง ! เรื่องของอะไรล่ะ ! เรื่องมันชวนให้เชื่อให้หลงตัวเองของนักปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าเราไม่พินิจพิจารณาที่สติ ที่อารมณ์ใจว่ามันยังมีความเศร้าหมองมีความสกปรกเหลือติดอยู่อีกมากน้อยเพียงไร ในขณะที่นิมิตที่เกิดขึ้นจริง ๆ มาถึง เราจะหลงไปตามเรื่องราวนั้น อิ่มใจมั่นใจไปตามนั้น แล้วในขณะนั้นเอง.. ที่ลืมสติ.. ละอารมณ์ปัญญาที่พิจารณาความเลวที่ยังค้างคาใจอยู่อีก..อีกมาก

ไหน ๆ ก็เล่ามาแล้ว ก็ต่ออีกเรื่องหนึ่งได้ไหมลูก รำคาญก็อย่าอ่าน ..แต่ว่ามันเป็นเรื่องในบ้านใหญ่นะลูก ! มันเกิดผลกระทบกระเทือนต่อส่วนรวมในทางที่ไม่น่าโมทนา อ่านเถิดลูก ! (สรุปว่าหลวงตาให้อ่านค่ะ)

คือมันเป็นเรื่องที่สองในร้อยแปดเรื่อง ที่เทวดายุให้หลวงตาเสียคน มีโยมผู้ชายหนุ่ม ๆ คนหนึ่งอยู่ที่สหรัฐอเมริกาโน่น กลับมาเมืองไทยก็รีบมาหาหลวงตาที่วัดท่าซุงทันที กราบงามเกินสามครั้งด้วยความปีติ แล้วก็จ้องหน้าเชื่อมสายตาศรัทธาล้นไหลเข้าตาหลวงตาพูดว่า

“…หลวงตาดีต่อลูกมาก ไม่ทราบจะขอบพระคุณอย่างไร...”

ก็งงสิหลวงตา เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก

“มีอะไรหรือ” ถามสาวหาเรื่องไป ก็ได้เรื่องว่า
“เมื่อเดือนก่อน..ผมยังอยู่ที่นิวยอร์กขณะนั่งกรรมฐานบนเตียงก่อนนอน หลวงตาไปสอนผมถึงหัวเตียง ขอบพระคุณหลวงตามาก”

“หือ..สอนอย่างไร ไปอย่างไร?”
ก็งงหนักเข้าไปอีก เราอยู่วัดท่าซุง ไม่เคยรู้จักหน้าตา แต่หนุ่มเมืองนอกไม่ยอมงงด้วย แกมองหน้า ทำตายิ้มแบบรู้ทันกัน อย่ามาทำแกล้งถามเลยหลวงตา.. อะไรทำนองนั้น

“หลวงตาเหาะลอยทะลุผนังอพาร์ตเมนท์ห้องนอน นั่งลอยอยู่เหนือหัวเตียง เห็นจะจะ..พูดสอนผมอยู่กว่าหนึ่งชั่วโมง”
พูดไปก็จ้องหน้าตาอิ่มบุญไป

“หลวงตาสอนผมถึง ๗ คืนติดต่อกันเวลาเดียวกันเป๊ะเลย คืนที่ ๘ ก็ไม่ไปสอนผมอีกจนถึงวันนี้ ..ทำไมหลวงตาไม่เมตตาลูกอีก?”

คิดหนักหน่วงอยู่ในใจ
หนักใจที่จะตอบเขายังไง...หน่วงใจคิดไม่ออกว่านี่มันอะไรกัน ! คราวนี้มาแปลกมาก ชวนให้ติดใจ ชวนให้คิดว่าหรือว่าไปจริง ๆ ตอนเข้าสมาธิทำกรรมฐาน? .. ทบทวนดูวันเวลา ถามเทียบเรียบเคียงแล้วพิจารณาอารมณ์ตอนช่วงนั้น ก็ได้เรื่องจริง !

คือช่วงนั้นกำลังเลวจัด ชัดเจน

ในเรื่องกามราคะ มันรบกวนหนัก หรือเราไปกวนมันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันมัวหมองมืดมัวตลอด เวลาที่เขาว่าเราเหาะไปสอนนั้น กำลังอยู่ในระยะเดินงุ่นง่าน จงกรมจงคดแก้อารมณ์อยู่... แล้วมันว่ากูไปสอนได้อย่างไร?

ลูกเอย.. เมื่อจนปัญญา หลวงตาจะถามหลวงพ่อ ไม่ได้ถามกับตัวท่านนะลูก ! นึกถามในใจ.. นึกว่าเมื่อตอนที่หลวงพ่อยังมีอารมณ์เหมือนเรา ถูกถามทึกทักอย่างเรานี้ พ่อจะคิด..จะตอบอย่างไรหนอ ..ช่วยลูกด้วยเถิด เจ้าประคุณเอ๋ย

ก็ได้อารมณ์มั่นใจ ได้คำตอบขึ้นมาในใจว่า

เรายังพิจารณากายคตาสติเป็นอารมณ์อยู่อย่างเดิม และทำให้หนักขึ้นเมื่อเกิดเหตุเกิดนิมิตให้เราหลงตัวเอง ส่วนที่รู้ว่าใจเรายังเลวอยู่นั้นมองให้ชัดให้มั่นใจว่าเรายังเลวอยู่ ใจเราจะเกาะกายคตาสติสอนใจเราอย่างเดียวจะไม่สอนใคร อย่ายอมรับว่าเราดีแล้ว

ส่วนที่เขาได้นิมิตได้ประโยชน์ เพราะเห็นเราไปสอนก็เป็นจริงของเขาแต่ไม่ใช่เราเก่งไปสอนเขาได้ อาจจะเป็นเทวดาหรือพระรักษาชีวิตซึ่งเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในอดีตชาติ ซึ่งไม่ทอดทิ้งกัน ถึงเวลาท่านก็มาสอนมานำลูกของท่านให้ได้ประโยชน์สุขให้ถูกทาง แต่ถ้าท่านสอนเขาแบบสอนเข้าไปในใจ... เขาอาจจะสงสัยไม่ได้ประโยชน์ ก็เลยเอาคำสอนนั้นมาผูกอาศัยนิมิตหยาบ คือบุคคลที่ยังมีชีวิตซึ่งเขานับถือหรือว่าอาจจะพบพานกันในอนาคต เขาจะได้มั่นใจรับกระแสธรรมด้วยความปีติมีสมาธิมั่นคงอาจจะได้ประโยชน์มั่นคงได้ เป็นเรื่องของท่านกับของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือต้องรู้ว่าเรายังเลวอย่างไรบ้าง เพราะการเกาะยึดร่างกายยิ่งพิจารณากายคตาสติ จนเบื่อหน่ายร่างกายและนิมิตหมายว่าร่างกายดีมีประโยชน์สุข

จึงตอบเขาไปว่า.. ถ้าอยากให้ไปสอนอีกก็ทำอารมณ์ให้เหมือนเดิมตอนที่เห็นไปสอนนั้น และต้องทำให้อารมณ์ดีต่อเนื่องมากกว่าเดิม อาจจะเห็นไปสอนอย่างนั้นอีก

ตอบเสร็จก็นึกตามไปอีกว่า.. เจ้าประคุณรุนช่องเอ๋ย ! ไปจัดการกันเองก็แล้วกัน ถ้าอย่างไรช่วยเปลี่ยนให้อาจารย์อื่นเหาะไปสอนบ้างเถิด อย่าให้พระแก่ ๆ ต้องลำบากใจเลย..เจ้าประคุณ !

พอเวลาว่าง ได้โอกาสเหมาะสม ก็เข้าไปกราบเรียนเล่าให้ท่านอาจารย์อนันต์รับทราบและขอโอวาทปฏิบัติ

ท่านอาจารย์ก็ยิ้มอย่างเดิม
“เออดี.. ดี ..ระวัง... เชื่อหลวงพ่อไว้ แหม ! ทำไมเราไม่มีอย่างนี้บ้างนะ?” ดูท่านสบายใจ

พี่เอย..คนที่มีมากมักจะบอกว่าไม่มีหนอ...

.....................จบตอนที่ ๔..................


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:45


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว