กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4693)

เถรี 01-11-2015 21:02

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘
 
ถาม : บุคคลที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ยังไม่ได้สมาบัติ ๘ พอมาบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว จะสามารถสร้างสมาบัติ ๘ แล้วเป็นพระอรหันต์แบบปฏิสัมภิทาญาณได้ไหมครับ ?
ตอบ : โอกาสมีน้อยมาก ถ้าท่านมีอารมณ์อยากทำก็เป็นไปได้ เหตุที่โอกาสมีน้อยมากเกิดจากเหตุสองอย่างด้วยกัน อย่างแรก คือ พอเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็เร่งรัดตัดเข้าหาพระนิพพานในระยะสุดท้าย ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น

ประการที่สอง คือ พอเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว การเข้าถึงความสุขในระดับนั้น ก็ทำให้ติดสุขอยู่อย่างนั้น ไม่คิดที่จะทำอย่างอื่นอีก

สรุปว่า ถ้าอยากเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ ให้ตะเกียกตะกายเสียตั้งแต่ต้น หากไปรอเข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว
ถ้าวิสัยไม่ได้มีมา โอกาสที่จะเป็นมีน้อยมาก

เถรี 01-11-2015 21:31

ถาม : เนื่องจากคุณพ่อผมตัดต้นโพธิ์และเผาจนเหลือแต่รากที่อยู่ในดิน ไม่เหลือกิ่งหนึ่งคืบที่จะใช้แล้ว ผมตั้งใจจะสร้างศาลให้ กราบเรียนถามว่า เคยมีพระและคนทรงให้ตั้งที่บูชาเป็นศาลสี่ทิศที่ต้นโพธิ์ และมีป้ายเขียนเป็นภาษาจีนว่าเทวดาที่มาจากฟ้า เลยไม่แน่ใจว่าโดยนัยจะถือว่าเป็นศาลอากาศเทวดาหรือไม่ ?
ตอบ : ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ตระกูลหนึ่งที่ตายยากที่สุด ต่อให้เหลือแต่รากก็งอกใหม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นอาตมาจะไม่เสียเวลาไปตั้งศาลหรอก รดน้ำให้รากงอกใหม่ง่ายกว่าเยอะ ประการที่สอง ในเรื่องของศาลนั้น ความหมายชัดแค่ไหนต้องไปถามคนบอก เพราะเทวดาที่อาศัยต้นโพธิ์อยู่ คือ รุกขเทวดา ส่วนที่เขาบอกว่า เทวดามาจากฟ้า อยู่ในความหมายของอากาศเทวดา จึงอาจจะเป็นผิดฝาผิดตัวกัน ตั้งศาลไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเอาให้แน่ ๆ ก็ถามคนบอกให้ตั้ง เดี๋ยวเขาก็ตอบมั่วไปเรื่อยเองแหละ..!

ถาม : ถ้าสร้างใหม่ทับที่ต้นโพธิ์ จะเป็นศาลของพระภูมิ หรือ ศาลรุกขเทวดา หรือ ศาลอากาศเทวดา ? (ที่บ้านมีแต่ "ตี่จู้" ไม่มีศาลพระภูมิแบบไทยทางทิศเหนือหรือตะวันออก)
ตอบ : ต้องถามว่าตั้งใจจะสร้างให้ใคร ? ถ้าตั้งใจสร้างให้รุกขเทวดาก็เป็นรุกขเทวดา แต่ถ้าทะลึ่งไปสร้างให้ภุมมเทวดา รุกขเทวดาก็ไม่มีสิทธิ์ ฉะนั้น..อยู่ที่ความตั้งใจของคนทำ

ถาม : ถ้าที่สร้างเป็นศาลรุกขเทวดา หรือศาลอากาศเทวดาที่เดิม แล้วไม่สร้างศาลพระภูมิทางทิศเหนือหน้าบ้านเพราะมีตี่จู้อยู่แล้วได้หรือไม่ครับ ? เนื่องจากไม่เคยตั้งศาลพระภูมิ ถือเอาต้นโพธิ์เป็นศาลพระภูมิไปในตัว
ตอบ : ถือเอาต้นโพธิ์เป็นศาลพระภูมิจะได้อย่างไร ? ความจริงตี่จู้ของคนจีนก็คือภุมมเทวดา แล้วคนจีนรู้สึกว่าจะรู้จริงกว่าด้วย เพราะสร้างด้วยการเอาศาลวางอยู่กับพื้น คำว่าตี่จู้ก็คือพระภูมิเจ้าที่ เขาบอกไว้ชัด ๆ เลย ในเมื่อเป็นดังนั้น ต่อให้ไม่ได้สร้างศาลเพียงตาให้ภุมมเทวดา ก็ถือว่ามีศาลอยู่แล้ว ให้ความเคารพท่านอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องสร้างใหม่ก็ได้

ถาม : พระและคนทรงให้บูชาด้วยผลไม้และของหวานไม่มีเนื้อสัตว์ ถ้าหากตั้งศาลใหม่ ผมสามารถใช้ตามสายวัดท่าซุงได้เลยหรือไม่ครับ ? เกรงว่าจะไม่ถูกหลัก (เนื่องจากเป็นที่เก่าเลยคาดเดาว่ามีเทวดาทั้งไทย จีน อินเดียครับ) แต่ถ้าใช้ได้จะได้ตีขลุมไปเลยว่าให้ใช้ตามนี้ แต่อาจจะมีปัญหากับที่บ้านเพราะความไม่รู้ ซึ่งจะพยายามหาทางแก้เอา
ตอบ : ถ้าทางบ้านเขายอมรับก็เอาตามตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงไปใช้ เพราะว่าตรงแน่นอนกว่า ถ้าไม่อย่างนั้นก็มั่ว ๆ ไปตามเขานั่นแหละ

ถาม : สามารถตั้งศาลวันพฤหัสบดี ข้างขึ้นฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ซึ่งน่าจะหายากและนาน ดังนั้น..จึงคาดว่าจะใช้ฤกษ์สามดาวเลยและน่าจะออกพรรษาไปแล้ว ไม่มั่นใจว่าจะนานเกินไป แล้วก่อให้เกิดโทษหรือไม่ ? ถ้านานไปควรเลือกวันไหนเป็นหลักครับ ?
ตอบ : จุดธูปบอกท่านแล้วรอฤกษ์ที่เหมาะสม ทำอะไรอย่าให้มีข้อให้คนเขาตำหนิได้ เพราะว่าเราจะเสียกำลังใจทีหลัง ในเมื่อใช้ฤกษ์ที่ถูกต้องแน่นอน ถึงจะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แจ้งท่านไปว่าเราตั้งใจทำให้อยู่แล้ว

ถาม : ถ้ามีรายละเอียดอื่นที่ควรต้องกระทำเพิ่มเติม ขอความเมตตาแนะนำด้วยครับ ?
ตอบ : สิ่งที่อยากจะแนะนำก็คือ คราวหน้าอย่าทะลึ่งไปตัดและเผาต้นโพธิ์อีก...!

เถรี 01-11-2015 21:33

ถาม : ผ้ายันต์พิชัยสงครามสามารถตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ แจกให้กับคนอื่นได้ไหมครับ ? หมายถึงกรณีที่มีผืนเดียวแล้วมีคนต้องการหลายคน หรือภาวะในช่วงสงคราม ถ้าจำเป็นจะต้องแบ่งสามารถตัดแบ่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อความปลอดภัยของเราเอง ก็ตัดขอบแบ่งให้คนอื่นไป แต่เราเอาตรงกลางไว้...!

เถรี 01-11-2015 21:51

ถาม : ถ้ากระผมฝึกในกองกรรมฐาน โดยเริ่มจากอุปสมานุสติกรรมฐาน เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตั้งใจว่าจะทรงกรรมฐานกองนี้ ๑ เดือน ในระหว่างที่ทำนั้นก็เอาใจเกาะพระนิพพานในระหว่างวันเรื่อย ๆ ทำมาได้เป็นระยะเวลา ๑๐ วันแล้ว ก็มีบ้างที่ออกจากพระนิพพานไปพิจารณาอย่างอื่น หรือมีหลุดไปฟุ้งซ่านบ้าง แต่อย่างไรก็เอาพระนิพพานเป็นหลัก กราบเรียนถามว่าอย่างไรจึงจะเรียกว่า ทำ "อุปสมานุสติกรรมฐาน" สำเร็จ ? ใช่การมีวสีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การจะทำอุปสมานุสติได้สำเร็จจริง ๆ คือ การเป็นพระอรหันต์ไปเลย แปลว่าต้องเกาะพระนิพพานไปเรื่อย ๆ ความเคยชินกับอารมณ์หมดกิเลสที่ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ของพระนิพพาน ถ้าหากว่าเข้ามาสู่ใจของเรานานไป ๆ กิเลสอื่นเจริญเติบโตไม่ได้ ท้ายสุดก็จะหมดกำลังตายไปเอง เรียกว่าบรรลุโดยเจโตวิมุตติ คือใช้กำลังใจข่มกิเลสไว้ จนกิเลสหมดสภาพไปเอง เพราะฉะนั้น...ถ้าจะเอาที่สุดของอุปสมานุสติก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปเลย

ถาม : แล้วการที่เห็นพระนิพพานได้ชัดเจน ละเอียด หรือท่องเที่ยวไปได้ทั่วบนพระนิพพานนั้น จัดว่าสำเร็จในกองกรรมฐานนี้หรือไม่ครับ ? หรือไม่เกี่ยวกัน การเห็นชัดเจนละเอียดเป็นเรื่องของทิพจักขุญาณเท่านั้นหรือไม่ ? แต่กระผมเองไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนและละเอียดเท่าไร แค่ใช้ใจเกาะเฉย ๆ ครับ ?
ตอบ : เอาใจเกาะเฉย ๆ ก็พอแล้ว ถามว่าสำเร็จหรือไม่ ? ถือว่ากำลังปฏิบัติในกองกรรมฐานนั้นอยู่ ยังไม่นับว่าสำเร็จ

เถรี 01-11-2015 21:58

ถาม : กระผมอยากทราบว่า กำลังใจของบุคคลที่สามารถรักษาวัตตบท ๗ ประการ ได้สมบูรณ์ กำลังใจของบุคคลนั้นเทียบเท่ากับกำลังใจของผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : บรรลุอนาคามี ไม่ใช่ท่านบรรลุ แต่เทียบเท่าท่านที่บรรลุอนาคามี เพราะวัตตบท ๗ ประการ มีข้อหนึ่งที่ห้ามโกรธตลอดชีวิต

ถาม : มีอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : ไปค้นดูในกูเกิ้ล

เถรี 01-11-2015 22:02

ถาม : คนที่เป็นแฟนกัน แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ผู้ชายไปซื้อบริการทางเพศ โดยที่ผู้หญิงที่เป็นแฟนไม่รู้ ทำให้ศีลข้อสามด่างพร้อยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านับแค่ด่างพร้อยนี่ด่างแน่ แต่ถ้าถามว่าศีลขาดไหม ? ถ้าหญิงบริการนั้นประกาศตนเป็นสาธารณะ ศีลเราก็ไม่ขาด ถึงแม้ศีลเราจะไม่ขาด แต่ชะตาอาจจะขาด...!

เถรี 01-11-2015 22:19

ถาม : ผมเคยไปไหว้พระ ทำบุญที่วัดครั้งหนึ่ง และได้หยิบแผ่นทองคำเปลวที่ใช้ปิดทองพระพุทธรูปกลับมาที่บ้านด้วย เพื่อนำมาปิดทองพระพุทธรูปที่บ้าน โดยที่ผมได้ทำบุญหยอดตู้ถวายค่าบูชาดอกไม้ ธูปเทียนแล้ว การกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่ ? และจะสามารถชำระหนี้สงฆ์ครั้งนี้ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในลักษณะผาติกรรม ก็คือ เอาเงินของเราไปแลกมา ถือว่าเป็นของเราแล้ว จะเอาไปใช้งานที่ไหนก็ได้ แต่โดยมารยาทแล้วควรใช้ในสถานที่นั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีสภาพเหมือนวัดท่าซุงอยู่ยุคหนึ่ง เป็นช่วงทอดกฐิน พวกอาตมาเตรียมผ้าไตรและสังฆทานไว้ ๓๐๐ ชุด จะได้หมุนเวียนไปเรื่อย ปรากฏว่าหายไปเรื่อย ๆ ก็เลยสงสัย ต่อมาจึงรู้ว่ามีญาติโยมคณะหนึ่งมาจากทางภาคอีสาน เห็นว่าสังฆทานพร้อมผ้าไตรชุดละ ๕๐๐ บาทราคาถูกมาก ก็เลยซื้อแล้วยกขึ้นรถไปหมดเลย...!

เถรี 01-11-2015 22:32

ถาม : พลังที่เรียกกันว่า Psi ball นั้น แท้ที่จริงแล้วคืออะไรครับ ?
ตอบ : เป็นพลังจิต ถ้านับแล้วในสายทางจีนเขาเรียกว่ากำลังภายใน เหมือนพลังของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเต่าในเรื่องดรากอนบอลนั่นแหละ เราเองก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีความคล่องตัวในกสิณ ๑๐ ถ้าไม่มีความคล่องตัวในกสิณ ๑๐ ก็ใช้งานลำบาก

ถาม : สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเองและผู้อื่นได้หรือไม่ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นใช้อะไร นอกจากเอาไปตีกัน สงสัยจะเล่นวีดีโอเกมมากเกินไปกระมัง ? ยกเว้นว่าจะหันมาตัดกิเลส ก็จะสามารถใช้ตัดกิเลสได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา

เถรี 02-11-2015 11:30

ถาม : ผมสงสัยเกี่ยวกับบทสวดมนต์ที่มีในปัจจุบัน ไม่ว่าบททำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น บทสวดในงานบุญ บทสวดในงานศพ และบทอื่น ๆ บทสวดซึ่งมีจำนวนมาก บทสวดเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าทำบุญงานศพอย่าง ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน เขาสวดอนัตตลักขณสูตรหรือไม่ก็อาทิตตปริยายสูตร บทสวดนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เพราะว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเอง แต่การมีมาไม่ได้หมายความว่าสมัยนั้นใช้สวดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น...ต้องแยกประเด็นให้ชัดก่อน อะไรที่เป็นคำสอนในพระไตรปิฎกส่วนมากมีมาแต่สมัยพุทธกาล ส่วนหนึ่งที่มีมาในรุ่นหลังแล้วระบุไว้ชัดเจนก็คือ กถาวัตถุของพระอภิธรรม ที่แต่งโดยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถรเจ้า

ถาม : หากบทสวดมีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล มีบทสวดอะไรบ้างครับ ? เพราะผมอ่านหนังสือธรรมะ ผมพบว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเป็นคำพูดใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช่...ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ดังนี้ภิกษุทั้งหลาย รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วา รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง อะนิจจัง ภันเต ไม่เที่ยงขอรับ ยัมปะนานิจจัง ถ้าเป็นดังนั้น ทุกขัง วาตัง สุขัง วาติ เป็นสุขหรือทุกข์ ทุกขัง ภันเต เป็น ทุกข์ขอรับ

ท่านสอนอย่างนี้ แต่เราเอามาท่องกันเอง ที่เราเอามาท่องกันนั้นเพื่อความทรงจำได้ง่าย จะได้บอกต่อกันได้ถูกต้อง สอนต่อกันโดยไม่ผิดพลาด ดังนั้น...บทสวดที่เรามาสาธยายกันทีหลังนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑

คำว่า สังคีติ ก็คือ ร้อยกรอง หรือสวดสาธยายนั่นเอง เป็นการสวดสาธยายและตรวจสอบกันในระหว่างพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป ซึ่งถ้านับกันแล้วก็คือ สุดยอดนักวิชาการในสมัยนั้น ว่ามีข้อไหนผิดพลาดบ้าง ถ้าไม่ผิดพลาด ทุกท่านยืนยันว่าใช่ ก็สวดสาธยายขึ้นพร้อมกัน เพื่อให้ทราบว่าเนื้อหาที่ถูกต้องคืออะไร พอมาสมัยหลังเป็นการทรงจำในลักษณะของมุขปาฐะ คือ สวดปากเปล่าสืบต่อ ๆ กันมา

จนกระทั่งถึงยุคกลางของการสังคายนาพระไตรปิฎก ก็คือ ครั้งที่ ๕ ที่ศรีลังกา บรรดาพระเถระสมัยนั้นเห็นว่า ความจำของคนเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ อาจจะหลงลืมได้ จึงให้จารึกลงในใบลานเป็นอักษร เขียนแล้วใส่ตะกร้าแยกออกเป็นสามหมวด จึงเรียกว่า ไตรปิฎก คือ สามตะกร้า หลังจากนั้นพอเรานำบทสวดต่าง ๆ มาสวดสาธยาย มีบางท่านเห็นว่าบทสวดต่าง ๆ นี้มีอานุภาพจึงนำมากำหนดเป็นบทสวด ๗ ตำนานบ้าง ๑๒ ตำนานบ้าง แล้วก็ใช้สวดเป็นประเพณีสืบ ๆ กันมา


ถาม : บทสวดมนต์เหล่านี้มีที่มาได้อย่างไร ? ใครแต่งขึ้น ? และตอนทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น พระท่านในสมัยพุทธกาลต้องทำวัตรเหมือนสมัยนี้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : สมัยนั้นเขาใช้วิธีเจริญกรรมฐานหรือนั่งสนทนาธรรมกัน พอมาสมัยหลังการประพฤติปฏิบัติน้อยลง จึงต้องบังคับโดยการให้นั่งท่องหนังสือ หรือทรงจำกันโดยการสวดสาธยาย กลายเป็นการทำวัตรเช้า - ทำวัตรเย็นขึ้นมา ส่วนการที่สงสัยว่าบทไหนใครเป็นคนสวด ให้ยกมาทีละบทแล้วจะบอกให้ เพราะอย่างบท "โย จักขุมาฯ" ก็แต่งโดยในหลวงรัชกาลที่ ๔ ถ้า "ชินบัญชรคาถา" ก็ชำระขึ้นใหม่โดยหลวงพ่อโต วัดระฆัง เป็นต้น

เถรี 02-11-2015 11:33

ถาม : ท่านเจ้าที่ผู้ดูแลมหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดยโสธรครับ ท่านมีนามว่าอะไรครับ ? จะทำสังฆทานอุทิศถวายท่าน
ตอบ : ถามได้เลย

ถาม : ถามใครครับ ?
ตอบ : ถามท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ ยังไม่ทันจะถาม ท่านมายืนแล้ว บอกว่า "ผมชื่อเจ้าพ่อแก่นนครครับ"

ถาม : มาเร็วนะนี่ ?
ตอบ : เร็วกว่าคำถามคุณอีก ยังไม่ทันถามท่านก็มายืนรายงานตัวแล้ว

เถรี 02-11-2015 11:38

ถาม : เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว กระผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และได้ขอเช่าบูชาพระเครื่องจากผู้จัดการโรงแรมมาหนึ่งกล่อง โดยผู้จัดการเล่าให้ฟังว่า มีพระเคยมาเข้าพักที่โรงแรม เมื่อเช็คเอาท์ออกไปแล้ว ปรากฏว่าท่านลืมพระเครื่องทิ้งเอาไว้หนึ่งกล่อง ภายในมีพระหนึ่งร้อยองค์ ผู้จัดการเลยเก็บเอาไว้เผื่อท่านจะติดต่อกลับมาเพื่อขอรับคืน แต่เก็บไว้สองปีแล้ว ท่านก็ไม่ติดต่อกลับมา จะส่งคืนก็ไม่ทราบว่าท่านอยู่วัดไหน เมื่อผมไปฝึกงานที่นี่ ผู้จัดการเห็นผมชอบพระเครื่องเลยเอามาให้บูชา ผมเลยขอบูชามาทั้งหมดเก้าสิบแปดองค์เพราะผู้จัดการขอไว้สององค์ ภายหลังได้ถวายวัดไปจำนวนหนึ่ง และแจกให้คนใกล้ชิดไปบ้าง ที่อยากกราบเรียนถามคือ การที่ผมได้เช่าบูชาพระเครื่องมาในกรณีเช่นนี้เป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ติดหนี้สงฆ์ร้อยเปอร์เซ็นต์

ถาม : ถ้าเป็นการติดหนี้สงฆ์ เข้าใจว่าต้องถวายพระเครื่องที่เหลือคืนให้เป็นของสงฆ์ แต่ในกรณีที่แจกให้คนอื่นไปบ้างแล้วและไม่สามารถทวงคืนได้ ควรทำเช่นไรครับ ?
ตอบ : ถ้ารวบรวมคืนได้ก็ไปรวบรวมคืนมา แล้วก็ส่งให้ท่านผู้จัดการไปดูแลต่อ จนกว่าเจ้าของจะมารับคืน ถ้ารวบรวมไม่ได้ก็สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ได้แล้ว

เถรี 02-11-2015 12:06

ถาม : ขอกราบเรียนถามเรื่องอาหารที่ถวายพระครับ กระผมเข้าใจว่าธรรมเนียมปฏิบัติ และประเพณีในแต่ละท้องถิ่นนั้นต่างกัน ผมเป็นคนจังหวัดกระบี่ ที่นี่เวลาไปวัด ชาวบ้านจะนำปิ่นโตใส่อาหารไปถวายพระ และวางปิ่นโตไว้หน้าพระสงฆ์แต่ละรูป เมื่อถึงเวลา จะกล่าวคำถวายพร้อมกัน แล้วก็จะมีคนเข้าไปประเคนปิ่นโตทั้งหมด เมื่อพระฉันอาหารเสร็จ ชาวบ้านก็จะเข้าไปหยิบปิ่นโตของตนเองกลับบ้าน โดยที่ไม่มีการรับประทานอาหารกันที่วัด อยากทราบว่า ในกรณีเช่นนี้ ญาติโยมที่นำปิ่นโตกลับบ้านโดยมีอาหารของตนติดมาด้วยนั้น จะติดหนี้สงฆ์หรือไม่ประการใดครับ ? เพราะทางวัดไม่มีการกล่าวคำอุปโลกน์
ตอบ : ตอบง่าย ๆ ว่า ถึงจะอยู่ถิ่นไหนก็ลงอเวจีที่เดียวกัน..!

เถรี 02-11-2015 12:12

ถาม : เนื่องจากมีความสงสัยใน “การเป็นเจ้าของที่แท้จริงของทรัพย์นั้น ๆ” ในบางกรณี ทรัพย์ชิ้นเดียวกัน มีผู้อ้างด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ของตนเอง ว่าตนเป็นเจ้าของเหมือนกัน ซึ่งอาจจะด้วยเหตุผลที่ต่างกัน ทั้งด้านกฎหมาย หรือด้านเจตนาของเจ้าของคนเดิมที่มอบหมายทรัพย์นั้นให้มาด้วยปากเปล่า หรือแม้แต่การครอบครองปรปักษ์ หรือเป็นการซื้อของเก่าเปลี่ยนมือต่อ ๆ กันมา บางครั้งยังเคยได้ยินเรื่องของดวงวิญญาณเจ้าของเก่า ตามทวงคืนทรัพย์ ที่เจ้าของใหม่อาจได้มาโดยไม่รู้เรื่อง หรือวิญญาณที่สิงสถิตในสถานที่ที่นั้นมาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่ยอมให้ผู้อาศัยใหม่มาอาศัยเพราะยังคิดว่าเป็นที่ของตนเอง ในกรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ จะเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการที่เราอาจจะไปสร้างเจ้ากรรมนายเวรที่เกี่ยวกับศีลข้อ ๒ โดยไม่ตั้งใจหรือเปล่าครับ ? และจะมีผลต่อยันต์เกราะเพชรที่ได้รับมาไหมครับ ?
ตอบ : ถามเสียยาวเลย คนหลงประเด็นไปแล้ว สิ่งที่ถามมาทั้งหมดสรุปลงตรงที่ว่า คุณตั้งใจไปเอาของเขาหรือเปล่า ? ถ้าตั้งใจไปเอาของเขาก็ผิดศีลเรียบร้อย ไม่ได้เกี่ยวว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของใคร หรือได้มาโดยวิธีการไหน สำคัญตรงเจตนาคุณจะไปลักขโมยเขาหรือไม่ ?

เถรี 02-11-2015 12:16

ถาม : การเลือกที่จะไม่ใส่บาตรพระสงฆ์บางรูปที่ดูสภาพท่านไม่เรียบร้อย หรือรูปที่ชอบเดินวนไปวนมาหน้าร้านข้าวแกงเพื่อให้ได้รับบาตรหลาย ๆ รอบ หรือรูปที่มักจะให้พรผิด ๆ ถูก ๆ อยู่เสมอเป็นประจำโดยไม่มีการแก้ไข บางรูปที่ออกมาบิณฑบาตด้วยและท่านก็ซื้ออาหารบางอย่างกลับวัดด้วย หรือบางรูปที่ออกมาบิณฑบาตสาย ๆ หลังเก้าโมงเช้า การที่ผมไม่ใส่บาตรท่านเหล่านี้ จะถือเป็นการช่วยปกป้องพระพุทธศาสนาหรือไม่ครับ ? หรือว่าผมควรจะใส่บาตรท่านเหล่านี้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดีครับ เพื่อให้ได้บุญในการใส่บาตรสูงสุดครับ
ตอบ : ถ้ามีโอกาสให้ทำ การให้ทานต่อบุคคล ต่อให้ไม่มีศีลเลยก็มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานกับสัตว์เดรัจฉานเป็นร้อยเท่า ต้องเรียกว่าหาเรื่องตัดทางบุญตัวเอง แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ตั้งใจถวายเป็นสังฆทานไป ท่านที่รับถ้าเอาไปกินไปใช้คนเดียวท่านก็เดือดร้อนเอง

เถรี 02-11-2015 12:20

ถาม : เรื่องการไปบน "พิงคเทพบุตร" ที่จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ทราบว่าบนตรงกลางแจ้งในจังหวัดเชียงใหม่ที่ไหนก็ได้ หรือว่าต้องไปบนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ ?
ตอบ : ให้ไปบนที่ยอดดอยสุเทพ แล้วต้องเดินขึ้นไปด้วย...!

ถาม : แล้วของที่นำไปแก้บนควรจะเป็นอะไรบ้างครับ ถึงจะเหมาะสม ?
ตอบ : ทองคำแท่งสักกิโลกรัมหนึ่ง...!

เถรี 02-11-2015 12:42

ถาม : เมื่อคนเราตายไป ย่อมไม่สามารถนำเอาทรัพย์สมบัติติดตัวไปด้วยได้ แต่คนโบราณใช้วิธีฝังทรัพย์ไว้กับแผ่นดิน ด้วยหวังว่าเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติต่อ ๆ ไป จะสามารถอธิษฐานขอเบิกใช้ทรัพย์ของตน ที่ฝากไว้กับแผ่นดินขึ้นมาใช้ได้ เป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนครับ ?
ตอบ : เข้าใจผิดตั้งแต่แรกแล้ว เขาให้เอาเป็นอริยทรัพย์ติดตัวไป นั่นโง่ไปหน่อย แปรสภาพไม่เป็น

ฝังดินเอาไว้ โบราณเขาพูดเป็นปริศนาธรรมว่าให้สร้างบุญกุศลเก็บไว้ ถึงเวลาจะได้มีบุญกุศลเป็นเสบียงใช้ในชาติต่อ ๆ ไป ไม่ใช่ได้ยินว่าฝังดินไว้ก็ตั้งหน้าตั้งตาฝังเลย

ท่านบอกว่า ได้ทรัพย์มาแล้วให้แบ่งปันดังนี้ ส่วนที่หนึ่งใช้หนี้เก่า ส่วนที่สองเป็นเจ้าหนี้ใหม่ ส่วนที่สามฝังดินไว้ ส่วนที่สี่ทิ้งใส่เหว ใช้หนี้เก่าก็คือ พ่อแม่เคยเลี้ยงดูเรามาเหมือนกับเราเป็นหนี้ท่าน ถึงเวลาก็ให้เลี้ยงดูตอบแทนพ่อแม่ด้วย เป็นการใช้หนี้เก่า เป็นเจ้าหนี้ใหม่ก็คือเลี้ยงดูบุตรภรรยาของตนเอง ฝังดินไว้ก็คือสร้างบุญกุศลเพื่อที่จะได้เอาไว้ใช้ในชาติถัด ๆ ไป ทิ้งใส่เหวก็คือเอาไว้กินไว้ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งมีแต่จะหมดไปเท่านั้น สรุปว่าปริศนาของคนโบราณยังคงเป็นปริศนาต่อไป...!

เถรี 02-11-2015 12:54

ถาม : การแขวนวัตถุมงคลหลายชิ้น อานุภาพของวัตถุมงคลจะหักล้างกันเองไหมครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเอากิเลสตัวเองไปใช้กับพระ ถ้าภาษิตจีนบอกว่า เอาจิตใจคนต่ำช้าไปประเมินวิญญูชน การแขวนวัตถุมงคลที่เราเชื่อถือ ยกเว้นว่าเป็นสิ่งที่ทำมาจากวิชาการทางไสยศาสตร์ ถ้ามาปนกับพุทธศาสตร์ก็จะโดนอานุภาพลบล้างไป ถ้าเป็นวัตถุมงคลที่เป็นพุทธศาสตร์ด้วยกันก็ไม่ได้หักล้างกันหรอก กังวลไม่เข้าเรื่อง

เถรี 02-11-2015 13:01

ถาม : การนอนกอด การหอม การฟัดตุ๊กตาโดเรม่อน ตุ๊กตาหมี ผิดศีล ๘ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาการหนักนะ...! เปลี่ยนเป็นตุ๊กตายางดีกว่า ตีความเอาตามแบบพระสงฆ์ก็แล้วกันว่า ถ้ามีจิตกำหนัดก็โดนอาบัติ ถ้าเรามีจิตกำหนัดก็ถือว่าศีลแปดด่างพร้อย

เถรี 02-11-2015 13:09

ถาม : กระผมได้ความเบื่อจากการเห็นทุกข์ ยิ่งหนีก็ยิ่งทุกข์ หนีไม่ได้ จึงพิจารณาตามหลวงพ่อที่กล่าวไว้ ว่าทุกข์เกิดจากบุพกรรมที่ทำเอาไว้แต่อดีตมาส่งผล ใจจึงสงบลงได้บ้าง แต่อารมณ์เบื่อนอนนิ่งไม่ไปไหน เบื่อชั่วไม่อยากทำกลัวผลที่ตามมา เบื่อดีด้วยครับ จะทำสมาธิฝึกอะไรก็ประเดี๋ยวเบื่อ กระผมควรคิดและเริ่มปฏิบัติอย่างไรเพื่อก้าวข้ามให้ถึงมรรคถึงผลครับ ?
ตอบ : สงสัยเหมือนกันว่าหลวงพ่อจะสอนผิด..! ความทุกข์มีหลายประเภทด้วยกัน มีสภาวทุกข์ ทุกข์ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายนี้ อย่างไรก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย มีนิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ที่เกิดขึ้น เช่น หนาว ร้อน หิวกระหาย สันตาปทุกข์ ความทุกข์ที่มาบีบคั้นให้เดือดเนื้อร้อนใจต่าง ๆ เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ สาเหตุใหญ่ก็เพราะมีร่างกายนี้ ถ้าไม่มีร่างกายนี้ ความทุกข์ก็ไม่สามารถที่จะบีบคั้นได้ ส่วนขณะที่เรามีร่างกาย ทำไมความทุกข์จึงบีบคั้นได้ ? ก็เพราะเราไปยึดถือว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ในเมื่อเราไปยึดถือ ถึงเวลาเกิดความทุกข์ก็เลยไปยึดว่าทุกข์นี้เป็นของเรา ถ้าสามารถพิจารณาให้เห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราได้ แล้วทุกข์จะเป็นของเราได้อย่างไร ? ไปค่อย ๆ เริ่มต้นทำใหม่ จำคำสอนครูบาอาจารย์มาผิดตั้งแต่แรกแล้ว

เถรี 02-11-2015 15:59

ถาม : เมื่อวานผมได้มีโอกาสรับยันต์เกราะเพชร แล้ววันนี้ผมได้หยิบช็อกโกแลตมากิน พอกัดไปคำแรกได้กลิ่นแปลก ๆ กลัวว่าจะเป็นช็อกโกแลตที่มีเหล้า ผมเลยรีบคายทิ้งแล้วบ้วนปาก (ผมยังไม่ได้เคี้ยวนะครับ) แบบนี้ยันต์จะสลายตัวไหมครับ ?
ตอบ : น่าเสียดาย..น่าจะแกล้งตีมึนแล้วกลืนไปเลย...! ถ้ารู้จักระมัดระวังอย่างนี้แปลว่ายังรักษาได้อยู่ ทุกคนควรจะเลียนแบบ ก็คือ มีสติ รู้แล้วก็รีบระวังป้องกันไว้ เราต้องรักษายันต์ ยันต์จึงจะรักษาเรา

เถรี 02-11-2015 16:55

ถาม : รับยันต์เกราะเพชรมาแล้ว ต้องรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ สงสัยในกรณีเวลาจะใช้ปากกาหรือของคนอื่น ต้องขอเจ้าของก่อนทุกครั้งใช่ไหมคะ ? แบบว่าขอยืมแต่เจ้าของไม่อยู่ ใช้เสร็จแล้วเราก็คืนที่เดิม คือ พบบ่อยในการทำงานค่ะ ใช้เสร็จแล้วก็คืนที่เดิม แบบนี้รับยันต์มา ยันต์จะหายไหมคะ ?
ตอบ : ตีความในลักษณะเดียวกับพระแล้วกัน ท่านบอกว่าพระสามารถถือวิสาสะได้ ถ้า ๑.เคยรู้จักกันมา ๒.เคยพูดคุยกันมา ๓.รู้ว่าเอาไปแล้วเขาไม่ว่าอะไร ถ้าอยู่ในลักษณะนี้สามารถที่จะใช้งานได้โดยที่ยันต์ยังอยู่ แต่ถ้าเจ้าของเขารู้เมื่อไรแล้วโวยวายขึ้นมา ปีหน้าก็ไปรับยันต์ใหม่แล้วกัน..!

เถรี 02-11-2015 16:59

ถาม : ธูปเทียนแพที่ขอขมา ทำไมเขาไม่จุดถวาย แต่วางเฉย ๆ ไว้แทบทุกวัด ?
ตอบ : ธรรมเนียมเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณจะจุด จะจุดตรงไหน ? เจตนาในการขอขมาก็คือเอาสิ่งที่ดีไปสักการะ เพื่อทำสามีจิกรรมขอขมาในสิ่งที่ตนเคยล่วงเกินผู้อื่นมา

เถรี 02-11-2015 18:47

ถาม : การภาวนาเงินล้านที่ศูนย์กลางกายที่พระปัจเจกพุทธเจ้าแนะนำ ศูนย์กลางกาย คือ เหนือสะดือ ๒ นิ้วแบบ หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตรงนั้นแหละ

ถาม : เวลาลืมตาหรือหลับตา ทั้งตอนภาวนาหรือทำการงานอื่นก็ตาม แล้วเกิดภาพปิ๊งขึ้นมา อาจจะเป็นภาพ เช่น หลวงพ่อฤๅษีเอาไม้เท้ามาเขกหัว หรือภาพพระพุทธรูปเกิดขึ้นมาเอง สภาวะแบบนี้คืออะไร ? และเราจะพัฒนาปฏิบัติในแนวทางไหนเสริมต่อ นอกจากอานาปานสติ ?
ตอบ : เขาเรียกว่านิมิต ไม่ควรให้ความสนใจใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นว่าเป็นนิมิตที่ตรงกับกองกรรมฐานของเรา อย่างเช่นว่า ภาวนาพุทโธอยู่แล้วเกิดภาพพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็สามารถที่จะจับภาพท่านแล้วภาวนาต่อไปเลย แต่ถ้าเป็นภาพที่ไม่เกี่ยวกับกองกรรมฐานเฉพาะหน้าตอนนั้น อย่าไปสนใจ

เถรี 02-11-2015 18:50

ถาม : วัตถุมงคลที่คนนำเข้าพิธีมีดหมอเพชราวุธกันเองนั้น สามารถใช้คำอาราธนาเดียวกันกับที่ลงบันทึกไว้ในวิธีใช้งานมีดหมอเพชราวุธของจริงได้เหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าเป็นสากกะเบือแล้วเอาไปใช้อาราธนาก็คงจะยากสักหน่อย...!

เถรี 02-11-2015 18:52

ถาม : มีปัญหากับพระภิกษุ แต่ได้ทำการขอขมาอโหสิกรรมไปแล้ว การขอขมาโดยปากเปล่าต่อหน้าหิ้งพระพุทธรูป หรือในใจเราเอง กับการที่เราต้องไปพบพระภิกษุรูปนั้นเอง คำถามคือ ผลการขอขมานี้ต่างกันและได้ผลเหมือนกันหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ : การขอขมาควรจะเป็นต่อหน้าโจทก์และจำเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าสามารถขอขมาต่อหน้าได้จะดีกว่า แต่ส่วนใหญ่การล่วงเกินพระภิกษุ หลังจากขอขมาท่านแล้ว ต้องมาขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปอีกครั้งหนึ่ง

เถรี 02-11-2015 19:00

ถาม : อยากทราบว่าการที่เราทำบุญผ้าไตรกฐินเป็นพันไตรหมื่นไตร โดยทำบุญตามอัตภาพ แต่วางกำลังใจว่า ฉันคือเจ้าของทั้งหมดทุกไตร จะได้อานิสงส์มาก ๆ เหมือนกับคนที่ถวายเยอะ ๆ ไหมครับ ? มีคนหนึ่งเคยบอกว่า ให้มโนภาพขึ้นมาว่าถวายกับพระเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ แสน ๆ องค์ ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : มโนภาพได้แค่อนุสติ แต่การทำบุญกฐินเป็นทานบารมี ถ้าไม่มีทรัพย์สินพอที่จะทำ ยกมือโมทนากับเขาก็ได้บุญแล้ว

ถาม : ถ้าวางกำลังใจว่า ฉันคือเจ้าของทั้งหมดทุกไตร กับท่านที่ถวายด้วยเงินตัวเอง แต่เป็นร้อย ๆ ไตร อานิสงส์ต่างกันไหม ?
ตอบ : ได้อานิสงส์ในส่วนของการถวายผ้าไตรไว้ในพระพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่ถ้าเราทำตามคนอื่น ไม่ได้เป็นเจ้าภาพด้วยตนเอง ถ้าเกิดใหม่ก็ไปเป็นบริวารของเขา ถ้าเป็นเจ้าภาพด้วยตนเอง เกิดใหม่ก็ไปเป็นหัวหน้าเขา แต่..เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้น..ไม่เกิดดีกว่า

เถรี 03-11-2015 16:42

ถาม : นอกจากการนั่งสมาธิแล้ว มีอะไรต้องทำเพิ่ม ทุกวันนี้ยังใช้พลังของลูกแก้วได้ไม่เต็มที่ ?
ตอบ : ไม่ต้องนั่งก็ใช้ได้ แต่ได้น้อยหน่อย แต่ถ้านั่งแล้วสมาธิสูงมากเท่าไรก็ใช้ได้มากเท่านั้น

เถรี 03-11-2015 16:42

ถาม : ยุคพระพุทธเจ้าองค์แรกของกัปนี้เป็นอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : สมัยนั้นคนสุขสบายกว่านี้หลายเท่า การเบียดเบียนกันมีน้อย ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในศีลในธรรม อายุยืนมากกว่ารุ่นเรามาก รุ่นเราอายุร้อยปี รุ่นท่านอายุเป็นหมื่นปี

เถรี 03-11-2015 16:52

ถาม : วันนี้ผมมาขอขมาท่าน ๒ เรื่องครับ เรื่องแรกคือที่ไปช่วยงานตักบาตรเทโวฯ ตอนไปช่วยรับของจากบาตรที่ตีนเขาก็ทำให้วุ่นวาย หลังจากนั้นไปช่วยเขายกของก็ทำของหล่นเนื่องจากของหนัก ขอให้ท่านให้อภัยด้วยครับ
ตอบ : นึกก่อนว่าจะให้อภัยดีไหม ?

ถาม : ท่านจะให้ผมรับโทษอะไรผมยินดีรับครับ แล้วแต่ความกรุณาครับ
ตอบ : ไม่มี ตอนนี้มีแต่อุเบกขา

ถาม : เรื่องที่ ๒ เรื่องที่ผมอยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้วผมทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ แล้วเป็นสาเหตุให้คนเข้าใจผิด คิดปรามาสครูบาอาจารย์และพระศาสนาว่าคนปฏิบัติธรรมแล้วบ้าอย่างนี้ ก็อย่าไปปฏิบัติเลยดีกว่า ขอขมาด้วยครับ
ตอบ : ถ้าขอแล้วยังทำอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อขอขมาก็ต้องปรับปรุงตัวใหม่ด้วย

เถรี 03-11-2015 16:55

เรื่องของงานตักบาตรเทโวฯ ครั้งนี้ ที่ฉิบหายวายป่วงก็เพราะว่าคนที่ไม่ใช่ทีมงานเสือกเข้ามา เขาจัดทีมงานของเขาเอาไว้แล้ว เรามีศรัทธาที่จะเข้าไปก็ต้องฟังเขา ไม่ใช่ว่ากูนึกอยากจะทำก็ทำ คนที่เขาทำมาก่อน เขามีประสบการณ์ เขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะสะดวก ถึงจะเร็ว ถึงจะไม่เสียหาย แล้วอยู่ ๆ ก็มีไอ้ควายกลุ่มหนึ่งที่มีแต่ศรัทธา แล้วก็เสือกทะลึ่งเข้าไป แถมยังไม่ฟังใครด้วย โดยเฉพาะตอนบอกว่า อย่าไปบังกล้องถ่ายรูปนี่ไม่มีใครฟังเลย จะทำงานอย่างเดียว

ฉะนั้น...ต่อไปถ้าเขาไม่ได้กำหนดเราให้เป็นทีมงาน ก็ดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ไม่ต้องไปเสือกยุ่งกับเขาเลย เพราะว่ายุ่งแล้วฉิบหายวายป่วงไปหมด จนป่านนี้เขายังเคลียร์งานกันไม่เสร็จ

อีกส่วนหนึ่งที่อยากตำหนิมากเลย ก็คือ ทีมงานถ่ายทอดสด มารดามันถ่ายเป็นอยู่มุมเดียว...! ก็คือกูตั้งหน้าตั้งตาจะถ่ายหน้าเจ้าอาวาสอย่างเดียว ไม่คิดจะถ่ายอะไรอย่างอื่นเลย งานใหญ่ ๆ คนเป็นพันเป็นหมื่น ควรจะถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ ให้คนทางบ้านเขาดูว่าอะไรเป็นอะไร จะขึ้นเขาลงห้วย จะเดินไกลกี่กิโลเมตรก็ควรจะถ่ายให้เขาดู ไม่ใช่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ๒ ชั่วโมงครึ่งมีแต่หน้าเจ้าอาวาสอยู่คนเดียว ถึงมึงไม่เบื่อกูก็เบื่อตัวเอง...! ด่าไปแล้วก็ยังไม่จำ ยังเอากล้องมาจ่อที่เดิมอีก วันนั้นก็เลยสงสัยว่าอาตมากำลังพูดกับคนหรือพูดกับควาย...!

อะไรก็ตามที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ความที่ไม่รู้จักคิด ไม่มีวิสัยทัศน์ สายตาแคบสั้น แนวความคิดในการทำงานไม่ชัดเจน ก็เลยทำให้งานออกมาเละเทะอย่างที่เห็น ขนาดด่าไป ๒ ครั้งแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม แปลว่าอะไร ? แปลว่าไม่เคยใช้หัวแม่ตีนคิดแทนสมองเลย..! โดยเฉพาะแต่ละคนที่มักจะคิดว่าตัวเองเป็นสุดยอดของสาขานั้น “เรื่องนี้กูเก่ง เรื่องนี้กูรู้จริง”

เถรี 03-11-2015 16:59

มีอยู่สมัยหนึ่งที่พนักงานบริษัทเข้ามาจัดงานที่บ้านวิริยบารมี โดนอาตมาด่ากระจาย มึงเป็นบริษัทรับปรึกษาในงานก่อสร้าง เสือกทะลึ่งมารู้พิธีสงฆ์มากกว่าพระได้อย่างไร ? บอกแล้วเขายังไม่ฟังอีก พอโดนด่าไปแล้วก็ทำหน้างง ๆ ว่าด่ากูทำไมวะ ?

อาตมาด่านี่ต้องบอกว่าด่าด้วยความเมตตา ไม่อย่างนั้นก็จะไปทำอะไรโง่ ๆ อีก แล้วคนประเภทนี้จะมีใครสักกี่คนที่เขาจะเมตตาด่า...! เพราะเขาก็รักตัวเอง กลัวจะโดนเกลียดขี้หน้า ท้ายสุดก็เหลือแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนที่ด่า แล้วก็เอาไปลือกันว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุยิ่งกว่าหมาอีก...!

งานแต่ละครั้งหลังจากที่ผ่านไปแล้ว อาตมาจะสรุปข้อผิดพลาดให้กับพระที่วัดฟังเสมอ พระก็ดี โยมในวัดก็ดี เขาจะรู้ว่าถึงเวลาแล้วจะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร แต่คนไปใหม่มีแต่ศรัทธาแล้วไร้ปัญญา แถมยังหยิ่งผยองด้วยว่ากูมีความรู้ กูมีความสามารถ สั่งกูไม่ได้ ก็บรรลัยหมดนะสิ ในเมื่อตัวเองไม่ใช่เจ้าของงานแต่ไม่ฟังเจ้าของงาน แล้วจะทำงานให้ได้ดีอย่างไร ?

ต้องบอกว่าเสียทีที่ปฏิบัติธรรมไป แบกแต่กิเลสท่วมหัว เป็นทั้งสักกายทิฐิ เป็นทั้งมานะ สังโยชน์ใหญ่มหึมาเลย แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองแบกอยู่ โดยเฉพาะบางคนเคยบวชอยู่ที่วัด เคยช่วยงานวัด แต่ไม่เคยอยู่ในทีมงานที่เขากำหนดให้ทำงาน พอแทรกเข้าไปก็ไปทำให้เขาป่วนไปหมด เพราะว่าทีมงานที่รู้งาน บางทีเขาอาวุโสน้อยกว่า เขาเกรงใจก็ปล่อยให้เข้าไปยุ่ง แล้วทุกอย่างก็บรรลัยหมดเพราะระบบไม่เป็นระบบแล้ว

เถรี 03-11-2015 17:07

งานนี้ข้าวของเสียหายเยอะมากเป็นพิเศษเลย ถ้าเข้าไปดูในคลังจะเห็นเลยว่าของที่ขนไปลง ๆ ไว้นั่นแตกเสียหาย โดนทำลายไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แล้วกว่าจะเคลียร์เสร็จ กว่าจะจัดงานเสร็จ ก็คงต้องใช้เวลาประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วของที่เละเทะอยู่อย่างนั้นจะทำให้ของอื่นเสียหายเพิ่มอีกเท่าไร ? แล้วของทั้งหมดนั่นคือของสงฆ์ที่เขาถวายมาด้วยความศรัทธาในพระรัตนตรัย คุณกำลังสร้างกรรมหนักให้กับตัวเองเท่าไรยังไม่รู้เลย

คนที่ปฏิบัติธรรม สิ่งที่จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงก็คือเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ถ้าไม่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ก็จะทำผิดทำถูกไปเรื่อย จนกว่าจะเกิดประสบการณ์และข้อสรุปของตัวเอง คราวนี้คนที่เขาทำงานมา เขามีประสบการณ์อยู่แล้ว เขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะเร็ว ทำอย่างไรงานถึงจะออกมาดี ทำอย่างไรงานถึงจะไม่เสียหาย แต่ผู้มีประสบการณ์แล้วแถมยังเป็นเจ้าของงานด้วยพูดแล้วกลับไม่มีใครยอมฟัง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมากว่า พวกคุณปฏิบัติธรรมไปแล้วได้อะไร กลายเป็นเอากิเลสไปชนกัน ไม่ให้ทำงานก็กลายเป็นขัดศรัทธา กลายเป็นว่ากีดกัน พอเบียดเข้าไปทำงานก็กลายเป็นว่าทำให้งานเขาฉิบหายวายป่วงหมด

ให้ถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียน แล้วไปนั่งพิจารณากันดูว่าใครผิดอะไรบ้าง ครั้งหน้าถ้ามีอีก คราวนี้ไม่ใช่ประหารชีวิตเฉย ๆ ต้องขุดกระดูกขึ้นมาโบยด้วย...!

เถรี 03-11-2015 17:13

ส่วนใหญ่เรื่องของการถ่ายรูปหรือว่าถ่ายภาพเคลื่อนไหว คนเราก็อดไม่ได้ที่จะเอาสักกายทิฐิแทรกเข้าไปด้วยว่า "ถ้าเป็นกู กูต้องเด่น" ก็เลยเอานิสัยนั้นมาใช้กับอาตมา ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า ทั้งวัดท่าขนุนไม่มีรูปเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันเลย เพราะว่าอาตมาไม่ได้หลงตัวเองขนาดนั้น มีรูปก็ต้องเป็นรูปครูบาอาจารย์ที่คนเขาเคารพนับถือ แต่คราวนี้พอถ่ายรูปกลายเป็นไปเน้นอยู่คนเดียว ส่วนที่ดีก็คือต้องให้คนที่เขาไม่ไปได้เห็นว่าในงานมีอะไรบ้าง ไม่ใช่ว่าทั้งงานออกมา ๑๐๐ รูปหรือว่าถ่ายวิดีโอมา ๒ ชั่วโมงมีแต่หน้าเจ้าอาวาสอยู่คนเดียว

แล้วเขาก็สงสัยว่าอาตมาเดินทางไปเที่ยวด้วยกัน แต่พอเขียนบันทึกการเดินทางออกมาเป็นคนละม้วนกับที่เขาเห็น ก็เพราะว่าต้องการให้คนที่เขาไม่ได้ไปนั้นเห็นว่าเราเห็นอะไรมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่เขียนจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในเมื่อเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเขาเห็นภาพพจน์เลยว่าสถานที่ไปนั้นเป็นอย่างไร

ต้องบอกว่าของอย่างนี้ถึงเข้าใจแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเลียนแบบตามกันได้ เพราะด้วยความยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือมีสักกายทิฐิเต็มหัวอยู่

เถรี 03-11-2015 17:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าญาติโยมสังเกต จะทราบว่าระบบเสียงบ้านวิริยบารมีคราวนี้เสียงดังแต่ไม่ก้อง เกิดจากชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต นำโดยคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา ช่วยซื้อเครื่องเสียงใหม่เพื่อที่จะปรับปรุงระบบใหม่ ตอนแรกที่นั่งลงมานี่ อาตมาอยากจะด่าคนทำ เพราะว่าเสียงก้องมาก ปรากฏว่าช่างเขามาเจอทีหลังว่าไมโครโฟนเก่าไม่ค่อยกระจายเสียง ก็เลยไปเร่งลำโพงเอาไว้ พอของใหม่มากระจายเสียงได้ดีกว่า รับเสียงได้ดีกว่า ก็เลยทำให้ก้องสะท้อนมาก กว่าจะปรับแก้ได้ก็โดนด่าไปชุดหนึ่งแล้ว ก็ต้องขออภัยทีมงานไว้ในที่นี้ สรุปว่าคุณมีฝีมือพอที่จะหากินทางนี้ต่อไปได้...!

ส่วนใหญ่ที่เจอมาก็คือพวกไม่มีฝีมือ อ้างว่าพื้นที่กว้างบ้าง ก็เลยเพิ่มวัสดุมาเรื่อย ๆ แล้วให้เราจ่ายเงินไปเรื่อย ซึ่งอาตมาเจอมาแล้ว ไปติดตั้งจนเต็มศาลาไปหมด หมดเงินไปเป็นแสน ๆ บาท ตอนหลังต้องรื้อทิ้งไปเฉย ๆ เพราะว่าคนใหม่เขามีฝีมือ ใช้แค่ไม่เท่าไรก็แก้ไขได้แล้ว"

เถรี 03-11-2015 17:25

พระอาจารย์กล่าวถึง "เสื้อหมาหัวเน่า" ว่า “เดี๋ยวถ้าเสื้อเหลือแล้วให้ตัวเล็กไปลงกระทู้นะ ตัวละ ๓,๐๐๐ บาท ...(หัวเราะ)... นี่เกรงใจแล้วนะ ว่าจะเอาตัวละ ๓,๕๐๐ บาท บอกแล้วว่าตั้งใจทำมาขายแพง ๆ พระอาจารย์แปลงกายเป็นดีไซเนอร์ จะไปหาที่ไหนได้ สามารถประกาศได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เสื้อนี้พระอาจารย์ออกแบบเอง เพียงแต่ต้องการความกล้าหาญในการใส่หน่อย ถ้าหากว่าติดตลาดเมื่อไรจะผลิตขายต่างประเทศเลย ดูท่าว่าตัว ๓,๐๐๐ บาทนี่จะถอนทุนคืนได้พอดี”

เถรี 03-11-2015 17:36

ถาม : ท่านเคยได้ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรให้ใครไปบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่เคยเลย...ยังไม่มีคำสั่ง ขืนไปครอบครูเดี๋ยวตูก็โดนครอบแทนเท่านั้น..! หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้รับอนุญาตให้ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรตอนอายุ ๗๕ ปี ขึ้น ๗๖ ปี อาตมายังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะได้รับอนุญาตเมื่อไร

เถรี 03-11-2015 19:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาติดหวัดจากใครก็ไม่รู้ ? พอรับสังฆทานเสร็จขึ้นไปพักนี่หมอบกระแตเลย ด้วยความที่เป็นคนไม่มีภูมิคุ้มกัน เพราะกินยารักษามาลาเรียจนภูมิคุ้มกันโดนกดจนเลิกทำงาน ใครเป็นหวัดหรือเป็นอะไรติดเชื้อหน่อยหนึ่งผ่านมากระทบนี่จะเป็นไปกับเขาทันที"

เถรี 03-11-2015 20:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธรูปบ้านเราถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ได้บทสรุปชัด ๆ แล้ว แต่บางอย่างคนก็ยังไม่เข้าใจ อย่างเช่นคำว่าพระพุทธรูปศิลปะตะกวน ศิลปะตะกวนเป็นศิลปะตอนต้นของสุโขทัยที่ยังปนพุทธลักษณะแบบลังกามามาก คนได้ยินแล้วจะงงว่ารูปแบบตะกวนเป็นอย่างไร ไม่รู้จัก

สมัยนี้ถ้ามีช่างฝีมือดี ๆ ปั้นขึ้นมาองค์หนึ่งก็ถอดแบบด้วยคอมพิวเตอร์ ...(หัวเราะ)... องค์ต่อ ๆ ไปเหมือนกันเปี๊ยบ ตอนนี้ยุครัตนโกสินทร์ของเราก็นับศิลปะพระพุทธรูปแบบรัชกาล ก็คือสร้างพระพุทธรูปแล้วมีจีวรลายดอกพิกุล ส่วนช่วงยุคกลางกับยุคปลายนี่ยังไม่ได้สรุป ต้องบอกว่ายุคต้นกับยุคกลางก็คือพุทธลักษณะแบบรัตนโกสินทร์ที่จีวรมีลายดอกพิกุล

อาตมาไปที่พิพิธภัณฑ์พระเชียงแสน เจ้าหน้าที่เขาก็ตามมาอธิบาย อธิบายไปอธิบายมาเลยบอกว่า “ขอโทษทีหนู..เรื่องนี้หลวงพ่อรู้เยอะกว่า” แล้วก็สอนคืน ...(หัวเราะ)... ก็คือแต่ละยุคของพุทธศิลป์ อย่างเช่นว่าสุโขทัยตอนต้นที่เขาเรียกว่าตะกวน ก็จะติดแบบพุทธศิลป์ลังกามามาก พอมาระหว่างสุโขทัยตอนปลายต่ออยุธยาตอนต้น ศิลปะก็จะผสมผสานกัน เป็นต้น คุณหนูเธอทำการบ้านมาดีหรอก แต่สายตาไม่ถึง อธิบายจ้อย ๆ ไปตามตำรา แต่ของที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ อาตมาก็เลยต้องทักท้วง

พิพิธภัณฑ์พระเชียงแสน ถ้าใครมีโอกาสควรที่จะเข้าไปดู อย่าไปเกี่ยงว่าค่าตั๋วแพง ๒๐๐ บาทนี่ได้ดูเบญจภาคีเต็ม ๆ ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด คุ้มค่ามาก โดยเฉพาะบรรดาเหรียญเบญจภาคี พระเครื่องเนื้อชินชุดเบญจภาคี เรื่องของวัตถุมงคลถ้าเราได้เห็นของจริงบ่อย ๆ จะทำให้เรามีความมั่นใจที่จะฟันธงว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นของทันยุคสมัยหรือของทำเลียนแบบ"

เถรี 03-11-2015 21:24

ถาม : มีโยมมาปรึกษาเรื่องปีชงครับ ควรจะตอบเขาว่า ?
ตอบ : ก็เลิกชงสิ ให้คนอื่นชงให้กินแทน...! เรื่องของปีชงเป็นความเชื่อตามคติแบบของจีน ถ้าเป็นแบบของไทยเราก็สอนให้เขาสะเดาะเคราะห์ถวายสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลาไป ถ้าจะเอาแบบจีนก็ต้องไปไหว้เจ้า เขาระบุว่าองค์ไหน ที่ไหน ไหว้แล้วแก้ชงปีอะไร เราก็ไปตามนั้น

เถรี 03-11-2015 21:53

ถาม : ผมเคยอ่านในพระไตรปิฎกที่พระมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัติ ในนั้นไม่ได้กล่าวไว้ว่าร่างกายจะอ่อนเพลีย ?
ตอบ : ก็เขาไม่ได้บรรยาย พระพุทธเจ้าถึงขนาดห้ามเข้าเกิน ๑๕ วันเพราะร่างกายจะขาดสารอาหารมาก

ผมเข้ากรรมฐาน ๓ วันออกมา ผมก็เดินขึ้นเขาไปรับบิณฑบาต ถามว่าเพลียไหม ? ก็มีบ้าง เพราะร่างกายขาดธาตุอาหาร ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจที่บาลีเขากล่าวว่า บรรดาฤๅษีที่ไปจำพรรษาในป่าหิมพานต์ ถึงเวลาอยากเปรี้ยวอยากหวานขึ้นมาก็ต้องเข้ามายังเมืองมนุษย์ ความจริงคือร่างกายขาดธาตุอาหาร คุณเก่งขนาดไหนก็ต้องหาให้เขาบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ชำรุดหมด ขำพระสมุห์กอล์ฟ เขาบอกว่าเขากินเต็มที่ ๓ วัน ๖ มื้อ เดินขึ้นเขายังต้องพัก ๒ รอบ หลวงพ่ออดมาสามวันเดินขึ้นเขารวดเดียวเลย


ถาม : แล้วเวลาจะเข้ากรรมฐานแบบนี้ต้องอธิษฐานกันไว้ก่อนไหม อย่างเช่นที่ว่ามดจะมาเจาะตา ?
ตอบ : คนละอย่างกัน เพราะไม่ได้หมดสติเหมือนคนทั่วไป ระบบร่างกายของบางท่านก็ทำงานเป็นพัก ๆ เวลาคลายสมาธิออกมา บางท่านก็ไปยาวเลย แต่คราวนี้ว่ากำลังสมาธิของท่านคุ้มได้ ต้องดูอย่างพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านโดนไฟเผาเป็นตอตะโกก็ยังไม่เห็นเป็นอะไร ถึงเวลาท่านก็ลุกมาหาผ้าครองใหม่

แต่ถ้าคนไม่เคยชินตอนคลายสมาธิใหม่ ๆ นี่หัวใจจะเต้นเร็วมาก บางทีร่างกายถึงขนาดเป็นลมไปเลย เหมือนกับว่าอวัยวะหยุดทำงานไปนาน ๆ พอจะทำงานใหม่ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ประเภทออกแรงมากเพื่อที่จะขับเคลื่อนระบบทั้งร่างกาย เหมือนอย่างกับเครื่องยนต์ขาดน้ำมันหล่อลื่น เพราะฉะนั้น...หัวใจจะเต้นแรงมาก น่าจะเกิน ๑๐๐ ครั้งต่อนาที รับรองว่ามีแต่เกินไม่มีขาด พอหัวใจเต้นแรง ๆ แล้วมีอาการเหนื่อยหอบเหมือนจะเป็นลม ก็เลยทำให้เห็นว่าจริง ๆ ระบบร่างกายนี้เหนื่อยยากจริง ๆ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว