กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4631)

เถรี 05-10-2015 19:11

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๘
 
พระอาจารย์กล่าวสอนว่า "การที่เรากระทบกระทั่งกับใคร ถือเป็นบทเรียนให้เรานำมาพัฒนาตนเอง เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาก็มีโยมคนหนึ่ง ตั้งใจจะไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน พอไปกระทบอารมณ์เข้าก็เปลี่ยนใจว่าไม่อยู่แล้ว วัดนี้เรื่องมาก ต้องบอกว่าเขาฉลาดน้อยไปหน่อย สถานที่ใดก็ตามที่ไม่มีแรงกระทบเลย เราไม่สามารถวัดตัวเราเองได้ว่า การปฏิบัติของเราไปถึงไหนแล้ว แต่ถ้าสถานที่ใดมีแรงกระทบอยู่ตลอดเวลา แล้วเรารู้จักนำมาพัฒนาตนเอง การปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าเร็วมาก เหมือนกับมีเครื่องวัดว่าตอนนี้กำลังใจของเราเป็นอย่างไร ? ขึ้นหรือลง ? เมื่อเรารู้จักนำมาพัฒนาตนเอง ก็จะได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

บางคนไปวัดหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ เวลาท่านไปไหนจะได้แห่ตามไปด้วย ฝันไปเถอะ..! ถ้าคิดแบบนั้นแล้วกำลังใจต่ำมาก อย่าไปอยู่วัดเลย

อาตมาบวชอยู่วัดท่าซุง ๗ พรรษาเต็ม ๆ ขึ้นปีที่ ๘ ไม่เคยไปต่างประเทศกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเลยสักครั้งเดียว แม้ว่าท่านจะชวนก็ปฏิเสธ ไม่ใช่เสียดายค่าเครื่องบินเท่านั้น แต่ถ้าไปกันหมดแล้วใครจะทำงานที่วัด ? แม้กระทั่งในประเทศซึ่งจัดเวรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตามไปรับใช้ท่าน อาตมาก็เคยไปครั้งเดียว ที่เหลือไม่ไป อยู่ทำงานที่วัดดีกว่า ถึงได้ว่าพอออกจากวัดมาแล้ว หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ต้องหาพระไปแทนตั้ง ๕ รูป คราวนี้รู้หรือยังว่างานที่อมไว้เยอะขนาดไหน ? ถ้าเรายังไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่
แล้วจะมีใครทำงาน ?

วันก่อนในงานของครูบาวิฑูรย์ถึงได้กล่าวว่า การที่จะทำงานถวายการรับใช้ครูบาอาจารย์ เราต้องมีความเสียสละ ไม่ใช่เอาแต่ไปเสนอหน้าอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ถ้าอย่างนั้นงานไกลงานห่างใครจะทำ ?

ดังนั้น..การที่ญาติโยมบอกว่ามาทดลองอยู่แล้วไม่สามารถที่จะอยู่ได้ คงต้องไปอยู่ที่อื่น อาตมาไม่ได้เสียดายเลย แต่ถ้าเสียดายก็คือเสียดายว่า เขาไม่รู้จักใช้วิกฤตินั้นเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง ถ้าอาตมาคิดอย่างเขา ชาตินี้พระอาจารย์เล็กไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก เพราะฉะนั้น..สู้ต่อไปไอ้มดแดง...!"

เถรี 05-10-2015 19:14

"ใครทำอะไรไม่ดีกับเราให้จำเอาไว้เป็นบทเรียน ว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นกับคนอื่น ส่วนใครทำดีกับเราให้จดจำเอาไว้ มีโอกาสก็ทดแทนเขาไป ใหม่ ๆ จะทำใจยาก แต่ทำไปเถอะ ถึงเวลาแล้วจะดีกับตัวเราเองทั้งนั้น อาตมาถึงได้ใช้คำว่า "ใครวางก่อนสบายก่อน ใครอยากแบกก็ช่างหัวมัน" โอกาสดี ๆ มาถึงแท้ ๆ แต่กลับเห็นเป็นเรื่องไม่ดี

สถานที่จะดีแค่ไหนก็ตาม ครูบาอาจารย์จะดีแค่ไหนก็ตาม คนก็ยังเป็นคนอยู่วันยันค่ำ ขึ้นชื่อว่าคนแล้วย่อมมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็มหัวเป็นปกติ อะไรพอทนได้ก็ทน อะไรพออภัยได้ก็อภัย ถ้าเหลืออดเหลือกลั้นจริง ๆ ก็พิจารณาต่อไปเลยว่า สภาพที่เราเจออย่างนี้ยังอยากได้อีกไหม ? ยังอยากเกิดอีกไหม ? ขนาดในแวดวงของผู้ปฏิบัติธรรมยังมีแต่ทุกข์แต่โทษขนาดนี้ แล้วด้านนอกจะไม่มีนั้นจะเป็นไปได้หรือ ?

อดีตแม่ชีชไมเคิลหลุดวงโคจรไปคนหนึ่งแล้ว ไม่รู้จักใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสของตนเอง ซึ่งหลัก ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็คือสักกายทิฐินั่นแหละ ...กูทำดีอยู่แล้ว ทำไมคนอื่นทำไม่ดีกับกู ?... ไปคิดอย่างนั้นก็บรรลัย ถ้าหากว่ากูดีจริง คนอื่นเขาก็ต้องดี

อะไรที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นระเบียบวินัยก็ทำไป เพราะอย่างไรเราก็ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่มากก็น้อย มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะทิ้งสังคมเลยเป็นไปได้ยาก เพียงแต่ว่าการปฏิสัมพันธ์นั้น เราต้องพยายามรักษากำลังใจของเราเอาไว้ให้ดี"

เถรี 05-10-2015 19:31

พระอาจารย์กล่าวถามโยมที่โดนรุมกระทืบมาว่า "ตกลงรอดสหบาทามาได้ใช่ไหม ? บริษัทนี้คนเยอะ เขาเรียกบริษัทสหบาทาไม่จำกัด (๒๐ คนครับ) แล้วไปตกอยู่ในเหตุการณ์ได้อย่างไร ? (เปิดประตูรถไปกระแทกถูกเขาพอดี)

คนเราสมัยนี้ต้องบอกว่าใจเร็วใจร้อน ไม่ค่อยมีการให้อภัยกัน บางอย่างก็เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เขาตีความว่าเราเจตนาที่จะไปทำเขาก่อน ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา โดนรุมเหยียบรุมกระทืบกันขนาดนั้น ถ้าไม่มีของดีครูบาอาจารย์คุ้มครองอยู่ คงได้สิ้นชีวากันเป็นแน่

กำลังใจของคนเราแย่ไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ วันก่อนเขาส่งคลิปมาทางไลน์ ผัวเก่าขับรถชนผัวใหม่ แล้วลงไปกระทืบซ้ำ ไปกระทืบทั้ง ๆ ที่ศพเลือดนองบนถนน กำลังใจย่ำแย่ขึ้นทุกวัน ยังไม่ทันถึงช่วงปลายของพระศาสนาเลย เลยกลาง ๆ มาแค่ ๕๐ กว่าปียังแย่ขนาดนี้

คราวหน้าแขวนวัตถุมงคลหลาย ๆ วัดหน่อย หลวงพ่อหลาย ๆ องค์ท่านจะได้ช่วยกัน ไปแขวนอยู่วัดเดียว ตูเลยปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้...!"

เถรี 05-10-2015 19:52

ถาม : เวลาร่างกายมีอาการเจ็บปวด ถ้ามีสมาธิหรือมีสติก็พอจะหยุดได้ แต่พอถอยออกมาแล้วก็โดนกระหน่ำ มีเทคนิคใดไหมคะนอกจากมีสติตลอดเวลา ?
ตอบ : ไม่มี...ธรรมชาติของร่างกายเป็นอย่างนั้นเอง คันก็เกา เอาให้ถลอกไปเลย ก็รู้อยู่ว่าถ้าถอยสมาธิออกมาแล้วจะเป็น แล้วไปถอยออกมาทำอะไร ?

เถรี 05-10-2015 19:54

ถาม : คนที่เก่ง ฉลาด เป็นเพราะชาติที่แล้วภาวนา ?
ตอบ : สมาธิภาวนาทำให้ปัญญาเกิด ถ้าเก่งในยุคปัจจุบันมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คืออดีตเคยภาวนามา อย่างที่สองก็คืออดีตเคยทำอย่างนั้นมาแล้ว พอมาทำใหม่จึงมีความคล่องตัวมากกว่าคนอื่นเขา

ถาม : พ่อแม่เขาเป็นหมอ เกิดมาฉลาดมากเลย แสดงว่าชาติที่แล้วพอจะมาทางนี้บ้าง แต่ชาตินี้ไม่ค่อยจะศรัทธาศาสนา แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : คนเราไม่ใช่ว่าจะดีทุกชาติ ถ้าดีทุกชาติป่านนี้ไปพระนิพพานกันหมดแล้ว ก็มีดีบ้างชั่วบ้างสลับกันไป ตอนนี้ผลในส่วนไม่ดีให้ผลอยู่ ผลในส่วนดีก็ถอยหลังก่อน เป็นเรื่องปกติ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้ามีของเก่าแล้วไม่ได้ต่อ ชาติต่อไปหวังจะกลับมาก็ยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วกิเลสไม่เปิดโอกาสให้เราหรอก มีแต่เราเปิดโอกาสให้กิเลสเป็นประจำ

เถรี 05-10-2015 20:18

ถาม : ถ้าไม่ได้ป่วยแล้วหัวใจเต้นช้าลง เกี่ยวกับภาวนาไหมคะ ? ไปตรวจสุขภาพวัดการเต้นของหัวใจได้ ๔๙ ค่อย ๆ ลดลงทุกปี ?
ตอบ : ของอาตมานี่ถึง ๖๐ ก็เก่งมากแล้ว ไปตรวจสุขภาพประจำปี หัวใจเต้น ๕๒ ครั้งต่อนาที หมอบอกว่า “ถ้าไม่รู้ว่าท่านปฏิบัติสมาธิมา จะโด๊ปน้ำเกลือให้ ๒ ขวดแล้ว”

เถรี 05-10-2015 20:47

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปปีนหอจ่ายน้ำประปาของวัดที่สร้างยังไม่เสร็จ ปีนขึ้นปีนลงเพื่อถ่ายรูป คราวนี้ยอดถังน้ำที่สูงอยู่แล้ว อาตมายังต้องขึ้นไปบนนั่งร้านที่สูงกว่าอีก เพื่อที่จะถ่ายรูปถังน้ำให้ได้ มองลงไปแล้ว "เออ...หวิว ๆ เหมือนกันว่ะ" ถามว่ากลัวตายไหม ? ไม่ใช่กลัวตาย แต่ทำไมความรู้สึกถึงเป็นอย่างนั้น เหมือนกับสัญชาตญาณระแวงภัย ถึงเวลาจะขึ้นจะลง ตอนนั้นจะระวังไปหมด เพราะเหลือแต่นั่งร้านเหล็กโด่เด่อยู่อันเดียว"

ถาม : เราหวิวเพราะเราไม่มั่นใจหรือเปล่า ?
ตอบ : ฝรั่งเขาทำวิจัยแล้วว่า ความสูง ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะรู้สึกเสียวทุกคน บางคนกลัวชนิดที่ขยับไม่ได้เลย

ถาม : ที่วัดหนองหญ้าปล้องรู้สึกหวิวไหมคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าหลวงพ่อโนรีขึ้นไปถึงสั่นแหง็ก ๆ อยู่ข้างบน อาตมาถามว่าสั่นอะไรกันนักหนา ท่านบอกว่า “ตื่นเต้นครับอาจารย์” ท่านเองไม่เคยฝึกทหาร ไม่เคยลงจากที่สูง ไม่เคยโดดร่ม ท่านก็ลำบากหน่อย สั่นชนิดที่บังคับตัวเองไม่ได้เลย หลวงปู่นริศบอกว่า “ปล่อยอาจารย์เล็กไปคนเดียวเถอะ กูไม่ไปด้วยหรอก กูกลัวโว้ย”

ก็มีอย่างที่ไหน สลิงเส้นเดียวลากขึ้นไปสูงขนาดนั้น คือถ้าอาตมาไม่ขึ้นไปให้ดูเป็นตัวอย่าง คนอื่นเขาก็ไม่กล้าขึ้นกัน พวกช่างเขาไม่กล้าขึ้น แล้วเขาจะไปประกอบเศียรพระได้อย่างไร ? ก็ต้องขึ้นไปเป็นตัวอย่างให้เขาดู


ถาม : สมาธิที่ทำให้ตัดตัวนี้ได้ จริง ๆ ก็แค่ทำให้ไม่รับรู้ ไม่ใช่ตัดความกลัว ?
ตอบ : ใช่...ทำให้กล้ากว่าเขาหน่อยเท่านั้นเอง ก็แบบเดียวกับท่านโมเช่ ท่านโมเช่มีความสามารถสารพัด แต่กลัวมาก เป็นคนขี้กลัวลักษณะว่าปลอดภัยไว้ก่อน อย่างไปเจอฝูงควายกลางป่า แกเองจะวิ่งหนีท่าเดียว พอเห็นว่าอาตมาไม่หนีจริง ๆ แกตวาดทีเดียว ควายทั้งฝูงกลายเป็นตุ๊กตาไปเลย ยืนทื่อทำอะไรไม่ได้ทั้งฝูง ปล่อยให้พวกเราเดินผ่านไปแต่โดยดี ฝีมือขนาดนั้นแต่แกจะหนีท่าเดียว อะไรที่เสี่ยงแกไม่เอา แกเอาปลอดภัยไว้ก่อน เอะอะก็ “อาจาง..หนีก่อง” แต่อาจารย์ไม่ยอมหนี พออาจารย์ไม่หนี แกก็เลยต้องสู้ไปด้วย

เถรี 05-10-2015 21:55

ถาม : ระหว่างบวชกับเป็นฆราวาส อย่างไหนจะละกิเลสได้ยากกว่ากัน ?
ตอบ : ยากพอกัน เพียงแต่ความเสี่ยงของพระมากกว่า ที่ใช้คำว่า "ยากพอกัน" เพราะว่าในชีวิตของความเป็นพระ ก็แค่เรามีความกังวลน้อยกว่า น่าจะละได้ง่ายกว่า แต่กำลังใจในการตัดละกิเลส สิ่งกระทบจะมีน้อยลงไปด้วย เพราะพระเราเป็นปูชนียบุคคล คนให้ความเคารพบูชามากกว่า ในเมื่อสิ่งกระทบมีน้อย โอกาสที่จะวัดอารมณ์ใจตนเองก็น้อยลงไปด้วย

ส่วนชีวิตฆราวาสเป็นทางคับแคบ การกระทบกระทั่งมีมาก ถ้าปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ก็ยิ่งยึดยิ่งติดหนักขึ้น แต่ถ้าตั้งใจที่จะปล่อยปละละวางจริง ๆ เอาแรงกระทบต่าง ๆ นั้นมาเป็นเครื่องวัดกำลังใจตัวเอง การปฏิบัติของเราก็จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้น..อยู่ที่เราตัดสินใจ แต่ชีวิตฆราวาสถ้าแต่งงานมีครอบครัวเมื่อไร เครื่องถ่วงจะมีมากมหาศาล เมื่อถึงเวลานั้นอย่าไปคิดเลยว่าจะหนีได้ คนที่ยังไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว มาปฏิบัติธรรมก็ยังพอไปได้สบายหน่อย

เถรี 06-10-2015 07:00

ถาม : กระผมนั่งสมาธิโดยการภาวนาพระคาถาเงินล้านบ้าง โดยการเพ่งกสิณแสงสว่างด้วยลูกแก้วบ้าง การภาวนาพระคาถาเงินล้านไม่มีปัญหานัก ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามกำลังใจ แต่การเพ่งกสิณนั้น เมื่อจับภาพลูกแก้วได้ชัดเจน และภาวนากำหนดลมหายใจไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลูกแก้วเริ่มขาวใส และสว่างขึ้นตามลำดับ แต่พอถึงจุดที่เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาจากดวงกสิณ กระผมจะหลุดจากสมาธิทันที และเป็นแบบนี้ทุกครั้ง อยากเรียนถามพระอาจารย์ว่าควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำใจให้ได้ว่า สว่างวาบอย่างไรก็ไม่ตายหรอก ที่เราหลุดจากสมาธิเพราะตกใจ ที่ตกใจเพราะกลัว ที่กลัวเพราะกลัวตาย..!

เถรี 06-10-2015 07:05

ถาม : การนำรูปภาพจากอินเตอร์เน็ตที่เจ้าของเดิมใส่ลายเส้นไว้ มาตัดต่อและใส่ชื่อว่าเป็นของตัวเองลงไป หรือตัดต่อแล้วนำไปแสวงหาประโยชน์อื่น ๆ เป็นการกระทำที่ผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ รู้ว่าเขาหวงแล้วยังอุตส่าห์เอาของเขาไปหากินอีก

เถรี 06-10-2015 07:08

ถาม : การตั้งพระที่หน้ารถเรา ควรตั้งหันหน้าเข้าหาเรา หรือควรตั้งหันออกไปทางหน้ารถดีคะ ? บางท่านบอกว่า ต้องให้องค์พระหันหน้าไปด้านหน้า ให้ท่านช่วยดูทาง และปัดเป่าภยันตรายแก่เราค่ะ ?
ตอบ : เอาที่คุณสบายใจเลย...!

เถรี 06-10-2015 07:09

ถาม : "จิต" เกิดขึ้นมาจากอะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? หมายถึง จิตดวงแรกนะครับ ต้นกำเนิดหรือจุดเริ่มต้นของจิตมนุษย์และสรรพสิ่งเกิดมาจากอะไรครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้ายังไม่ตอบเลย...ตูไม่ได้เก่งขนาดนั้น...!

เถรี 06-10-2015 07:16

ถาม : เจ้าภาพประกาศชัดเจนว่า ตั้งใจนำเงินนี้มาสร้างห้องน้ำให้วัด แต่มีคนหนึ่งเข้าใจว่านำเงินมาสร้างเครื่องกรองน้ำให้วัด และก็ไม่ได้บอกเจ้าภาพว่านำเงินมาสร้างเครื่องกรองน้ำให้วัด เมื่อเงินนั้นถวายให้วัดไปแล้วผ่านไปหลายเดือน ภายหลังเมื่อเจอกันเขาสอบถามว่าเครื่องกรองน้ำของวัดเป็นอย่างไรบ้าง ? อยากทราบว่า เจ้าภาพจะมีโทษใดหรือไม่ครับ ? ถ้าไม่ทราบเลยว่าเงินที่เขาร่วมบุญมานั้นผิดวัตถุประสงค์
ตอบ : เขาเรียกว่าซวยแบบไม่รู้ตัว เงินทำบุญต้องทำตามเจตนาของเจ้าของเขา ไม่อย่างนั้นเขาปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ซึ่งเป็นสิ่งเคารพของคนหมู่มาก พวกไม่รู้ภาษามีเยอะ เพราะฉะนั้น..จะรับไปบอกบุญใครก็ระมัดระวังไว้นิดหนึ่ง ของอาตมาอยู่ ๆ โยมส่งซองมาเขียนว่า ร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก บอกโคตรแม่มึงไปทำเองเถอะ...!

ถาม : และเมื่อรู้แล้วแจ้งกับเจ้าของเงินว่านำเงินมาสร้างห้องน้ำให้วัด ไม่ได้สร้างเครื่องกรองน้ำ ผู้ร่วมบุญเขาเข้าใจ อย่างนี้เจ้าภาพจะมีโทษใดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตกลงกันได้ก็จบ ถ้าเขาไม่ยินยอมก็ไปซื้อเครื่องกรองน้ำถวายให้เขาเสียดี ๆ

เถรี 06-10-2015 07:17

ถาม : ขออนุญาตกราบเรียนถามเรื่องตะกรุดมหาระงับและธงมหาระงับครับ ว่าทั้ง ๒ อย่างนี้มีอานุภาพเด่นในทางด้านใดบ้างครับ ?
ตอบ : เด่นทางมหาระงับ...!

เถรี 06-10-2015 07:18

ถาม : ท่านเจ้าที่ผู้ดูแลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านมีนามว่าอะไรครับ ? ผมจะทำสังฆทานอุทิศถวายท่าน เพื่อขอให้ท่านสงเคราะห์ให้ลูกชายได้เข้าศึกษาต่อที่นั่นครับ กราบขอพระอาจารย์ได้กรุณาชี้แนะด้วยครับ ?
ตอบ : ไปบน "พิงคเทพบุตร" ท่านไม่ได้ดูแลแต่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านดูแลทั้งเมืองเลย

เถรี 06-10-2015 07:21

ถาม : ที่พระอาจารย์เคยมากราบพระพุทธรูปสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อนานมาแล้ว อยากขอความเมตตาแนะนำพระพุทธรูปที่สำคัญ ๆ ในเมืองเชียงใหม่ครับ เพื่อจะได้ไปกราบนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต ?
ตอบ : พระพุทธรูปไม่มีองค์ไหนไม่สำคัญ เพราะฉะนั้น..ไปกราบให้หมดทั้งเมืองเชียงใหม่เลย...!

เถรี 06-10-2015 07:22

ถาม : การที่ยังเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เกิดจากพร่องในส่วนของสังโยชน์ ๒ ข้อแรก หรือพร่องในส่วนของศีลครับ ?
ตอบ : พร่องทั้งหมดนั่นแหละ..!

เถรี 06-10-2015 07:23

ถาม : หลังจากหนูนั่งกรรมฐาน พอคลายกำลังใจออกมา ตามองเห็นอะไร ใจก็บอกว่าเป็นสมมุติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของรอบตัว, ผู้คน หรือแม้กระทั่งร่างกายของตัวเอง เหมือนมีคำว่าสมมุติลอยอยู่รอบตัวเต็มไปหมดเลยค่ะ พอพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างเป็นสมมุติ หนูเลยรู้สึกว่าการงานที่ทำอยู่ทุกอย่างก็เป็นการสมมุติทั้งสิ้น ทำให้ตอนทำงาน กำลังใจจะรู้สึกว่า "สักแต่ว่าทำหน้าที่ของตนให้เสร็จ ๆ ไปในแต่ละวัน" แต่หนูก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ เรื่องนะคะ อยากขอเมตตาช่วยชี้แนะว่า สิ่งที่หนูพิจารณาอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ ? และควรพิจารณาต่อจากนี้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้ารู้ว่าเป็นสมมุติแล้วไม่ไปยึด จิตใจปลดออก พร้อมที่จะละสมมุตินั้นไปทุกเวลา ก็เป็นอันว่าใช่

เถรี 06-10-2015 07:36

มีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุงครั้งหนึ่ง ปกติเวลา “พระ” ท่านสงเคราะห์ จะเหมือนกับเป็น “ม่านแก้ว” บาง ๆ ลงมาอย่างกับฝนตกอย่างนั้น คราวนี้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง พอหลับตาลงปั๊บ รู้สึกเหมือนจะหงายหลัง เพราะว่า “กระแสมาแรงมาก” เป็นพายุเลย อาตมาก็แปลกใจมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้แรงผิดปกติขนาดนี้ ?

ตอนนั้นหลวงพ่อ (ฤๅษีลิงดำ) ท่านพุทธาภิเษก “สมเด็จหางหมาก” ปรากฏว่า พอมาอีกสักครู่หนึ่งก็สว่างขึ้น ๆ ๆ สว่างจนบอกไม่ถูกนะ ว่าสว่างกันขนาดไหน แล้วอยู่ ๆ ไฟฟ้าก็ดับพรึ่บไปพร้อม ๆ กัน เล่นเอาพวกเจ้าหน้าที่ดูแลเครื่องไฟวิ่งกันตับแล่บเลย ปกติงานอย่างนี้ไม่เคยเสีย อยู่ดี ๆ ก็ดับพร้อม ๆ กัน แล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าเบรกเกอร์ตัดอีท่าไหน อยู่ ๆ ก็ดีดมาเฉย ๆ เหมือนอย่างกับว่ามีไฟช็อต กำลังไฟเกินแล้วก็ดับอย่างนั้น ก็แค่ยกกลับขึ้นไปไฟก็ติดตามเดิม

พอพุทธาภิเษกเสร็จ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า… วันนี้ “พระ” ท่านทำสมเด็จหางหมากรุ่นนี้ให้เป็น “พิเศษ” เพื่อกันพวก “รังสีนิวเคลียร์” ภายในรัศมี ๔ เมตร นิวเคลียร์เข้าไม่ได้ ใครมีพระรุ่นนั้นก็สบายเลย อาตมาก็ไม่นึก เพราะว่ากระแสไม่เคยมา “แรง” ขนาดนั้น

เรื่องของ “พระ” หรือ “เทวดา” พุทธาภิเษกแต่ละครั้ง ถ้าท่านเคยสงเคราะห์เท่าไร ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าท่าน “เพิ่มอะไรให้เป็นพิเศษ” ท่านก็จะบอกให้

เล่าโดย หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

............................................................

ถาม : จากข้อความด้านบน ขอกราบเรียนถามว่า เป็นพระหางหมากรุ่นไหนครับ ?
ตอบ : ให้ค้นต่ออีกนิดก็ได้คำตอบแล้ว อย่าโง่นัก..!

เถรี 06-10-2015 07:41

ถาม : กระผมอยากจะทราบวิธีฝึกกสิณที่ถูกต้องครับ พอดีผมลองฝึกโดยการเพ่งเปลวไฟที่จุดจากเทียน พอลองเพ่งดูสักพักก็เป็นภาพติดตา ลองมองไปข้าง ๆ รอบบริเวณก็จะเห็นภาพไฟติดตาไปด้วย ลองหลับตาก็เห็นเป็นแสงตกค้างของไฟ ทีนี้เวลาผมเพ่งโดยการหลับตาและใช้วิธีเพ่งภาพตกค้างที่ได้ แต่ภาพที่ติดตานั้นมักจะเลื่อนไปตามสายตาด้วย กลอกตาไปทางไหนก็เลื่อนไปด้วย แต่เหมือนกับว่าอยู่เหนือระดับสายตาไปนิดหน่อย ก็เลยพยายามเพ่งมองให้ได้แบบตรง ๆ เช่น เลื่อนขึ้นข้างบน ผมก็ตามมองไปเรื่อย ๆ ภาพก็เลื่อนขึ้นเรื่อย ๆ ผมมองจนตาเหล่ขึ้นข้างบนก็ไม่ยอมหยุด มองตามจนปวดตา ปวดหัว ผมก็เลยคิดว่าผมน่าจะฝึกผิดวิธี เลยอยากจะทราบวิธีการฝึกกสิณที่ถูกต้องครับว่าควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ยังอุตส่าห์รู้ตัวว่าผิด การฝึกกสิณทุกกองให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึง จะนึกภาพนั้นได้ครู่หนึ่งแล้วหายไป ก็ให้ลืมตามองแล้วหลับตาลงนึกถึงใหม่ จนกว่าภาพนั้นจะชัดเจน ทั้งลืมตาและหลับตาเห็นเหมือนกัน แล้วรักษาประคับประคองภาพนั้นไว้ไปเรื่อย ๆ ภาพนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับสมาธิของเราเอง ไม่ใช่ไปนั่งเพ่ง

เถรี 06-10-2015 07:42

ถาม : ของที่เรานำมากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปที่บ้านของเราแล้ว เราสามารถนำอาหาร ขนม ผลไม้เหล่านั้นไปถวายพระภิกษุสงฆ์โดยการใส่บาตรหรือถวายภัตตาหารที่วัดได้หรือไม่คะ ? จะเป็นการสมควรหรือไม่คะ ? จะถือเป็นการถวายของเดิมซ้ำหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถวายได้ เป็นการสมควร ถวายซ้ำก็ได้บุญซ้ำอีกรอบหนึ่ง

เถรี 06-10-2015 07:44

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อ ขอทราบประวัติครูบาศรีวิชัย ในแบบฉบับของพระอาจารย์ครับ ?
ตอบ : เกิด โต บวช แก่ ตาย จบ

เถรี 06-10-2015 07:48

ถาม : เวลาเราเดินทางไปต่างจังหวัด กระผมจะเลือกพกและอาราธนาวัตถุมงคลที่มีอานุภาพทางด้านป้องกันเป็นพิเศษ เช่น มีดหมอเพชราวุธหรือตะกรุดมหาสะท้อน กระผมเกรงว่าการอาราธนาวัตถุมงคลของเราจะเป็นการรบกวนเทวดา หรือท่านทั้งหลายที่ประจำอยู่ในสถานที่ซึ่งกระผมเดินทางผ่านหรือไป ซึ่งรวมถึงดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายในที่นั้น ๆ ด้วย กระผมกราบขอเมตตาพระอาจารย์ ชี้แนะวิธีการอาราธนาวัตถุมงคลให้ไม่เป็นทุกข์โทษเวรภัยกับท่านทั้งหลายด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องอาราธนา เอาไปถวายพระอาจารย์ซะ..!

ถาม : อย่างนี้พกไปอาราธนาไปเป็นทุกข์เป็นโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่คิดไปรังแกใครก็ไม่เป็นหรอก

เถรี 06-10-2015 07:48

ถาม : การถวายปัจจัยเข้าร่วมงานบุญ แต่ไม่มีเวลาและโอกาสในการไปร่วมงานบุญนั้น ๆ กรณีเช่นนี้มีอานิสงส์เป็นอย่างไร ?
ตอบ : คิดจะทำบุญ แค่คิดก็ได้บุญแล้ว

ถาม : แล้วการไปเองกับฝากไปนี่มีผลต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ไปด้วยตัวเอง ถ้าเหนื่อย อารมณ์เสีย บุญจะน้อยกว่าฝากเขาไป

เถรี 06-10-2015 11:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีโยมคนหนึ่งมากราบขอบพระคุณ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ขับรถไปพอจอดแล้วเปิดประตู บังเอิญไปกระแทกถูกเจ้าถิ่นก็เลยโดนรุมกระทืบ ก็ไม่มากไม่มายแค่ ๒๐ ตีนเท่านั้น...! แสดงว่าเป็นคนสติดีมาก ขนาดโดนกระทืบยังนับตีนของเขาได้ เจ้าถิ่นทิ้งให้กองอยู่ตรงนั้น พอลุกขึ้นมาได้ สำรวจตัวเองไม่เป็นอะไรเลย มีแต่รอยถลอกนิดหน่อย มาเล่าให้อาตมาฟังว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวพกตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ อยู่ดอกเดียว ก็เลยมาถามว่าที่นี่ยังมีอีกหรือไม่ ? จะขอบูชาไปให้ญาติพี่น้องบ้าง ปรากฏว่าในตู้เหลือแต่พระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ซึ่งใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไป ๓๐ ดอก คาดว่าต่อไปอาจจะถึง ๑๒๐ ตีนเป็นอย่างน้อย ขนาดพกดอกเดียวยังโดนไป ๒๐ ตีนเลย...!

ส่วนป้านุชส่งข้อความส่วนตัวมารายงานว่า เมื่อวานซืนออกจากที่นี่ไป ด้วยความที่ทำงานหนัก จึงหลับในไม่รู้ตัว ขับรถไปชนรถคันหน้าที่ติดไฟแดงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลงไปดูแล้วรถไม่มีแม้แต่รอยข่วนทั้งของเขาและของเรา ก็เลยต่างคนต่างไปแบบงง ๆ บอกว่าขอบพระคุณหลวงพ่อที่ช่วยคุ้มครอง อาตมาตอบไปว่า ที่คุ้มครองดูท่าว่าไม่ใช่อาตมาแน่ เพราะนั่งรับสังฆทานอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น..ไปขอบคุณให้ถูกที่แล้วกัน

เขาใช้คำว่า "เอารถมาเจิมที่นี่" เกิดเหตุอย่างนี้ ๒ ครั้งแล้วคือขับชนคนอื่น รถไม่เป็นอะไรทั้งของตัวเองและอีกฝ่ายหนึ่ง แต่พอคนอื่นขับมาชนกลับบุบไปทั้งแถบเลย ฉะนั้น..ต่อไปให้มีหน้าที่ชนคนอื่น แสดงว่าฝีมือดี ชนเขาแล้วไม่เป็นอะไร คาดว่าอาตมาคงเจิมรถให้เขาได้อีกไม่เกิน ๓-๔ คัน เพราะว่าแผ่นทองที่เข้าพิธีไว้และใช้เจิมมาเรื่อย ๆ บัดนี้จะหมดแล้ว ถ้าหมดเมื่อไรก็เลิกเจิม"

เถรี 06-10-2015 12:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้มีงานใหญ่ของวัดท่าขนุนอยู่ ๒ งาน คือ งานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๗ ตุลาคม พิธีบวงสรวงเริ่ม ๐๗.๓๐ น. เป่ายันต์รอบแรก ๑๐ โมง รอบสองบ่ายโมง ยังอยู่ในช่วงกินเจหรือเปล่า ? ถ้าอยู่ในช่วงกินเจคงต้องให้โรงทานออกอาหารเจสักโรง แต่กลัวว่าจะหมดก่อนเพื่อน

ส่วนวันที่ ๒๘ ตุลาคม
ช่วงเช้าเป็นงานตักบาตรเทโวฯ แล้วก็ทอดกฐินในช่วงบ่าย พระท่านสั่งให้เข้ากรรมฐานก่อนรับกฐิน ๓ วันเพื่อสงเคราะห์โยม ก็คาดว่าต้องเข้าวันที่ ๒๕-๒๖-๒๗ ตุลาคม แล้วไปออกเช้ามืดของวันที่ ๒๘ ตุลาคม ปกติเขาทำบุญกับพระออกกรรมฐานทั่ว ๆ ไป แต่ของเรานี่ถวายกฐินกับพระออกกรรมฐาน..!

เกรงอยู่อย่างเดียวว่าจะมีแรงเดินรับบาตรหรือเปล่า ? เพราะว่าตักบาตรเทโวฯ เริ่มประมาณ ๐๘.๓๐ น. กว่าจะเลิกก็ราว ๑๐.๓๐ น. ส่วนเรื่องกฐินตอนบ่ายไม่ต้องกังวล เพราะว่าอาตมานั่งเฉย ๆ อายุมาก กายสังขารเสื่อมโทรม ยังไม่รู้ว่าจะรับบาตรไหวไหม ? แต่ถ้าหากว่าพระท่านสั่งก็ต้องทำ อาตมาจะเป็นลมขายหน้าชาวบ้านก็ช่างเถอะ เพราะว่าตอนปกติร่างกายดี ๆ ไม่ได้เข้ากรรมฐาน กว่าจะรับบิณฑบาตเสร็จยังแทบจะเป็นลม

อาตมาเข้ากรรมฐานไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาหรอก พอสมาธิทรงตัว รักษาระดับได้ก็ทำงานไปเรื่อยเปื่อย เพียงแต่จำกัดเขตไม่ได้โผล่หน้ามาให้ชาวบ้านเห็นเท่านั้น"

เถรี 06-10-2015 20:53

"โชคดีที่อาตมาเกิดมาไตรกลีเซอไรด์สูงโดยกรรมพันธุ์ หมอตรวจแล้วบอกว่าไม่มีอะไรดีเลยครับ นอกจากอดข้าวได้นานกว่าคนอื่นเขา ก็คงเอามาใช้ตอนเข้ากรรมฐานนี่แหละ ที่บ้านของอาตมาไตรกลีเซอไรด์เกิน ๒๐๐ ทุกคน เป็นกรรมพันธุ์ คาดว่ารุ่นปู่ย่าตาทวดอดอยากลำบากอยู่ที่ประเทศจีนมาหลายชั่วอายุคน ก็เลยพัฒนาจนกระทั่งดีเอ็นเอสั่งให้ตุนอาหารไว้ในเลือดโดยอัตโนมัติ

โยมพ่อเล่าให้ฟังว่า คุณย่าเอาขี้เถ้ายัดปากลูกไป ๓ คน เกิดมาแล้วเลี้ยงไม่ไหว แล้วคุณย่าเป็นคนเดียวที่ตายแบบไม่สงบ คุณตานอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณยายนอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณพ่อนอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณแม่นอนหลับตายไปเฉย ๆ แต่คุณย่าก่อนตายประมาณ ๔-๕ วัน แกถือไม้เท้าอยู่ ใครเข้าใกล้โดนฟาดกระจายเลย..!

เราควรจะเข้าใจว่าคนจีนสมัยเก่า ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นต่างด้าว เข้าเมืองไทยมาแบบเสื่อผืนหมอนใบ มักจะบรรลุวิทยายุทธ์ระดับใดระดับหนึ่งเสมอ อาตมาเองเข้าไปเรียกให้ท่านกินข้าว ก็โดนตีกลิ้งไปเหมือนกัน เพราะท่านเห็นว่าจะมีคนมาเอาชีวิต ก็แปลว่าคุณย่าตายไม่ดีอยู่คนเดียว

ส่วนคุณปู่โดนลูกปืนตาย..! ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของคนส่วนมาก รับอาสาไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เขา แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม รู้ว่าคุณปู่ฝึกวิทยายุทธ์มา สู้ไม่ได้แน่ จึงให้มือปืนซุ่มอยู่ชั้นบนของเหลา โดนยิงกลิ้งตั้งแต่ก่อนจะเข้าเหลาไป ฉะนั้น..พวกที่ฝึกวิทยายุทธ์รุ่นเก่า ๆ มักจะดูถูกคนรุ่นใหม่ว่าไม่มีความพากเพียร ไม่มีฝีมือที่แท้จริง อาศัยแต่อาวุธสมัยใหม่

อาตมาเองเกิดทันคนรุ่นนี้ เห็นอยู่หลายคน อย่างอาเจ็กข้างบ้านจะมีกล้องยาสูบ ทำจากเหง้าไม้ไผ่ ยาวประมาณศอกหนึ่ง เหน็บเอวอยู่เสมอ ภาษาจีนเขาเรียกว่า "กล้องยาแดง" สูบยาอยู่ทุกวัน มีพวกบรรดาจิ๊กโก๋เกเรไปรุมทำร้ายแก ๓-๔ คน ไม่เคยทำอะไรแกได้ ถืออาวุธอะไรไปโดนแกตีร่วงหมด ใช้แค่กล้องยาสูบอันเดียว หวดทีไรโดนข้อมือทุกที"

เถรี 07-10-2015 07:08

"โยมพ่อก็สอนให้อาตมาไปไล่จิ้มต้นกล้วย บอกว่าพอนิ้วแทงต้นกล้วยเข้าแล้วก็มาเปลี่ยนเป็นกะลา ทิ่มกะลาทะลุเมื่อไรแล้วค่อยมาเรียนต่อ อาตมาก็ฝึกหัดด้วยความพากเพียรอยู่ระยะหนึ่ง แต่โยมพ่อตายเสียก่อนก็เลยไม่สามารถจะฝึกให้สำเร็จได้ แต่ทุกวันนี้ถ้าโยมรู้จักสังเกตจะเห็นว่า นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอาตมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา ไม่สั้นยาวเหมือนนิ้วคนอื่น แต่จะเท่ากัน..!

แล้วก็มีเฮียลิ้มจือ เฮียลิ้มจือไม่เก่งวิทยายุทธ์แต่เจ๊เหลียนเมียแกเก่งมาก ฝึกวิชาฝ่ามือทรายเหล็ก ถึงเวลาต้องคั่วทรายร้อน ๆ ด้วยมือ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือ
เจ๊เหลียนแกแข็งขนาดไหน แต่แกตบกระดานแตกได้..! แล้วคนที่โดนตบประจำก็เฮียลิ้มจือนั่นแหละ บางวันเสียงดังโครม ปลิวทะลุข้างฝาออกมาพร้อมกับกระดาน ๓-๔ แผ่น..!

วันหนึ่งก็เห็น
เจ๊เหลียนแกร้องไห้ร้องห่ม ต้มน้ำร้อนลวกมือตัวเอง เอามีดทื่อ ๆ ขูดหนังล่อนออกมาเป็นแผ่น ๆ เลย ถามว่าทำไม แกบอกว่า “เลิกแล้ว ไม่ฝึกอีกแล้ว” ก็คือมีเพื่อนบ้านมาปรึกษาว่าโดนผัวตี ทำร้ายร่างกายอยู่เรื่อย จะทำอย่างไรดี เจ๊เหลียนแกก็สอนวิธีให้ “ลื้อต้องใช้ ๓ นิ้วนี่นะ จิ้มไปตรงจุดนี้ ๆ แล้วผัวลื้อจะยืนแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ได้ ” อาตมาบอกไม่ได้นะ..เพราะถึงตาย ปรากฏว่าเขาไป “เลียะ” ผัวตายเลย..! เพราะด้วยความสงสารผัว กลัวว่าถ้าใช้ ๓ นิ้วผัวจะอาการหนัก เลยใช้นิ้วเดียว...ตายเลย..!

ที่
เจ๊เหลียนให้ใช้ ๓ นิ้ว เพราะว่านิ้วกลางจะยื่นมานิดเดียว ถึงเวลาจิ้มถูกจุด นิ้วชี้กับนิ้วนางจะช่วยค้ำไว้ อาการจะไม่หนัก แกดันไปสงสารผัว จิ้มนิ้วเดียว ต้องบอกว่าคนเราถึงที่ตายจริง ๆ แกก็เลยโทษว่าไปทำให้คนอื่นตายเลยเลิกฝึก ต้มน้ำร้อนเอามือแช่ แล้วก็ใช้มีดขูด ๆ จนมือที่ด้านเหมือนสากกะเบือลอกเป็นแผ่น ๆ เลย เวลาที่แกอัดเฮียลิ้มจือ แกรู้ว่าหนักเบาแค่ไหน ประเภทกระเด็นทะลุข้างฝาไปคือส่วนหนาของร่างกายไปกระทบ คนอื่นอาจจะเห็นว่าน่ากลัว แต่แกรู้ว่าควรจะยั้งไว้เท่าไร แต่คนอื่นไม่รู้"

เถรี 07-10-2015 10:33

"เรื่องของวิทยายุทธ์แบบจีนก็ดี มวยแบบไทยก็ดี ท้ายสุดก็ต้องมาฝึกจิต ฝึกสมาธิกันทั้งนั้น การฝึกจิตของจีนเขาเรียกว่า วิธีเดินลมปราณ ส่วนของไทยเป็นการตั้งธาตุ ปลุกธาตุ ใช้คาถาอาคมเข้าช่วย ซึ่งต้องฝึกสมาธิภาวนาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าแต่ละคนเรียกกันไปคนละอย่าง

อาตมาฝึกเดินลมปราณแบบจีนอยู่ ๓ ปี พอมาฝึกกรรมฐานแล้วมีปัญหาใหญ่มาก เพราะการเดินลมปราณ ก็คือไล่ให้ลมปราณวิ่งไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่การฝึกกรรมฐานคือหยุดใจอยู่เฉพาะที่ ด้วยความที่เคยบังคับให้วิ่งทั่วร่างกายแล้ว ต้องมาหยุดเฉพาะที่ก็เป็นอะไรที่สาหัสมาก กว่าจะหยุดได้ แต่พอมาฝึกมโนมยิทธิแล้ว เพิ่งจะรู้ว่าการเดินลมปราณของจีนก็คือมโนมยิทธินั่นเอง เพียงแต่เป็นการเคลื่อนจิตภายในกายตัวเอง ขณะที่มโนมยิทธิเคลื่อนจิตไปข้างนอก ต่างกันแค่นั้นแหละ นอกนั้นเหมือนกันทุกอย่างเลย

ฉะนั้น..ใครที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ไปศึกษาวิธีเดินลมปราณแบบจีน จะเอาแบบไหนก็ได้ ตำราเดี๋ยวนี้มีมาก จะสามารถทำได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา การเดินลมปราณช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยน้อย แต่ก็อย่างว่า..ไม่ได้ช่วยให้ไม่ตาย ท้ายสุดวาระมาถึงก็ตาย

เสียดายอยู่อย่างว่าคนรุ่นเก่าล่วงลับไป คนรุ่นใหม่ไม่มีความพากเพียรอดทนพอ แม้กระทั่งมวยไทย สมัยอยู่วัดท่าซุงก็มีบรรดานักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระมาขอให้สอน พวกเด็กนักเรียนผู้ชายมัธยมก็รู้อยู่ว่ากำลังห้าว มาถึงก็จะให้เข้าท่ามวยเลย อาตมาบอกว่าไม่ได้ ต้องฝึกจากพื้นฐานก่อน วันแรกมา ๔ คน วันที่สองมา ๒๐ กว่าคน วันที่สามมา ๓๐ กว่าคน วันที่สี่หายหัวหมด ไม่มีความอดทนพอ

แต่รายแรกที่มาบอกว่า ต้องขึ้นชกมวยในงานวัดที่อำเภอลานสัก คู่ต่อสู้เป็นมวยมาจากกรุงเทพฯ เคยขึ้นเวทีมาก่อนแล้ว ถามว่าแล้วมึงเสือกไปชกกับเขาทำไม ? เขาบอกว่าเพื่อนยุ เลยเผลอรับปากไป"

เถรี 07-10-2015 10:53

"เขาถามว่า คู่ต่อสู้รัดเอว ตีเข่าเก่งมาก จะแก้ไขอย่างไร ? อาตมาบอกไปว่า ทำไมต้องไปกลัวนักมวยกอดเอวตีเข่า คนรัดเอวเรา กำปั้น ๒ ข้าง ศอก ๒ ข้างก็ใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว กลายเป็นลดอาวุธของตัวเอง ก็เอาศอกจามหน้ามันเข้าไปสิ เขาบอกว่าแล้วถ้าจามหน้าแล้วยังดิ้นไม่หลุดล่ะ ? รอบคอบดีเหมือนกัน ก็เลยบอกว่าถ้าเมตตาก็อย่าให้หนักนัก ถ้าไม่เมตตาก็เอาให้แขนหักไปเลย

ให้ใช้ศอกแนบกับซี่โครงตัวเองแล้วรูดตัวกระแทกลงไป สถานเบาแขนจะหมดแรงใช้งานไม่ได้ ถ้าสถานหนักก็หักไปเลย เลือกเอาเอง จุดระหว่างกล้ามเนื้อแขนก่อนถึงข้อศอกสักสามนิ้ว ลองบิดตัวเองดูแขนจะหมดแรงเลย เพราะเป็นช่วงว่างระหว่างกล้ามเนื้อพอดี พวกเราถ้าไม่ได้ศึกษาจุดเส้นมา คลำไม่ค่อยถูกหรอก"

เถรี 07-10-2015 10:59

ถาม : สำเร็จจนเป็นเซียนนี่ได้อภิญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เซียนทุกคนได้อภิญญา แต่บุคคลที่ได้อภิญญาทุกคนไม่ใช่เซียน ฟังเข้าใจไหม ? ที่ว่าเซียนทุกคนได้อภิญญา ก็คือ อภิญญาลาภีบุคคล จะเป็นฌานโลกีย์ก็ดี โลกุตรฌานก็ดี คนจีนเรียกว่าเซียนทั้งนั้น แต่ว่าเซียนในความหมายที่แท้จริงก็คือผู้ที่บรรลุแล้ว ซึ่งในความหมายของเราก็คือบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ถึงได้กล่าวเซียนทุกคนได้อภิญญา แต่ผู้ได้อภิญญาไม่แน่ว่าจะเป็นเซียน

เถรี 07-10-2015 11:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "วิชาการของพวกเราส่วนใหญ่ถดถอยเพราะความอดทนไม่พอ ไม่มีความพากเพียร ไม่มีความอดทน แม้แต่การฝึกกรรมฐานก็ขาดวิริยบารมี ขาดขันติบารมี ก็ไปไม่รอด ดังนั้น..ต้อง "อดทนหนอ พากเพียรหนอ""

เถรี 07-10-2015 11:52

ถาม : ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงกลับมาจากอเมริกาแล้วบอกว่า ถ้าเกิดสงครามฝรั่งเศสเมื่อไร ก็ให้กลับมาเมืองไทย แล้วฝรั่งเศสก็ไปทิ้งระเบิดไอซิสเมื่อวันสองวันนี้ ผมก็คิดว่าควรจะกลับมาเดือนไหนวันไหนดีครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง คนเราถ้าถึงที่ อยู่ที่ไหนก็ตาย อันนี้อาตมาเห็นศพมากับตา เพราะว่าทางบ้านสมัยก่อนมีอาเจ็กอยู่คนหนึ่งดูโหงวเฮ้งเก่งมาก ๆ ถือเป็นอาจารย์คนแรก ๆ ของอาตมาเลย แกดูเก่งถึงขนาดที่ว่าบุคคลนี้ วันนี้ เวลานี้จะตาย แล้วก็ไปเตือนอาเจ็กอีกท่านหนึ่งบอกว่าลื้อจะตายพรุ่งนี้ เวลาเท่านี้ ๆ ก็คือก่อนเพลหน่อยหนึ่ง

อาเจ็กท่านนั้นเชื่อก็จริง แต่แกก็สู้ แกบอกว่าถ้าอั๊วไม่ออกจากบ้านให้รู้ไปว่าจะตาย พอใกล้ถึงเวลาที่เขากำหนดไว้แกก็เข้ามุ้งนอนเลย ให้รู้ไปว่านอนเฉย ๆ แล้วกูจะตาย ปรากฏว่าตำราเขาแม่นหรือกรรมแกแรงก็ไม่รู้ แม่ไก่ออกไข่ พอไข่เสร็จก็กระโดดขึ้นไปบนขื่อ ไปกระต๊ากเพื่อประกาศว่ากูไข่แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นธรรมชาติของไก่ เขาจะประกาศให้พรรคพวกรู้ว่าตัวเองไข่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานถ้าพาลูกไป พรรคพวกจะได้รับรู้ว่านี่คือลูกของเขา คราวนี้รู้แล้วหรือยังว่าทำไมไก่ไข่แล้วต้องประกาศด้วย ? ถึงเวลาจะได้พาลูกไปเข้าหมู่เข้าพวกได้

ปรากฏว่าอาเจ็กคนนี้แกเอาหลาวพาดไว้บนขื่อ ไก่ก็เจ้ากรรม กระโดดขึ้นไปเหยียบปลายหลาวพอดี พอน้ำหนักถ่วงหลาวก็ไหลปรู๊ดลงไปเสียบอกแกตายคามุ้งเลย สรุปว่าคนเราถ้าจะตายอยู่ที่ไหนก็ตาย ฝรั่งเศสหรือเมืองไทยก็ตายเหมือนกัน เห็นแผ่นดินไหวที่เนปาลไหม ? เด็กอายุ ๒๒ เดือนติดอยู่ในซากตึก ผู้ใหญ่ตายกันเกลี้ยงไม่เห็นเด็กเป็นอะไร ถ้าบอกว่าเด็กอาจจะมีพลังชีวิตแข็งแกร่งอยู่ แล้วคุณปู่อายุ ๑๐๑ ปีก็รอดเหมือนกัน

สรุปว่าถ้าไม่ได้สร้างกรรมเอาไว้ หรือว่าสร้างกรรมไว้แต่วาระยังไม่ถึงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้ากลัวมาก ๆ ก็หาวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงติดตัวไว้ ต้องเป็นรุ่นที่ทันท่านด้วยนะ

เถรี 07-10-2015 11:57

โบราณบอกว่า “คนขลาดตายหลายครั้ง คนกล้าตายครั้งเดียว” คนที่กลัวก็กลัวจนแทบจะขาดใจตาย เมื่อวันศุกร์มีโยมคนหนึ่งมาถาม บอกว่าเป็นโรคนี้ ก็คือกลัวทุกอย่าง กลัวไปหมด กลัวขนาดนั่งร้องไห้เลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชายตัวใหญ่ตัวโต มาถามว่าจะแก้ไขอย่างไร ? อาตมาบอกว่าให้ไปฝึกกรรมฐาน ถ้าสมาธิดีขึ้นความกลัวก็จะลดน้อยลงไปตามลำดับ

ในเรื่องของความกลัวเป็นธรรมดาสามัญของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง บาลีว่า อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ การกิน การนอน การกลัวภัย การเสพกาม เป็นเรื่องปกติธรรมดาของบรรดาสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ที่เราเรียกปศุสัตว์ ปสุเขาแปลว่าสัตว์เลี้ยง ธมฺโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้เราทั้งหลายต่างไปจากสัตว์ ธมฺเมน วีณา ปสุภิสฺสมานา ธรรมเท่านั้นที่ทำให้แยกคนจากสัตว์ได้ ที่เขาใช้คำพูดง่าย ๆ ว่าคนกับสัตว์มีสภาพเหมือนกันคือกิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์

ถ้าสมมุติว่าอยู่ฝรั่งเศสกลัวตายเพราะเขารบกัน มาเมืองไทยอดข้าวตายจะหนักกว่าอีก ช่วงนี้น่ากลัวมาก..ผัดกะเพราจานละ ๑๕๐ บาท ได้ยินแล้วช็อก แต่อาตมาไปเนปาลกินข้าวจานละ ๑๙๕ บาทมาแล้ว เลยรู้สึกว่า ๑๕๐ บาทยังไม่แพงนัก

เถรี 07-10-2015 17:02

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปี ๒๕๒๖ น้ำท่วมกรุงเทพฯ จำได้ว่าท่วมตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของปี ๒๕๒๗ น้ำท่วมหนักกว่าปี ๒๕๕๔ แต่ทางกทม.จัดการได้เร็วกว่ามาก เพียงแต่ว่าบ้านอาตมาสร้างกรรมเอาไว้เยอะ อยู่ห่างจากแยกศรีนุช ก็คือแยกอ่อนนุชตัดกับถนนศรีนครินทร์แค่ป้ายรถเมล์เดียว ทางกทม.ทำคันกั้นน้ำเอาไว้ที่แยกศรีนุช แล้วสูบน้ำจากข้างในออกมา บ้านอาตมาก็เลยโดนท่วมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของปี ๒๕๒๗

ตอนแรก ๆ ที่ท่วมก็ยังอุตส่าห์ไปซื้ออิฐบล็อกมาก่อเพื่อที่จะกันน้ำไม่ให้เข้าบ้าน พอก่อไปได้ ๓ ชั้นน้ำก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย แต่คราวนี้อิฐบล็อก ๓ ชั้นนี่ก็สูงเป็นเมตร พอถึงเวลาน้ำลด มีแต่ปลาเต็มบ้าน เข้ามาแล้วออกไม่ได้ กลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาไปเลย ต้องเสียเวลาจับไปปล่อยอีก

ในช่วงนั้นวันแรกที่ไปส่งหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านบางโพของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ น้ำท่วมสูงมาก ประมาณเลยหัวเข่าแล้ว จำได้ว่าบ้านของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ที่อยู่ใกล้ ๆ กับห้างบางลำพู น้ำจวนจะถึงบันไดขั้นแรก อาตมาเดินจากบางโพออกมาทางด้านประดิพัทธ์ สะพานควาย เข้าอนุสาวรีย์ชัยฯ ออกไปราชปรารภ จะกลับบ้านที่ซอยอ่อนนุช จึงต้องมาทางด้านสุขุมวิท เดินมาเกือบถึงตลาดพระโขนง น้ำก็ถึงหน้าอกแล้ว รถไม่มีวิ่ง มีแต่เรือพายส่วนตัวลำเล็ก ๆ บางคนก็ต่อแพด้วยยางในรถยนต์ ๒ เส้น เอาไม้พาด ๒-๓ แผ่นแล้วผูกเชือกไว้ ได้เห็นรถกับเรือชนกันก็วันนั้นแหละ

ในเมื่อยัง
ไม่ทันถึงปากซอยเข้าบ้านน้ำก็มาถึงหน้าอกแล้ว ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าที่บ้านจะขนาดไหน จึงตัดสินใจเดินกลับ จากพระโขนงเดินย้อนมาทางสะพานควาย เข้าไปนอนที่บ้านสายลม บ้านสายลมเหลือแต่ชั้นบน ชั้นล่างท่วมหมดเกลี้ยงไปแล้ว"

เถรี 07-10-2015 17:06

"หลังจากนั้นทุกต้นเดือนก็ไปรับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลมเป็นปกติ ต้องลุยน้ำประมาณขาอ่อนออกจากบ้าน ซึ่งตอนนั้นหนังสือพิมพ์เขาก็แซวกัน ผู้สื่อข่าวชายบอกว่าน้ำท่วมถึงระดับ "หัวเทียน" ผู้สื่อข่าวหญิงบอกว่าน้ำท่วมถึง "จานจ่าย" เห็นคนเป็นรถยนต์ไปได้ พอถึงเวลาไปถวายการรับใช้หลวงพ่อเสร็จสรรพ ก็ต้องลุยน้ำกลับบ้านทุกวันเป็นปกติ ไปวันศุกร์กลับคืนวันจันทร์ เพราะว่าเช้าวันอังคารหลวงพ่อท่านก็เดินทางกลับวัดท่าซุงแล้ว

ที่เล่าให้ฟังก็คือ ภัยธรรมชาติหรืออุปสรรคต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของเราได้ ไม่ใช่แค่เมฆมืด ๆ ฟ้าร้องหน่อยเดียวเราก็ไม่ไปแล้ว แต่โยมไม่มาก็ดี อาตมาจะได้สบาย และครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวในชีวิต ที่อาตมานุ่งกางเกงขาสั้นไปทำบุญ

ปรากฏว่าโดนป้าหมอลัดดา จารุวัฒน์ ตักเตือน ป้าหมอแกดึงหลบเข้าไปห้องใน บอกว่า “ไอ้หนู...หลวงพ่อเรามีคนมาหาทั้งประเทศ คนมาก็อยากถ่ายรูปหลวงพ่อไว้เป็นอนุสติ แกอยู่รับใช้ข้างหลวงพ่อ นุ่งกางเกงขาสั้นดูไม่เรียบร้อย ถ้ารูปถ่ายออกไปบางคนจะหาว่าหลวงพ่อท่านไม่ให้การอบรม” ก็เรียนป้าหมอบอกว่า “บ้านผมน้ำท่วมครับป้า ยันขาอ่อนเลย ถ้าไม่ใส่ขาสั้นนี่ก็ออกจากบ้านไม่ได้”

ท่านบอกว่า “เอากางเกงขายาวใส่ถุงถือมาด้วย พ้นจากที่น้ำท่วมแล้วก็ใส่กางเกงขายาว” นั่นเป็นครั้งเดียวและวันเดียวในชีวิต ที่อาตมาใส่กางเกงขาสั้นไปทำบุญ หลังจากนั้นมาไม่เคยทำอีกเลย เพราะถือว่าผู้ใหญ่ท่านรอบคอบกว่า ท่านเมตตาเตือนแล้ว ดังนั้น..เวลาเห็นญาติโยมทั้งหญิงผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นมาทำบุญที่นี่ อาตมาก็พยายามนึกว่าเขาต้องมีความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง พยายามช่วยนึกแต่เรื่องที่ดี ๆ ไว้ เราจะไม่ตำหนิใคร..ใช่ไหม ? ยกเว้นว่าด่าไปเลยให้หมดเรื่องหมดราว..!

ได้เห็นความเมตตาของผู้ใหญ่ และได้เห็นวิธีการที่ท่านแนะนำสั่งสอน ท่านไม่ตำหนิต่อหน้าคนหมู่มาก ดึงเข้าไปในห้องเป็นการส่วนตัวแล้วค่อยบอก นักปราชญ์ท่านถึงได้ว่า ชมคนให้ชมต่อหน้าคนมาก ๆ แต่ถ้าหากว่าจะด่าใครให้ด่าลับหลังคนอื่น เพราะว่าแต่ละคนมีสักกายทิฐิคือตัวกูของกู ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "อีโก้" ถ้าไปตำหนิต่อว่าต่อหน้าประชาชี เขารับไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ให้ช่วยเมตตาเขาหน่อย ไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าไปด่าต่อหน้า...(บ่อยนัก)..."

เถรี 07-10-2015 18:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขียนชื่อทศวรรษมาให้ ส่วนชื่อศตวรรษนี้ได้ยินมา ๓ คนแล้ว ทศวรรษเพิ่งได้ยินเป็นคนแรก ถัดไปจะมีสหัสวรรษไหม ?

ทศวรรษ คือ รอบ ๑๐ ปี ศตวรรษรอบ ๑๐๐ ปี สหัสวรรษรอบ ๑,๐๐๐ ปี"


ถาม : ถ้ารอบ ๑๐,๐๐๐ ?
ตอบ : รอบ ๑๐,๐๐๐ ทสสหัสสะ ถ้า ๑๐๐,๐๐๐ สตสหัสสะ แต่ขณะเดียวกันจะใช้ "ลักขัง" ก็ได้

๑๐,๐๐๐ มีศัพท์เฉพาะคำหนึ่ง คือ นหุต (นะ-หุ-ตะ)
๑๐,๐๐๐ ปีใช้นหุตวรรษก็ได้รอบ อย่างกรุงศรีสัตนาคนหุต (สัด-ตะ-นา-คะ-นะ-หุด) สต คือ ๑๐๐ นหุต คือ ๑๐,๐๐๐ เป็นร้อยหมื่นก็คือหนึ่งล้าน นาคะ คำกลางแปลว่าช้าง กรุงศรีสัตนาคนหุต ก็คือ กรุงล้านช้าง

บาลีเขาจะเอาคำศัพท์ไว้ตรงกลาง หลังจากที่แยกตัวเลขออกจากกัน อย่าง ทเวสังวัจฉรสหัสสานิ ทเว = ๒, สังวัจฉร = ปี, สหัสสา = ๑,๐๐๐ , ปัญจสตาธิกานิ = กว่าอีก ๕๐๐ รวมเป็น ๒,๕๐๐ ปี ไล่ไปเรื่อย

อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปรินิพฺพานโต ปฏฺฐาย อัฏฐปัญญาสะ ปัญญาสะ = ๕๐, อัฏฐ = ๘, อัฏฐปัญญาสะ = ๕๘, อัฏฐปัญญาสุตตร ก็คือปัญญาส +อุตตร = ยิ่งไปกว่าอีก ๕๘

เถรี 07-10-2015 19:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ท่านพระครูปลัดปิงเป็น 'ว่าที่เจ้าคุณ' เดี๋ยวพอ ๕ ธันวาคมก็เป็น 'เจ้าคุณ' ขอให้ได้เลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนได้ฉลองอย่างเป็นทางการ"

เถรี 07-10-2015 19:38

พระอาจารย์กล่าวกับโยมไปเมืองจีนมาว่า "โยมไปเยี่ยมจิ๋นซีฮ่องเต้มา ที่น่าเวทนาก็คือ ช่างฝีมือที่ทำสุสานจำนวนมากด้วยกัน ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายไปแล้ว พวกช่างเขารู้ว่าทำเสร็จก็ตายแน่ แต่ต้องทำ เพราะว่าพ่อแม่ลูกเมียอยู่ในเงื้อมมือของฮ่องเต้หมด พูดง่าย ๆ คือรู้ว่าทำเสร็จก็ตาย แต่ตายเพื่อให้ครอบครัวรอด"

เถรี 07-10-2015 20:14

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังนับลูกประคำว่า "ประคำกะลานั้นช่างฟ้อง ถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ จะดำเงาสวย ถ้าไม่ใช้ก็ด้านอยู่อย่างนั้นแหละ เส้นที่อาตมาใช้ตอนแรกก็เป็นสีอย่างนี้ ตอนนี้ดำเงาวับ ใช้ไป ๆ ความร้อนจากมือของเรา ทำให้น้ำมันในกะลาออกมา ถูไปถูมาก็ดำจนลื่น แต่ว่ามีกะลาประเภทหนึ่ง เขาเรียกว่า "กะลาเผือก" ก็คือมะพร้าวแก่แล้ว แต่กะลายังไม่ดำ กะลาตาเดียวหายากแล้ว กะลาตาเดียวเผือกจะหายากขึ้นไปอีก"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:50


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว