กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4381)

เถรี 10-03-2015 06:41

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๘
 
ถาม : เวลาผมกวาดวัด จะมีมดแมลงต่าง ๆ อยู่ที่พื้น เวลากวาดก็กวาดพวกมดแมลงต่าง ๆ ไปด้วย มดตายหรือไม่ตายก็ไม่รู้ ถ้าไม่กวาดก็ไม่สะอาดอีก เราผู้กวาดจะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ในเมื่อตายหรือไม่ตายไม่รู้ แล้วจะติดใจไปทำไม ?

ถาม : ของที่อยู่ในวัด เวลาเราไปเอา บางครั้งก็ขอพระในวัดบ้าง บางครั้งก็เอาเองบ้าง แต่เป็นของที่โยมถวายมา แล้วเอามาไว้ที่ห้องเก็บของ ผมจะเอากุญแจมาเปิดเอา และเจ้าอาวาสก็ไม่รู้ ถึงรู้แต่ท่านก็ไม่ว่า ตัวผมผู้เอาจะผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระก็เสี่ยงต่ออาบัติปาราชิกเป็นอย่างยิ่ง อาบัติปาราชิกนี่ถึงขาดความเป็นพระไปเลย ควรแจ้งแก่ผู้ที่ท่านดูแลก่อน เพราะว่าถ้าเกิดเป็นพระแล้วมีไถยจิตคิดจะขโมย แค่หยิบของเคลื่อนออกจากที่แค่เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผมก็ขาดความเป็นพระแล้ว ทำให้ถูกต้องจนชินไว้จะดีกว่า

ถาม : บางครั้งเจ้าอาวาสไม่อยู่ ผมก็เข้าไปเอาของกินในห้องของเจ้าอาวาสมากิน ผมสามารถเข้าห้องเจ้าอาวาสได้ ผมผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ไม่น่าถาม..ถ้าเจ้าของไม่ยินดีก็ผิดแน่ ๆ

เถรี 10-03-2015 06:42

ถาม : ถ้าบวชเป็นพระอยู่แต่ต้องอาบัติ ที่ไม่ใช่ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส รู้อยู่หรือไม่รู้ก็ตาม ยังไม่ได้แสดงอาบัติ จะขัดขวางผลแห่งการปฏิบัติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณจะเห็นชัดเจนมาก เพราะวันไหนศีลของเราบกพร่อง สภาพจิตจะมัวหมอง ก็แปลว่าถ้าศีลบกพร่องย่อมขวางการปฏิบัติอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น..ควรจะชำระศีลให้บริสุทธิ์ ถ้าเอาตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำก็คืออย่าให้ข้ามคืน เพราะเราอาจจะตายคืนนี้ก็ได้

เถรี 10-03-2015 06:50

ถาม : ถ้าในพิธีอุปสมบท มีภิกษุต้องปาราชิกอยู่ด้วย แต่ทั้งหมดนั้นมีภิกษุปกติเกิน ๕ รูป จะเป็นโมฆะหรือสำเร็จแค่สามเณรหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นโมฆะ เพราะถือว่าเป็นอนุปสัมบันอยู่ในท่ามกลางอุปสัมบัน ก็คือเป็นผู้ที่มีศีลน้อยกว่าพระแล้วไปอยู่ท่ามกลางพระ สังฆกรรมนั้นไม่เป็นสังฆกรรม แต่ระยะหลังมีคนพยายามแนะนำว่า ถ้าพระที่ศีลบริสุทธิ์ มีครบองค์สงฆ์ก็ไม่เป็นไร จะไม่เป็นไรได้อย่างไร ? ในเมื่อไปนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ที่บริสุทธิ์ เราก็เป็นจุดด่างแปดเปื้อนผู้อื่นเขา

เถรี 10-03-2015 06:51

ถาม : อานุภาพของมีดหมอและวัตถุมงคลอื่น ๆ ที่นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก วันที่ ๒๔ มกราคมที่ผ่านมา มีอานุภาพเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันนิวเคลียร์ ฝนเหลือง เชื้อไวรัส และรังสี หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปดูในเว็บ..ที่เขาลงไว้บอกว่ามีหรือเปล่า ?

ถาม : มีดหมอสามารถนำไปช่วยปลดปล่อยภพภูมิจิตวิญญาณที่ลำบากได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเขายินดีและกรรมเขาไม่หนัก หลายครั้งก็สามารถช่วยเหลือปลดปล่อยไปได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จริงอย่าไปล่วงกรรมคนอื่นเลย เพราะบางทีตัวเองจะเดือดร้อนเอง

เถรี 10-03-2015 06:52

ถาม : ถ้ามีคนเขานำพระมาร่วมทำบุญกับเรา โดยอนุญาตให้เราบอกบุญให้คนอื่นมาบูชา ซึ่งเจ้าของท่านก็มีเจตนาอันดี แต่เราไปพบในอินเตอร์เน็ตว่า พระที่ได้มานั้นน่าจะเป็นของปลอม เราจึงตัดสินใจว่าจะร่วมบุญด้วยเงินจำนวนหนึ่งที่พอทำได้และเก็บพระไว้เอง ไม่ทราบว่าการทำแบบนี้จะมีความผิดหรือไม่คะ ที่เราไม่ได้นำไปบอกบุญคนอื่น ?
ตอบ : อาตมาทำเป็นประจำ เพราะขี้เกียจบอกบุญคนอื่น เวลาเขาให้ซองมาก็ใส่เองคนเดียว

เถรี 10-03-2015 06:55

ถาม : พระเครื่องหรือวัตถุมงคลบางอย่าง เราไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือเราไม่ได้นำติดตัว แต่จำภาพติดตา และรู้สึกดี เราจะอาราธนาจากภาพติดตานี่ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถจับภาพพระติดตาได้ ก็มีอานุภาพเหมือนกับพกวัตถุมงคลนั้นเลย

ถาม : ตอนกราบอาราธนาพระบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์ที่เราชอบและรัก หรือเป็นภาพท่านขึ้นมาในแต่ละครั้ง เป็นกรณีเดียวกันหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าองค์ที่ชอบและรักมีมาก ก็ต้องคนละกรณีกันอยู่แล้ว ดูว่าถ้าเราตั้งใจระลึกเฉพาะองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วภาพอีกองค์ปรากฏขึ้นมา ถือว่าเป็นพุทธานุสติเหมือนกัน อาจจะได้รับการสงเคราะห์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านตั้งใจมาสงเคราะห์ในช่วงนั้น ก็อาจจะเป็นคนละองค์ คนละกรณีกัน

ถาม : หรือแยกเป็นกรณีที่ เทพ พรหม เทวดาที่ดูแลรักษาพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้น ๆ มีกรรมสัมพันธ์ที่จะต้องช่วยดูแลผู้ที่ครอบครองพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้นครับ ?
ตอบ : อย่าไปตีขลุมเอากับท่านอย่างนั้น ถ้าเราไม่คิดถึงท่าน ท่านก็ไม่รู้จะช่วยไปทำไม อยากให้ท่านช่วยต้องคิดถึงท่านด้วย วิธีคิดถึงหลัก ๆ ก็คืออาราธนาไว้ทุกเช้าเย็น

ถาม : อย่างนั้นก็คิดถึงพระอาจารย์ไว้บ่อย ๆ นะคะ
ตอบ : ถ้าคิดถึงอาตมาก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะอาตมาหลับ..!

เถรี 10-03-2015 12:11

ถาม : ผมเรียนสายกรรมฐานจากอาจารย์ที่เป็นฆราวาสครับ ท่านสื่อญาณกับเบื้องบนบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อประมาณปีเศษท่านบอกว่า ในอดีตผมได้เคยเกิดเป็นพระโสดาบันมาหลายชาติแล้ว ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษย์ ให้รีบเร่งความเพียร เพราะช่วงก่อนที่ท่านจะทำนาย ผมมีภาระทางโลกค่อนข้างเยอะ นับตั้งแต่บัดนั้นผมก็ภาวนาและเจริญพระกรรมฐานทุกวันครับ ท่านบอกว่าความเป็นพระโสดาบันจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อผมกับคู่ครองของผมต้องแยกจากกันก่อน รวมถึงมีความเพียรเจริญกรรมฐาน และปฏิบัติแนวทางอริยมรรคมีองค์แปด รวมถึงข้อปฏิบัติของพระโสดาบันให้ครบถ้วน

ถ้าความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ติดตัวมาพร้อมกับการมาเกิดในภพมนุษย์แบบนี้ จะมีครูบาอาจารย์มาบอกให้เราบำเพ็ญตามหลักธรรม จนกว่าจะได้กับมาสู่ความเป็นพระโสดาบันตลอดในทุกชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ชาตินี้ผมก็ไม่เคยได้ทำกรรมหนักอะไร เพิ่งบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา เคารพศรัทธาไตรสรณคมน์ตลอดชีวิต ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ ?

ตอบ : ฟังแล้วมึน..? ที่บอกว่าพระโสดาบันเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เป็นพระโสดาบันจนกว่าจะมีคนบอก แล้วค่อยไปปฏิบัติ หรือไม่ก็ต้องแยกจากคู่ตัวเองก่อน อาตมาไม่เคยได้ยินมา พระอริยเจ้าไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี ถ้าได้เป็นพระอริยเจ้าแล้วลงมาเกิด ความเป็นพระอริยเจ้าจะติดตัวมาด้วย ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้า แต่รักษากติกาความเป็นพระอริยเจ้าครบครัน จนกระทั่งได้ฟังครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงคุณสมบัติของพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี แล้วท่านจะรู้สึกว่า "เรามีครบแล้วนี่" แต่ประเภทเกิดมาแล้วความเป็นพระโสดาบันไม่ติดตัวมาด้วย อาตมาไม่เคยได้ยินมาก่อน แปลว่าทั้งหมดที่ว่ามานั้นหลักการดีมาก แต่มีสิ่งที่น่าสงสัย สงสัยว่าเป็นพระโสดาบันภาษาอะไรเกิดใหม่แล้วไม่ได้เป็น ?

ถาม : ในขณะที่เราเกิดมา ไม่ได้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้าเราตั้งปฏิปทาปรารถนาพุทธภูมิแบบนี้ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดได้เกินว่า ๗ ชาติ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้เป็นก็เกิดไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นเมื่อไร เต็มที่ก็ไม่เกิน ๗ ชาติ และไม่มีความปรารถนาในพุทธภูมิอีก

ถาม : รวมถึงจะไม่ตกลงสู่อบายภูมิ ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันจะไม่เกิดเป็นสัตว์นรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับเทวดาหรือนางฟ้า แต่ถ้าไม่ได้เป็น ก็แปลว่าพร้อมที่จะลงทุกประการ..!

ถาม : ถ้าผมเคยปรารถนาพุทธภูมิในอดีตชาติ ผมจะเปลี่ยนความปรารถนาเป็นสาวกภูมิผมต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ถอนความปรารถนาเก่าเสีย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า

ถาม : ขอพระคุณเจ้ากรุณาช่วยตรวจสอบให้ด้วยครับ
ตอบ : ระยะนี้ไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบ ระยะนี้มีแต่โดนเขาสอบ เมื่อเช้าก็เพิ่งไปสอบมา..! (สอบประชาพิจารณ์วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก)

ถาม : พอดีท่านอาจารย์บอกว่า ผมเป็นพระโสดาบันชาติที่ ๖ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ ชาติหน้าก็คือชาติที่ ๗ อาจจะบำเพ็ญบารมีอยู่ที่สวรรค์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ผมอาจจะไม่ต้องได้อยู่ในสุทธาวาสพรหม ก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ ถูกต้องหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะไปถามอาจารย์ตัวเองนะ ในเมื่อหลักการผิดกันแล้ว พูดไปก็ค้านเขาเสียเปล่า ๆ

ถาม : ขอข้อแนะนำปฏิบัติต่อไปภายภาคหน้าด้วยครับ ถ้าความเข้าใจทั้งหมดที่เล่ามานี้ หากเป็นมิจฉาทิฏฐิ ?
ตอบ : เป็นไปแล้ว..! ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ ๓ ให้ได้ ส่วนจะได้หรือไม่ได้อย่างไรขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา อย่าไปเชื่อคำพยากรณ์ของใครอีก หน้าที่การพยากรณ์ถึงความเป็นพระอริยเจ้า เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

เถรี 10-03-2015 12:13

ถาม : ที่พระอาจารย์สอนให้ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วจับที่ศูนย์กลางกายนั้น เมื่อจับที่ศูนย์กลางกายแล้ว การภาวนาต้องแบ่งสมาธิมารู้ลมหายใจเข้าออกด้วยหรือไม่ครับ ? และถ้าต้องแบ่งสมาธิมาจับลมด้วย ต้องจับลมให้ได้เพียงแค่รู้การหายใจเข้าหายใจออก หรือว่าต้องรู้ตลอดสายแบบลมสามฐานครับ ?
ตอบ : ดูว่าเราต้องการสมาธิมากเท่าไร ถ้าต้องการสมาธิสูงมากก็จับลม ๓ ฐานจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวก็จะไม่เหลือสักฐาน แต่ถ้าไม่ต้องการสมาธิสูงมาก ก็จับแค่ฐานเดียวตรงศูนย์กลางกายก็พอ แต่ถ้าทำจนชำนาญจริง ๆ ฐานเดียวก็ทรงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้

เถรี 10-03-2015 12:14

ถาม : ถ้าเราตั้งใจจะถวายสังฆทาน ชุดละ ๕๐๐ แบบที่วัดท่าซุงจัดไว้ มีถังสังฆทาน พระพุทธรูป พร้อมผ้าไตรจีวร แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาทุกท่าน ที่ดูแลรักษาวัตถุมงคลทุกอย่างที่เราได้มีบูชาไว้ที่บ้าน ท่านจะโมทนาร่วมกันในสังฆทาน ๑ ชุด ได้ไหมคะ ? หรือต้องถวายแยกเป็นองค์ ๆ ไป เพราะคิดว่า สังฆทานชุด ๕๐๐ บาท หรือมากกว่านี้ จะมีเครื่องครบกว่าชุดละ ๑๐๐ บาท
ตอบ : สังฆทาน ๑ ชุดจะอุทิศให้เทวดากี่หมื่นกี่แสนองค์ก็ได้

เถรี 10-03-2015 12:15

ถาม : มีตะกรุดเมฯ ชนิดแขวนห้อยรถ อยากทราบว่าถ้ารถจอดอยู่ใต้ถุนบ้านเรา หรือใต้ตึกที่มีคนเดินผ่านด้านบน สามารถห้อยได้หรือไม่ ? จะบาปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ใครเป็นคนสร้าง "ตะกรุดเมชนิดห้อยรถ" ? ...(หัวเราะ)... มีตัวอย่างก็คือ โยมท่านหนึ่งเอาตะกรุดมหาสะท้อนติดไว้ในรถ แล้วไปจอดอยู่ใต้ถุนศาลา ปรากฏว่าตะกรุดหาย..! ไปเจออีกทีอยู่บนหิ้งพระที่บ้าน แสดงว่าท่านไม่ชอบอยู่ใต้ถุน..!

ถาม : อานุภาพของตะกรุดเมฯ ที่ว่าเป็นมหาสะท้อน สะท้อนในทันทีหรือไม่ ? เช่น หากมีคนมาคิดไม่ดี หรือกลั่นแกล้ง ทำร้ายเรา ก็จะสะท้อนทันทีกลับไป หรือต้องรอจังหวะให้ผลอกุศลกรรมเข้าก่อน ?
ตอบ : สะท้อนทันที แต่ผลจะมีกับเขาทันทีหรือไม่ ต้องดูจังหวะของกุศลกรรมและอกุศลกรรมด้วย

เถรี 10-03-2015 12:16

ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับพระขรรค์โสฬส (ที่ทางวัดสร้างเอง) และตะกรุดโสฬสมหามงคล ว่ามีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? รวมถึงในด้านพุทธานุภาพนั้นเสมอกันทุกอย่างและสามารถอาราธนาใช้แทนกันได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : พระขรรค์หน้าตาเหมือนพระขรรค์ ตะกรุดหน้าตาเหมือนตะกรุด เหมือนกันไหมเล่า ?

ถาม : มีคำว่า "โสฬส" เหมือนกันนี่คะ ?
ตอบ : คำหน้าไม่เหมือน ข้าวต้ม กับข้าวต้มมัด หน้าตาและรสชาติเหมือนกันไหมเล่า ?

เถรี 10-03-2015 12:17

ถาม : หลวงพ่อเคยสอนว่า ในเวลาสวดมนต์ หากท่านที่ต้องการทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงอักขระที่เราสวดขึ้นมาเป็นตัว ๆ สามารถเห็นได้ชัดเท่าไร ก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น ขอกราบเรียนถามว่า ในขณะที่เห็นตัวอักขระ ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบคู่ไปด้วยหรือไม่ ? หรือให้จดจ่ออยู่แต่ตัวอักขระที่ปรากฏ ?
ตอบ : ตอนแรกก็รู้ลมหายใจคู่ไปด้วย แต่ถ้าหากภาพชัดขึ้น ๆ บางทีลมหายใจหายไปตอนไหนก็ไม่ทันรู้ตัว ถ้าลมหายใจหายไปไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจอยู่ที่อักขระคำสวดมนต์ของเรา

เถรี 10-03-2015 12:20

ถาม : เมื่อครั้งก่อนบวชพระ ได้ขอขมากรรมกับเพื่อนร่วมงานประมาณ ๒๐๐ คน หวังเพียงเพื่อให้ทุกคนอโหสิกรรมและโมทนาบุญในการบวช ไม่ได้ต้องการเงินทองของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งหลายคนก็โมทนายินดีร่วม บางคนก็ถามหาซอง และหลายคนให้เงินร่วมเป็นเจ้าภาพบวช แล้วได้วัตถุมงคล โดยที่ผมไม่ทราบว่าจะได้วัตถุมงคล กราบเรียนสอบถามหลวงพ่อครับ อานิสงส์คนที่โมทนายินดีร่วม อานิสงส์ของคนจะทำบุญต้องมีซอง อานิสงส์คนให้เงินร่วมเป็นเจ้าภาพบวช อานิสงส์ผลบุญนี้แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : คนที่โมทนายินดีร่วม จะได้ประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ คนที่ร่วมเป็นเจ้าภาพ อานิสงส์การบวชถ้าเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะมีอายุได้ประมาณ ๑๕ กัป คนที่ถามหาซองเพราะว่าเกรงใจแต่ตั้งใจเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ถ้าได้ทำมาก็ได้ ๑๕ กัปเหมือนกัน

ถาม : วัตถุมงคลที่มีคนให้เงินมา ผมจำไม่ได้ว่าใครร่วมบุญมาบ้าง ผมควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาไปถวายวัด ...(หัวเราะ)... ตรงนี้พูดเล่นนะ ถ้าหากว่ารู้ว่าไม่ใช่ของเรา ก็พยายามแจกจ่ายไปให้ท่านที่ร่วมบุญมา มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

บางท่านเวลาทำบุญ ถ้าไม่มีซองบางท่านจะรู้สึกประดักประเดิก เห็นว่าเป็นการไม่สุภาพ ก็หาซองให้ท่านหน่อย แต่ว่าที่นี่ถ้าทำบุญแล้วมีซองก็เสียเวลาแกะอีก เพราะซองก็ไม่ได้เอาไปไหน ส่วนใหญ่พอตรวจสอบว่าเอาเงินออกเรียบร้อยแล้วก็มักจะต้องทิ้งไป แล้วก็มีหลายท่าน ถึงเวลาทำบุญมา เขียนมาทีหนึ่ง ๓-๔ ซอง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องแยกก็ได้ ในเมื่อเขียนรายการไว้ในซองเดียวกันได้ก็เขียนรวมกันไป ไม่ใช่ว่าซองแรกสังฆทาน ซองที่สองวิหารทาน ซองที่สามธรรมทาน ซองที่สี่ทำบุญกับหลวงพ่อทุกอย่าง เขียนมาเยอะแยะขนาดนั้นให้สิ้นเปลืองทำไม ?

เถรี 10-03-2015 12:21

ถาม : ที่เขาบอกว่าเมื่ออายุจะเข้า ๕๐ แล้วจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ?
ตอบ : ความจริงไม่ดีทุกช่วงอายุ เพราะแก่ลงไปทุกวัน ส่วนช่วงอายุ ๕๐ ไม่ดีเยอะหน่อย เพราะอายุมากแล้ว..!

โบราณแบ่งช่วงอายุออกแบ่ง ๔ ช่วงด้วยกัน คือช่วงละ ๒๕ ปี คราวนี้ในช่วงของ ๒๕ ปีแรก เขาแรกว่า เบญจเพส เขาบอกว่าให้ระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในชีวิต อาจจะได้ทั้งด้านดีและไม่ดี โดยเฉพาะให้ระมัดระวังว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นได้

ดังนั้น..ถ้านับช่วงอายุที่สองก็จะลง ๕๐ ปีพอดี อย่างที่โยมเมื่อครู่ได้ถาม แต่ว่าบางท่านก็นับเอาที่ลงเลข ๕ อย่างเช่นว่า ๒๕, ๓๕ , ๔๕ , ๕๕ ถ้าเป็นอาตมาก็นับทุกปี เพื่อความไม่ประมาท ให้พยายามระมัดระวัง บำเพ็ญในศีล สมาธิ ปัญญาของเราเอาไว้ ถ้าเกิดปุบปับมีอะไรหนักหนาสาหัสขึ้นมา กุศลกรรมที่สร้างมาจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา ถ้าเบาก็จะได้หาย

เพราะฉะนั้น..ต้องให้ความสำคัญทุกช่วงอายุ เรื่องของอายุอย่าคิดว่าเราจะอยู่เกินวันนี้ ให้คิดว่าเรามีวันนี้แค่วันเดียว แล้วพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด พอถึงเวลาพรุ่งนี้ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ “เฮ้อ...ลำบากอีกวัน” ไม่ใช่อยู่ได้อีกวันนะ ลำบากอีกวัน..!

เถรี 10-03-2015 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกเราพบกับความกลับกลอกของกำลังใจกันมากต่อมาก แต่ไม่ค่อยจะจำกัน อย่างเช่นว่าพอเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ก็ “เฮ้อ..น่าเบื่อเหลือเกิน ไปพระนิพพานดีกว่า” พอเริ่มสบายขึ้นมาหน่อยก็ลืมพระนิพพานไปแล้ว คิดว่าอยู่ต่ออีกหน่อยก็ดี

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องความกลับกลอกของใจนี่มีเป็นปกติ เราต้องรู้เท่าทันและพยายามรักษากำลังใจให้มั่นคงแน่วแน่ต่อเป้าหมายของเรา ไม่เอาก็คือไม่เอา อย่าไปทำในลักษณะของเบื่อ ๆ อยาก ๆ ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์ได้”

เถรี 11-03-2015 06:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาบอกว่ายักษ์ไม่มีกระบองไม่มีคนเกรงใจ สมัยนี้รัฐบาลของเราเป็นยักษ์มีกระบองเพียบเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร งง ๆ ใช้กระบองไม่เป็น ในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ละประเด็นที่เปิดเผยออกมา สื่อให้ประชาชนได้รู้ ส่วนหนึ่งเป็นความต้องการที่จะร่างรัฐธรรมนูญอย่างนั้นจริง ๆ แต่ว่าปล่อยออกมาในลักษณะการโยนหินถามทาง ว่าจะมีคนสนับสนุนหรือคัดค้าน ปรากฏว่าได้ก้อนอิฐแทบทุกครั้ง..!

โดยเฉพาะท่านที่มีการแสดงออกไม่เป็นที่ไว้วางใจ อย่างเช่นว่าตั้งคนรอบข้างมาช่วยงาน ก็ตัวเองเพิ่งจะไปเฉ่งชาวบ้านเขา แล้วก็มาทำเสียเอง ฉะนั้น..ตรงส่วนนี้ที่บอกว่าความกลับกลอกของจิตมีมาก ก็เพราะว่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็คือ ถ้าเราทำเอง..ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นทำ..ไม่ได้

ถ้าเราเข้าใจในเรื่องสภาพจิตของคน ที่มีรัก โลภ โกรธ หลงเป็นปกติ ก็จะไม่ตำหนิใคร แต่ว่าในเรื่องของประเทศชาติ อย่างไรเสียก็ควรที่จะพูด ควรที่จะแสดงออก เห็นด้วยก็แสดงออกว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็แสดงออกด้วยการคัดค้าน ถ้าหากว่าเราทำตัวเป็น "ไทยเฉย" ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยไป รัฐธรรมนูญที่ออกมามีผลบังคับใช้ยาวนานจนกว่าจะมีคนมาฉีกทิ้ง ถ้าสิ่งไหนที่ไม่เป็นสากลก็ให้รู้จักคัดค้านกันบ้าง ไม่ใช่ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย

เรื่องของการเป็นสากล อย่างเช่นว่านายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีต้องมาจากการเลือกตั้ง อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้ง ถ้ามาจากการแต่งตั้งเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งโอกาสที่จะตรวจสอบการทำงานก็เท่ากับถูกปิดตาย

ในส่วนของการร่างรัฐธรรมนูญ ความจริงถ้าเอาฉบับปี ๒๕๔๐ มาเพิ่มเติมบางประเด็นเท่านั้นก็สมบูรณ์แล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกว่าไหน ๆ เขาตั้งมาแล้ว ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ถ้าไปเอาของเก่ามาเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มีฝีมือ ต้องบอกว่าหาเรื่องเหนื่อยเอง เป็นการหาเรื่องยืดระยะเวลาในการอยู่ในอำนาจ"

เถรี 11-03-2015 06:28

"เรื่องของการเสวยอำนาจ ขึ้นไปเมื่อไรจะหน้ามืดตามัว เหตุที่หน้ามืดตามัวเพราะว่าพอมีอำนาจ คนรอบข้างก็ไม่กล้าบอกกล่าวในสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็เท่ากับโดนปิดหูปิดตา มีแต่ “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” ส่วนจะลงเหวไปเมื่อไรเขาไม่รับรู้..!

ไปนึกถึงสมัยราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้ถังไท่จง หรือพระนามเดิมว่าหลี่ซื่อหมิน แต่งตั้งเว่ยเจิงเป็นขุนนางทัดทาน พระราชทานป้ายทองนิรโทษให้ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดที่ขัดพระทัยขนาดไหนก็ไม่เอาโทษถึงตาย แล้วเว่ยเจิงก็กล้าที่จะทูลคัดค้านในสิ่งที่ไม่สมควร แม้บางครั้งฮ่องเต้จะทรงพิโรธ แต่เนื่องจากว่าเรื่องของรัฐบุรุษ ก็คือผู้ที่กระทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ ถึงจะโกรธแค่ไหน เมื่อพิจารณาเห็นแล้วว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าก็ยอมทำตาม ราชวงศ์ถังยุคนั้นจึงแผ่ขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แม้กระทั่งประเทศของเราในยุคสมัยนั้น ยังไปถวายเครื่องราชบรรณาการ

ฉะนั้น..ลักษณะของนักการเมืองกับรัฐบุรุษจึงต่างกัน นักการเมืองมักจะเห็นแก่พวกพ้องและตัวเอง แต่รัฐบุรุษจะทำเพื่อประเทศชาติเสมอ ก็ต้องเลือกเอา ว่าเราต้องการเป็นนักการเมืองหรือต้องการเป็นรัฐบุรุษ ? ซึ่งในส่วนนี้จะว่าไปแล้วอยู่ที่สามัญสำนึก พอพูดมาถึงสามัญสำนึก ญาติโยมส่วนหนึ่งก็จะชี้นิ้วมาที่อาตมาแล้วบอกว่า “หน้าที่ของท่าน” ทำอย่างไรท่านจะอบรมให้ชาวบ้านมีสามัญสำนึก สามัญสำนึกเพื่อส่วนรวม ประกอบไปด้วยความยุติธรรม ปราศจากอคติ ให้ความสำคัญแม้เสียงข้างน้อยเพียง ๑ เสียง เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็คือส่วนหนึ่งของประเทศชาติ

ในเมื่อทุกฝ่ายก็คือคนไทยด้วยกัน สิ่งที่จะกระทำก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมทุกคน แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ แต่ก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เขาพอใจ พระพุทธเจ้าถึงไม่เคยสรรเสริญระบอบการปกครองแบบใดว่าดีเลย เพราะพระองค์ทราบดีว่า ระบอบจะดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าคนใช้ระบอบนั้นไม่ดีเสียอย่างก็ไปไม่รอด พระองค์ท่านจึงได้ตรัสหลักธรรมที่ใช้ประกอบขึ้นมา อย่างเช่นว่าถ้าปกครองโดยระบอบพระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องมีจักรวรรดิวัตร ถ้าปกครองโดยพระมหากษัตริย์ต้องมีทศพิธราชธรรม ถ้าปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยต้องมีอปริหานิยธรรม เป็นต้น"

เถรี 11-03-2015 06:31

"ถ้าถามว่าเผด็จการดีได้ไหม ? ได้..แต่ต้องเป็นเผด็จการที่ทำเพื่อประเทศชาติ ตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๕ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สิทธิ์ขาดทุกอย่างอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เผด็จการดี ๆ นี่เอง แต่ว่าทำไมประเทศชาติของเราเจริญมาก เจริญยิ่งกว่าญี่ปุ่นอีก ก็เพราะว่าพระองค์ท่านทำทุกอย่างเพื่อราษฎร

ปัจจุบันก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร มีรัฐบาลอย่างที่เห็น เราก็ปกครองด้วยประชาธิปไตยซึ่งใคร ๆ ก็ว่าดี แล้วทำไมถึงต้องรัฐประหาร เพราะว่าระบอบประชาธิปไตยที่ขาดธรรมะประกอบก็ไปไม่รอด คนเราเผลอเมื่อไรก็ทำเพื่อพวกพ้องและตัวกู ขณะเดียวกันก็ไปมองบุคคลที่คิดต่างเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ซึ่งเป็นการวางกำลังใจที่ผิด

ถ้าถามว่าการวางกำลังใจที่ถูกเป็นอย่างไร ? ก็ต้องดูอย่างในหลวงของเรา ในหลวงไม่เคยดูว่านั่นเป็นชาวเขา นี่เป็นชาวเรา นั่นเป็นคริสต์ โน่นเป็นอิสลาม นี่เป็นพุทธ พระองค์ท่านเห็นว่าทุกคนคือพสกนิกรที่พระองค์ท่านจะต้องปกครอง ต้องให้การสงเคราะห์ให้อยู่ดีมีสุขโดยเสมอหน้ากัน ถ้ารัฐบาลของเราทำได้แบบที่ในหลวงทรงทำ จะปกครองระบอบอะไรก็ปกครองไปเถอะ..ไม่มีใครเขาว่าหรอก

วันนี้พูดแทนพวกเรา เพราะพวกเราประเภทนั่งมองรัฐบาลบริหารงานแล้วก็ทำตาปริบ ๆ เหมือนดูเขาเดินลงเหวแล้วไม่รู้จะห้ามอย่างไร ในเมื่อโยมไม่พูดอาตมาก็เลยพูดแทน ว่าแล้วก็เตรียมตัวเจริญกรรมฐานกัน วางเรื่องร้อนหู ร้อนตา ร้อนใจ เข้าสู่การปฏิบัติของเราดีกว่า"

เถรี 11-03-2015 06:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอกเมื่อวันที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา มีญาติโยมถวายทองคำมาประมาณ ๔ กิโลกรัม ไม่ได้ชั่ง..เพราะอยู่ที่หน้างาน แต่กะน้ำหนักด้วยมือ เหตุที่กะถูกเพราะอาตมาสั่งซื้อทองคำทีละ ๓๐๐ บาท ก็คือ ๔.๕ กิโลกรัม รับน้ำหนักประมาณนั้นจนชิน ก็เลยเดาได้ งวดนี้ก็กำลังรอซื้ออยู่ ความจริงช่วงนี้ซื้อได้แล้ว เพราะว่าต่ำกว่า ๑๘,๕๐๐ บาทตามที่ตั้งใจไว้ แต่หวัง ๆ ว่าราคาอาจจะหล่นไปที่ ๑๗,๙๐๐ บาท

องค์พระช่างทุบหุ่นออกมาแล้ว บอกว่าสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องซ่อมแซมอะไรทั้งนั้น ตัดชนวนแล้วขัดแต่งอย่างเดียวเลย ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่เหมือนกัน เพราะปกติอย่างน้อยก็ต้องมีให้อุดให้ซ่อมบ้าง"

เถรี 11-03-2015 06:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครสนใจจะเป็นเจ้าภาพใหญ่เมรุวัดท่าขนุน ก็แจ้งความจำนงได้นะจ๊ะ คิดว่าสัก ๒๐ ล้านบาทน่าจะอยู่ ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย มาถึงตอนนี้จ่ายไป ๕๒ ล้านเศษแล้ว ถ้านับเฉพาะตัวศาลาคาดว่าถึง ๗๐ ล้านบาท ส่วนพระประธานข้างในศาลา บุษบกตั้งพระทองคำของเราจะแยกบัญชีต่างหาก ถ้ารวมกันนี่เกิน ๑๐๐ ล้านแน่นอน เพราะว่าบุษบกเท่าที่เซ็นสัญญาไป ๑๒.๕ ล้านบาท

ส่วนพระพุทธรูปทองคำนี่ยังไม่ได้คิดเลย ช่างเขาประมาณไว้ว่าใช้ทอง ๔๐ กิโลกรัม อาตมาต้องเผื่อเท่าตัว เพราะว่าช่างกะผิดเป็นประจำ อย่างคราวที่แล้วเขากะวัสดุเงินที่ใช้หล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน เขาบอกใช้เงินประมาณ ๒๒-๒๕ กิโลกรัม อาตมาให้ ๕๐ กิโลกรัมเลย เพราะว่าถ้าเหลือก็เอามาทำวัตถุมงคลต่อไปได้"

เถรี 11-03-2015 11:37

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่นี้อาตมาเดินไปส่งฎีกาให้หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต วัดใหม่ยายนุ้ย นิมนต์ท่านมางานฉลองบ้าน ๒๙ มีนาคมนี้ มีหลวงพ่อพระราชวรเวที วัดราชคฤห์ฯ ด้วย วัดราชคฤห์ฯ นั่งรถไปสัก ๑๐ นาทีก็ถึงแล้ว อยู่ใกล้แค่นี้ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสไป

วันที่ ๒๙ นี้นอกจากฉลองบ้านแล้ว มีหล่อพระด้วยนะจ๊ะ น่าจะเป็นครั้งแรกของแถวนี้ที่เขาหล่อพระกัน จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ด้วยเงินแท้ทั้งองค์ เพื่อถวายกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา คิดว่าบวงสรวงเช้าเสร็จก็จะหล่อพระเลย ถ้าใครมาร่วมงานรีบมาแต่เช้า ๆ หน่อย มาเหยียบกันก่อน หลังจากนั้นก็รอจนกระทั่งเจริญพุทธมนต์ ถวายอาหารเพลเสร็จค่อยว่ากัน

รอบนี้สั่งซื้อเม็ดเงินไป ๕๐ กิโลกรัม เป็นเงิน ๘๗๙,๐๐๐ บาท ตอนแรกคาดว่าราคาน่าจะอยู่ที่ ๙๐๐,๐๐๐ บาท พอดีราคาตกลงมา ตอนนี้อาตมาก็เลยฉวยโอกาสนั่งรอราคาทอง ความจริงวันนี้ก็น่าจะซื้อได้ แต่อยากจะรอให้ราคาตกลงมามากกว่านี้อีกนิดหนึ่ง แต่ระยะนี้เรื่องของราคาทอง ต้องบอกว่าถ้าใครเล่นก็จุก ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ระหว่างวันละ ๑๕๐ ถึง ๒๐๐

สมมุติวันนี้ซื้อ ๑๘,๗๐๐ บาท พรุ่งนี้เหลือ ๑๘,๕๐๐ บาท ขาดทุนไปบาทละ ๒๐๐ วันต่อไปขึ้นมา ๑๕๐ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันลงอีกแล้ว ใครเล่นทองคำช่วงนี้ต้องทำใจหน่อย ความจริงอาตมาอยากจะรอราคาที่ ๑๗,๙๐๐ บาท แต่ขี้เกียจรอนาน เมื่อมีเงินพอก็ซื้อไปเถอะ ซื้อแพงกว่าหน่อยก็ได้"

เถรี 11-03-2015 12:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เครื่องรางจระเข้บ้านเราที่ทำแล้วคนให้ความศรัทธาเชื่อถือมากที่สุด ก็คือหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย คาดว่าพวกเราคงไม่เคยได้ยินชื่อกันหรอก แต่สมัยนี้ที่ทำล่าสุดแล้วได้รับความเชื่อถือ เป็นของหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล

หลวงปู่สุภามรณภาพแล้วเหมือนกัน แต่จระเข้ที่จะลง
ให้บูชาในกระทู้นี้ยังทันท่านอยู่ จระเข้ของท่านทำไว้เฝ้าบ้าน เอาไว้รักษาทรัพย์ นึกถึงนิทานธรรมบทในพระไตรปิฎก ที่เศรษฐีขี้เหนียวเอาทรัพย์สมบัติไปฝังเอาไว้ที่ท่าน้ำ จิตมัวแต่ห่วงสมบัติอยู่ พอตายก็เลยต้องไปเป็นจระเข้เฝ้าทรัพย์ ก็มาจากนิทานธรรมบทนี่แหละ

แต่ว่าตอนหลังเศรษฐีขี้เหนียวเฝ้าทรัพย์คงทนลำบากไม่ไหว จึงไปเข้าฝันบอกภรรยาให้มาขุดไปทำบุญ จะได้ไปเกิดกับเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นจระเข้อยู่ตรงนั้น ไปไหนไกลไม่ได้ หาอาหารกินก็ไม่ค่อยจะอิ่ม เพราะว่าพื้นที่หากินแคบ จะไปไกลก็เป็นห่วงทรัพย์ ท้ายสุดภรรยาก็เลยไปขุดเอาสมบัติไปจัดทอดกฐิน ไม่รู้ไปทอดไกลแค่ไหน สามีที่เป็นจระเข้ว่ายน้ำไม่ไหว อาจจะเป็นเพราะแก่มากแล้ว หรือไม่ก็ประเภทหากินไม่พอ แรงจึงไม่ค่อยมี ก็เลยบอกภรรยาให้วาดรูปของตนไว้ในกองกฐิน กลายเป็นธงจระเข้ในกองกฐินมาจนทุกวันนี้

โบราณส่วนใหญ่ทำเครื่องรางของขลังขึ้นมา ก็มักจะอิงเรื่องในพระพุทธศาสนา เครื่องรางจระเข้ดังที่สุดต้องหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย ถ้าจิ้งจกดังที่สุดต้องหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง ถ้าตุ๊กแกดังที่สุดต้องหลวงปู่ครื้น วัดสังโฆสิตาราม ตุ๊กแกเป็นดินปั้นแท้ ๆ แต่ถ้าวันไหนร้องวันนั้นได้เงิน รับประกันได้เลย สายหลวงปู่ครื้นนี้มาตอนหลังได้ยินว่าหลวงปู่หล่ำ วัดสามัคคีธรรม น่าจะสืบทอดวิชามา แต่ไม่ได้ข่าวว่าหลวงปู่หล่ำมรณภาพหรือยัง ? เพราะอายุกาลพรรษาก็ ๘๐-๙๐ ไปแล้ว"

เถรี 11-03-2015 12:13

ถาม : คนที่ฆ่าปลาทุกวัน กับมือปืนรับจ้างที่นาน ๆ ยิงที ใครตกนรกลึกกว่ากัน ?
ตอบ : คนที่ฆ่าทุกวัน แต่ในขณะเดียวกัน..มือปืนรับจ้างอย่าเผลอไปยิงพระอรหันต์เข้านะ ลงก่อนเลย..! การฆ่าสัตว์ทุกวันเรียกว่า อาจิณกรรม อาจิณกรรมนี่โทษพอ ๆ กับอนันตริยกรรมเลย คือลงอเวจี เพราะว่าทำจนชิน ทำทุกวัน

ถาม : คนขายปลาก็แย่สิครับ ?
ตอบ : ไม่ได้แต่ขายปลาหรอก อย่างอื่นเขาก็ฆ่ากันเป็นปกติ โดยเฉพาะพวกที่อยู่โรงฆ่าสัตว์ การฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์นั้น ถ้าฆ่าคนที่มีความดีสูงโทษก็หนักมากกว่า ฆ่าสัตว์ใหญ่โทษหนักมากกว่าฆ่าสัตว์เล็ก เพราะต้องใช้กำลังใจมากกว่า ฆ่าสัตว์ที่มีคุณโทษหนักมากกว่าฆ่าสัตว์ที่ไม่มีคุณ จะมีรายละเอียดอยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ อาจจะเป็นอาชีพ วันโกนให้ละวันพระให้เว้นบ้าง ไม่ใช่ฆ่าทุกวัน พอเป็นอาจิณกรรมก็เหมือนกับสะสมไปเรื่อย ๆ สะสมแต้มถึงก็ได้พอ ๆ กับอนันตริยกรรม ลงอเวจีไปก่อน

ถาม : แสดงว่าเขาก็มีกรรมหนักอยู่สิครับ เขาถึงมาทำอาชีพนั้น ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วสามารถเปลี่ยนได้ แต่เพราะความรักตัวเองก็เลยไม่เปลี่ยน ความรักตัวเองก็คือเปลี่ยนแล้วเดี๋ยวจะลำบาก ไปดูพวกเรือประมงสิ ตีอวนแต่ละทีกี่หมื่นกี่แสนชีวิตก็ไม่รู้ นึกแล้วสยดสยอง ที่ "นางฟ้าปลาทู" ไปช่วยเขาคัดปลาบนเรือประมง วันไหนเห็นเขาได้ปลามาเยอะก็ดีใจ เพราะตัวเองจะได้ค่าแรงมาก กลายเป็นโมทนาบาปกับเขาไม่รู้ตัว หวิดซวยไป ยังโชคดีที่คุณเธอไปใส่บาตรทุกวัน

เถรี 11-03-2015 12:20

ถาม : ที่ผ่านมาเรียกว่าอะไรครับ ผมเห็นหน้าท่านเยอะมากเลย ?
ตอบ : เรียกว่าสังฆานุสติ การคิดถึงพระสงฆ์ แต่ระวังจะได้บาป เพราะใจหมองเนื่องจากว่าทำผิดแล้วกลัวจะเกิดโทษ

ถาม : สังฆานุสติไม่เป็นบุญหรือครับ ?
ตอบ : เป็น..แต่เป็นแบบหวาดระแวง ในเมื่อเป็นแบบหวาดระแวง ใจจะเศร้าหมองมากกว่า

ถาม : ต้องหาอะไรไปทำ ?
ตอบ : หาวิธีไปทำอะไรเละ ๆ ในวัดอีก ก็จะเป็นแบบนั้นนั่นแหละ

ถาม : ถ้าเรานึกถึงพระที่ไม่ดี โดยเรานึกชื่นชมคิดว่าท่านเป็นพระดี ?
ตอบ : อันนั้นได้เลย

ถาม : ทั้ง ๆ ที่ท่านปฏิบัติไม่ดี ?
ตอบ : อย่าลืมว่าเรานึกถึงแต่ด้านดี

ถาม : ถ้านึกถึงท่าน ก็ต้องนึกถึงด้านดีอย่างเดียว ?
ตอบ : ถูก..ตอนที่กำลังด่าใครอยู่อย่านึกเป็นอันขาด..!

เถรี 11-03-2015 14:34

พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านที่ไปงานหล่อพระวันที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา จะเห็นว่า ช่างเขามีเตาหลอมแบบพิเศษที่ไม่ใช่เบ้า เป็นหม้อหลอม ใบหนึ่งจะได้น้ำหนักโลหะ ๘๐๐ กิโลกรัม ปรากฏว่าเขาต้อง ใช้หม้อหลอม ๒ ใบและเบ้าแบบปกติทั่วไปอีก ๖ เบ้า (เบ้าละ ๘๐ กิโลกรัม) เทไป ๒ หม้อหลอมกับอีก ๔ เบ้ากว่า

ส่วนที่เหลือช่างเขาหลอมทำเป็นชนวนทิ้งไว้ให้ ก้อนหนึ่งตก ๒๐-๓๐ กิโลกรัม พระท่านไปนั่งคุ้ยนั่งเขี่ย ไปหาพวกทองรอดเบ้า ปรากฏว่าอาตมาเอาปลอกกระสุนปืนชาตรี ที่เข้าพิธีตั้งแต่สมัยเสกมีดหมอชาตรีครั้งแรกที่วัดท่าซุง เอาไปเข้าพิธีประมาณ ๑ ลัง พอเจ้าของเขายิงเสร็จก็เก็บปลอกมา เอาไปให้หลอม

ตอนแรกช่างเขาบอกว่าหลอมไม่ได้เดี๋ยวระเบิด อาตมาก็เลยถามว่า "เอ็งเคยใช้ปืนไหม ? ข้าเป็นทหารเรียนอาวุธศึกษาได้ที่ ๑ มา ขอยืนยันว่าไม่ระเบิด" เขาบอกว่าเขาไปหลอมงานของใครมาก็ไม่รู้..ระเบิดมาแล้ว อาตมาขี้เกียจอธิบาย ก็เลยบอกว่า "ถ้าเอ็งคิดว่าทำไม่ได้ก็เก็บเตากลับไปเลย ไม่ต้องหลอมหรอก" ที่เขาหล่อแล้วระเบิดเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ คือ ความหวังดีแต่ประสงค์ร้ายของคน ซึ่งไม่รู้ว่าลูกปืนที่ด้านเพราะแก๊ปไม่ทำงาน แต่ดินปืนยังทำงานได้เป็นปกติ พอเห็นด้านก็เล่นหย่อนลงไปหลอมเลย โดนความร้อนขนาดนั้นแล้วจะเหลือหรือ ? ก็ระเบิดสิ..!

อีกประการหนึ่งลักษณะคล้ายกันก็คือ พอลูกปืนด้าน ด้วยความที่ตัวเองค่อนข้างเก่ง จึงงัดหัวกระสุนออกมา เทดินปืนทิ้งแล้วก็เอาไปหลอม แต่ลืมไปว่าแก๊ปท้ายกระสุนยังอยู่ ถึงแม้ว่าจะด้านก็จริง ถ้าโดนความร้อนขนาดนั้นก็ระเบิด เพียงแต่ว่าไม่แรงเท่ากับลูกปืนทั้งลูก อาตมาเองใช้ปืนจนกระทั่งหูเสียไป ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ มีหรือที่จะไม่รู้เรื่องแค่นี้ เห็นเขาโง่มากก็เลยขี้เกียจอธิบายให้ฟัง บอกว่าถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็เก็บของกลับไปเลย ท้ายสุดเขาก็เลยบ่นกระปอดกระแปดแล้วก็เอาไปหลอม แล้วก็ไม่เห็นว่าจะระเบิด ความเชื่อของคนบางทีก็เชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา เชื่อโดยไม่พิจารณาว่าเป็นอะไร เห็นมาครั้งหนึ่งแล้วกลัวไปตลอดชีวิต

มีญาติโยมหลายท่านถวายทองที่มีส่วนประกอบของพวกเพชรพลอยอัญมณีมา อาตมาต้องแยกออกมา ไม่ได้หล่อให้ มีอยู่เส้นหนึ่งเป็นสร้อยคอ แล้วก็รู้สึกจะเป็นนิล อาตมาก็ดึงเฉพาะส่วนที่เป็นสร้อยลงไปหล่อ ส่วนที่เหลือก็แยกออกมาไปถวายเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ เพราะว่าถ้าลงไปแล้วจะระเบิดจริง ๆ เนื่องจากว่าเพชรพลอยก็คือถ่าน แต่ว่าเป็นถ่านที่โดนความกดดันสูง ๆ ก็เลยแปรสภาพเป็นอัญมณี แต่ถ้าโดนความร้อนสูง ๆ ปกติของถ่านคือติดไฟ ถ้าขยายตัวไม่ทันก็ระเบิด จึงต้องแยกออกมา

สมัยนี้ต่างประเทศเขามีเทคโนโลยีเผาคนให้เป็นเพชร บางทีก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่รักมาก ถึงเวลาไปจ้างเขา จะเป็นเตาเผาความร้อนสูงมาก ที่แปรสภาพกระดูกให้เป็นเพชรไปเลย เพราะกระดูกก็คือคาร์บอน ก็คือถ่าน พอผ่านความร้อนและแรงอัดสูง ๆ จะกลายเป็นเพชร แล้วเขาก็เอามาเจียรนัย ประดับแทนความคิดถึงคนที่ตายไป หรือว่าสัตว์ที่ตายไป จะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ อะไรทำนองนั้น

เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพวกนี้ก้าวหน้าขึ้น คิดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวบ้านเราก็จะมี หรือไม่ก็อาจจะมีแล้วแต่อาตมายังไม่รู้ ถึงเวลาญาติผู้ใหญ่ตายก็จัดการเลย ความจริงถ้าอยากได้เพชรเม็ดใหญ่ ๆ ต้องให้เขารูดเนื้อออกก่อน เสร็จแล้วก็เอากระดูกมาตำอัดแท่งเผาอีกที คราวนี้จะได้ใหญ่สมใจนึก ถึงเวลาก็เลี่ยมห้อยคอไปเลย..!"

เถรี 12-03-2015 10:31

ถาม : งาช้างควรขึ้นทะเบียนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ควร..เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเจอปรับ ๓ ล้านบาท ถ้าใครเป็นร้านค้าขายเจอปรับ ๖ ล้านบาท เขาให้ขึ้นทะเบียนภายใน ๒๑ เมษายนนี้ และเขาให้ครอบครองได้คนละ ๔ ชิ้นเท่านั้น

ถาม : แล้วอย่างประคำละครับ ?
ตอบ : ประคำนับเป็นชิ้น ไม่ได้นับเป็นเม็ด ของที่วัดที่แจ้งการครอบครองงาช้าง เฉพาะมีดหมอของครูบาอาจารย์ก็ ๖ เล่มเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นด้ามงา

เถรี 12-03-2015 10:36

ถาม : โดนเขาทำของมาเกือบสิบปีแล้ว ถ้าไม่ใส่พระติดตัวตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ต้องไปเอาของออกที่ไหนครับ ?
ตอบ : เขาให้ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวไว้เป็นปกติ โดยเฉพาะ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ใครทำมาก็ซวยเอง

ถาม : กลางคืนรู้สึกจะมีมาทำตอนหลับครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ภาวนา "เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา" เอาภาพพระคลุมไว้ ภาวนาให้หลับไปเลย

เถรี 12-03-2015 11:49

ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้าน เอาภาพพระไว้ที่ศีรษะ เราควรบังคับอย่างไร ?
ตอบ : ย้ายท่านไปตรงนั้นองค์หนึ่ง ไว้ที่ตรงนี้องค์หนึ่ง สามารถวางไว้ทีหลาย ๆ องค์ก็ได้ ไม่เป็นไร

ถาม : แต่ไม่ชัดสักองค์หนึ่งเลยค่ะ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็จดจ่อไว้สักองค์ ที่เหลือก็ใส่ความรู้สึกไว้หน่อยเดียว จะได้ชัดจริง ๆ สักองค์

ถาม : ช่วงหลัง ๆ แปลก ๆ ฟังเพลงแล้วเพลินนานเป็นชั่วโมง ทั้งที่เลิกฟังมาหลายสิบปีแล้ว ?
ตอบ : กิเลสหยาบ ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราต้องมีอาหาร เขาเรียกวิญญาณาหาร อาหารทางตาคือรูป อาหารทางหูคือเสียง อาหารทางจมูกคือกลิ่น อาหารทางลิ้นคือรส อาหารทางกายคือสัมผัส เป็นต้น พอเราไปตัดนาน ๆ แล้วกิเลสอยากขึ้นมา แต่คราวนี้อยากแบบเราไม่รู้ตัว พอถึงเวลาจึงไปหากินเอง

ถาม : ....(ไม่ชัด).....
ตอบ : ถูก..กิเลสอดมากก็เลยต้องไปหากินเอง คราวนี้พอเรารู้ เราทัน กิเลสก็ต้องอดต่อไป

เถรี 12-03-2015 11:57

ถาม : สัมผัสวัตถุมงคลบางที่ ออกมาแนว ๆ เวียนหัว มีวิธีภาวนาไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี..อันนั้นเป็นอาการที่แสดงออกว่าเรารับรู้ถึงพลังงานได้

ถาม : เราจะแยกออกเวลาครูบาอาจารย์..?
ตอบ : แล้วทำไมจะต้องไปแยก ? เวลาโดนจะได้รู้ตัวเอง อาตมาเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ เอ๊ะ..ทำไมเวลาเราใกล้วัตถุมงคลแล้วเป็น ? มารู้ทีหลังว่ารับพลังงานได้ เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว อาการเดียวกันนั่นแหละ จะปวดตึ๊บ ๆ อยู่สองข้างขมับ พอออกห่างก็หาย

ถาม : เราก็แค่รู้ไว้ ?
ตอบ : กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ามามากเดี๋ยวจะยืมใช้ จะได้รู้ว่าวัตถุมงคลผ่านการพุทธาภิเษกมาจริงไหม ถึงได้มีพลังงานอย่างนั้น

เถรี 12-03-2015 12:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังให้เขาตรวจปรู๊ฟ หนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้าน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ เลยลงรูปเมื่อวันที่ ๓ มกราคมเพิ่มขึ้น จะเอาไว้แจกวันฉลองบ้าน ก็คือวันที่ ๒๙ มีนาคมนี้

๒๙ มีนาคม จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน หน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ๑ องค์ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา หล่อที่นี่แหละ หล่อให้เห็น ๆ ไปเลย คิดว่าบวงสรวงเช้าเสร็จก็หล่อเลย ช่างคงจะต้องมาตั้งเตาล่วงหน้าสักวันหนึ่ง ซื้อเม็ดเงินไปเรียบร้อยแล้ว
๕๐ กิโลกรัม ราคาเกือบ ๙ แสนบาท"

เถรี 12-03-2015 14:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออนุญาตเอามีดหมอเพชราวุธเล่มนี้ไปเก็บก่อน วางไว้ล่อตาคนไม่ค่อยดี เดี๋ยวเขาอิจฉา โดยเฉพาะเล่มนี้แพงมาก เพราะว่าด้ามกับฝักเป็นทนสิทธิ์ เรียกว่าเป็นของขลังทั้งคู่ ด้ามเป็นงากวัก ฝักเป็นงางอก งอกนี่ก็คือเจริญงอกงาม กวักก็คือเรียกคนมาหา

"งากวัก" เป็นงาช้างที่ปลายงอเป็นตะขอเข้าหาตัว เชื่อกันว่าช้างที่เป็นเจ้าของงากวัก จะไม่มีวันอดอยากกับใคร ไปไหนก็มีอาหารให้ ส่วน "งางอก" เป็นเม็ดงาที่งอกอยู่ในโพรงงาอีกที ลักษณะกลมบ้าง รีบ้าง บางทีก็หลุดออกมา บางทีก็ติดอยู่ในโพรงงา เชื่อกันว่าช้างที่มีงางอก อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ เจ้าของจะมีทรัพย์สมบัติงอกเงยตลอดเวลา กินไม่ไหวใช้ไม่หมด

พวกคนสมัยก่อนเขาพยายามจะหากัน เพราะเชื่อว่าช่วยให้เรื่องของลาภผลเงินทองดีมาก ๆ แต่อย่าไปหาเลย แพงตายชัก..! ด้ามที่เป็นงากวักอันนี้ ซื้องามาเกือบแสนบาท ส่วนงางอกอันนี้งอกติดอยู่ในโพรงงา เจ้าของคิดหนึ่งแสนบาทพอดี มีผู้เมตตาไปซื้อมาแล้วทำถวาย อาตมาได้แค่รับมาเท่านั้น ช่วงนี้เขาห้ามเรื่องงาช้างกันอยู่ เล่มนี้ลงรายการเตรียมแจ้งการครอบครองไปแล้ว"

เถรี 12-03-2015 14:20

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงวันหล่อพระ ชัยพฤกษ์ที่ลานธรรมวัดท่าขนุนบานได้ใจจริง ๆ เลย อาจจะได้ความร้อนจากเตาหลอมด้วย ตอนนี้สะพรั่งไปทั้งต้น เมื่อวันพุธเวียนเทียน ถ่ายรูปออกมาบางมุมนี่เห็นแน่นทั้งต้นเลย ความจริงน่าจะถ่ายกลางวัน จะได้เห็นชัด ๆ แล้วคืนนั้นพระจันทร์ใสมากเป็นพิเศษ ไม่รู้มีใครแหงนกล้องขึ้นไปถ่ายบ้างหรือเปล่า ?

การตามประทีปก็แปลอักษรเป็น สธ. ๖๐ พรรษา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนแรกเขาจะใส่ลายพระจุลมงกุฏ อาตมาบอกว่าไม่ต้องใส่มาก ถ้าใส่มากจะดูไม่รู้เรื่อง ก็เลยใส่ไปนิดหน่อย ปรากฏว่ามองจากที่สูงแล้วกำลังงามเลย ถือว่าตั้งแต่แปลอักษรมา มีคราวนี้ลงตัวที่สุด ทุกคนเริ่มเป็นงานกันแล้ว

มีใครเข้าเว็บวัดท่าขนุนไปดูรูปหรือยัง ? ตัวหนังสือขนาดต่าง ๆ กำลังอ่านได้สบายตาตอนมองลงจากยอดเขา คือความจริงใช้คำว่า "มาฆบูชา ๕๘" หรือว่า "๒๕๕๘" ก็พอ โยมเขายังไปลง "ละชั่ว ทำดี ทำจิตผ่องใส" เขาถือว่าผางประทีปเหลือเยอะ ปกติทางวัดตามประทีปหมื่นดวง แต่ปัจจุบันนี้วัดท่าขนุนมีผางประทีปอยู่ถึง ๑๖,๐๐๐ ดวงเศษ จึงลงเต็มที่เลย เอาไว้คราวไหนมีกำลังคนมาก ๆ ก็อาจจะล้นไปที่อื่นบ้าง"

เถรี 12-03-2015 14:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "เกจิอาจารย์ที่นั่งปรก ๘ ทิศ วันที่ ๒๖ ก.พ. ๕๘ อายุรวมกันน่าจะเกิน ๕๐๐ ปี หลวงปู่มหาอำนวย ๙๐ ปี หลวงปู่มหาพล ๘๙ ปี แล้วพระเถระที่นั่งเจริญชัยมงคลคาถา รวมกันก็น่าจะประมาณ ๕๐๐ ปีเหมือนกัน เพราะว่ามากกว่า ๒๐ กว่ารูป มีตุ๊ป้อสิงห์ ๗๘ ปี หลวงตาวัชรชัยก็ ๗๓ ปี

ไปนึกถึงตอนอายุน้อย ๆ นี่แผลงฤทธิ์กันจัง ครูบาอาจารย์ท่านก็อดทนเหลือเกิน คุมพวกอาตมานี่พอ ๆ กับคุมหมาบ้าทั้งฝูง กัดชาวบ้านไม่ได้ก็กัดกันเอง แต่ละคนต่างกันต่างเก่งมา ไม่ค่อยลงให้กันหรอก..!"

เถรี 13-03-2015 11:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อากาศที่ทองผาภูมิตอนเช้าประมาณ ๑๙ องศาเซลเซียส ตอนบ่าย ๓๘ องศาเซลเซียส ขึ้นเท่าตัวพอดี ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็คงเจ็บไข้ได้ป่วยกันบ้าง

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงการปฏิบัติธรรมให้ได้ผล ต้องอยู่ในสัปปายะ ๗ ประการ สัปปายะ คือ ความพอเหมาะพอดี มีอยู่ข้อหนึ่ง คือ อุตุสัปปายะ อากาศที่พอเหมาะพอดี ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป ทองผาภูมิหน้าร้อนก็ร้อนตับแตก หน้าหนาวก็หนาวแทบตาย เพราะโลหะธาตุใต้ดินมีเยอะมาก ถึงเวลาดูดความร้อนเร็วก็ร้อนจัด คายความร้อนเร็วก็หนาวจัด

อาวาสสัปปายะ ก็คือ ที่อยู่เหมาะสม ไม่ลำบากจนไป ไม่ใช่วิหารเก่าที่ต้องซ่อมแซม ไม่ใช่วิหารใหญ่โตเกินไปจนทำความสะอาดลำบาก ไม่ใช่วิหารที่เกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน เหล่านี้เป็นต้น

โภชนสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ก็คืออาหารการบริโภคเหมาะสมกับธาตุขันธ์ตนเอง ถ้าอย่างอาตมาไปอยู่อีสานไม่ได้เพราะแพ้ข้าวเหนียว ฉันไปเมื่อไรก็ร้อนในแทบตาย

โคจรสัปปายะ ก็คือสถานที่ในการบิณฑบาตหาอาหารไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ไกลเกินไปก็ลำบากในการบิณฑบาตมาก ใกล้เกินไปคนก็มารบกวนได้ง่าย ให้อยู่ในประมาณสัก ๕ กิโลเมตรกำลังเหมาะ คนขี้เกียจเดินก็ไม่ไป

อาตมาเองเคยเดินบิณฑบาตไปกลับประมาณ ๑๐ กิโลเมตรครึ่ง พระอาคันตุกะมาอยู่ด้วยที่เกาะพระฤๅษี ตอนเช้าก็ออกบิณฑบาตด้วยกันประมาณ ๖ โมงเช้า กลับมาราว ๆ ๙ โมงเศษ ๆ บอกท่านว่าต้องการฉันอาหารเท่าไรให้แบ่งอาหารใส่บาตรไปเลย ส่วนที่เหลือกันไว้เผื่อพวกลูกศิษย์ เพราะช่วงนั้นฉันมื้อเดียว เหตุที่ฉันมื้อเดียวไม่ได้เคร่งอะไรหรอก กลับมา ๙ โมงกว่า ฉันเสร็จก็ ๑๐ โมงแล้ว ใครจะไปฉันเพลได้อีก ?

พอพระท่านแบ่งอาหารเสร็จก็บอกว่า “พระอาจารย์ครับ ผมขอไปนอนก่อนได้ไหมครับ ?” ถามว่าทำไมไม่ฉันก่อน ? “เป็นลมครับ” เดินขึ้นเขาลงเขา ๑๐ กิโลเมตรครึ่งทำท่าจะเป็นลม

ภัสสสัปปายะ ท่านบอกว่า ไม่สนทนาในสิ่งที่เป็นติรัจฉานกถาที่ขวางต่อการปฏิบัติ สนทนาแต่หลักธรรมที่ชวนให้ปฏิบัติ ชวนให้ละกิเลส

ปุคคลสัปปายะ บุคคลเหมาะสม นอกจากไม่ชวนขี้เกียจ ไม่ชวนให้ฟุ้งซ่านในการคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว เวลาติดขัดข้อธรรมปัญหาธรรมอะไร ยังสามารถที่จะสอบถามได้ ให้ท่านช่วยแก้ไขให้ได้ ส่วนใหญ่เน้นในเรื่องของครูบาอาจารย์

อิริยาปถสัปปายะ คือ อิริยาบถที่สบาย อิริยาบถใดที่ทำให้จิตไม่สงบ แสดงว่าอิริยาบถนั้นไม่เหมาะสม

ที่อาตมาไหม้ ๆ เกรียม ๆ อยู่นี่เป็นเพราะอุตุไม่สัปปายะ ไปตากแดดแบกฟืนเสียหลายคันรถ..!"

เถรี 13-03-2015 11:54

ถาม : นิสัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่น แก้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ สันดานติดตัวมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว

ถาม : ชอบไปยุ่งเรื่องคนอื่น มีวิธีไหมคะ ?
ตอบ : เตือนสติเอาไว้ เตือนตัวเองว่า "อย่าไปเสือกเรื่องของเขา..!"

ถาม : กรรมใครกรรมมันหรือคะ ?
ตอบ : ทำแค่เท่าที่ทำได้ ถ้าเกินกำลังความสามารถแล้วอย่าไปยุ่ง

เถรี 13-03-2015 14:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนโอนเงินไปให้คุณบุญชู ๕๕๐,๐๐๐ บาท คุณบุญชูทำงานประเภทใจเย็นสุดยอด นิสัยของอาตมาก็คือ "ของถึง เงินจ่าย" รายนี้ทำจนงานเสร็จแล้วค่อยมาส่งใบเสร็จเก็บเงิน ของที่สั่งมาเจ้าของร้านคงผูกคอตายไปสามรอบแล้ว ความจริงการทำงานต้องเห็นใจคนอื่นเขา ก็คือต้องคิดว่าเขาอยู่ได้ไหม ? ไม่ใช่คิดว่าเราอยู่ได้ก็พอแล้ว

ช่างที่ทำงานที่วัดท่าขนุน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ จนป่านนี้ไม่ยอมย้ายไปไหนเลย เพราะอาตมาไม่เคยตกลงราคากับเขา รู้อย่างเดียวว่าคุณต้องการเท่าไรมาเบิกก็แล้วกัน ลักษณะอย่างนั้นเขาจะไม่ขาดทุน ถ้าตกลงราคากันแล้ววัสดุราคาขึ้น เขาก็ต้องแบกรับส่วนต่างตรงจุดนั้น ถ้าไม่ได้เผื่อเอาไว้มากก็จะขาดทุน ก่อนหน้านี้ทำงานที่อื่นแล้วขาดทุนอยู่เรื่อย ไป ๆ มา ๆ ทำงานที่ท่าขนุนไม่ขาดทุนหรอก บอกเท่าไรอาตมาก็จ่ายให้เท่านั้น

ท่านเจ้าคุณปัญญา รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ถามว่า “อาจารย์เล็ก ราคาทรงไทยหลังนั้นเขาคิดเท่าไร ?” “ไม่รู้เหมือนกันครับ บอกเท่าไรผมก็ให้เท่านั้น” แต่ต้องดูคนให้เป็นนะ คนที่เขาซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาค่อยใช้วิธีนี้กับเขา เห็นอกเห็นใจเขาหน่อย ประเภทบิด ๆ เบี้ยว ๆ นี่เบี้ยวอาตมาได้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ รับประกันซ่อมฟรี โดนไล่กระเจิงเลย คนเขาถามว่า ไล่ไปแล้วไม่กลัวว่าไม่มีคนทำงานหรอกหรือ ? ไม่กลัวหรอก จ่ายเงินแบบอาตมา ใคร ๆ ก็อยากทำด้วย"

เถรี 13-03-2015 14:47

"ตอนทำลานธรรมวัดท่าขนุน มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง รถแม็คโครไม่กล้าโค่น อาตมาต้องไปยืนคุม คือต้นโพธิ์ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ที่งอกกับพื้นเอง มักจะหุ้มต้นอื่นอยู่ พอต้นที่โดนหุ้มตาย ต้นโพธิ์ก็จะง่อนแง่น ๆ ท้ายสุดโดนลมแรงก็จะโค่น ร้อยละ ๘๐ จะเป็นลักษณะอย่างนั้น อาตมาจึงต้องเอาออก แต่ถ้าต้นโพธิ์ที่ขึ้นกับพื้นเอง จะปล่อยตามสบาย ต่อให้พายุสลาตันก็คงเอาไม่ขึ้นหรอก

การสร้างเมรุวัดท่าขนุนก็คงลักษณะเดียวกัน ต้องไปยืนคุม ไม่อย่างนั้นแล้วเขาไม่กล้ารื้อกัน กลัวผีหลอก เขาว่าอย่างนั้น เรื่องนี้ไปนึกถึงหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่อไพบูลย์เป็นพระที่รักลูกน้องสุดยอดเลย วัดวาอารามอยู่ซอกไหนมุมไหน ใกล้ไกลขนาดไหน ท่านไปถึงหมด

วันนั้นท่านไปที่เขาเหล็ก ทางด้านศรีสวัสดิ์ของกาญจนบุรี ปรากฏว่าเจ้าที่มา เจ้าที่มาบอกว่า "จัดงานไม่บอกไม่กล่าวเลย ดูถูกกัน" หลวงพ่อไพบูลย์ถาม “มึงเป็นใครวะ ?” เขาก็บอกว่า กูเจ้าพ่อเขาเหล็ก” “มึงเป็นเจ้าพ่อที่นี่ใช่ไหม?” “ใช่” “กูนี่เจ้าคณะจังหวัด เจ้านายมึง มึงยังไม่รู้ตัวอีก เพราะฉะนั้น..อย่าเสือกทะลึ่งมายุ่งกับที่นี่ ไม่อย่างนั้นกูจะเฉ่งมึงเอง” เจ้าพ่อเขาเหล็กเผ่นไปเลย ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยโผล่มาอีกเลย

นั่นเป็นแค่เจ้าของที่ระดับตำบล นี่เจ้าคณะจังหวัด คุณเป็นเจ้าพ่อแค่ที่เดียว ดันไม่รู้จักเจ้านายใหญ่ ต้องเจอพระแบบนั้น เข้าฝันผิดคน ถ้าไปเข้าฝันเจ้าอาวาสหรือชาวบ้านอาจจะมีผล แต่ดันไปเข้าฝันเจ้าคณะจังหวัด

เสียดายหลวงพ่อไพบูลย์ท่านมรณภาพเร็วไปหน่อย เพราะว่าท่านเพิ่งจะอายุ ๗๑ - ๗๒ ปี ท่านเป็นคนแข็งแรง มรณภาพก็ไม่มีวี่แววอะไรเลย กำลังพาญาติโยมไปอินเดียอยู่ ปกติท่านจะพาญาติโยมไปจาริกแสวงบุญที่ประเทศอินเดียอย่างน้อยปีละครั้ง ก็ไปเดินขึ้นเขาสวดมนต์ ไปนั่งกรรมฐาน เช้านั้นจะขึ้นเขาคิชฌกูฏ ให้หุงข้าวหุงปลากินกันก่อน ท่านก็ไปเดินดูทุกข์สุขของญาติโยม เดินถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ? มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยไหม ? กับข้าวพอหรือเปล่า ? ถามไปถามมาตัวเองล้มไปเฉย ๆ..!"

เถรี 13-03-2015 15:07

"ลูกพี่ลูกน้องของท่านก็คือหลวงพ่อพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ) วัดราษฎร์ประชุมชนาราม ต้องบอกว่าเป็นลูกผู้พี่เพราะอายุมากกว่า ๑ ปี ท่านเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจไปสามเส้น ฉันยาบ่อย หลวงพ่อไพบูลย์เห็นหลวงพ่อณรงค์ฉันยาทีไรก็บอกว่า “ดูสิ..มันจะตายห่าอยู่แล้ว” ปรากฏว่าคนที่จะตายกลับไม่เป็นไร ส่วนที่คนแข็งแรงล้มตึงก็ไปเลย

คนที่ผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจไปสามเส้น อยู่เป็นเจ้าคณะจังหวัดจนเกษียณ สำหรับพระเกษียณตอนอายุ ๘๐ ท่านอยู่มาจนถึงอายุ ๘๕ ถึงมรณภาพ ไม่อย่างนั้นปกติหลวงพ่อณรงค์ไม่มีทางได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด เพราะลูกผู้น้องอายุน้อยกว่า แข็งแรงมากด้วย เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ โบราณเขาถึงได้บอกว่า แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ ท่านเองมีบุญจะได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นพ่อเมือง เป็นเจ้านายของพระของเณรทั้งจังหวัด อย่างไรท่านก็เป็นจนได้ ทั้ง ๆ ที่สุขภาพดูแล้วไม่น่าจะเป็นได้"

เถรี 13-03-2015 15:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เห็นอาตมาดำ ๆ แล้วมีแต่แผลลายไปทั้งแขน เกิดจากไปตากแดดขนฟืน ฟืนที่เอาไปหล่อพระนั่นแหละ ขนฟืนไปให้ตอนแรกก็ว่าพอแล้ว คราวนี้ช่างตุ้มเขาบอกว่าเอาอีกสัก ๑ คันรถสิบล้อ เผื่อไว้ก่อน ก็เลยเพิ่มไป

แปลกมากเลย เหมือนกับใช้ฟืนไปเท่าไรก็เหลือเท่านั้น เพราะอาตมาต้องขนไปเก็บ ๖ คันรถหกล้อ กับอีก ๘ คันรถกระบะ ไม่รู้ว่าหล่อพระไปได้อย่างไร เผากันอยู่เป็นวัน ๆ ใช้ไปเท่าไรก็เหลือประมาณนั้น คราวนี้จะใช้ลานธรรมไว้วางผางประทีป ก็เลยต้องขนไม้ออก เจ้าประคุณเอ๋ย..แดดร้อนดีเหลือเกิน การที่จะใช้คนอื่นที่ดีที่สุดก็คือลงไปทำเสียเอง คนอื่นเห็นเดี๋ยวเขาก็มาช่วยเอง

หลวงปู่มหาอำนวยท่านถามว่า "ทำไมอาจารย์เล็กดำอย่างนั้น ?" “อ๋อ..ไปตากแดดมาครับ” หลวงปู่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่อายุกาลพรรษามากที่สุด ปีนี้ ๙๐ แล้ว อายุพรรษา ๗๐ บวชตั้งแต่เป็นสามเณร บวชเกิน ๗๐ ปีแล้ว แต่คราวนี้อายุพรรษาเขานับเฉพาะตอนช่วงเป็นพระ

หลวงปู่มหาพล วัดเขื่อนท่าทุ่งนา อายุ ๘๙ อายุพรรษา ๖๙ ไล่หลังกันอยู่ปีเดียว รุ่นโน้นถ้าเรียนเป็นมหาเปรียญได้ ต้องถือว่าสุดยอดเลย เพราะว่ารุ่นอาตมาพวกเปรียญนี่แปลธรรมบท ๔ ภาค รุ่นหลวงปู่แปล ๘ ภาค สมัยโน้นประโยค ๑-๒ นี้แปลรวดเดียว ๘ ภาคเลย สมัยนี้ประโยค ๑-๒ แปล ๔ ภาค ประโยค ๓ อีก ๔ ภาค เพราะฉะนั้น..รุ่นของหลวงปู่ท่าน มหาเปรียญนี่ราคาแพงกว่าเยอะ แบบเดียวกับสมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ จบนักธรรมเอกยืดได้ทั่วประเทศเลย เพราะว่าสมัยนั้นนักธรรมเอกราคาสูง สมัยนี้จบนักธรรมเอกไม่มีใครมองหรอก ขนาดมีเปรียญ ๓ เปรียญ ๕ ต่อท้ายเขาก็ยังไม่ค่อยจะแลเลย"

เถรี 13-03-2015 15:44

ถาม : นึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างไรให้เข้าถึงพระรัตนตรัยมากขึ้น ?
ตอบ : เอาเป็นว่าพยายามนึกให้ได้ทุกวินาที เพราะทันทีที่ขาดช่วงลง กิเลสจะแทรกเข้ามา แล้วถ้ากิเลสมีกำลังมากกว่า จะดึงเราเตลิดเปิดเปิงไปนาน แต่ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ อย่างน้อย ๆ เช้าเย็นจะต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาจับภาพพระให้ได้

การที่เราภาวนา จะเป็นพุทโธ นะมะพะธะ หรืออะไรก็ตาม นึกถึงภาพพระไปด้วย นั่นก็คือการที่เราปฏิบัติอยู่ในพุทธานุสติ ก็คือการนึกถึงพระรัตนตรัยด้วยความเคารพ เพราะว่าพระพุทธเจ้าของเรา คือพุทธานุสติที่เราระลึกถึงอยู่ เรากำลังปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ก็คือพระธรรม ซึ่งพระสงฆ์คือหลวงปู่ หลวงพ่อ นำคำสอนนั้นมาบอกเรา ให้เราได้ปฏิบัติอีกต่อหนึ่ง ก็แปลว่าเรากำลังยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริง ๆ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:55


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว