ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๘
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1412710220 เจอ "โลกยายจ๊ะ" ในห้องพระตอนตีหนึ่ง..! วันอาทิตย์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ทันทีที่ความรู้สึกกลับคืนมา ก็ขยายออกไปยังปลายมือปลายเท้า จนรู้สึกครบถ้วนทั้งกายก็ยกใจไปกราบพระก่อน จากนั้นหยิบเอากล้องถ่ายรูปมากดดูเวลา ยังไม่ทันจะตีหนึ่งดี แต่ไม่มีความง่วงแล้ว จึงตรงไปยังห้องพระที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่ง... คิดว่าแม่ป๋อมมาถึงก่อนแล้ว เพราะข้างในดูสว่างด้วยแสงไฟ แต่พอเปิดประตูเข้าไป ก็เจอสุภาพสตรีในชุดประจำชาติเขมร ใส่ผ้าถุงสีแดงสด เสื้อแขนพองสีขาว นั่งทับส้นเรียบร้อยอยู่ในท่าเทพธิดา แสงสว่างมาจากตัวคุณเธอนี่เอง พออาตมาเข้าไปเต็มตัวคุณเธอก็กราบงามสามครั้ง... จุมเรียบซัวโลกเอิว ขะโยมฉะม้วกโลกยายจ๊ะ โซมโอยเมียนซกสบาย (นมัสการพระคุณเจ้า ดิฉันชื่อโลกยายจ๊ะ ขอให้ท่านมีความสุข) เดี๋ยวก่อนแม่คุณ..อาตมาไม่ใช่ ขแมร์ มาตั้งแต่เกิด ใช้ภาษาไทยหรือ ภาษาใจ ก็ได้ เล่นรัวมาเป็นชุดแบบนี้ฟังไม่ค่อยทันจ้ะ... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1412796773 ยังไม่ทันจะหกโมงเช้าก็สว่างขนาดนี้แล้ว อีกฝ่ายยิ้มแบบงามสง่าน่าเกรงขาม ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีรอยยิ้มที่สามารถสร้างความครั่นคร้ามให้ได้แบบนี้ ดิฉันอยู่ชั้นจาตุมหาราชิกา องค์เหนือหัว ติดภารกิจ จึงมอบหมายให้ดิฉันมาดูแลท่านแทนเจ้าค่ะ บรื๋อวววส์..ผู้หญิงชั้นจาตุมหาราชิกา นอกจากมีน้อยกว่าน้อยแล้ว ที่เจอมาแต่ละท่านยัง น่ากลัว ทั้งนั้นเลย... บอกขอบคุณที่เธอเมตตามาดูแล และฝากความคิดถึง องค์เหนือหัว ด้วย อย่า หายพระเศียร ไปนานนัก เธอยิ้มแบบที่คนขวัญอ่อนอาจจะเผ่นแน่บทันทีที่เห็น แล้วหายไปจากสายตา อาตมาจึงสวดมนต์ไหว้พระ แล้วเจริญกรรมฐานไปตามปกติ... จนตีห้าครึ่งกว่าก็อุทิศส่วนกุศล แล้วออกมาจากห้องพระ ตกลงว่าวันนี้ไม่ได้เปิดไฟเลย เพราะข้างนอกสว่างมากแล้ว ที่นี่บรรยากาศยามเช้าคล้ายแถวจันทบุรีหรือตราด ยังไม่ทันจะหกโมงเช้าฟ้าก็สว่างเหมือนเจ็ดแปดโมงเช้าของกรุงเทพฯ อาตมาเดินชมทิวทัศน์กรุงพนมเปญรอบ ๆ ที่พัก ชอบใจมุมไหนก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ด้วย... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1412894613 "คุณแม่บ้าน" กำลังรีดจีวร ชมทิวทัศน์มุมสูงจนไม่มีอะไรจะให้ดู พอดีเสียงลิฟท์เคลื่อนมาจากข้างล่าง แล้วแม่ป๋อมก็ก้าวออกมา บอกว่าอยากให้อาตมาพักมาก ๆ หน่อย จึงเจริญกรรมฐานที่ห้อง เพราะถ้ามาห้องพระเสียงลิฟท์อาจจะทำให้อาตมาตื่น ฮ่า..ที่ตื่นวันนี้เพราะไม่มีเสียงลิฟท์ต่างหาก... รอจนคุณแม่กราบทำบุญเสร็จแล้ว อาตมาก็ชวนลงไปชั้นสองเพื่อหาจีวร ปรากฏว่านอกจากไม่มีจีวรแล้ว ยังไม่มีใครอยู่เลยสักคน เปิดไฟเสร็จสรรพแต่หาที่เปิดเครื่องปรับอากาศไม่ได้ แล้วห้องกระจกแบบนี้ก็อึดอัดดีแท้ จึงต้องขอให้ โลกยายจ๊ะ ช่วยบอกว่าสวิทช์ไฟอยู่ตรงไหน เล่นเอาอีกฝ่ายตาเขียวปัด ที่อาตมาใช้งานซึ่ง สำคัญมาก ขนาดนี้... ขืนอยู่ต่อไปอาจจะโดนรับประทานลงไปทั้งตัว อาตมาจึงชวนแม่ป๋อมเดินขึ้นบันไดขึ้นไปชั้นที่สาม พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอพี่วิไลกำลังก้มหน้าก้มตารีดสบงจีวรให้อาตมาอยู่ ใครเขารีดจีวรกันละพี่ แค่สะบัดก็ใช้ได้แล้ว อาตมารีบบอกให้ทราบ... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1412969845 ลองดู..เผื่อจะสั่งตัดบ้าง อ๋อ..ตรงชายผ้ายังไม่แห้งดี วิไลเลยช่วยรีดให้แห้งหน่อย แล้วทำไมไม่ให้เด็กในร้านรีดให้ละจ๊ะ ? วันอาทิตย์ร้านปิดค่ะ เด็ก ๆ กลับกันหมดตั้งแต่ก่อนเรากลับมาจากเที่ยวอีก ยังไม่ทันจะเจรจาอะไรกันต่อ ป้ามอย น้องเล็กกับลูกปุ๊กก็โผล่มาสมทบ แล้วไปกรี๊ดกร๊าดกับชุดสวย ๆ ที่ตัดเสร็จแขวนเอาไว้ ส่วนมากเป็นชุดผ้าลูกไม้แทบทั้งนั้น... คนนั้นก็เอาเสื้อมาลองทาบกับตัว คนนี้ก็ขอลองดูบ้าง รู้สึกว่าสาว ๆ ขแมร์จะชอบใส่เสื้อเบอร์เอส เพราะตัดแบบค่อนข้างจะรัดรูป ทำเอาบางคนในคณะบ่นอุบอิบ เนื่องจากหมดสิทธิ์ใส่ไปตลอดทั้งชาตินี้และชาติหน้า มีแม่ป๋อมคนเดียวที่เลี่ยงไปทดสอบรองเท้าส้นสูง ซึ่งทางร้านเตรียมไว้ให้ลูกค้าได้ลองกับชุดสวยหลายคู่ ส่วนพี่มุกดามาถึงก็คว้าเสื้อไปลองดูบ้าง... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413058469 สงสัยว่าคงเคยสร้างกรรมหนักเอาไว้ ถึงได้โดนลงโทษแบบนี้..! ส้นรองเท้าน่าจะสูงถึง ๕ นิ้ว แต่ คุณนายป๋อม ที่ชอบ ซำเหมา ก็คุ้นเคยพอที่จะใส่แล้วเดินอย่างคล่องแคล่ว ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรของบรรดาสาว ๆ ที่ต้องมาทนเดินเขย่งเหมือนกับเต้นบัลเลต์แบบนี้ สงสัยว่าชาติก่อนคงจะเคยไปเคาะตาตุ่มของใครมาเป็นแน่แท้... ได้สบงจีวรมาแล้ว อาตมาเอาอังสะกับสบงขึ้นไปเก็บยังที่พักชั้นบน ห่มแต่จีวรแล้วกลับลงมา เจอพี่ปราณีรออยู่ชั้นล่างกับพี่วิไลที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว บอกว่าวันนี้ไม่ทำอาหาร จะพาไปเลี้ยงเจ้าอร่อยข้างนอก รอสักครู่คุณณรงค์ (ณรงค์ ภูมิธเนศ) น้องชายของพี่ปราณีกับพี่วิไลก็มาถึง กราบสวัสดีทักทายกันแล้ว ก็ชวนขึ้นรถออกไปร้านอาหารที่ว่าไว้... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413146335 สถานีบริการน้ำมันยามเช้า บรรยากาศเกือบจะ "ผีหลอก" รถตู้ขนเอาพวกเราออกจากบ้านมาบนท้องถนน วันหยุดแถมยังเช้าแบบนี้แทบจะไม่มีรถเลย รู้สึกหลอน ๆ เพราะบรรยากาศเหมือนกับผีเตรียมจะหลอกอย่างไรก็ไม่รู้ ? ผ่าน “เตละ (สถานีบริการน้ำมัน)” เห็นราคาเบ็นซินที่คิดเป็นเงินไทย ลิตรละ ๕๗.๕๐ บาทแล้วพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะเมืองเขมรรถราคาถูก แต่น้ำมันแพง ถ้าคุณมีปัญญาซื้อรถ คุณก็ต้องมีปัญญาเติมน้ำมัน..! “เนียงลออ (สาวสวย)” อาตมาชี้ให้คุณณรงค์ดูสองสาว ที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างหน้าเยื้องไปทางขวา หน้าตาคมเข้ม อกเป็นอก เอวเป็นเอว อีกฝ่ายเพิ่งจะหัวเราะก็ต้องกระทืบเบรกจนอาตมาหัวทิ่มเกือบจะโขกกระจกรถ เพราะ “เนียง” เธอเบรกสุดตัวเนื่องจากมีสาวคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ากะทันหัน สาบานได้ว่าคนตัดหน้ามอเตอร์ไซค์ที่หันมามองตาเขียวนั้น หน้าตาเหมือน “โลกยายจ๊ะ” อย่างกับแกะ..! “ขอโทษครับหลวงพี่..มันกะทันหันจริง ๆ ยายนั่นก็น่าตายมากเลย” เฮ้ย..ขืนไปพูดถึง “ยายนั่น” แบบนั้น เดี๋ยวไอ้ที่ตายน่าจะเป็นพวกเราเสียมากกว่า เฮ้อ..จะ “เหล่สาว” หน่อยก็มีคนขัดคอ ซ้ำยังแกล้งเอาจนเกือบเกิดอุบัติเหตุ ทำเอาหมดอารมณ์ไปเลย... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413229219 กว่าจะหาร้านเจอ โดน "ยายนั่น" พาเตลิดไปตั้งไกล..! ถึงสี่แยกข้างหน้าคุณณรงค์เลี้ยวซ้ายเข้าซอย วิ่งผ่านร้านรวงต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่ยังปิดประตูสนิท จนทะลุมาออกอีกฝั่งหนึ่ง พี่ว่าต้องอีกไปอีกแยกหนึ่งแล้วค่อยเลี้ยวไม่ใช่หรือณรงค์ ? พี่ปราณีถาม พลขับกิตติมศักดิ์ยิ้มแห้ง ๆ ปกติรถเยอะแยะ พอไม่มีรถเลยพลอยจำทางไม่ได้ ดูท่าว่า ยายนั่น จะเอาคืนที่ไปว่าเธอเข้าแล้ว เช้านี้ตูจะได้กินไหมนี่ ? คุณณรงค์พารถตู้เลี้ยวขวาที่อีกสี่แยกหนึ่ง แล้ววนขวากลับมาอีกที ซอยนี้แหละ พี่วิไลชี้ อาตมาเห็นป้ายที่ปากซอย มีภาษาขอมว่า เทสะจะระณะ (แหล่งท่องเที่ยว) ถ้าจำป้ายนี้ได้น่าจะไม่หลง แต่พลขับกิตติมศักดิ์ของเรา ถึงจะพูดขแมร์ได้แต่อ่านไม่ออก เลยโดน ยายนั่น พาเตลิดไปตั้งไกล... มาจอดอยู่ข้างร้านอาหารสองคูหาซึ่งกั้นกระจกให้มองทะลุถึงกันได้ ชื่อร้าน Tea Pot ต้องเป็นคนจีนแน่นอน เพราะมีที่บูชาบรรพบุรุษตั้งอยู่กลางร้านด้านใน บอกให้รู้ว่าเป็นลูกหลานพันธุ์มังกรขนานแท้ โต๊ะเก้าอี้ในร้านเป็นสเตนเลสทั้งหมด ดูแข็งแรงสะอาดสะอ้าน คูหาซ้ายมือหกโต๊ะมีลูกค้าอยู่สองโต๊ะ พวกเราเลือกเข้าคูหาทางขวามือ... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413315113 จะมองกล้องไหนดี ? พี่ปราณีเดินไปหาพนักงานที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีแดง สั่งอาหารเช้าสำหรับพวกเราทุกคน อาตมานั่งดูบรรยากาศในร้าน พร้อมกับบันทึกประจำวันไปด้วย หลวงพี่..จะรับน้ำอ้อยหรือน้ำส้มเช้งดีคะ ? พี่ปราณีถาม เอาน้ำส้มมาเถอะ ขืนฉันน้ำอ้อยแต่เช้าแบบนี้เดี๋ยวเบาหวานถามหา... บนโต๊ะมีชุดเครื่องปรุงวางอยู่แล้ว พนักงานสาวเอาแก้วน้ำส้มมาวางให้ อีกสักครู่ก็มีจานใส่ปาท่องโก๋กับน้ำชาร้อนมาอีก ๑ กา ฮ่วย..มีชาร้อนให้แบบนี้ ตูจะสั่งน้ำส้มไปทำอะไรวะ ? ร้านนี้ทำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาอร่อยมาก คราวก่อนวิไลก็พา หลวงพี่ยนต์ มาฉันที่นี่เหมือนกัน... อาตมาเห็นทุกคน สุมหัว รวมกันที่โต๊ะเดียว จึง ถอดรูป (ถ่ายรูป) เอาไว้ แม่ป๋อมเห็นเข้าก็ ถอด บ้าง ตั้งท่าเฮฮากันจนลูกค้าทั้งสองโต๊ะของอีกคูหาหนึ่งมองมา คงสงสัยว่ามีละครลิงแสดงฟรีด้วยหรือ ? พอดีพนักงานเอา กุยเตียว (ก๋วยเตี๋ยว) มาเสิร์ฟให้... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413404198 สีสันหน้าตาออกมาดูดีน่ากินสมราคาคุย ที่ชอบใจมากก็คือ เขาเอาช้อนและตะเกียบใส่ถ้วยลวกน้ำร้อนมาต่างหาก แปลว่าถ้ากินแล้วท้องร่วงก็ไม่ใช่ความผิดของทางร้านแน่ ๆ อือม์..แล่เนื้อปลาได้บางพอดี แค่โดนน้ำร้อนก็สุกสนิทแล้ว ลูกชิ้นปลากรายก็นุ่มหนึบ แถมยังมีถั่วงอก มะนาว ซีอิ๊วและเต้าเจี้ยวมาให้ปรุงรสเพิ่มต่างหาก... แต่ไหนแต่ไรมา อาตมาก็ฉันอาหารโดยไม่เคยปรุงเพิ่ม เพราะถ้าปรุงก็แปลว่าอร่อยโดยการปรุงของเราเอง ไม่ใช่ว่าอร่อยเพราะฝีมือพ่อครัวแม่ครัว ดังนั้น..ร้านอาหารบางร้านที่ได้รับการรับรองจากนักชิมชื่อดัง พอลองเข้าไปกินดูรสชาติก็อย่างนั้นเอง ธรรมดามาก... ฉันเสร็จเพิ่งจะวางช้อนกับตะเกียบลง เด็กในร้านก็มาเก็บชามไปทันที การกดดันให้ลูกค้าสั่งอาหารเพิ่ม หรือออกจากร้านเพื่อให้มีที่ว่างแบบนี้ ไม่สามารถที่จะทำอะไรอาตมาได้ เพราะเมื่อเขาช่วยเก็บโต๊ะให้มีที่ว่าง อาตมาก็งัดเอาสมุดบันทึกประจำวันขึ้นมาบรรเลงแบบสบายใจ... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413539119 วัดยายเพ็ญบนเนินเขา ที่มาของชื่อเมืองพนมเปญ รอจนทุกคนอิ่มแล้ว พี่ปราณีเรียกเด็กมาคิดเงิน แล้วจ่ายเป็นดอลลาร์ แต่ทิปเป็นเงินเขมร ๒,๐๐๐ เรียล อาตมาก้มหน้าก้มตาบันทึกประจำวันอยู่ จึงไม่รู้ว่าก๋วยเตี๋ยวราคาชามละเท่าไร น่าจะแพงทีเดียว แต่เสียงตอบรับจากทุกคนว่าอร่อย ทำเอาเจ้าภาพยิ้มแก้มปริ แพงเท่าไรก็ช่างมัน... กลับขึ้นรถแล้วคุณณรงค์พาวิ่งไปได้ไม่ไกล พอเลี้ยวขวาไปหน่อยก็ชิดซ้ายเข้าไปยังถนนสายหนึ่ง ที่พาวนอ้อมเนินเขาเตี้ย ๆ ซึ่งมีต้นไม้เขียวครึ้มไปหมด มีอาคารอยู่บนยอดเนินเหมือนกับเป็นวัด... “เป็นวัดจริง ๆ เจ้าค่ะ ชื่อวัดยายเพ็ญ สร้างโดย “โลกยายเพ็ญ” เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วมา เนินเขาลูกนี้จึงได้ชื่อว่า “พนมเพ็ญ (เขายายเพ็ญ)” ที่เรียกกันว่าพนมเปญในทุกวันนี้..” “ยายนั่น” โผล่มาถึงก็บรรยายเป็นต่อยหอย... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413577908 พี่ปราณีซื้อตั๋ว ๘ ใบ ขณะที่นับแล้วนับอีกมีแค่ ๗ คน คุณณรงค์บังคับรถตู้จอดชิดขอบทาง พวกเราลงจากรถแบบเร่งด่วน เพราะมีรถตามหลังมาหลายคัน เนื่องจากสภาพถนนสายนี้คือวงเวียนที่มีเขายายเพ็ญเป็นศูนย์กลาง จอดนานจะทำให้รถติด พวกเราก้าวขึ้นไปบนลานดิน รอบข้างเป็นต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด... ตรงหน้าคือบันไดก่อจากอิฐแดงสามช่วง สำหรับขึ้นไปยังวัดบนเนิน ช่วงแรกมีพญานาคแบบขอมที่สวยงามกระหนาบสองข้างบันได ช่วงกลางเป็นรูปเทวดากุมกระบอง ส่วนช่วงบนเป็นสิงห์แบบขอมตัวใหญ่คู่หนึ่ง ตัวเล็กคู่หนึ่ง... พี่ปราณีนับจำนวนคนแล้วตรงไปยังห้องขายตั๋วทางขวามือ สั่งซื้อตั๋วเข้าชมวัด ๘ ใบ อาตมานับแล้วนับอีกก่อนที่จะท้วงว่า “มีแค่ ๗ คนเท่านั้นนะพี่” พี่วิไลหัวเราะ “ณรงค์อีกคนหนึ่งค่ะ” อ้าว..นึกว่าพ่อเจ้าประคุณไม่มาด้วย เพราะพารถตู้หายไปจอดที่ไหนก็ไม่รู้ ? |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413674982 ใคร ๆ ก็อยากได้รูปตรงนี้ คนขายตั๋วชะเง้อมองเพื่อนับจำนวนคน พอดีคุณณรงค์เดินเข้ามาสมทบ เมื่อเห็นว่ายอดถูกต้องตรงกับจำนวนเงินก็ฉีกตั๋วให้ พี่ปราณีรับมาแล้วบอกให้พวกเราเดินขึ้นบันไดไปเลย อ้าว..ไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจนับคนเลยหรือ ? คนขายตั๋วเขานับไปแล้วค่ะ เออ..ง่ายดีเว้ย... แม่ป๋อมขอให้ทุกคนถ่ายรูปตรงบันไดนาคก่อน แต่มีคนกำลังถ่ายรูปอยู่สองสามราย และพวกที่ขึ้นไปไหว้พระจนเสร็จแล้วเดินลงมาอีก จึงต้องรอจนกว่าจะคนหมด พวกเราถึงเข้าไปจับกลุ่มให้คุณแม่ถ่ายรูปได้ เสร็จแล้วคุณณรงค์ไปผลัดคุณแม่มาเข้ากล้องบ้าง ขนาดนั้นยังติด "หนูอ้วน" ที่ตั้งท่าให้คุณพ่อถ่ายรูปมาด้วย... เสร็จแล้วอาตมาเดินนำหน้าขึ้นบันไดไปก่อน ถึงช่วงบนสุดมีทางขึ้นลงทั้งซ้ายขวา อาตมาถือคติโบราณ สมัยพระมหากัสสปะออกบวชว่า ผู้หญิงไปทางซ้าย ผู้ชายไปทางขวา จึงเลี้ยวขวาไปเจอคนขายนกปล่อยและดอกไม้ธูปเทียนเข้าพอดี... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413750284 เยี่ยมเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย วัดนี้สร้างขึ้นมาหลายร้อยปี จึงมีการบูรณะใหม่หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายบูรณะก่อนที่ท่านจะเกิดสิบกว่าปี ที่นี่เป็นศูนย์รวมความเชื่อทางศาสนาหลายอย่าง มีทั้งศาลเทพเจ้าโหวอี้ ศาลขงจื๊อ เทวรูปพระนารายณ์ ทั้งที่เป็นวัดของพระพุทธศาสนา.. ยายนั่น ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ได้ดีทีเดียวแหละ ถ้าไม่ดุมากคง ขายออก ไปนานแล้ว... ตรงข้างกำแพงแก้วหน้าซุ้มที่มีอัปสราสองนาง ยืนกอดคอเป็นเพื่อนซี้กันอยู่ มีแม่ค้าขายนกปล่อยอยู่สองราย อาตมาแวะเข้าไปดูตามความเคยชิน โดยมีแม่ป๋อมกับคุณณรงค์เดินตามมาด้วย เห็นมีแต่นกกระติ๊ดสีอิฐเกือบทั้งหมด มีนกกระจาบทองตัวเมียหลงมาอยู่ตัวเดียว... มัวแต่ดูนกเพลิน หันมาอีกทีพี่ปราณีกับพี่วิไลซื้อดอกบัวมาหอบใหญ่ เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ..ดอกบัวที่นี่ก้านดอกยาวดีเป็นบ้า ไม่ถึงหนึ่งเมตรก็ใกล้เคียง อาตมารับกำที่ก้านดอกสั้นหน่อยมานับดู มีอยู่ ๙ ดอก การถือมงคล ๙ นี่น่าจะมีอยู่ทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เพราะเอามาจากนวหรคุณ (พระพุทธคุณ ๙ ประการ) ของพระพุทธเจ้านั่นเอง... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413843681 โบสถ์วัดยายเพ็ญ ตรงลานกว้างหน้าโบสถ์ มีเสาธงสีแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทั้งซ้ายและขวา ประดับธงฉัพพรรณรังสีที่เป็นธงปฏาก (แผ่นผ้า) ยาวประมาณ ๖ เมตร มียักษ์ที่ปั้นจากปูนแบบลวก ๆ เหมือนกับขอไปที แต่กลับดูดีอย่างประหลาด ทำหน้าที่เฝ้าลานอยู่ด้วย... ตัวโบสถ์ตั้งอยู่บนฐานยกชั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเสาถี่มากแบบโบสถ์สมัยก่อน ที่จำเป็นต้องใช้เสาช่วยเฉลี่ยในการรับน้ำหนักข้างบน “ท้าวแขน” เป็นรูปพญาครุฑที่ค่อนข้างจะผอมเพรียว ไม่ล่ำบึ้กเหมือนกับที่อื่น ๆ จัดว่าหล่อทีเดียวแหละ... หลังคาโบสถ์มุงกระเบื้องเกล็ดปลาสีเหลือง (สีสำหรับวัดและวังของเขมร) ตัดขอบด้วยสีเขียว สี่มุมของโบสถ์มี “ศาลเพียงตา” ตั้งอยู่ด้วย ด้านหลังโบสถ์เป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่เหมือนกับยังสร้างไม่เสร็จ เพราะยังไม่มียอดฉัตรทั้ง ๆ ที่เสียบเหล็กรอไว้อยู่แล้ว... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1413920358 สภาพภายในโบสถ์วัดยายเพ็ญ หญิงสาวในชุดประจำชาติเขมรแต่กลับเป็นสีขาวทั้งชุด (ผู้หญิงเขมรจะใส่ชุดประจำชาติเป็นเสื้อลูกไม้สีขาว ส่วนผ้าจะนุ่งสีของแต่ละวัน) ยืนพนมมือไหว้อย่างงาม จุมเรียบซัว..โลกเอิว ขะโยมฉะม้วกโลกยายเพ็ญ เป็นจั๊ดนึงโตตวล (นมัสการ..พระคุณเจ้า ดิฉันชื่อโลกยายเพ็ญ ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ) โห..คุณยายทั้งสาวทั้งสวยด้วยบุญบารมี... ใช้ภาษาไทยดีกว่าจ้ะคุณยาย ขออนุโมทนาผลบุญที่คุณยายได้สร้างวัดถวายไว้ในพระพุทธศาสนาด้วยนะจ๊ะ แล้วปกติคุณยายอยู่ภพภูมิไหนจ๊ะ ? ขะโยม เอ๊ย..ดิฉันอยู่ชั้นยามาเจ้าค่ะ มิน่าล่ะ..ถึงมาสีขาวทั้งชุดแบบนี้ ยายนั่น รีบเข้าไป เจ๊าะแจ๊ะ กับ ยายเพ็ญ คงจะ เผา อาตมาให้ยายเพ็ญฟัง แต่อีกฝ่ายยิ้มเยือกเย็น พลางผายมือเชิญให้คณะของเราเข้าไปในโบสถ์... ภายในโบสถ์ที่ไม่กว้างมากนัก มีเสากลมจำนวน ๑๒ ต้น เขียนลายพญานาคสีเขียวและสีทอง พันเสาอยู่ต้นละคู่ เพดานและผนังโบสถ์เป็นภาพเขียนสีพุทธประวัติและชาดกต่าง ๆ องค์พระประธานหน้าตักประมาณ ๔ ศอก ทรงเครื่องพระวิสุทธิเทพตั้งอยู่บนฐานสามชั้น ด้านหลังเป็นสถูปคล้ายพระปรางค์ย่อส่วน มีซุ้มบรรจุพระพุทธรูปบนส่วนยอดทั้งสี่ด้าน ข้างหน้าพระประธานเป็นพระพุทธรูปใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ทั้งปางสมาธิ ปางไสยาสน์ ปางมารวิชัย และปางอุ้มบาตร เสาตรงด้านหน้าสุดยังมีรูปปั้นพระแม่ธรณียืนบิดมวยผม และรูปผู้หญิงกระเดียดหม้อน้ำอยู่ด้วย... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1414059608 ช่วยกันพับดอกบัวถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา “รกไปหน่อยเจ้าค่ะ” คุณยายออกตัวแบบเขิน ๆ พอเห็นอาตมาและคณะนั่งคุกเข่าลงบนเสื่อที่เขาปูไว้เต็มที่ว่างเพื่อกราบพระ ทั้งคุณยายและ “ยายนั่น” ก็แยกกันออกไป ยืนพนมมืออยู่ที่ผนังข้างประตูทางเข้าทั้งสองฝั่ง ผู้คนที่เดินเข้าเดินออกทั้งที่มองไม่เห็นก็ยักจะเดินชน แสดงว่า “ยืนให้เป็นสุข” ได้สมกับที่มาจากภูมิสูง... อาตมายกดอกบัวทั้งกำขึ้นจบถวายพระ สวดอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชาและสังฆบูชา จากนั้นอุทิศส่วนกุศลให้กับทุกท่านจากทุกภพทุกภูมิ เสียงสาธุการดังมารอบทิศ โดยเฉพาะ “ยายนั่น” ดังแบบไม่ต้องเกรงใจใครเลย..! เสร็จแล้วกำลังจะหาที่วางดอกบัวให้เหมาะสม “ส่งมาทางนี้เลยค่ะ” พี่วิไลก็บอก เมื่อหันกลับมาจึงเห็นว่า ระหว่างที่สวดมนต์อยู่นั้น ไม่รู้ว่าพี่เขาไปหาแจกันดอกไม้มาจากไหนคู่หนึ่ง ทุกคนที่กราบพระเสร็จแล้ว จึงช่วยกันพับดอกบัวใส่แจกัน มีญาติโยม “เจียขแมร์ (คนเขมร)” ที่มาไหว้พระมองดูแบบสนใจอยู่หลายคน... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1414094843 ศาลบูชาคุณยายเพ็ญอยู่ที่ด้านหลังซ้ายมือของตัวโบสถ์ เมื่อถวายแจกันดอกบัวแล้ว พี่ปราณีชวนทุกคนไปไหว้ที่ศาลเจ้า อาตมาเองถึงไปไหว้ เจ้าท่านก็ไม่รับอยู่แล้ว เมื่อออกจากโบสถ์จึงแยกซ้ายเดินวนขวารอบโบสถ์ไปคนเดียว มีคุณยายกับ “ยายนั่น” ตามมาติด ๆ ส่วนพี่ปราณีกับพี่วิไล พาคณะทั้งหมดเดินไปที่ศาลเจ้าทางขวามือ ซึ่งต้องวนไปทางซ้ายของโบสถ์ (ทวนเข็มนาฬิกา) ทั้งที่ตัวศาลเจ้าอยู่ทางขวาเมื่อหันหน้าเข้าโบสถ์ บรรยายแล้วงงดีเหมือนกันเว้ย..! ด้านท้ายโบสถ์มีอาคารขนาดเล็กเปิดโล่งสามด้าน มีแค่ผนังด้านหลังเท่านั้น ข้างในเป็นรูปปั้นผู้หญิงใส่เสื้อขาวแค่ครึ่งตัว ลักษณะโกนหัวเป็นแม่ชี ที่ผนังมีแผ่นฉัพพรรณรังสีติดอยู่ด้วย ด้านบนเพดานทั้งสองแขวนโคมจีนสีแดงไว้หลายใบ เครื่องบูชาต่าง ๆ เต็มไปหมด มีแผ่นป้ายเขียนภาษาขอมเอาไว้ว่า “โลกยายเพ็ญ” อ้อ..นี่เป็นศาลบูชาของคุณยายสินะ... “เจ้าค่ะ..รกยิ่งกว่าข้างในโบสถ์เสียอีก..” ไม่เป็นไรจ้ะ..รกมากแสดงว่ามีคนเอาของมาบูชามาก แปลว่าเขาเคารพคุณยายมากเช่นกัน อาตมาเดินอ้อมหลังโบสถ์ไปทางขวา องค์พระเจดีย์ใหญ่ดูเหมือนว่าจะยังสร้างไม่เสร็จจริง ๆ จึงย้อนกลับมาทางเดิม พอถึงทางเดินเล็ก ๆ ที่เทปูนเอาไว้ให้ลงไปยังตีนเนิน คุณยายก็หยุดยืน พนมมือกล่าวว่า... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1414439312 ทางเดินลงมาจากวัดยายเพ็ญด้านบน “ดิฉันขอส่งท่านแค่นี้นะเจ้าคะ ต้องไปฟังปัญหาของคนที่มากราบไหว้บูชาต่อ เผื่อว่าบุญของเขาพอมี จะได้สงเคราะห์เขาบ้าง ที่เหลือโลกยายจ๊ะจะเป็นผู้ดูแลท่านเอง” ขอบคุณมากจ้ะคุณยาย..ขอให้ได้เลื่อนภพภูมิเร็ว ๆ นะจ๊ะ “ออคุณเจริญ..จุมเรียบเรีย (ขอบพระคุณเจ้าค่ะ..นมัสการลาค่ะ)” คุณยายน้อมตัวไหว้ได้นุ่มนวลงามตาจริง ๆ แล้วหายไปจากสายตา... ทางปูนพาเดินผ่านสนามหญ้าเขียวขจีลงไปยังตีนเนิน “ยายนั่น” คงเกรงว่าถ้าเดินตามหลังจะกลายเป็นอยู่สูงกว่า จึง “แวบ” ลงไปรอที่ข้างล่างตรงใกล้ ๆ ม้านั่งสำหรับพักผ่อน พออาตมาเลี้ยวขวาตามทางเดินลงมาถึง เห็นเป็นนาฬิกาแดดอันใหญ่มหึมา บอกเวลา ๐๘.๐๓ น. เดินตรงเวลาเสียด้วย “ยายนั่น” จ้อเป็นต่อยหอยอีกตามเคย... “พระเจดีย์ตรงอยู่หน้าของท่าน คือพระเจดีย์บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าพงหะยัต กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของกัมพูชา ถ้าพระนามนี้ไม่คุ้นหู ก็ต้องเรียกว่า “พระยาละแวกที่ ๑” พระองค์ท่านเป็นผู้ย้ายเมืองหลวงจาก “พระนคร” มาตั้งที่เมืองละแวก ซึ่งก็คือพนมเปญในปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๗๕ ประมาณกรุงศรีอยุธยาตอนต้น..” |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1414526638 ดูเหมือนในหลวงรัชกาลที่ ๔ ของเราอย่างนั้นแหละ ส่วนพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ต่ำลงมานั้น สร้างไว้เป็นที่ระลึกในการรับมอบเมืองพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณจากกองทัพไทย เรื่องนี้เริ่มจากการที่ประเทศฝรั่งเศส รุกเข้ามายึดประเทศกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ซึ่งช่วงนั้นทั้งสามเมืองนี้ยังเป็นของประเทศไทยอยู่... ครั้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๘๔ ไทยรบชนะฝรั่งเศส ยึดทั้งสามเมืองกลับคืนไป ฝรั่งเศสต้องการจะตีคืน เกิดการรบยืดเยื้อ และเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ พอดี ญี่ปุ่นจึงยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย ขอให้ไทยคืนทั้งสามเมืองนี้ให้กับกัมพูชา เมื่อได้รับพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณคืนจากกองทัพไทยแล้ว ทางกัมพูชาจึงได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ไว้เป็นที่ระลึก... สมัยเด็ก ๆ ยายจ๊ะ นี่น่าจะได้ที่หนึ่งวิชาประวัติศาสตร์ อาตมาเองไม่กระดิกหูเลยแม้แต่น้อย จึงได้แต่ฟังแม่เจ้าประคุณ "ฉอด ๆ" ไปเรื่อย ดูไปแล้วพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ เหมือนกับในหลวงรัชกาลที่ ๔ ของเราอย่างนั้นแหละ... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415133577 พญานาคประกอบขึ้นมาจากซี่ไม้ไผ่ สำหรับนาฬิกาแดดนี้คงไม่ต้องอธิบายนะเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นนิมนต์พระคุณเจ้าชมพญานาค ๗ เศียร ที่สร้างจากไม้ไผ่นี้เลย ชาวกัมพูชาเชื่อว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจาก นางนาค ตั้งแต่สมัยที่ประเทศกัมพูชายังเป็น เกาะทะโลก อยู่ จึงมีการสร้างรูปพญานาคเป็นที่เคารพในสถานที่ต่าง ๆ มากมาย... พญานาค ๗ เศียรตนนี้สร้างได้สวยงามทีเดียว ด้วยความยาวไม่ต่ำกว่า ๑๐ เมตร ประกอบขึ้นมาจากไม้ไผ่ซี่เล็ก ๆ จำนวนมาก ผูกมัดด้วยเชือกไนล่อนสีเขียวเส้นเล็ก บนพื้นช่วงที่พญานาคยกพังพานขึ้น ยังจัดเป็นสวนหย่อมที่สวยงามอีกด้วย คณะของพระคุณเจ้าตามมาแล้วเจ้าค่ะ ยายจ๊ะ บอกเมื่อเห็นพี่วิไลกับพี่ปราณีเดินนำพวกเราลงมา... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415214180 บางคนพยายาม "ซ่อน" ไม่ให้คนอื่นเห็น "ความจริง" “แหม..ไม่รอกันเลยนะหลวงพี่..” พี่วิไลต่อว่ามาแต่ไกล อาตมาขี้เกียจต่อปากต่อคำ จึงชวนทุกคนถ่ายรูปหมู่กับพญานาคไม้ไผ่ มี “ยายจ๊ะ” ยืนเป็นกำลังใจอยู่ไกล ๆ เหมือนกลัวจะติดเข้าไปในรูปด้วยอย่างนั้นแหละ... “คุณณรงค์หายไปไหนล่ะ ?” อาตมาไม่เห็น “ชายเดียว” มาเข้ากล้องด้วยจึงถามหา “ไปเอารถมารับพวกเราทางด้านนี้ค่ะ เดี๋ยวจะพาพวกเราไปชมพระบรมมหาราชวังกัน” พี่ปราณีเฉลย อ้อ..ที่แท้พามาไหว้พระที่วัดยายเพ็ญก่อน เพื่อรอเวลาให้พระบรมมหาราชวังเปิดนี่เอง... คุณณรงค์เลี้ยวรถตู้เข้ามาเทียบข้างเศียรพญานาคเลย อาตมานึกว่าจะนั่งรถไปไกล ที่ไหนได้..เลี้ยวซ้ายออกจากวัดยายเพ็ญได้ไม่ถึงอึดใจ ก็เห็นรั้วสีไข่ไก่มีใบเสมาสีขาวยาวเหยียดไปตามถนน มีหมู่อาคารต่าง ๆ ที่โผล่พ้นรั้วมาแค่หลังคา ยกเว้นพระที่นั่งจันทร์ฉายที่มองเห็นเด่นแต่ไกล ยิ่งรถของเราวิ่งชิดขวาเหมือนกับอยู่กลางถนน ก็ยิ่งทำให้พระที่นั่งหลังนี้โดดเด่นขึ้นไปอีกมาก... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415304987 พระที่นั่งจันทร์ฉายแบบ "เต็มจอ" “พระบรมมหาราชวังของพระราชอาณาจักรกัมพูชาแห่งนี้ สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดมพรหมบริรักษ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ ช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงสยาม ตอนนั้นกัมพูชาทำสนธิสัญญา ขอเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส จึงได้ย้ายเมืองหลวงจากจังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของพนมเปญประมาณ ๓ โยชน์ มาตั้งใหม่ที่นี่..” “นี่ยายจ๊ะ..คนอื่นจะรู้ไหมว่า ๓ โยชน์เท่ากับ ๔๘ กิโลเมตร ?” ยายจ้อ เอ๊ย..ยายจ๊ะไม่สนใจการประท้วงของอาตมา บรรยายน้ำไหลไฟดับตามประสา “เด็กท็อป” วิชาประวัติศาสตร์เขมรต่อไปว่า “ผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างคือ “นักออกญาเทพนิมิต” ซึ่งออกแบบขึ้นมาโดยมีแนวคิดของสถาปนิกฝรั่งเศส และอิทธิพลของพระบรมมหาราชวังสยามเป็นแนวทาง..” มาถึงด้านหน้าพระที่นั่งจันทร์ฉาย ขวามือมีทางแยก ดูเหมือนจะเป็น “สนามหลวง” หรือลานจอดรถ ซึ่งประกอบด้วยไปด้วยลานกว้าง มีโคมไฟงาม ๆ ตั้งเรียงราย มีหมู่ไม้ดอกไม้ใบจัดเป็นสวนหย่อมอยู่เป็นระยะ กว้างตลอดไปถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง พลขับกิตติมศักดิ์เลี้ยวขวาเข้าไป แล้ววนกลับหัวมาให้เห็นพระที่นั่งจันทร์ฉายแบบ “เต็มจอ” ก่อนที่จะจอดรถให้พวกเราลงกันตรงนี้... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415391632 คนไทยมักจะเรียกว่าพระราชวังเขมรินทร์ พระบรมมหาราชวังนี้มีชื่อว่า พระราชวังจตุรมุขสิริมงคล แต่คนไทยมักจะเรียกว่า "พระราชวังเขมรินทร์" ส่วนพระที่นั่งจันทร์ฉายของพระคุณท่าน จริง ๆ แล้วชื่อ พระที่นั่งจันทฉายา มีความหมายเดียวกันเจ้าค่ะ พระที่นั่งหลังนี้สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดมศรีสวัสดิ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ตอนต้นรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงสยาม ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีพิธีบรมราชาภิเษก มีมุขเด็จสำหรับเสด็จออกพบปะข้าราชบริพาร หรือเปิดโอกาสให้ประชาชนได้พบเห็นองค์กษัตริย์.. นี่..ยายจ๊ะ..เวลาเธอ จ้อ แบบนี้ก็ดูน่ารักดีออก ต่อไปอย่าเที่ยวจ้องหน้าคนอื่นแบบเอาจริงเอาจังเหมือนก่อนหน้านี้จะได้ไหม ? ดูแล้วคล้ายกับจะกินเลือดกินเนื้อใครก็ไม่ปาน.. ยายจ้อ ค้อนขวับ แต่ไม่น่ากลัวแล้ว กลายเป็นน่ารักแทน... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415477754 ต้องมาเข้าคิวซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังตรงห้องขายตั๋วข้างหน้า พี่ปราณีเดินนำพวกเราข้ามถนน ตรงไปยังประตูทางเข้า ซึ่งมีทหารรักษาการณ์ถือปืนไรเฟิลจู่โจมของโคลท์ รุ่น M16 A1 เฝ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วก็เลี้ยวขวา เดินไปตามระเบียงยาวที่มีหลังคาคลุม ตลอดสองฟากข้างของระเบียงมีเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งพัก ทำจากปูนปูทับด้วยกระเบื้อง สลับกับแท่งปูนที่ดูอย่างไรก็คือเสาศาลพระภูมิของบ้านเรา บนเสาแต่ละต้นมีหม้อดินวางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าวางไว้ทำอะไร จะว่าเป็นหม้อน้ำก็ไม่ได้ใส่น้ำ จะว่าเป็นของเก่าก็ใหม่จนเกินไป... “หลวงพี่นั่งรอตรงนี้นะคะ พวกเราต้องไปซื้อตั๋วทางด้านโน้น” พี่ปราณีชี้ไปที่ศาลา “ทรงไทย” เล็ก ๆ มีเบาะนั่งสองแถว แล้วพาคนอื่น ๆ ตรงไปยังจุดที่มีนักท่องเที่ยวยืนรุมกันอยู่ เนื่องจากแถวหน้ามีผู้ชายนั่งอยู่แล้ว ๑ คน อาตมาถึงเข้าไปนั่งที่แถวหลัง ควักเอาสมุดบันทึกมาจดรายละเอียดของสถานที่ โดยมี “ยายจ้อ” ยืนเป็นเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ... จดบันทึกเสร็จก็ยังไม่เห็นมีใครกลับมา มองไปทางห้องขายตั๋วเห็นเหลือแต่กลุ่มของพวกเรา อาตมาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นมีป้ายภาษาอังกฤษ บอกอัตราค่าเข้าชมที่คนละ ๒๕,๐๐๐ เรียล ซึ่งก็คือ ๒๕๐ บาท และ ๖.๒๕ ดอลลาร์ หรือ ๒๐๐ บาทไทย แล้วใครจะไปจ่ายเป็นเงินขแมร์ละพ่อคุณเอ๊ย..มีแต่ควักดอลลาร์ส่งไปให้แต่โดยดีกันทั้งนั้น... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415565058 พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย เมื่อได้ตั๋วมาแล้วพี่วิไลก็ชี้ให้เข้าประตูเล็กที่เลยห้องขายตั๋วไปหน่อยหนึ่ง ซึ่งมีทางเดินปูอิฐตัวหนอน ยาวเลียบกำแพงพระราชวังเข้าไป สองข้างทางดูร่มรื่นสวยงามด้วยต้นไม้ใบหญ้า ด้านขวามือที่เป็นสนามหญ้าเรียบกริบ มีเสาศาลพระภูมิเช่นกัน แต่ข้างบนเป็นรูปเทวดานั่งคุกเข่าพนมมือเป็นระยะไป มีรูปแกะจากหินทรายเป็นคนถือคันธนู น่าจะเป็นพระรามที่พระหัตถ์ขวาหักไปแล้ว... เดินไปไม่ไกลนักก็เป็นกำแพงพระราชวังชั้นใน มีอาคารหลังหนึ่งหน้าตาเหมือนมณฑปตามวัดบ้านเรา พวกเราตรงไปยังพระที่นั่งหลังที่เห็นจนคุ้นตาเมื่อค้นคว้าเรื่องพระราชวังของกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะเป็นปราสาท ๓ ยอด โดยที่ยอดทั้งสามค่อนไปอยู่ทางท้ายของตัวปราสาท แล้วตัวปราสาทยาวมาทางด้านหน้า ลักษณะการวางผังเหมือนกับไม้กางเขน... “พระที่นั่งองค์นี้ชื่อ “พระที่นั่งเทวาวินิจฉัย” เป็นพระที่นั่งสำหรับออกว่าราชการ มีขนาดกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร ยอดปราสาทที่เป็นพรหมพักตร์ตรงกลางสูงถึง ๕๙ เมตร สร้างขึ้นด้วยไม้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒ แล้วมาปรับปรุงใหม่ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระราชบัลลังก์และพระบรมรูปอดีตบุรพมหากษัตริย์ของกัมพูชาเจ้าค่ะ..” |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415649462 พระพุทธรูปฉลอง ๖๐ พระชันษาพระเจ้านโรดมสีหนุ มัคคุเทศก์ช่างจ้อบรรยายฉอด ๆ ขณะที่พวกเราเดินตรงเข้าไป พอขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ขั้น ก็มีผู้ชายแต่งชุดข้าราชบริพาร ลักษณะคล้ายชุดราชปะแตนนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน ออกมายกมือไหว้แล้วทำมือเหมือนกับพระปางห้ามญาติ ขะโยมซมโต๊ก..โลกไทย ถะไงนี้มีธุระ ฮามจล (กระผมขออภัยครับ..พระคุณเจ้าจากประเทศไทย วันนี้มีงาน ห้ามเข้าครับ) พวกเราชะงักกันหมด อาตมาหันไปมอง ยายจ้อ เห็นเธอทำหน้าจนปัญญา พวกเราจึงต้อง นิวัต (ย้อนกลับ) ลงมาแต่โดยดี... เลี้ยวขวาไปเกือบจะถึงทางเดินที่เป็นระเบียงคด มีพระที่นั่งหลังหนึ่งลักษณะเปิดโล่ง เหมือนกับศาลาการเปรียญตามวัด ภายในมีพระพุทธรูปหินทรายปางสมาธิ ขนาดหน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้ว ประดิษฐานอยู่บนชั้นที่เหมือนกับขั้นบันได ทั้งสองข้างมีพระพุทธรูปสีเหมือนดินเผา หน้าตักประมาณ ๙ นิ้วเป็นจำนวนมากเรียงรายอยู่เป็นชั้น ๆ... นี่เป็นพระพุทธรูปฉลอง ๖๐ พระชันษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้านโรดมสีหนุ พระคุณท่านจะเห็นว่ามีพระพุทธรูปองค์เล็กอยู่ ๖๐ องค์ บวกกับพระพุทธรูปหินทรายองค์ใหญ่เป็น ๖๑ องค์ เพื่อให้เกินอายุไป ๑ ปี ตามคติความเชื่อที่ว่าจะได้มีอายุยืนยิ่ง ๆ ขึ้นไป ยายจ้อ ทำหน้าที่ของตนเอง ขณะที่อาตมาพาคณะเดินเข้าไปกราบพระ พร้อมกับสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415744373 กลายเป็นจีนแท้กันหมด..ตาตี่เชียว กราบพระเสร็จอาตมาชวนทุกคนถ่ายรูปหมู่ เพิ่งเห็นว่าพี่ปราณีไม่ได้ขึ้นมาด้วย มุมบนนี้มองออกไปทางพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย ดูสวยงามทีเดียว แต่เมื่อได้ไม่ครบคน จึงต้องลงมาที่ลานด้านล่าง เพื่อให้พี่ปราณีมาร่วมเข้ากล้องด้วยอีกคนหนึ่ง โดยมีคุณณรงค์เสียสละเป็นตากล้องให้ แต่กลายเป็นลูกจีนตาตี่กันหมด เพราะแสงแดดแรงมาก และส่องใส่หน้าพอดี... ด้านข้างที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นพระตำหนักหลังหนึ่ง ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ช่วงบนเป็นหลังคาจตุรมุข แต่เล็กผิดส่วนพิกล ถ้าเอาหลังคากับบันไดออก ก็คือกล่องใบหนึ่งนี่เอง แต่ประตูไม่ได้เปิด อาตมาชะโงกมองทางหน้าต่างชั้นล่างที่มีลูกกรงเหล็ก เห็นมีตู้ใส่ของมีค่าอยู่หลายตู้ มองขึ้นไปชั้นบนตามบันไดประตูก็ปิดอยู่ จึงต้องถอยออกมาด้วยความเสียดาย... “พระตำหนักกล่อง” แบบนี้มีอยู่หลายหลัง บางหลังก็ล้อมตาข่ายเพื่อซ่อมแซมอยู่ คณะของเราเดินตามนักท่องเที่ยวที่เริ่มมากขึ้นแบบ “ไหลตาม” เขาไป เห็นส่วนมากตรงไปยังพระที่นั่งหลังใหญ่อีกหลังหนึ่ง “หลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงฉลองพระองค์ขององค์กษัตริย์ พระมเหสี เครื่องแบบของข้าราชบริพาร ตลอดจนเครื่องราชูปโภคหลายอย่าง ขอเชิญพระคุณเจ้าและคณะขึ้นไปชมได้เลยเจ้าค่ะ” |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415848717 ชุดของบรรดาสาวสรรกำนัลใน ที่ปัจจุบันใช้เป็นชุดประจำชาติ ฟัง “ยายจ้อ” ไป พวกเราก็เดินขึ้นพิพิธภัณฑ์ไปด้วย ตามนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ ที่ส่งเสียงล้งเล้งแบบ “เจ๊กตื่นไฟ” เมื่อเข้าไปแล้ว สิ่งที่สะดุดตาทันทีก็คือชุดข้าราชบริพารหญิงในตู้ ที่สวมอยู่กับหุ่นพนมมือ มีครบ ๗ วัน ๗ สี ตั้งแต่แดงบานเย็น ส้มจำปาสด ม่วงน้ำเงิน ฟ้าคราม เขียวคราม น้ำเงินขาบ ม่วงเปลือกมังคุด มัคคุเทศก์จีนพูดถึงตู้กระจก โดยใช้คำว่า “ปอหลีเซวี้ยง” ซึ่งคำนี้นอกจากเขียนให้ตรงเสียงไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ใช่ลูกจีนแท้ พูดให้ตายก็ออกเสียงไม่ถูกอีกด้วย... อาตมาเดินหลบบรรดา “เจ๊กตื่นไฟ” ที่ส่งเสียงเอะอะแบบไม่ต้องเกรงใจใคร คาดว่าเป็นเพราะแผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาล เวลาคุยกันต้องตะโกนคนอื่นถึงจะได้ยิน พอทำแบบนี้ไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็เลยฝังอยู่ในสารพันธุกรรม ทำให้คนจีนคุยกันแล้วคนอื่นได้ยินเหมือนกำลังทะเลาะกันทุกที ขนาดเดินห่างออกมาแล้ว ก็ยังได้ยินอยู่เต็มสองหู “ยายจ้อ” ที่ไม่ตามขึ้นมาด้วย คาดว่าคงเป็นเพราะรำคาญคนเหล่านี้เหมือนกัน... ในตู้แสดงด้านข้าง เป็นชุดเครื่องทองในราชสำนัก บางอย่างก็ดูออกว่าสำหรับใช้งานอะไร อย่างเช่นชุดพานพระศรี (เชี่ยนหมาก) หรือตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ แต่บางอย่างก็เดาประโยชน์ไม่ออก เพราะหน้าตาเหมือนกับโกศบรรจุอัฐิของบ้านเรา พี่ปราณีกับพี่วิไลที่ดูมาหลายหนจนเบื่อแล้ว หลบนักท่องเที่ยวจีนออกไปก่อน ปล่อยให้อาตมา ป้ามอย แม่ป๋อม พี่มุกดา น้องเล็ก และลูกปุ๊ก เดินดูกันไปตามอัธยาศัย... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1415907882 ฉลองพระองค์สำหรับพระราชินี ชุดเครื่องทรงสำหรับพระมหากษัตริย์ ทั้งฉลองพระองค์ตัวในก็ดี ฉลองพระองค์คลุมปักทองดุนลายก็ดี เหมาะกับท่านที่หุ่นค่อนข้างอ้วน ส่วนชุดเครื่องทรงสำหรับพระราชินีนั้น เป็นชุดผ้านุ่งแบบจีบหน้านางของไทย มีสไบปักลายทองดุนนูน ดูรัดกุมสวยงามทีเดียว แต่ต้องหุ่นค่อนข้างเพรียวถึงจะใส่ได้ เท่ากับบังคับว่า ถ้าจะสวยสง่าสมกับเป็นพระราชินี ก็ต้องห้ามอ้วนเด็ดขาด... บรรดานักท่องเที่ยวจีนเบียดกันเอง ผลักกันเอง กระแทกกันเอง แล้วก็ด่ากันเอง อาตมาไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย จึงชวนคนอื่น ๆ เดินหนีออกมาก่อน นักท่องเที่ยวที่ไร้มารยาทแบบนี้ มีแต่ทำให้คนอื่นรำคาญและเบื่อหน่าย ไปที่ไหนมาก ๆ แทนที่จะทำให้ที่นั้นเป็นที่สนใจของคนอื่น ก็กลายเป็นทำให้คนอื่นไม่ไปอีกเลยก็มี... "ไปไหว้ "พระแก้ว" กันดีกว่า" พี่ปราณีที่ยืนรออยู่ข้างล่างกับพี่วิไล พอเห็นพวกเราลงมาก็รีบชวนให้เดินตามไปทางกำแพงที่มีลักษณะเหมือนระเบียงคด มีประตูเล็กเปิดให้ผ่านเข้าไปได้ ทางนี้ยังมีนักท่องเที่ยวไม่มาก "ด้านนี้คือ "วัดพระแก้ว" เจ้าค่ะ สร้างโดยถือเอาต้นแบบจากสยาม ประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญคือโบสถ์อันเป็นที่ประดิษฐาน "พระแก้วมรกต" แต่ว่าองค์นี้เป็น "แก้วหุง" นะเจ้าคะ ไม่ใช่ "แก้วอินทนิล" แบบพระแก้วมรกตของสยามประเทศ แล้วก็มีมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ซึ่งเป็นของเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยนครธม ที่ "องค์เหนือหัว" ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเป็นพุทธบูชาเจ้าค่ะ" "ยายจ้อ" เธอรีบตามมาทำหน้าที่ของตน... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416021451 อุโบสถ "วัดพระแก้ว" ที่ทรงออกจะ "กระด้าง" ไปนิดหนึ่ง ผ่าน "พระตำหนักกล่อง" อีกหลังหนึ่งก็เข้าสู่ภายในวิหารคด ซึ่งมีหลังคากระเบื้องสีแดง รายล้อมรอบพื้นที่ส่วนที่เป็น "วัดพระแก้ว" ทั้งสี่มุมมีอาคารที่เหมือนกับหอระฆัง แต่น่าจะเป็นป้อมยามรักษาการณ์มากกว่า รอบข้างเป็นต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกเป็นระเบียบ งอกงามน่าชื่นใจ... "วัดแห่งนี้เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงสยาม ใช้เวลาถึง ๑๐ ปีจึงสำเร็จเรียบร้อย ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดอุโบสถรตนาราม" จัดให้มีงานฉลองในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ปกติแล้วเป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา แต่ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ สมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงผนวช และได้จำพรรษาในวัดนี้ ๑ พรรษาเจ้าค่ะ" พระอุโบสถ "วัดพระแก้ว" ทรงค่อนข้างแข็งกระด้าง พื้นหน้าใต้หลังคาเป็นสี่เหลี่ยมยื่นออกมาตรง ๆ แบบไม่มีชั้นเชิงอะไรเลย ถ้าไม่มีหลังคาหน้าบันสองชั้น ประกอบไปด้วยช่อฟ้าและตัวเหงากับเรือนยอดแบบมณฑปแล้ว ก็จะออกไปลักษณะเป็นกล่องเหมือนกัน รอบด้านเป็นเสากลมเรียงรายถี่ ๆ เพื่อรับน้ำหนักหลังคา หัวเสาเป็นครุฑอัดแบกคาน กำแพงแก้วอยู่ในระดับเดียวกับเสา จึงเท่ากับว่าเป็นระเบียงพระอุโบสถไปในตัว... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416085250 ภายในโบสถ์ "วัดพระแก้ว" "ยายจ้อ" เดินนำพวกเราขึ้นบันไดพระอุโบสถ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งที่กำลังเดินเข้าไปแบบพวกเรา และที่เดินกลับลงมาหลายคน ที่ตรงกลางระหว่างประตู ๒ บาน มีป้ายทั้งภาษาขอมและภาษาอังกฤษ บอกข้อห้ามไว้หลายข้อ ซึ่งตัวใหญ่ที่สุดเขียนว่า "หามถดรูปะ" และ "No Photo" ซึ่งก็คือ "ฮามถอดรูป = ห้ามถ่ายรูป" นั่นเอง มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์หันมาทำตา "วิ้ง ๆ" ดูน่ารักผิดปกติ พลางกล่าวว่า "ถ้าพระคุณท่านจะ "ถอดรูป" ก็ได้นะเจ้าคะ" รู้ว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ แม่เจ้าประคุณจึงสนับสนุนเสียเลย มิน่า..ถึงได้ทำท่าน่ารักผิดปกติขนาดนั้น... พวกเราเข้าทางประตูซ้าย ภาพที่เห็นก็คือภายในเป็นห้องโถงค่อนข้างลึก ด้านในสุดเป็นบุษบกประดิษฐาน "พระแก้วมรกต" มีราชวัตรสีทองรายรอบอยู่นับสิบอัน ตรงหน้าของบุษบกก็คือ "กล่อง" ที่เป็นโครงไม้มีกระจกทั้งสี่ด้าน ด้านบนเป็นหลังคาลดชั้นประกอบลวดลาย มีฉัตร ๕ ชั้นประดับอยู่ด้วย ภายใน "กล่อง" เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ ประทับยืนยกพระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้างแบบปางห้ามญาติ ด้านนอกทั้งสองข้างเป็น "กล่อง" ทรงมณฑปติดกระจก ขนาดสูงประมาณตัวคน มีพระพุทธรูปและเครื่องบูชาอยู่ข้างใน... สองฟากข้างของ "กล่อง" พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ เป็น "กล่อง" ทรงมณฑปติดกระจก ขนาดสูงประมาณสองศอกจำนวน ๔ ใบ ภายในเป็นพระพุทธรูปหล่อจากทองคำและแกะสลักจากงาช้าง ด้านหน้า "กล่อง" ทั้ง ๔ ใบ เป็นพระพุทธรูปใหญ่ ๆ เล็ก ๆ หลายองค์ มีทั้งที่หล่อสัมฤทธิ์และสลักจากหิน ทั้งหมดที่ว่ามามีเสาโลหะหัวเม็ดสีทอง ร้อยสายโซ่หุ้มกำมะหยี่สีเหลืองล้อมรอบ เป็นสัญลักษณ์ว่า "ห้ามเข้า" ไปในบริเวณนั้น... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416166698 มีคนเลียนแบบด้วยการกราบพระและสวดมนต์ด้วย ผนังโบสถ์ทาสีน้ำตาลเข้มแบบสีกรัก เพดานเป็นสีฟ้าอ่อนในกรอบสีเหลือง แบ่งเป็นช่องตามคานที่ทาสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน มีดาวเพดานลวดลายค่อนข้างหยาบอยู่ช่องละ ๓ ดวง ตรงหน้า "กล่อง" พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ เป็นพัดลมเพดานก้านยาว ซึ่งด้านหลังบุษบก "พระแก้วมรกต" ก็เป็นพัดลมอีกอันหนึ่ง ด้านหน้าใกล้กับพัดลมเป็นโคมช่อขนาดใหญ่ที่มีดวงไฟกลม ๆ สองฟากข้างเป็นโคมช่อที่มีดวงไฟแบบจานคว่ำขนาดย่อม ด้านละ ๗ ช่อด้วยกัน... ติดกับผนังโบสถ์ทั้งสองด้าน เป็นตู้กระจกแสดงของมีค่า ทั้งพระพุทธรูปที่ทั้งหล่อเงินทั้งองค์และบุเงิน พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปงาช้าง และของมีค่าอื่น ๆ เช่น ต้นไม้ทองคำ โกศบรรจุอัฐิทองคำ เป็นต้น ซึ่งถูกกั้นไว้ด้วยเสาประกอบโซ่หุ้มกำมะหยี่สีเหลืองเช่นกัน เมื่อก้มลงมองเสาประกอบโซ่ จึงเห็นว่าพื้นพระอุโบสถเป็นแผ่นโลหะตีจากเงินแท้ ๆ ปูอยู่ทั่วทั้งหลัง... นักท่องเที่ยวเดินชมกันให้ขวักไขว่ไปหมด เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ ๔ นาย สอดส่ายสายตาไปมาเพื่อระมัดระวัง ว่าจะมีใครละเมิดกฎระเบียบบ้าง อาตมาหาที่ว่างได้ก็คุกเข่าลงกราบพระ พร้อมกับสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ทุกคนที่ตามมาก็คุกเข่ากราบพระสวดมนต์ แบบไม่กลัวว่านักท่องเที่ยวที่เดินกันเต็มไปหมดจะเหยียบเอา เมื่อมีตัวอย่างทำให้ดู นักท่องเที่ยวหลายรายก็พยายามคุกเข่ากราบพระแบบเก้ ๆ กัง ๆ เอาอย่างบ้าง หลายคนฉวยโอกาสนั่งแปะลงไปพักเสียเลย ตรงหน้าพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิจึงกลายเป็นที่ว่างไปแถบใหญ่ไปทันที... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416254704 จะ "ถอดรูป" ให้ชัดเจนกว่านี้ก็ไม่ได้ เกรงใจเจ้าหน้าที่ของเขา เมื่อสวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลแล้ว อาตมาก็เดินเลี่ยงออกด้านข้าง หันไปสบตา "ยายจ้อ" พอเธอผงกหัวแบบว่า "ได้เลย" ก็ยกกล้องขึ้นถ่ายรูป แล้วเก็บเข้ากระเป๋าแบบไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะฝีมือคุณเธอช่วยบังตาให้ หรืออาตมามือไวจนเจ้าหน้าที่มองไม่ทันก็ไม่รู้ ? ทำให้ถ่ายรูปได้แบบไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกจากคณะ ปะปนไปกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เผื่อว่าโดนจับได้ จะได้ไม่พาให้คนอื่นโดยเฉพาะพี่ปราณีกับพี่วิไล "ซวย" ไปด้วย... เมื่อเลี่ยงออกมาด้านข้าง จึงเห็นว่า "พระแก้วมรกต" ของเขมร เป็นแก้วสีเขียวอมเหลืองค่อนข้างใส องค์พระหน้าตักประมาณ ๑๒ นิ้ว ซึ่งหน้าตักค่อนข้างกว้างเหมือนกับเป็นศิลปะล้านช้าง นอกจากพระเกตุมาลาและฐานพระที่หุ้มทองกับสังวาลทองคำเล็ก ๆ เส้นหนึ่งแล้ว ทั้งองค์ไม่มีเครื่องทรงอื่น ๆ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่ทราบว่าตั้งใจอวดเนื้อแก้วขององค์พระ หรือว่าไม่มีงบประมาณในการสร้างเครื่องทรงกันแน่ ? เหตุที่คิดแบบนี้เป็นเพราะว่า ทางเขมรตั้งใจเลียนแบบไทยไปทุกอย่าง แม้แต่บุษบกประดิษฐานพระแก้วก็ถอดแบบเอาไป ถึงจะฝีมือหยาบกว่ามากก็เถอะ แต่ทำไมถึงไม่มีเครื่องทรงสามฤดูก็ไม่รู้ ? อาจจะไม่มีช่างฝีมือระดับสุดยอดก็เป็นได้... อาตมาชำเลืองดูเจ้าหน้าที่ พร้อมกับเดินดูรายละเอียดโดยรอบไปด้วย จนมาถึงด้านหลังข้างซ้าย จึงได้โอกาส "ถอดรูป" ขององค์ "พระแก้วมรกต" อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีผู้คอยช่วยเหลืออยู่ แต่ถ้าไม่ต้องพึ่งพิงผู้อื่นอาตมาก็ยินดีที่จะทำเองมากกว่า เมื่อได้รูปมาแล้วอาตมาก็เดินชิดผนังไปชมพระพุทธรูปและของมีค่าในตู้กระจกต่อไป... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416343045 พระพุทธรูปงาช้างพระเกตุมาลาทองคำฐานเงิน สิ่งของตู้ที่น่าสนใจก็คือพระพุทธรูปงาช้างแกะสลัก พระเกตุมาลาเป็นทองคำประดับพลอย ห่มผ้าสไบที่ถักจากเส้นลวดทองคำ ตั้งอยู่บนฐานเงินดุนลวดลาย ด้านข้างยังมีพระเจดีย์กลึงจากงาช้าง ลักษณะเป็นพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ประดับด้วยลวดลายและฉัตรทองคำ... อีกหลายตู้ส่วนมาก เป็นพระพุทธรูปทองคำฐานเงิน บ้างก็เป็นปางไสยาสน์ บ้างก็เป็นปางสมาธิ องค์ที่เป็นปางไสยาสน์ มีพระอานนท์ที่หล่อด้วยทองคำคุกเข่าอยู่ทางพระบาทด้วย อีกองค์หนึ่งเป็นพระนางสิริมหามายา หล่อจากทองคำสูงประมาณคืบเศษ ยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ทองคำในปางประสูติพระโพธิสัตว์... มาถึงตู้ลักษณะเหมือนบุษบก ตั้งอยู่ติดประตูกลางด้านซ้ายของพระอุโบสถ ภายในเป็นพระพุทธรูปทองคำหน้าตักประมาณ ๙ นิ้ว ๑ องค์ มีป้ายเป็นภาษาอังกฤษบอกว่า หล่อด้วยทองคำ ๑๓ กิโลกรัม อีกองค์หนึ่งขนาด ๕ นิ้ว ทั้งสององค์นี้ประดับเพชรด้วย แล้วยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติ สูงประมาณครึ่งคืบ พร้อมกับพระพุทธรูปปางมารวิชัยหน้าตักประมาณ ๓ นิ้ว ทั้งสององค์นี้เป็นทองคำฐานเงิน และพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ยาวประมาณ ๑ คืบ ๑ องค์ น่าจะหล่อจากนากเพราะเริ่มกลับดำแล้ว... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416427416 หลวงพ่อสัมฤทธิ์ที่ต้องใช้กลยุทธ์ "ปิดฟ้าข้ามทะเล" ถึงจะได้รูปมา วนมาถึงด้านหลังของพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปเก่า ๆ หลายองค์ ที่ติดตาต้องใจมากที่สุด เป็นองค์ที่ตั้งอยู่ข้างเจ้าหน้าที่ ซึ่งนั่งเก้าอี้อยู่สูงกว่าพระเสียอีก องค์นี้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อสัมฤทธิ์ พระพักตร์ออกไปทางจีน ทั้งองค์พระทั้งฐานเป็นเนื้อสัมฤทธิ์เก่าแก่ ดูงดงามจับตามาก ตรงหน้าพระมีพานที่คนบริจาคเงินเอาไว้จำนวนมาก ต้องเป็นพระสำคัญของเขาแน่ ๆ อาตมาอยากจะถ่ายรูปเอาไว้ แต่เจ้าหน้าที่นั่งชิดติดกับองค์พระแบบนั้น ตูจะทำอย่างไรดี ? หันไปขอความช่วยเหลือจาก ยายจ้อ คุณเธอชี้ไปที่พี่ปราณี ให้พี่สาวของท่านไปชวนเจ้าหน้าที่คุยด้วยสิเจ้าคะ พอบอกเท่านี้อาตมาก็เข้าใจ เดินกลับมากระซิบบอกกับพี่ปราณีว่า อยากถ่ายรูปหลวงพ่อสัมฤทธิ์องค์นั้น พี่ช่วยไปชวนเจ้าหน้าที่คุยด้วยสักหน่อย จะได้มีจังหวะถ่ายรูป พี่ปราณีพยักหน้าแบบไม่ต้องขอร้องอะไรกันมากกว่านี้ เดินตรงเข้าไปหาเหยื่อ เอ๊ย..เจ้าหน้าที่ทันที... พี่เขาร้ายตรงที่ว่า เดินไปถึงก็ยืนบังพระพุทธรูปเอาไว้ แล้วถามโน่นถามนี่เกี่ยวกับ พระแก้วมรกต เจ้าหน้าที่เห็นนักท่องเที่ยวสนใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศตน จึงบรรยายน้ำไหลไฟดับ เชื่อว่าพี่เขาฟังออกไม่หมดหรอก แต่อาตมาถ่ายรูปได้หมดแน่ ๆ เสร็จแล้วเดินเลยไปเพื่อให้พี่เขาเห็น อีกสักครู่พี่ปราณีก็เดินตามมา ถามเบา ๆ ว่า ได้ไหม ? เรียบร้อยครับ ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416516298 มุมประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์เขมร อาตมาบอกพี่ปราณีให้แจ้งพวกเรา ถอนทัพ ตามประสา วัวสันหลังหวะ ได้รูปแล้วก็รีบเผ่น เรื่องอะไรจะอยู่ให้เขาจับได้ ลงจากพระอุโบสถมา ก็เห็นตรงหน้ามีพระเจดีย์องค์ใหญ่ไม่น้อยอยู่ ๒ องค์ มีลวดลายปูนปั้นละเอียดยิบ ตรงกลางมีอาคารลักษณะมณฑปเปิดทั้งสี่ด้าน มีอนุสาวรีย์คนขี่ม้าอยู่ข้างในมณฑปด้วย... พระเจดีย์ทั้ง ๒ องค์นี้ องค์ซ้ายมือบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ (นักองค์ด้วง) รัชกาลที่ ๓ ของพระราชวงศ์นโรดม ส่วนองค์ขวามือบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระอุทัยราชาธิราช (นักองค์จันทร์) รัชกาลที่ ๒ พระบรมราชานุสาวรีย์ทรงม้าในมณฑป คือสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช (นักองค์เอง) รัชกาลที่ ๑ ของพระราชวงศ์นโรดมเจ้าค่ะ ขอบอกว่าอาตมาตกประวัติศาสตร์เขมร ทั้งที่เป็นบ้านใกล้เรือนคียงแท้ ๆ ถ้าไม่มี ยายจ้อ มาด้วย ก็หูหนวกตาบอดไปเลย พอแม่ป๋อมถ่ายรูปพระเจดีย์ไปแล้ว พวกเราที่เหลือก็ไม่มีใครอยากจะอาบแดดเปรี้ยง ๆ ชมพระเจดีย์แบบใกล้ ๆ จึงเดินตามบรรดานักท่องเที่ยวไป พวกเขาเลี้ยวขวาไปยังเนินเขาเตี้ย ๆ ที่มีมณฑปหน้าตาเหมือนพระพุทธบาทที่สระบุรีอยู่ข้างบน ส่วนพวกเรานั้น ยายจ้อ ชี้ให้ไปยังอาคารหลังหนึ่ง ที่หน้าตาคล้าย ๆ กับโบสถ์ของบ้านเรา... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416602079 พระพุทธบาทสี่รอยจำลองที่สร้างเลียนแบบไปจากประเทศไทยเช่นกัน เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพนมมือไหว้ แล้วผายมือเชิญคณะของเราเข้าไปด้านใน พวกเราเดินเข้าประตูทางซ้ายมือที่เปิดอยู่บานเดียว พอเข้าไปถึงรู้ว่าเข้ามาทางด้านหลังของตัวอาคาร เพราะว่าพระพุทธรูปทุกองค์ข้างในหันหลังให้กับพวกเรา ตรงกลางติดผนังเป็นพระประธานปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักประมาณ ๓ ศอกคืบ ประดิษฐานอยู่บนอาสนะสูง ข้างหน้าองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปประทับยืน มีทั้งหล่อจากสัมฤทธิ์ หล่อจากทองเหลือง และแกะสลักจากหินทราย ประทับยืนเรียงรายอยู่ ๗ องค์... ตรงกลางเป็นพระพุทธบาทสี่รอยจำลองหล่อจากปูน ขนาดใหญ่เกือบเต็มพื้นที่อาคารทั้งหลัง ด้านหน้ารอยพระพุทธบาท มีพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิปางห้ามญาติ อยู่ใน กล่อง เหมือนกับในพระอุโบสถ ทั้งสองข้างพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ มีพระพุทธรูปที่ส่วนใหญ่แกะสลักจากไม้ มีทั้งปางไสยาสน์ ประทับยืน ประทับนั่งในอิริยาบถต่าง ๆ หลายสิบองค์... พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๕ ในราชวงศ์นโรดม ล้วนแต่เคยประทับอยู่ในประเทศสยามตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งยังได้รับการอภิเษกจากพระเจ้ากรุงสยามให้มาครองกรุงกัมพูชา จึงนำเอาศิลปวัฒนธรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสยาม มาสร้างเอาไว้ในพระบรมมหาราชวัง พระพุทธบาทสี่รอยจำลองนี้ ก็สร้างเลียนแบบจากสยามเช่นกันเจ้าค่ะ ยายจ้อ บรรยายขยายความ ขณะที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลส่งธูปเทียนให้พวกเราจุดบูชา... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416696054 ปิดทองรอยพระพุทธบาท พวกเราจุดธูปอธิษฐานแล้วสวดมนต์กันตามอัธยาศัย อาตมาว่า อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ไป ๓ จบ แล้วอุทิศส่วนกุศล “ยายจ้อ” รีบโมทนา อุปาทานทำให้เห็นว่าเธออ้วนขึ้น คงจะกินมากไปหน่อย ฮ่า..! ปักธูปแล้วอาตมาควักเงินหยอดตู้ไป ๓,๐๐๐ เรียล ทุกคนเลยควักกระเป๋าเอาเงินที่ส่วนมากเป็นเงินไทยหยอดตู้ทำบุญกันใหญ่ พี่ปราณีกับพี่วิไลเล่นหยอดไปคนละ ๑๐ ดอลลาร์เลย... “ปิดทองรอยพระพุทธบาทได้ไหมคะ ?” น้องเล็กถามขึ้น พี่ปราณีหันไปถามผู้ดูแลอีกต่อหนึ่ง เขารีบจัดการปลดสายโซ่หุ้มกำมะหยี่ ที่กันคนเข้าไปถึงรอยพระพุทธบาทให้ทันที พวกเรารับทองคำเปลวที่น้องเล็กแบ่งให้ จัดการปิดทองกันเป็นการใหญ่ แต่รอยพระพุทธบาทใหญ่มหึมาจนเกินไป ทำเอาทองคำเปลวแผ่นเล็ก ๆ กลายเป็นก้อนกรวดในมหาสมุทรไปเลย... อาตมาถ่ายรูปไปทุกซอกทุกมุมแล้ว หันมาขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลที่ช่วยสงเคราะห์ จากนั้นชักแถวเดินตาม “ยายจ้อ” กลับออกมาทางเดิม ตรงไปยังเนินเตี้ย ๆ ที่มองเห็นยอดมณฑปเหมือนกับพระพุทธบาทที่สระบุรี โผล่ขึ้นมาเหนือแมกไม้ ตรงทางขึ้นทำเป็นลักษณะคล้ายถ้ำ มีรูปปั้นห่มผ้าขาวอยู่ข้างใน คงเป็นเจ้าที่ผู้รักษาสถานที่นี้ ข้าง ๆ “ตาเจ้าที่” เป็นพระพุทธรูปเศียรหักหายไปองค์หนึ่ง และรูปเทวดาหรือนางฟ้าก็ไม่รู้ เพราะว่านอกจากชฎาจะหักหายไปแล้ว ยังโดนห่มผ้าจนดูไม่ออกว่าข้างในปั้นเป็นรูปอะไรอีกด้วย... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416772874 มณฑปพระพุทธบาทของกัมพูชา ถัดไปเป็นรูปสลักจากหินทราย น่าจะเป็นพระพรหมที่ค่อนข้างยากจน เพราะท่านไม่มีเครื่องทรง นอกจากผ้านุ่งและหมวกที่ดูคล้ายกับหมวกพระจีน ประทับนั่งอยู่บนหลังหงส์ซึ่งหันหน้าออกไปทั้งสี่ทิศ หน้าตาของหงส์นั้นเหมือนกับนกคุ่มหรือไก่ต๊อกมากกว่า แถมตัวที่อยู่ด้านตรงยังพ่นน้ำออกมาเป็นน้ำมนต์ มีหลายคนกำลังวักมาล้างหน้าและพรมใส่หัวตัวเองอีกด้วย พวกเราเดินขึ้นบันไดที่ไม่ค่อยจะเหมือนบันไดนัก เพราะเป็นชั้นลดกว้างมาก ที่ลดหลั่นลงมาตามลาดเนิน... เลี้ยวขวาตามบันไดขึ้นไปอีกนิด ก็เห็นได้ชัดว่ามณฑปหลังนี้ถอดแบบไปจากมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทที่สระบุรีอย่างแน่นอน เพียงแต่ครอบอยู่ในลักษณะแบกับดิน ไม่ได้มีบันไดนาคแบบที่สระบุรี มีคนเดินเข้าไปในมณฑปอยู่ ๒ - ๓ คน นอกนั้นมัวแต่ชื่นชมกับความสวยงามและถ่ายรูปตัวมณฑปอยู่ด้านนอก อาตมาเดินนำทุกคนเข้าไปบ้าง พอเห็นสิ่งที่อยู่ภายในก็ยืนตะลึง..! ตรงกลางด้านในเป็นพระพุทธรูปสลักจากหยกพม่า ศิลปะแบบพม่าแท้ มีผ้าห่มแถมพวงมาลัยคล้องพระศอเหมือนนักร้อง ด้านบนเป็นแผ่นฉัพพรรณรังสีและสัปทนกั้นอยู่ สองข้างเป็นราชวัตรและต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ด้านซ้ายขององค์พระเป็นพระปางไสยาสน์ ยาวประมาณ ๒ ศอกเศษ ประดิษฐานอยู่บนแท่นสูง มีพระพุทธรูปยืนขนาดเล็กปางต่าง ๆ อยู่หลายองค์ ทางขวาขององค์พระเป็นพระนาคปรกทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่ ๕ - ๖ องค์ แกะสลักจากหินทรายที่ฝีมือประณีตทีเดียว... |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1416856469 รอยพระพุทธบาทจำลอง เหมือนของวัดท่าขนุนราวกับเป็นคู่แฝด..! "ถึงกับตะลึงเลยหรือเจ้าคะ ? เหมือนหรือไม่เจ้าคะ ?" "ยายจ้อ" ถามเมื่อเห็นอาตมายืนอึ้งตะลึงแล จะไม่ให้อึ้งได้อย่างไรเล่า ? ในเมื่อตรงกลางมณฑปที่มีสายโซ่หุ้มกำมะหยี่สีแดงกั้นอยู่นั้น เป็นพระพุทธบาทจำลองหล่อสัมฤทธิ์ปิดทอง ฝีมือละเอียดประณีตงดงาม ที่สำคัญคือลักษณะ ขนาดและลวดลายทุกอย่าง เหมือนกับรอยพระพุทธบาทจำลองของวัดท่าขนุนอย่างกับคู่แฝด..! "นี่คือพระพุทธบาทจำลอง ซึ่ง "องค์เหนือหัว" โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อสักการบูชา ปกติมีอยู่ ๑ คู่ประดิษฐานอยู่ในปราสาทนครธม แต่ภายหลังสูญหายไปในศึกสงคราม พระคุณเจ้าคงทราบดีนะเจ้าคะ ว่าสูญหายไปอยู่ที่ไหน ?" ก็เพิ่งจะทราบเหมือนกันนี่แหละ อาตมาพยายามสืบหาว่า พระพุทธบาทจำลองวัดท่าขนุนมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ก็มืดแปดด้าน ได้แต่สันนิษฐานว่าเป็นของเก่า สร้างมาแล้วนับร้อยปี ไม่นึกว่าจะเก่าเกือบพันปีอย่างนี้... "ฐานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทนี้ ก็เป็นรอยพระพุทธบาทจำลองเช่นกันเจ้าค่ะ ครั้งแรกสร้างขึ้นเพื่อสักการบูชาแทนองค์จริง ต่อมาสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญองค์จริงมาประดิษฐานไว้ ซึ่งสามารถวางซ้อนลงบนองค์จำลองได้พอดี" อาตมาไม่มีอารมณ์ที่จะฟังการบรรยายของ "ยายจ้อ" อีกแล้ว นั่งคุกเข่าลงกราบสักการะรอยพระพุทธบาท พลางพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน... |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:37 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.