กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4046)

เถรี 12-05-2014 13:06

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗
 
ถาม : ผมอยากทราบว่า ถือศีล ๘ สามารถดูทีวี ดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง เล่นเกมส์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เด็ก ๘ ขวบถามหรืออย่างไร ? ไม่รู้เลยหรือว่าศีล ๘ ห้ามเรื่องพวกนี้ทั้งหมด ?

เถรี 12-05-2014 13:07

ถาม : เนื่องด้วยผมมีความสงสัยในพระวินัยในบางข้อ สมัยที่ผมบวชเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่าน ไปหยิบก้นบุหรี่ที่เขาทิ้งไว้แล้ว รู้ว่าไม่มีเจ้าของ คิดเล่น ๆ ว่าจะขโมย อย่างนี้ศีลผมจะขาดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีเจ้าของ แล้วไปขโมยใครล่ะ ? เขาเรียกว่าไม่มีอะไรจะทำ ไปฟุ้งซ่านหานรก..!

เถรี 12-05-2014 13:09

ถาม : ตอนนั้นอารมณ์ใจผมเลวมาก ตอนนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน วันรุ่งขึ้นผมเข้าปริวาสกรรมโดยไม่ได้บอกใครเลย คิดว่าเข้าปริวาสก็ถือว่าสงฆ์ทั้งหลายรับทราบอยู่แล้ว อย่างนี้จะมีผลสมบูรณ์ ในการแก้อาบัติไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...เพราะต้องแจ้งแก่คณะสงฆ์ก่อน แล้วคณะสงฆ์จึงจัดปริวาสกรรมให้ แต่ถ้าเราถือว่าวัดที่เราไปเข้าปริวาสเป็นคณะสงฆ์ก็มีผลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทางวัดต้นสังกัดตนเองจะรับรู้และยอมไหม ?

เถรี 12-05-2014 13:11

ถาม : เรื่องการปลงอาบัติ ถ้าเราสึกมาแล้วจำได้ว่ามีอาบัติบางตัวที่เราพลาดไปยังไม่ได้ปลง เราเป็นฆราวาสไปขอปลงกับพระภิกษุจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องลองดู เผื่อว่าท่านจะรับ อาบัติเขาปลงกันระหว่างพระเท่านั้น เณรยังไม่ได้เลย

ถาม : ถ้าเราปลงอาบัติแล้วแต่ใช้วิธีคิดรวมว่าอาบัติที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ดี ก่อนสึกจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอาบัติหนักปลงไม่ได้ ถ้าอาบัติเบาท่านใช้คำว่า สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย ก็รวมทั้งหมดอยู่แล้ว

เถรี 12-05-2014 13:12

ถาม : สมมุติว่าไปที่วัด เห็นคนถวายสังฆทานมีพระพุทธรูปเป็นประธาน ผมเอาเงินหยอดตู้ คิดว่าได้ถวายแบบเขาแล้วจะได้บุญเหมือนอย่างเขาทุกประการไหมครับ ? คือไม่ได้ยกไปถวายครับหยอดตู้อย่างเดียว
ตอบ : อาจได้บุญมากกว่า ถ้าคนที่ยกไปถวายเกิดโมโหขึ้นมาว่าทำไมชุดสังฆทานหนักแท้ ก็แปลว่ากำลังใจของคนถวายนั้นตก เนื่องจากว่าจิตมัวหมอง แต่ตัวเราเองไปหยอดตู้สบาย ๆ ตั้งใจถวายเป็นสังฆทานอาจจะได้บุญมากกว่าด้วย เพราะใจเราไม่ได้ตกอย่างเขา

เถรี 12-05-2014 13:14

ถาม : กราบเรียนถามถึงความเป็นมาของยาครูพม่าและอานุภาพครับ ?
ตอบ : อยากรู้ไปทำอะไร..! ส่วนใหญ่แล้วทางพม่าจะมีวิชาการเกี่ยวกับการหลอมปรอท ทำปรอทสำเร็จ วัตถุว่านยาหลายอย่างที่รวบรวมมา เมื่อเหลือจากการหลอมปรอทแล้ว เขาเชื่อว่าเป็นยาที่สามารถรักษาสารพัดโรคได้ ส่วนใหญ่แล้วส่วนที่เหลือเขาจะปั้นเป็นรูปเจดีย์เล็ก ๆ แล้วปิดทองเอาไว้บูชามากกว่า แต่ถ้ามีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยไปขอ ท่านก็อาจจะแบ่งให้ปันให้

คราวนี้ในเรื่องของยาครูพม่าจริง ๆ ต้องบอกว่ามีน้อยกว่าน้อย เพราะว่าคนที่สำเร็จปรอทในปัจจุบันไม่ใช่ว่าจะมีมากมาย อาตมาเองก็เพิ่งเจอมาแค่ ๓ - ๔ รายเท่านั้น ฉะนั้น..ถ้ามีใครเอายาครูพม่ามา แล้วก็บอกว่ามาจากพม่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องดูที่มาให้ชัด ๆ ไม่อย่างนั้นก็ฟันธงไปเลยว่าของปลอม..!

เถรี 12-05-2014 19:47

ถาม : บุคคลในโลกนี้แล้ว ส่วนใหญ่กำลังใจยังไม่เข้มแข็งพอ เมื่อได้มาอ่านหนังสือหรือเห็นรูปพระอาจารย์ในอินเตอร์เน็ตเกิดมีความเลื่อมใส แต่ไม่สามารถมาพบเจอด้วยตัวเองได้ เนื่องจากอาจจะอยู่ไกล หรือต้องประกอบอาชีพการงาน ทำให้ปลีกตัวมาพบเจอได้ยาก อยากจะฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและระลึกถึง พระอาจารย์มีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้างกับการฝากตัวเป็นศิษย์ครับ?
ตอบ : หลักเกณฑ์ข้อที่ ๑ ต้องรู้จักกัน ข้อที่ ๒ ต้องเคยได้ยินเขาพูดถึงแล้วเลื่อมใส ข้อที่ ๓ ต้องยึดแนวทางไปปฏิบัติจริง ๆ

เถรี 12-05-2014 19:48

ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อนจะต้องทำด้วยวัสดุมีค่า ที่มีน้ำหนักอย่างต่ำ ๑ บาท เช่น แผ่นเงินหนัก ๑ บาท เป็นต้น จึงจะมีผล แต่ถ้ามานำหลอมเป็นชนวนจัดทำวัตถุมงคลใหม่ ทำไมถึงมีผลมหาสะท้อนไปได้อีกเยอะหลาย ๆ องค์ครับ ? (พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๑ ที่มีชนวนตะกรุดมหาสะท้อน)
ตอบ : จริง ๆ ก็มีคำตอบอยู่แล้วนะ ก็เพราะว่าพระไม่ใช่ตะกรุด..! ในเมื่อพระไม่ใช่ตะกรุดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหนัก ๑ บาท

เถรี 12-05-2014 19:50

ถาม : หากความตั้งใจเดิมของผม อยากจะค่อย ๆ สะสมเงินในธนาคารตั้งใจจะสร้างวิหารทานในตอนชรา เช่น สร้างวัด เป็นต้น แต่ผมสามารถเปลี่ยนใจที่จะนำเงินเหล่านั้นมาทำวิหารทานในตอนนี้ได้ไหมครับ ? เพราะคิดเเล้วว่ายุ่งยาก และไม่รู้จะตายก่อนหรือไม่ และหากกระทำดังกล่าวจะมีโทษประการใดหรือไม่ ?
ตอบ : มีโทษมาก เขาอาจจะส่งไปพระนิพพาน..! การที่เราตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าลงมือทำเลยถือว่าไม่ประมาท แต่ถ้าไปคิดว่าอีก ๕ ปี ๑๐ ข้างหน้าจะทำ ถ้าเกิดเราตายเสียก่อนจะไม่ได้ทำสิ่งนั้น ฉะนั้น..ถ้าเร่งทำเสียก่อนถือว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต

เถรี 12-05-2014 19:54

ถาม : เนื่องจากพบว่าข้อมูลคำสอนเรื่องอาชีพผู้พิพากษาซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินคดีและลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมาย มีคำสอนออกเป็น ๒ แนวทาง แนวทางหนึ่งอธิบายว่า แม้จะตัดสินคดีลงโทษผู้อื่น เช่น ปรับ จำคุก หรือในคดีแพ่งพิพากษาให้ใช้ค่าเสียหาย ก็ไม่เป็นบาป เพราะกระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติ

ส่วนอีกแนวทางหนึ่งอธิบายว่า แม้จะทำตามหน้าที่ แต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับกฎแห่งกรรม ดังนั้น..การตัดสินคดีลงโทษผู้อื่น เช่น ปรับ จำคุก หรือในคดีแพ่งพิพากษาให้ใช้ค่าเสียหาย ย่อมเป็นการสร้างบาปอกุศล และแนวทางนี้ยังยกเรื่องพระเตมีย์ชาดกมาอ้างอิงด้วย จึงขอเรียนสอบถามพระอาจารย์ว่า คำสอนที่ถูกต้อง ควรเป็นเช่นไร ?

ตอบ : ทั้ง ๒ แนวทางที่ว่ามาถูกทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการวางกำลังใจของตน ถ้าวางกำลังใจแบบภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรซึ่งเป็นพระโสดาบัน สามีที่เป็นพรานก็บอก “แม่อีหนูส่งบ่วงเชือกมา แม่อีหนูส่งแหลนมา” ซึ่งตนเองจะไปล่าสัตว์ ภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรซึ่งเป็นพระโสดาบันก็ส่งทุกสิ่งทุกอย่างให้ตามที่สามีบอก พระท่านไปเห็นเข้าก็แปลกใจว่า ทำไมพระโสดาบันยังสนับสนุนการฆ่าสัตว์อยู่ ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้ไปถามตรงกับเธอเอง

เมื่อไปถามเข้า เธอตอบว่า เธอเป็นภรรยา มีหน้าที่ทำตามคำสั่งสามี สามีให้ส่งบ่วงเชือกก็ส่งให้ ให้ส่งแหลนก็ส่งให้ แต่ไม่รับรู้ว่าสามีจะไปทำอะไร ฉะนั้น..เรื่องของการพิพากษา ถ้าหากว่าเราตัดกำลังใจได้แบบนั้น ก็คือเราทำตามหน้าที่ ว่าไปตามข้อเท็จจริง เมื่อพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่ามีบาป เนื่องจากว่าไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองแค้นแล้วจะไปตัดสินในลักษณะกลั่นแกล้งลงโทษ

แต่ถ้าหากว่าตัดกำลังใจไม่ได้ คิดอยู่เสมอว่าเราไปลงโทษเขา เราไปทำให้เขาลำบาก ทำให้เขาเดือดร้อน จิตใจของตัวเองก็เศร้าหมอง ถึงเวลาก็ต้องรับโทษตามนั้นเพราะใจเศร้าหมองไปแล้ว ฉะนั้น..ที่ถามมาทั้ง ๒ แนวทาง ขึ้นอยู่กับว่าเราวางกำลังใจถูกหรือไม่ ถ้าวางกำลังใจถูกก็ไม่บาป ถ้าวางกำลังใจผิดก็เจอบาปไปเต็ม ๆ

เถรี 13-05-2014 11:24

ถาม : ในการขอพรพระคำข้าว ให้ใช้ดอกกุหลาบ ๓ สี อย่างละ ๑๐ ดอก โดยมีสีขาวสีเหลือง และสีแดง แต่ในกรณีที่กุหลาบสีเหลืองหายาก ถ้าใช้สีอื่นทดแทนจะให้ผลเสมอกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพระ พรหมหรือเทวดา ท่านว่าอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ถ้านอกเหนือจากคำสั่งจะไม่มีผลเลย

เถรี 13-05-2014 11:25

ถาม : สถานที่สัปปายะ มีผลต่อการปฏิบัติไหมคะ ? แล้วถ้าเราอยู่ในสถานที่ที่ไม่สัปปายะจะทำให้การปฏิบัติของเราล่าช้าจริงหรือไม่คะ ?
ตอบ : ใคร ๆ เขาก็รู้ว่าสถานที่สัปปายะมีส่วนหนุนเสริมในการปฏิบัติอย่างยิ่ง สถานที่ ๆ ไม่เป็นสัปปายะเหมาะสำหรับบุคคลที่กำลังใจมั่นคงแล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นโอกาสที่จะปฏิบัติให้มีผลก็น้อย

เถรี 13-05-2014 11:25

ถาม : มีคนบอกว่าการที่เราเล่นเฟซบุ๊กหรืออินสตราแกรม แล้ววุ่นวายอยู่กับการเปลี่ยนรูปตนเองหรืออวดภาพตนเอง นั่นเป็นเพราะเราหลงในรูปซึ่งเป็นขันธ์ ๕ จริงอย่างเขาว่าหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ใช่เขาว่า อาตมาว่าเอง คำถามนี้ไม่ต้องตอบ

เถรี 13-05-2014 11:26

ถาม : การที่เราพยายามดูแลรูปร่างของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเพื่อให้หุ่นฟิต เฟิร์มหรือมีกล้ามแผงหน้าอก เราจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นเพราะเราต้องการให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคภัยง่าย ๆ หรือเป็นเพราะว่าเราหลงในขันธ์ ๕ อยากมีร่างกายที่สวยงาม ?
ตอบ : ถ้าตัวเองทำเพื่ออะไรยังไม่รู้ ก็ไปเกิดใหม่ซะ..!

เถรี 13-05-2014 11:28

ถาม : ท่านที่ปฏิบัติเพื่อละกิเลส โดยเข้าไปสู่ป่า ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่มีโอกาสได้ทำทานในส่วนของปัจจัย เป็นเพราะท่านตัดใจเรื่องทานโดยเอาแค่ศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้นหรือคะ ถึงทำใจอยู่ในป่าได้ ?
ตอบ : ไปถามท่านเอง เรื่องของทานไม่ใช่เรื่องของทรัพย์สินสิ่งของอย่างเดียว แม้กระทั่งการละความโกรธก็จัดเป็นอภัยทานเช่นกัน บุคคลก่อนที่จะก้าวมาถึงเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ต้องให้ทานมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นไปตามลำดับกำลังใจ

ถ้าเป็นบารมีต้นให้ทานได้ รักษาศีลจะบอกว่าไม่ไหว ถ้าเป็นบารมีกลางให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ให้ภาวนาจะบอกว่าไม่ไหวเช่นกัน ต้องเป็นปรมัตถบารมีเท่านั้นจึงจะสามารถที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้ ดังนั้น..ถ้าใครอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญาแปลว่าทำทานมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว สามารถที่จะปฏิบัติเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่ต้องมีทานอีกก็ได้

เถรี 13-05-2014 11:46

ถาม : เวลาที่เรากราบพระ เราควรวางกำลังใจอย่างไรดีคะ จึงจะได้อานิสงส์สูงสุด ?
ตอบ : สาธุ..ขอให้ถูกรางวัลที่ ๑..! ก็ตั้งใจว่าท่านอยู่บนพระนิพพาน เรากราบท่านก็คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน..ก็จบ

ถาม : เวลาพระอาจารย์เดินทางไปกราบพระตามวัดต่าง ๆ พระอาจารย์อธิษฐานว่าอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน สาธุขอให้ถูกรางวัลที่ ๑..!

ถาม : เวลาพระอาจารย์เดินทางไปกราบพระพุทธรูปสำคัญ ๆ หรือว่าพระประธาน พระอาจารย์สวดบทสวดมนต์ใดถวายบ้างเจ้าค่ะ ?
ตอบ : อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เป็นหลัก ถ้ามีเวลามากก็เพิ่มพระคาถาเงินล้านเข้าไปด้วย

เถรี 13-05-2014 11:46

ถาม : หากเดินทางไปจังหวัดขอนแก่น ขอเมตตาพระอาจารย์แนะนำครูบาอาจารย์ที่เราควรไปกราบแล้วเรามั่นใจว่าท่านสอนถูก
ตอบ : อาตมาไม่ใช่ตราประทับที่จะไปรับรองใคร เพราะฉะนั้น..ให้ไปเสี่ยงดวงกันเอาเอง ไม่ใช่มักง่ายมาถาม ยกเว้นว่าถ้าเผลอบอกไปก็ช่วยไม่ได้..!

เถรี 13-05-2014 11:48

ในเรื่องของคำถามพื้นฐาน อย่างเช่นว่าศีล ๘ หรือว่าเรื่องของความเป็นสัปปายะคือเหมาะสมกับสถานที่ เป็นเรื่องมักง่ายมากที่มาถาม ข้อมูลมีท่วมโลกอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คิดจะไปค้นคว้ากัน เขาเรียกว่าอาศัยความมักง่าย พอใกล้ก็ถาม ถ้าหากว่าเจ้าตัวมาถามใกล้ ๆ จะได้รางวัล จะ "เป่ายัน" รอบพิเศษให้..!

เถรี 14-05-2014 11:13

ถาม : กรณีที่เขาสมาทานศีล ๘ โดยที่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ว่ามีอะไร ก็แปลว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะละเว้น ไม่ได้ตั้งใจที่จะละเว้นอานิสงส์ก็ไม่มี ศีล ๘ ก็คือศีล ๕ บวกไปอีก ๔ ข้อ อ้าว...เป็น ๘ ได้อย่างไร ? คือ ข้อที่ ๑ เว้นจาการฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนา ข้อที่ ๒ เว้นจากการลักขโมยหรือหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้

ข้อที่ ๓ เว้นจากการสัมผัสระหว่างเพศ คนที่เคร่งครัดจริง ๆ สมัยก่อนเขาแยกตัวไปนอนต่างหากเลย อย่างเช่นว่าไปนอนถืออุโบสถศีลที่วัด หรือหลายบ้านก็แยกไปนอนในห้องพระสักคนหนึ่ง ข้อที่ ๔ คืองดเว้นจากการโกหกเช่นกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็ให้เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการพูดส่อเสียด และเว้นการพูดเพ้อเจ้อที่ไร้ประโยชน์ด้วย ข้อที่ ๕ เว้นจากสุรายาเสพติดทั้งปวง

ข้อที่ ๖ เว้นจากการกินอาหารหลังเที่ยงไปแล้ว เพื่อที่จะไม่ต้องมาวิตกกังวลว่า จะต้องเตรียมอาหารอีกมื้อหนึ่ง ขณะเดียวกันร่างกายที่เว้นจากอาหาร เลือดลมเดินคล่องตัว การภาวนาก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น ข้อที่ ๗ บวกกับข้อที่ ๘ รวมเป็น ๑ ข้อ ก็คือเว้นจากการดูการละเล่น ขับร้อง ฟ้อนรำ ประโคมดนตรี เว้นจากการตกแต่งร่างกาย หรือว่าประดับด้วยเครื่องประดับที่มีค่า เว้นจากของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาทั้งหมด ข้อที่ ๘ จริง ๆ เป็นศีลข้อที่ ๙ ของสามเณร ก็คือเว้นจากที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ ที่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี

ถ้าอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนมีความเข้าใจหรือเปล่า ก็ควรที่จะแปลให้ญาติโยมเขาฟังด้วย เมื่อช่วงประมาณ ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีคณะญาติโยมจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตไปทำบุญที่วัดท่าขนุน เมื่อสมาทานศีลอาตมาก็แปลศีลให้ฟังด้วย เพราะมั่นใจว่าที่สมาทานส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าศีลจริง ๆ เป็นอย่างไร เรียกว่าทำตามพิธีกรรมเท่านั้น

ศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิและปัญญา ถ้าศีลไม่ทรงตัว สมาธิจะไม่เกิด การที่เราระมัดระวังรักษาศีลอยู่ทุกอิริยาบถ ก็คือการฝึกสมาธินั่นเอง ขณะเดียวกันถ้าไม่มีสมาธิ ก็จะไม่มีสิ่งที่จะมายับยั้งชั่งใจของตัวเองในการที่จะละเมิดศีล ดังนั้น...การรักษาศีลสร้างสมาธิให้เกิด เมื่อสมาธิเกิดจะมาช่วยระงับยับยั้งใจของตนเองในการรักษาศีลอีกทีหนึ่ง

เถรี 14-05-2014 11:15

เมื่อมีศีล มีสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวถึงระดับหนึ่ง ปัญญาก็จะเกิดขึ้น จะเห็นช่องทางว่า ควรจะทำอย่างไรแนวทางการปฏิบัติของตนจึงจะเจริญก้าวหน้าไปเรื่อย เมื่อถึงเวลาแล้วปัญญาก็จะคุมศีลให้ละเอียดยิ่งขึ้นไป ศีลยิ่งละเอียดสมาธิก็ยิ่งทรงตัว สมาธิยิ่งทรงตัวปัญญาก็ยิ่งเกิด ท้ายสุดก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากมีร่างกายนี้ ไม่อยากเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าจิตใจปล่อยวางได้จริง ๆ ไม่ยึดติดกับสิ่งทั้งปวง ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้

ปัจจุบันมีหลายรายแสดงความรู้แบบเพี้ยน ๆ อยู่ตามเว็บพระพุทธศาสนาต่าง ๆ โดยเฉพาะเว็บพลังจิต อธิบายในลักษณะว่าพระโสดาบันรักษาศีล พระอนาคามีเจริญสมาธิ พระอรหันต์เจริญปัญญา แสดงว่าเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฐิเต็ม ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นกัลยาณชนหรือพระอริยเจ้าก็ตาม ต้องปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาทั้งนั้น ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ย่อมไม่สามารถเข้าถึงความดีระดับสูงได้

ในเรื่องของการปฏิบัติเป็นเรื่องที่น่ากลัว น่ากลัวตรงที่ว่าหลงผิดได้ง่าย การหลงผิดนั้นส่วนใหญ่แล้วหลงผิดเพราะว่าเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่านั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรา เหมือนอย่างกับว่าตนเองมีแสงสว่างเท่าหิ่งห้อย แล้วก็เที่ยวบอกกล่าวว่าพระอาทิตย์สว่างแค่นี้ เท่ากับเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า มีแต่จะสร้างโทษให้เกิดกับตัวเองมากขึ้น

แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ตักเตือนกันได้ยาก เพราะว่าบุคคลมักจะมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเองรู้เห็น ถ้าไม่สามารถชี้แจงแสดงเหตุได้อย่างถ่องแท้จริง ๆ มักจะไม่ยอมรับ แล้วกลายเป็นถกเถียงกัน วิวาทะกัน ในเมื่อเกิดวิวาทะขึ้นมา รัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ ก็ประดังประเดเข้ามา กว่าจะรู้ตัวก็ไหลตามกิเลสไปไกลแล้ว ดังนั้น..เรื่อง
การปฏิบัติธรรมะ ถ้าไม่ใช่ธรรมสากัจฉา คืออยู่ในลักษณะที่สนทนาธรรมเพื่อหวังความเจริญแล้ว ก็ไม่ควรที่จะเอาไปคุยข่มทับถมกัน

เถรี 14-05-2014 11:18

อย่างเมื่อตอนบ่ายมีโยมถามว่า “ไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิบัติธรรมแล้วต้องปิดจริยาตัวเอง ?” อาตมาบอกไปว่า สมมุติว่าคุณรักษาศีล ๘ แล้วไม่กินอาหารเย็น พอมีคนชักชวนก็บอกว่า “ไม่กินหรอก เรารักษาศีล ๘” ถ้าคนนั้นเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจ พูดปรามาสมาคำเดียวโทษใหญ่ก็จะเกิดกับเขา แต่ถ้าเราอ้อม ๆ เลี่ยง ๆ ไปว่าระยะนี้ไม่กินข้าวเย็น น้ำหนักมากแล้ว คนจะให้การยอมรับมากกว่า

ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติธรรม ยิ่งปฏิบัติไปก็จะยิ่งมีปัญญา จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรที่เราจะอยู่ในโลกได้โดยที่ไม่ติดอยู่กับโลก ท้ายสุดก็สามารถทำตัวเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวใบบอน ก็คือแม้จะอยู่กับใบบัวใบบอนก็ไม่ได้ติดกับใบบัวใบบอนทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อนชวนกินเหล้าก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกว่าเราไม่กินเพราะรักษาศีล แต่อาจจะบอกว่าแพ้แอลกอฮอล์ กินไม่ได้ก็ว่าไป

โลกเรากลัวคนดี ปัจจุบันนี้แกะดำมีมาก ถ้าแกะดำหลุดไปอยู่ในฝูงแกะขาวก็ไม่มีอันตราย แต่ถ้าเราไปเป็นแกะขาวอยู่ในฝูงแกะดำก็เตรียมตัวเดือดร้อนได้ มีโยมอยู่คนหนึ่ง ปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่ว่านาน ๆ ก็โทรมาหาอาตมาทีหนึ่ง เพราะเขาบอกว่าปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธแล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เนื่องจากว่าในที่ทำงาน ทุกคนต่างก็อยู่ในลักษณะเหมือนกับรังแกเขา แต่ความจริงแล้วเขาเข้าใจผิด ทำงานอยู่ผู้บังคับบัญชาถามเรื่องงานก็ไม่พูด เพราะกลัวว่าจะผิดกรรมบถ ๑๐ ลองคิดดูว่าคนประเภทนี้จะเจริญในศาสนาไหน
ได้บ้าง ?

เขาเรียกว่าเถรตรงจนเกินไป ถ้าเป็นในบาลีเขาบอกว่าปฏิบัติในมูคปฏิปทา คือทำตัวเป็นคนใบ้ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่าไม่มีประโยชน์ เพราะแม้ปากเราจะไม่พูด แต่ใจของเราก็คิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา ฉะนั้น...ระมัดระวังไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวบางคนอาจต้องเปลี่ยนศาสนาอีก ต้องบอกว่าบุคคลที่กล่าวถึง เป็นคนที่เอาจริงเอาจังและทุ่มเท คนทั้งหลายเหล่านี้ถ้าปฏิบัติธรรมจะได้ผลเร็ว แต่เนื่องจากปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง จึงโดนมารชักจูงจนหลงทางไปได้ ทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ก็เลยไปหาศาสนาใหม่

คาดว่าถ้ากุศลไม่ส่งคงจะหลงไปนานอีกหลายกัป ต้องบอกว่าเขายังไม่รู้จักการที่จะพลิกแพลงในการปฏิบัติธรรม ในเมื่อพลิกแพลงไม่เป็น ถึงเวลาไปชนตอเข้าก็คิดว่าไปต่อไม่ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่เดินอ้อมหน่อยเดียวก็พ้นตอไปแล้ว

เถรี 16-05-2014 19:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะไปบวชที่วัดท่าขนุน จะหวังให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์บอกทีละคำ..ไม่ต้องหวัง ท่องไม่ได้ก็คือไม่ต้องบวช คนเก่ง ๆ หลายคน ตอนท่องจำท่องได้ พอจะเข้าไปบวชแล้วประหม่า..ลืมหมด ท่านไม่เคยชิน เข้าไปถึงเห็นแต่พระเหลืองไปหมด นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร จะว่าอะไร"

ถาม : ผมก็เป็นเหมือนกันครับ ต้องแก้อย่างไร ? (ประหม่า)
ตอบ : ไปตายซะ..! เพราะเราไปปรุงแต่งล่วงหน้า แค่อย่าไปคิดล่วงหน้า สมาธิจดจ่ออยู่กับปัจจุบันของเราก็จบแล้ว ส่วนใหญ่แล้วจะไปคิดโน่นคิดนี่ พอคิดแล้วก็ลืมเรื่องตรงหน้า แม้กระทั่งพระกำลังให้ศีลอยู่ก็เหมือนกัน พอให้ ๆ ไปแล้วให้ผิด ก็แปลว่าไปคิดเรื่องอื่น ถ้าใจจดจ่ออยู่กับการให้ศีลตรงหน้าจะไม่ผิด

เดี๋ยวนี้น้อยรายที่บวชแล้วจะอยู่นาน เพราะส่วนใหญ่จะมีงานมีการอยู่ แต่ยังดีที่วัดท่าขนุนมีพระบวชแล้วที่อยู่นาน แต่ว่าปัจจุบันพระพรรษามากมีน้อย พออายุกาลพรรษาเกิน ๕ ขึ้นไปเขาก็มักจะมาขอไปเป็นเจ้าอาวาส ปีนี้ก็ขอไป ๒ รูป คือพระปลัดคมสันต์ ธมฺมรโส กับท่านฐิติ ฐิติโก ท่านปลัดคมสันต์ไปอยู่ที่วังน้ำเขียว สำนักสงฆ์ป่าโพธิ์เฉลิมพระเกียรติ ส่วนท่านฐิติอยู่ที่สีคิ้ว ไปแข่งกับคุณสรพงศ์ ชื่อสำนักสงฆ์สุธรรมาราม ถามว่าเอาชื่อใครมาตั้ง เขาบอกว่าชื่ออาจารย์ครับ..!

ที่วัดก็เลยจะลำบากอยู่เรื่องหนึ่ง คือพระที่รู้งาน ใช้งานได้ มักจะโดนขอตัวไปหมด ก็ต้องมาเริ่มฝึกพระใหม่ ก็กลายเป็นว่าฝึกใหม่อยู่เรื่อย ๆ ที่วัดปฏิบัติตามพระวินัย คือบวชแล้วถ้ายังไม่ได้ ๕ พรรษา พระอุปัชฌาย์อาจารย์ยังไม่ให้นิสัยมุตตกะ คือยังไม่พ้นจากการสั่งสอน จะยังไม่ให้ไปอยู่ที่อื่น ต้องกัดฟันทนอยู่ไปก่อน ก็แปลว่าถ้าจะไปอยู่ที่อื่นต้องให้พรรษาอย่างน้อยพ้น ๕ ไป พระอาจารย์พิจารณาแล้วว่าสมควรจะให้ไปได้ มีหลายรายที่ใจร้อน พอไม่ให้ไปก็แอบหนีไป โดนขึ้นบัญชีหนังหมาไว้หมดแล้ว ประเภทนี้โซเซกลับมาก็ไม่รับคืน

จนกระทั่งมีรายหนึ่งไปไม่รอด เพราะว่าออกไปเป็นเจ้าอาวาส รับผิดชอบตั้งแต่พรรษาแรก ท้ายสุดก็เลยต้องลาสึก จะกลับมาบวชใหม่ทางวัดก็ไม่รับ ก็เลยคิดสั้นผูกคอตายไปเรียบร้อยแล้ว ต้องบอกว่า “ทำตัวเอง” เพราะว่าอาตมาตักเตือนทุกอย่างแล้ว ส่วนใหญ่พระที่ออกไปอยู่ข้างนอกก่อนที่ครูบาอาจารย์จะอนุญาตมักจะอยู่ไม่ไหว เพราะว่าทนแรงเสียดทานไม่ได้ กำลังใจยังไม่เพียงพอ ก็มักจะสึกหาลาเพศกันไป ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมาก็มีไปปีละรูป ๒ รูป โดนขึ้นบัญชีบุคคลไม่เป็นที่ปรารถนาของวัดไป เพราะว่าในเมื่อครูบาอาจารย์บอกแล้วไม่ฟังกัน ก็ไม่สมควรที่จะอยู่ร่วมกัน

เถรี 16-05-2014 20:47

ถาม : น้องสาวเพิ่งเสีย เขานับถือศาสนาคริสต์ ...(ไม่ชัด)..?
ตอบ : คนตายแล้วไม่มีศาสนาหรอกจ้ะ เขาไปที่เดียวกันหมด ถึงเวลาแล้วก็เป็นภพภูมิเดียวกัน ว่าตัวเองจะอยู่ในภพไหน ภูมิไหน คราวนี้ถ้าตัวเองสร้างบุญมาน้อย โดยเฉพาะอยู่ต่างศาสนา พอถึงเวลาเห็นคนมีบุญก็วิ่งไปหา ตอนเป็นมนุษย์อาจจะประเภทหยิ่ง ได้รับคำสอนผิด ๆ ว่าไปยุ่งกับศาสนาอื่นไม่ได้ เดี๋ยวจะตกนรก ตอนตายแล้วเห็นฉลาดกันทุกคน

เพราะว่าความดีที่เขาทำเหมือนกับแสงไฟในความมืด ยิ่งถ้าใครมีบุญสมาธิภาวนา จะสว่างเป็นมากเป็นพิเศษ ก็เหมือนอย่างกับว่าเรามองดูคนก็รู้ว่าคนนี้รวย ก็จะวิ่งไปหา เพียงแต่ว่าวิ่งไปหาก็จริง แต่ว่าบางคนไม่รู้เรื่องเลย บางครั้งโดนกวนทั้งคืน ได้แต่สงสัยว่าทำไมตัวเองนอนไม่หลับ เจ้าพวกนั้นมาทีเป็นพันเป็นหมื่น ถ้าเห็นจริง ๆ อาจจะช็อกตายไปเลย

ผีจะโง่ตอนเป็นคนเท่านั้น ตอนเป็นผีแล้วฉลาดทุกตัว เพราะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ตอนเป็นคนอาจจะเป็นมิจฉาทิฐิ มืดบอดไม่เอาอะไรเลย ตอนเป็นผีนี่เห็นรู้จักความดีกันทั้งนั้น ยกเว้นอย่างเดียวว่าบางคนเขามีฤทธิ์มีอำนาจ ปกครองเขตบางเขตอยู่ ก็อาจจะมืดบอด ไม่อยากให้คนอื่นไปยุ่งกับตัวเอง ไปนึกถึงหมา..เขาจะมีเขตของเขาอยู่ พอคนอื่นเข้ามาก็แฮ่ใส่ ลักษณะเดียวกันเลย

เถรี 20-05-2014 14:36

ถาม : การสั่งเหล้าผิดไหมคะ ?
ตอบ : สั่งนี่แปลว่าสั่งมาขายใช่ไหม หรือว่าลูกค้าสั่งแล้วเราไปส่งเขา หรือว่าประเภทเรารับใบสั่งแล้วก็เอาเหล้าไปส่ง ?

ถาม : สั่งซื้อค่ะ
ตอบ : สั่งซื้อก็สั่งไปเถอะ ไม่เป็นไร เราไม่ได้บังคับให้เขากิน เขามาซื้อต่อไปเอง แต่จริง ๆ แล้วพระท่านบอกว่าเป็นมิจฉาวณิชชา คืออาชีพที่ไม่ควรทำ เพราะคนที่เข้าใจผิดเขาจะว่าเอาได้ เขาจะคิดว่าเราสนับสนุนให้คนกิน การสั่งเหล้า สั่งเบียร์มาจำหน่าย จะขายก็ขายไป ส่วนเขาจะเอาไปทำอะไรเราอย่าไปรับรู้ก็แล้วกัน หรือไม่ก็ตั้งใจว่าเราขายให้เขาไปทำยา ส่วนเขาจะเอาไปทำอะไรเราไม่รับรู้

ถาม : แล้วการขายหวยละคะ ?
ตอบ : อบายมุขจ้ะ ศีลไม่ผิดแต่ผิดธรรม หนักกว่าอีก การพนันทุกประเภทเป็นอบายมุข อบาย คือทางต่ำ มุขะ คือปากทาง หน้าด่าน หนทางที่พาไปสู่ความตกต่ำ บางทีเราก็สงสัยอย่างลาสเวกัสหรือมาเก๊า เจ้าของบ่อนรวยเอา ๆ แล้วเจ้าของบ่อนได้เล่นที่ไหนเล่า เขาเปิดให้คนอื่นเล่น

ในชีวิตอาตมาเล่นไพ่เก้าเป็น ดรัมมี่เป็น ไฮโลเป็น รู้จักโบกไหม ? โบกลักษณะเหมือนกับกำถั่ว แต่ว่าส่วนใหญ่ใช้เม็ดมะขามหรือเม็ดน้อยหน่า เสร็จแล้วเทลงไปในกระบอกไม้ไผ่ทั้งกำ เขย่า ๆ คว่ำลง ลูกค้าก็แทงไป จะออกหนึ่ง ออกสอง ออกสาม หรือสี่ แล้วเขาก็นับแจงทีละ ๔ เม็ด เขาจะเขี่ยออกมาทีละ ๔ เหลือเศษเท่าไรก็จะเป็น ๑ เป็น ๒ เป็น ๓ หรือสี่ โบราณเขาใช้หอยเบี้ยเล็กมาเล่นกัน คำที่เขาว่า แจงสี่เบี้ย ก็คือพวกเล่นโบกนี่แหละ เพราะว่าถึงเวลาเขาจะเขี่ยทีละ ๔ แล้วเหลือเศษเท่าไรก็เป็นเลขที่ลูกค้าแทงถูก ความจริงมีแค่ ๔ ประตูไม่น่ารวยนะ แต่กินกันหมดเนื้อหมดตัว เพราะโอกาสออก ๔ มีน้อยมาก แค่ ๔ ประตูกินกันหมดเนื้อหมดตัวได้ คราวนี้รู้หรือยังว่าแจงสี่เบี้ยมาจากเล่นการพนันโบกนี่เอง

เถรี 20-05-2014 14:37

ถาม : ตัดต้นไม้ใหญ่ ต้องหาที่ใหม่ให้เทวดาไหมคะ ?
ตอบ : ควรจะทำให้เขา อยู่ ๆไปรื้อบ้านเขา ก็ต้องหาบ้านไปคืนให้เขา

เถรี 20-05-2014 14:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเลี้ยงลูกเราต้องตัดใจให้ได้ ถ้าตัดใจไม่ได้เขาก็จะทำอะไรไม่เป็นสักที ต้องเลี้ยงแบบฝรั่ง อย่าไปป้อนข้าว ให้วางไว้ ถ้าไม่กินหมดเวลาก็เก็บ ๒ มื้อเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็ตะกายไปกินเอง บางคนป้อนเช้า ป้อนกลางวัน ป้อนเย็น ลูกไม่กินแม่นั่งร้องไห้ ส่วนฝรั่งลูกไม่กินแม่ดีใจ ไม่ต้องเสียเวลาจัดให้ ถ้าเรียกไม่มาก็ไปไกล ๆ เลย ปล่อยเขาเถอะ ไม่มีอะไรเสียหรอก เดี๋ยวเขาไม่มีที่ไปเขาก็กลับมาเอง

เด็กฝรั่งตัวเล็กกว่านี้อีก พ่อกับแม่เขาเดินไปข้างหน้า ลูกหยุด เรียกให้ตามมาก็ไม่ตาม เขาเดินหนีเลย ลูกก็ต้องวิ่งตามไปเอง"

เถรี 20-05-2014 14:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทหารตำรวจที่ผ่านการฝึกมาค่อนข้างเข้มงวด จะกลายเป็นบุคลิกเฉพาะ ซึ่งถ้าคนที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมา ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน ดังนั้น..เวลาคนปลอมตัวเป็นทหารตำรวจ ถ้าไม่ใช่ทหารตำรวจเก่าจริง ๆ บุคลิกไม่ให้หรอก"

เถรี 20-05-2014 14:45

พระอาจารย์เล่าว่า "ตัดยอดบัญชีศาลาวัดท่าขนุนเดือนนี้ ๒๑ ล้านกว่าบาทแล้ว ยังแค่ที่เห็นนั่นแหละ เพราะว่าพอโครงสร้างเสร็จเหลือเรื่องของรายละเอียด งานจะช้า อย่างเช่นฉาบตกแต่งเสา ประเภทฉาบผนังนี่ครึ่งค่อนวันได้เป็นแถบ แต่แต่งเสานี่บางที ๒ วันไม่ได้ต้นหนึ่ง"

เถรี 21-05-2014 14:53

ถาม : สัมปะติจฉามิ กับสัมปฏิจฉามิ ในคาถาเงินล้าน ?
ตอบ : ตัวเดียวกัน

ถาม : ที่เขียนให้ถูก ต้องเป็น ?
ตอบ : ฏ. ที่เขียนมานั้นผิดหมด คาถาเขาไม่ให้สงสัย ต่อให้ผิดอย่างไรก็ให้ตั้งใจว่าคาถา ถ้าหากว่าสงสัยแล้วจะไม่ขลัง

เถรี 21-05-2014 15:03

ถาม : ป่วยเป็นโรค.... จะมีโอกาสหายไหมคะ ?
ตอบ : มีโอกาสหายไหม ? คงต้องถามหมอ อย่าไปกังวลใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราไป ถ้าเราเครียดโรคภัยมักจะซ้ำเติม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเลย อาตมาเป็นมาลาเรีย ๓๐ กว่าปีแล้ว อยากเป็นก็เป็นไป รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ช่างมัน นี่ไม่ได้กินยาเกี่ยวกับมาลาเรียมา ๓ ปีกว่าแล้ว สุขภาพดีขึ้นเยอะเลย ตอนกินยามาลาเรีย ยาเล่นเอาปางตาย เพราะฉะนั้น..ทำไม่รู้ไม่ชี้ อยู่กับโรคไปเรื่อย ๆ ในเมื่อไล่ไม่ไปก็อยู่เป็นเพื่อนกัน

เถรี 21-05-2014 15:11

ถาม : เห็นพระอาจารย์จะไปทิเบต แล้วไม่ค่อยมีแบงก์ย่อย ดิฉันก็เลยไปค้นมาค่ะ
ตอบ : ที่ต้องหาธนบัตรใบเล็ก ๆ เวลาไปต่างประเทศ เพราะว่าเจอประสบการณ์ตรง มีใบละร้อยดอลลาร์ ไปซื้อของที่ไหนเขาก็ไม่ขายให้ จนป่านนี้ใบละ ๕๐๐ ยูโรของอาตมายังใช้ไม่ได้เลย เพราะตามแหล่งเที่ยวเขากลัวใบใหญ่ ๆ ถ้าพลาดแล้วเสียเยอะ ตอนนี้เวลาไปต่างประเทศก็ใบละ ๑ ดอลลาร์ ใช้ง่ายที่สุด เต็มที่ไม่เกิน ๕ ดอลลาร์ ๕ ยูโร ถ้าเอาใบใหญ่ ๆ ไปแล้ว นอกจากไม่ทอนแล้ว เขายังไม่รับอีกต่างหาก

ไปเที่ยวยุโรป ๓-๔ ประเทศ ตอนไปมีเงิน ๑,๒๐๐ กว่ายูโร กลับมา ๑,๗๐๐ กว่ายูโร ใช้ไปเรื่อยเปื่อย มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เพื่อนเขาก็ถาม ไม่แลกเงินหรือ ? บอกว่าไม่แลกแล้ว มีเท่าไรใช้แค่นั้น ปรากฏว่าใช้มากกว่าเขาอีกนะ ไปไล่แจกขอทาน กลับมามีเยอะกว่าเดิม รู้อย่างนี้ใช้เยอะกว่านั้นก็ดี โดยเฉพาะชอบไปเดินตามพวกยิปซี ไล่แจกเงิน

อาตมาจะเข้าทิเบต หนังสืออนุญาตการไปเที่ยวทิเบตออกยากมากเลย ของภูฏานที่ออกยากเพราะว่าเขาจำกัดคน แต่ของทิเบตออกยากเพราะว่าทางการจีนกลัวว่าพระจะไปปลุกระดมให้ทิเบตแยกประเทศ ขออยู่เป็นเดือนกว่าจะได้ ไม่ได้เกี่ยวกับวีซ่านะ ต้องเป็นหนังสืออนุญาตเข้าทิเบตต่างหาก เป็น Tibet Entry Permit ต้องทำต่างหาก ถ้าไม่มีไม่ได้เข้า

คราวก่อนที่ไปเซี่ยงไฮ้ปักกิ่งก็เหมือนกัน ปกติวีซ่าจีนเขาจะให้ ๑ เดือน ของพระโดนตัดเหลือ ๑๕ วัน เขากลัวจะไปเผยแพร่ลัทธิบ้า ๆ บอ ๆ ประเภทฝ่าหลุนกงอะไรพวกนั้น อุตส่าห์ลงไว้ชัด ๆ แล้วว่าเป็นนักท่องเที่ยว เขาก็ไม่ฟัง

เถรี 21-05-2014 15:27

ถาม : หนูควรอธิษฐานอย่างไรคะ ?
ตอบ : อธิษฐานอย่างไร อะไร ๆ ก็เอาพระนิพพานไว้ก่อน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระนิพพานเหมือนยอดเขาสูงสุด ก่อนจะถึงยอดสูงสุด เราผ่านไปตามระยะทาง มีอะไรอยู่ก็ได้ทั้งนั้น

เถรี 21-05-2014 15:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนส่งเรียนปริญญาเอก ๕ ปริญญาโท ๙ ปริญญาตรี ๖ ไม่ต้องพูดถึงระดับประถม มัธยมนะ สรุปว่าแค่เงินเดือนพระ แม่ชี ที่เรียนแต่ละเดือนก็เป็นแสนแล้ว"

เถรี 21-05-2014 15:32

พระอาจารย์พูดถึงหนังสือตาที่สามว่า "เล่มนี้อาตมาอ่านจบตั้งแต่อยู่ชั้นป.๒ ขอบคุณที่ซื้อมาให้ รู้สึกจะเป็นเล่มที่ ๓ - ๔ ที่มีในครอบครอง เขาเขียนว่าพิมพ์ครั้งแรกปี ๒๕๓๒ แต่อาตมาอ่านประมาณ ๒๕๑๐ ได้ ลงในหนังสือปาจารยาสาร เป็นตอน ๆ อ่านจบตั้งแต่ชั้น ป.๒ แล้ว เคยเปลี่ยนชื่อไปตอนหนึ่ง เป็น โอม มณี ปัทเมหุม แต่ขายดีสู้ชื่อตาที่สามไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนชื่อกลับมาใหม่อีกที

คนเขียนคือ ล็อบซัง รัมปา เขาอยากจะไปฝึกหัดเป็นพระลามะ แต่ว่าพระผู้ใหญ่ตรวจดูแล้วว่า เขาเหมาะที่จะเป็นสายหมอยามากกว่า เขารู้สึกผิดหวังในชีวิตมาก เพราะว่าทุกอย่างที่ฝึกมาเป็นทางสายอิทธิฤทธิ์อภิญญา แต่ว่าตอนหลังดาไลลามะต้องอาศัยเขา เพราะว่าช่วงนั้นพวกฝรั่งกับพวกจีนบีบบังคับทิเบตมาก พวกอังกฤษยึดอินเดีย แล้วจะมายึดทิเบต ส่วนจีนตั้งท่าจะมายึดทิเบต ดาไลลามะก็เลยต้องอาศัยล็อบซัง รัมปา ช่วยดูว่าแต่ละคนที่มา มีความคิดชั่วร้ายอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า จะได้เจรจาได้ถูกต้อง ไปหามาอ่านบ้างนะ สนุกดี"

เถรี 22-05-2014 13:24

ถาม : เวลาเราฝันว่าไปไหนมาไหน เราออกไปจริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ความฝันประกอบด้วย ธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ต้องพิจารณาด้วยว่าตอนนั้นเกิดจากอะไร ถ้ากินมากท้องไส้ไม่ดี อาหารไม่ย่อยก็ธาตุวิปริตจึงฝันส่งเดช กรรมนิมิต ความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุให้รู้ อยู่ ๆ เห็นไฟลุกท่วมเลย นี่กำลังจะเดือดร้อนแล้ว จิตนิวรณ์ ส่วนใหญ่ก็เก็บความฟุ้งซ่านตอนกลางวันไปฝันตอนกลางคืน เทพสังหรณ์ก็ต้องรอโน่น หลังตี ๒ พอสภาพจิตของเราเริ่มนิ่ง สงบแล้ว มีอะไรที่ท่านสงเคราะห์ได้ก็จะบอกมา ก็จะฝันแล้วแม่น

ช่วงกลางวันส่วนใหญ่แล้วสภาพจิตของเราจะฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่คนที่ภาวนาจนชินจะเสียหายไปเลย ถ้าคนที่ภาวนาจนชินนี่นิมิตเกิดได้ง่าย


ถาม : ช่วงกลางวัน บางทีท่านก็สงเคราะห์ แต่เรากลับคิดว่าฟุ้งซ่านไปเอง เพราะเห็นแทรกขึ้นมาแวบเดียว ?
ตอบ : ท่านบอกให้แล้ว แต่เราไม่ได้ระวัง

เถรี 22-05-2014 13:29

พระอาจารย์เล่าว่า "ปลายปีที่แล้วฉวยโอกาสที่ทองลง อาตมาปล้นเงินวัดไปซื้อทอง ติดลบไป ๔ ล้านกว่าบาท แล้วเพิ่งจะมาคืนทุนตอนทำบัญชีเสร็จเมื่อวันที่ ๗ นี่เอง เพราะว่าออกกิจนิมนต์กี่งานจะเทลงบัญชีซื้อทองหมด ไม่อย่างนั้นก็ไม่พอ บัญชีวัตถุมงคล ประมูลวัตถุมงคลในเว็บ แล้วก็ที่ญาติโยมถวายตอนต้นเดือนลักษณะนี้ รวมทั้งออกกิจนิมนต์กี่งาน เทลงไปหมด เพิ่งจะคืนทุน เดี๋ยวมีกำไรแล้วค่อยเป็นหนี้ต่อ ช่วงนี้ทองขึ้น ปล่อยเขาขึ้นไปก่อน เดี๋ยวหล่นลงมาเมื่อไรค่อยกวาดอีกรอบ ต้องรีบหาเงินเข้าบัญชีก่อน

ระยะนี้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานสร้างศาลาร้อยปีหลวงปู่สายอยู่ในช่วงเร่งรัด เหล็กล็อตสุดท้ายต้องซื้อ เหล็กแต่ละล็อตเป็นล้าน ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ช่างกำลังเตรียมเรื่องกระเบื้องปูพื้น ลองเดาดูสิต้องใช้กระเบื้องปูพื้นกี่ตารางเมตร ? ตึกกว้าง ๑ ไร่ ๓ ชั้น เท่ากับชั้นละ ๑,๖๐๐ ตารางเมตร ต้องใช้ ๔,๘๐๐ ตารางเมตร..! แล้วก็ระบบไฟช่างกำลังคำนวณอยู่ โดยเฉพาะดวงไฟอาคารนี่ให้ติด ๑ ช่วงเสา หรือ ๑ ช่องเพดานต่อ ๖ ชุด นั่นก็อีกหลายล้าน ยังไม่ได้นับเรื่องอื่นเลยนะ เอาแค่นี้ก่อน

ไปตรวจงานสร้างโรงเรียนเทศบาล เพราะว่าเป็นคณะกรรมการ ต้องคอยไปอนุมัติงบประมาณให้เขา ไปเห็นอาคารโรงเรียนแล้วมาเปรียบกับศาลาที่วัดแล้ว อาคารเรียนของเขาเหลือนิดเดียว

เมื่อวันก่อนให้ช่างทุบตึก ทำแล้วไม่ถูกใจ ทุบไอ้ที่ทำออก เจาะช่องหน้าต่างใหม่ สั่งให้เขาเพิ่มประตูบานหนึ่ง เขาดันตัดหน้าต่างออกไปด้วย ความยาว ๘ เมตร ใส่ประตูลงไปแค่เมตรกว่า ๆ ๑.๒๐ เมตรเท่านั้นเอง ที่เหลืออีก ๖ เมตรกว่าทึบไปเลย ก็เลยให้เขาทุบตึก เจาะช่องใหม่ ใส่หน้าต่างใหม่ จากที่ ๘ ช่องก็เหลือแค่ ๖ ช่อง

ถึงได้เชื่อว่าตึกของเราแข็งแรง เพราะใช้เวลาทุบอยู่ ๓ วัน เนื่องจากว่าอิฐที่ก่อเป็นอิฐแดงก้อนใหญ่พิเศษ ความยาวประมาณ ๑ ศอก แล้วไม่ได้ก่อตามยาว แต่ก่อตามขวาง กำแพงก็เลยหนาประมาณ ๑ ศอก สรุปว่าช่องหน้าต่างหน่อยเดียว ช่างใช้เวลาทั้งตัดทั้งทุบอยู่ ๓ วัน คุยกับพระท่านตอนฉันเพลว่า ผมมั่นใจแล้วว่าตึกของเราแข็งแรง เพราะว่าทุบนี่ไม่ค่อยจะกระดิกเลย พระท่านบอกว่าฟังเสียงทุบ ไม่มีเสียงโปร่ง เสียงหัก เสียงแตกอะไรเลย ทุบตึง ๆ ๆ ให้เขาเอาตัวตัดไฟเบอร์ที่เรียกว่าลูกหมู กรีดตัดเป็นช่อง ตัดเสร็จแล้วก็ทุบออก แต่คราวนี้ที่เขากรีด ก็จะกรีดเข้าไปได้ข้างหนึ่ง ๔ นิ้ว แล้วเราคิดดูว่า ๑ ศอก เข้าไปข้างละ ๔ นิ้ว แล้วตรงกลางจะทำอย่างไร ก็ต้องทุบออกให้ได้

เป็นอะไรที่สนุกสนานกับชีวิตมาก หมดไป ๒๑ ล้านกว่าบาทแล้วยังมีแต่โครงสร้างอยู่เลย ไปนึกถึงหมู่เรือนไทยข้างบนแล้วสยอง ดูท่าต้องเปลี่ยนจากไม้มาเป็นคอนกรีต เรือนไทยคอนกรีตถ้าช่างฝีมือดี ๆ ก็จะทำได้สวย ถ้าฝีมือไม่ดีก็จะออกมาตลก ๆ เพราะจะแข็ง ๆ ถ้าใช้ไม้ก็แพงกว่าคอนกรีตหลายเท่า"

เถรี 22-05-2014 13:33

"ตอนนี้รับเงินเท่าไรก็ไม่ค่อยจะพอใช้ เพราะว่าค่าแรงช่างเดือนหนึ่งเขาเบิก ๕๐๐,๐๐๐ บาทเป็นปกติอยู่แล้ว สมัยก่อนช่างที่ค่าแรง ๒๐๐, ๒๕๐, ๓๐๐ บาท นี่สุดยอดฝีมือเลย ระดับเป็นเจ้าของกิจการเองได้ สมัยนี้ค่าแรง ๓๐๐ บาท มานั่งคุ้ยแคะแกะเกา ทางเราต้องมาสอนงานทุกอย่าง เพราะค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท

ไปนึกถึงประเทศจีนสมัยที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ ไปเมืองจีนห่างกัน ๑๐ ปี ของราคาเท่าเดิม อย่างเช่นว่า บะหมี่ชามหนึ่งประมาณ ๑.๕ หยวน อีกสิบปีให้หลังไปกินก็เท่านั้นแหละ แต่สมัยนี้ไม่ได้แล้ว ก็เลยคิดว่าบ้านเราจะหันไปใช้ระบบอย่างนั้นบ้างดีไหม สามารถแช่แข็งระบบของประเทศเอาไว้ได้ แบบเดียวกับทุกวันนี้พม่าแช่แข็งเงินดอลลาร์ อเมริกาอยากไปบอยคอตเขาดีนัก เพราะฉะนั้น..ถ้าจะเอาดอลลาร์ไปแลกเงินตามธนาคาร ๑ ดอลลาร์จะแลกได้ประมาณ ๕ จั๊ต แต่ ๑ บาทไทยแลกได้ ๒๗ จั๊ต เขาก็เลยไปแลกในตลาดมืดกัน เพราะแลกได้เป็นพัน

แต่ของพม่านี่ถ้าจับได้เขาประหารเลยนะ คุณต้องเสี่ยงชีวิตเอาเอง แล้วเงินพม่ามี ๒ แบบ เป็นเงินที่เขาให้แลกโดยตรงกับชาวต่างชาติ กับเป็นเงินที่คนพม่าใช้ทั่วไป เงินที่ให้แลกโดยตรงกับชาวต่างชาติ ไม่สามารถไปซื้อของที่อื่นได้นอกจากตามแหล่งเที่ยว ถ้าอยากแลกเงินที่ใช้ได้ทุกแห่งก็ต้องพึ่งบริการตลาดมืด ถามว่าแลกตลาดมืดได้ที่ไหน ? ไม่ยากหรอก ถ้าหน้าตาเหมือนนักท่องเที่ยวไปเดิน ๆ เกะกะอยู่แถวพระเจดีย์อยู่พักเดียว จะมีคนมาสะกิดถาม “แลกเงินไหม ?” ตำรวจจับไม่ได้หรอก

อาตมาเคยแลกแล้ว พอตกลงกับเขาว่าจะแลก เขากวักมือเรียกแท็กซี่เลย พาขึ้นแท็กซี่วิ่งไปยันไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ถามว่าจะแลกเท่าไร แท็กซี่ก็ขับวนไป เขาก็จะโทรศัพท์บอกให้เพื่อนเตรียมเงินเท่านั้นไว้ พอส่งเงินให้เรา เขาลงจากรถ แท็กซี่วิ่งพาเราส่งกลับคืนที่เดิม ตำรวจที่ไหนจะไปจับได้

สมัยอาตมาไปใหม่ ๆ ๑ ดอลลาร์เขาให้ ๕ จั๊ต แต่ในตลาดมืดให้ตั้ง ๓๐๐ กว่าจั๊ต มาระยะหลังนี่ได้ประมาณ ๑,๐๕๐ จั๊ต แปลกอยู่อย่าง พวกเราไม่ชอบดอลลาร์ใบใหญ่ เพราะใช้ยาก แต่พวกตลาดมืดเขาชอบ ถ้าเราแลกใบละ ๑, ๕ ,๑๐ ดอลลาร์จะได้อัตราหนึ่ง แต่ถ้า ๕๐ ดอลลาร์หรือ ๑๐๐ ดอลลาร์จะได้อีกอัตราหนึ่ง จะให้มากกว่า ก็อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ต้องถือเงินเยอะ

พม่าเขาจะมีกฎหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ นักการทูต ผู้ที่ลงทะเบียนขายของที่ระลึกแก่ชาวต่างชาติ โรงแรม เขาจะมีสิทธิ์ถือดอลลาร์ได้ นอกนั้นถ้าผิดหูผิดตาเข้ามาก็ติดคุกหัวโต หรือไม่ก็โดนประหารเลย"

เถรี 22-05-2014 13:36

"อาตมาไปดูพระหยกไว้องค์หนึ่ง ราคา ๘,๐๐๐ ดอลลาร์ ต้องตัดสินใจไม่ซื้อ เป็นหยกสีม่วงอ่อน ใสปิ๊งไม่มีตำหนิเลย อย่างกับหล่อขึ้นมาจากเรซิ่น ต่อบาทเดียวก็ไม่ลด วนไปดูสามรอบสี่รอบ ท้ายสุดไม่เอา ถ้าเงินส่วนตัวมีเยอะขนาดนั้นถึงจะซื้อ คราวนี้ไม่ใช่เงินส่วนตัว เป็นเงินสงฆ์ เงินสงฆ์เอาไปทำอะไรส่งเดชไม่ได้ ซื้อมาของต้องเป็นส่วนตัวของเรา ถ้าเงินส่วนตัวไม่ได้มีมากมายขนาดนั้นนี่ไม่กล้าซื้อหรอก

๘,๐๐๐ ดอลลาร์ซื้อพระพุทธรูปองค์หนึ่ง หน้าตักน่าจะถึง ๗ นิ้ว แต่ยอมรับว่าเป็นหยกที่สวยไม่มีตำหนิจริง ๆ เพียงแต่ว่าหยกของเขา ถ้าไม่ใช่สีเขียวที่เรียกว่า "หยกจักรพรรดิ" หรือว่าเป็นสีขาวทึบที่เขาเรียกว่า "หยกไขมันแพะ" ราคาจะถูก องค์นั้นถ้าเป็นสีเขียวแล้วไร้ตำหนิขนาดนั้นคิดว่าหลายล้านดอลลาร์

ตอนครูบาน้อยมา พาแกไปไหว้พระแก้วมรกต แกไปยืนมอง ๆ แกเคยขายพวกอัญมณี “อาจารย์...ไม่ใช่มรกตหรอก น่าจะเป็นหยกมากกว่า” “ผมก็ว่าใช่ แต่คุณลองคิดดู ถ้าหยกจักรพรรดิใหญ่ขนาดนั้นแล้วไม่มีตำหนิเลย ราคาเท่าไรก็ประเมินไม่ถูก“ อย่าลืมว่าพระแก้วมรกตหน้าตักเกือบ ๑๖ นิ้ว ต่อให้เป็นหยก ถ้าไม่มีตำหนิเลยแล้วหน้าตักขนาดนั้นนี่ ประเมินราคากันไม่ถูกหรอก"

เถรี 22-05-2014 13:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแผ่นดินไหวมีใครรู้สึกบ้างไหม ? ทองผาภูมิมีต้นมะม่วงใหญ่ล้มไปต้นหนึ่ง ตรงหมวดการทางที่พระเดินบิณฑบาต ล้มปิดทางมิดเลย ต้องเดินอ้อมหนี ไม่ได้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวหรอก แต่ล้มเวลาเดียวกันพอดี บิณฑบาตเสร็จมาเขาบอกว่าแผ่นดินไหวที่เชียงราย

ที่ขำที่สุดก็คือคลิปที่เขาส่งมาให้ดู วัดร่องคือที่ครูบาหน่อแก้วฟ้านิมนต์อาตมาไปพุทธาภิเษกเมื่อไม่นานนี้ สามเณรเขากำลังทำวัตรกันอยู่ คราวนี้เขามีกล้องวงจรปิดก็เลยติดภาพมา พอสั่นคึก ๆ ก็มีเสียงบอก "แผ่นดินไหว" แล้วสามเณรคู่หนึ่งลุกพรวดขึ้นวิ่งแน่บ ที่เหลือก็เผ่นตามเกลี้ยงเลย ยังโชคดีที่วิ่งออกไป เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีบอร์ดก็ล้มทับตรงนั้นพอดีเลย ไม่รู้เป็นบอร์ดหรือเป็นป้ายที่เขาติดไว้ ต้องบอกว่าธรรมชาติเตือนคุณแล้วนะ

ที่อันตรายที่สุดคือทองผาภูมิ มีรอยเลื่อนด่านเจดีย์สามองค์ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ส่วนทองผาภูมิมีรอยเลื่อนบ่องาม กับรอยเลื่อนอะไรก็ไม่รู้ ขนาบทองผาภูมิ ๒ ฝั่งเลย เท่ากับว่าทองผาภูมิเป็นแผ่นดินลอย ๆ อยู่เฉย ๆ เพียงแต่เขาบอกว่ารอยเลื่อนไม่ใหญ่มาก กว้างไม่เกิน ๓ กิโลเมตรเท่านั้น แสดงว่ามีใหญ่กว่านั้น ๓ กิโลเมตรนี่เรือเดินสมุทรร่วงลงไปได้ทั้งลำ หรือว่าเป็นรอยแตกยาว ๆ ๓ กิโลเมตร เราก็ไม่เข้าใจ แบบที่เขาว่ามาไม่มีความเข้าใจ เนื่องจากเป็นเรื่องของธรณีวิทยา แต่มั่นใจอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าศาลาใหม่สร้างเสร็จ ต่อให้เขื่อนแตกก็เอาอยู่ ทดสอบคุณภาพแล้ว สั่งเหล็กแต่ละล็อตนี่หลายล้าน นี่ล็อตที่ ๖ กำลังจะสั่งอยู่

ความดีความชั่วที่พวกเราทำเขาไม่ได้ไปไหน เขาสะสมเป็นพลังงานที่น่ากลัว ถึงขนาดทำให้ดินฟ้าอากาศวิปริตแปรปรวนไปหมด คราวนี้พลังของทางรัก โลภ โกรธ หลง มีแต่มากขึ้น ๆ ขณะที่พลังความดีมีน้อย แม้ว่าจะมีกำลังสูง ก็คานไม่ค่อยจะอยู่ ในเมื่อไม่ค่อยจะอยู่ ดินฟ้าอากาศก็แปรปรวนไปหมด คนที่ตั้งใจทำดี ถ้ากำลังน้อยก็ทรงตัวได้ยาก เพราะว่ากำลังอีกฝ่ายมีกำลังมากกว่า คอยแต่จะดึงให้เอนเอียงไป"

เถรี 22-05-2014 13:41

"ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของภัยธรรมชาติเกิดจากกรรมเก่าของเขา แต่ว่าดูหนังสือพิมพ์แล้ว ชี้ให้พระท่านดูบ้านหลังหนึ่ง ยังสร้างไม่ทันจะเสร็จ พังพาบลงกับพื้นทั้งหลังเลย บอกกับพระท่านว่า ถ้าผมเป็นเจ้าของบ้านนี่ ผมฟ้องบริษัทก่อสร้างแน่นอน เพราะว่าบ้านต่อให้สร้างแย่อย่างไร ถ้าถูกตามหลักวิชาการแล้วเสาต้องเหลือ นี่พังพาบลงกับพื้นหมดเลย แสดงว่าวัสดุไม่ได้คุณภาพ การคำนวณไม่ได้เรื่อง ใครเป็นวิศวกรก็ติดคุกหัวโตไปเลย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:31


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว