กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3570)

เถรี 12-10-2012 21:41

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕
 
ถาม : หนูก็นอนกำหนดลมหายใจแบบปกติค่ะ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าจิตค่อย ๆ ดิ่งลงเรื่อย ๆ รู้ว่าอีกนิดหนึ่งจะหลับแล้วค่ะ แต่อยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรมาเกี่ยวจิตวูบขึ้นมา แล้วก็ตื่นเป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบเลยค่ะ หนูทำอะไรผิดไปหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ผิดหรอก ความรู้สึกตรงจุดนั้น พอหรี่ลง ๆ จะรู้สึกสะดุดนิดหนึ่ง แล้วสว่างโพลง คราวนี้เราจะอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ความจริงร่างกายหลับ แต่จิตตื่นอยู่ เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปสนใจว่าจะหลับหรือไม่หลับ เรามีหน้าที่ภาวนาต่อไปเรื่อย ร่างกายนอนอยู่ก็ได้พักอยู่แล้ว

สภาพจิตของเราจะตื่นเป็นปกติ แต่มักโดนท่วมทับด้วยกิเลส สติขาดก็เลยตัดหลับ โดยปกติจะหลับไม่รู้เรื่อง ถ้าอะไรเข้ามาตอนนั้นจะรับไม่ได้ รับไม่ทัน โดยเฉพาะพวกกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้ารู้ในลักษณะนั้น คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ก็จะสามารถป้องกันกิเลสได้ทั้งหลับและตื่น ทำถึงตรงนั้นยากนะ เพราะส่วนใหญ่พอลง ๆ ๆ ก็จะหลับไปเลย แต่นี่มีจังหวะอยู่หน่อย เหมือนดีดตัวขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วก็จะทรงอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน

ความจริงเราได้นอนแล้ว บางทีถ้าสติดี ๆ ได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย


ถาม : แล้วเวลาไปปฏิบัติธรรมหนูจะชอบตื่นขึ้นมากลางดึกค่ะ ทำอย่างไรถึงจะนอนรวดเดียวไปถึงเช้าไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกคะ ?
ตอบ : ก็กลับไปชั่วอย่างเดิม แล้วจะไม่ตื่น..!

ถาม : เวลาตื่นขึ้นมาแล้วหนูกลัวผีค่ะ
ตอบ : ตอนเราภาวนาอยู่มีกำลังเท่ากับพรหม ผีที่ไหนจะกล้าหลอก ไอ้ผีที่กล้าหลอกไม่ใช่ผีหรอก ด่าไปได้เลย ส่วนใหญ่เป็นพรหมเทวดาเขามาลองใจ

ถาม : เวลาหนูแผ่เมตตาแล้วหมดแรงค่ะ
ตอบ : เมื่อเราแผ่เมตตาเป็นวงกว้าง ถ้าสมาธิไม่ดีเราจะหมดแรง เพราะฉะนั้น..ก่อนที่จะแผ่เมตตาให้ทรงสมาธิให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยแผ่ออกไป

ต้องบอกว่ากำลังจะได้ดี แล้วเราก็กลัวจะดี ตื่นอยู่กลัวผีหลอก หารู้ไม่ว่าหลับอยู่นั่นแหละผีหลอกถนัดนัก ตอนตื่นก็เหมือนกับขโมย เจ้าของบ้านตื่นอยู่ขโมยที่ไหนจะกล้าเข้ามา หลับเมื่อไรขโมยเข้าบ้านแน่

เถรี 12-10-2012 21:49

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงเร็ว ๆ นี้จ่ายเงินเยอะมาก จ่ายจนเงินสำรองไม่เหลือเลยสักบาท มีเทคอนกรีตฐานพระสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกด้านล่าง ซึ่งตั้งใจว่าจะทำเป็นห้องสมุดประชาชน แต่จะไม่มีรายการยืม ให้มาอ่านที่วัดอย่างเดียว ตามที่วางแผนไว้ก็น่าจะมีอินเตอร์เน็ตสำหรับคนที่สนใจจะค้นคว้าความรู้ จะตั้งคอมพิวเตอร์สัก ๖ เครื่อง ต่อไปใครไปวัดก็มี WiFi เล่น

แล้วก็จ่ายค่าปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ไป ๘๐๐,๐๐๐ บาท ค่าวัสดุก่อสร้างร้านค้า ๓๖๖,๒๔๐ กว่าบาท ช่างก็มาเก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก ๓ - ๔ ราย เช่น เทพื้นคอนกรีต รื้อแล้วทำคลังพัสดุใหม่ ซ่อมหลังคากุฏิแดง สร้างห้องน้ำอีก ๓ ห้อง รวมแล้วก็ประมาณ ๑๘๕,๐๐๐ บาท พวกนี้วัสดุเป็นของเรา เขาคิดแต่ค่าแรงเท่านั้น

จนกระทั่งทำวัตรเย็นเสร็จ
จะ ๒ ทุ่มมุดเข้ากุฏิไป เตรียมนอนแล้วยังมีพระมาเคาะประตู ขอเบิกอีก ๔๐,๐๐๐ บาท ซื้อสีรองพื้นเพื่อทาสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ท่านกลัวว่าพระอาจารย์ไม่อยู่ เดี๋ยวจะเบิกไม่ได้ บางทีอาตมาก็สับสนในชีวิตเหมือนกัน ว่าเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเยอะแยะขนาดนั้น

เรื่องงานของพระศาสนา ถ้าเรามอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็นงานของท่านจริง ๆ เงินจะมาเอง ก็เป็นเรื่องแปลก..มีอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องใช้เงินประมาณหนึ่งล้านบาทเศษ ยังขาดเงินอยู่อีกมาก อยู่ ๆ ก็มีโยมคนหนึ่ง แบกเงินสดมา ๑ ล้านบาทมาถวาย

อาตมาก็ถามเขาว่า มีความจำเป็นต้องใช้อย่างอื่นไหม ? ในระยะใกล้ ๆ มีอะไรต้องใช้เงินจำนวนมากหรือเปล่า ? สอบถามจนกระทั่งมั่นใจแล้ว เขาบอกว่าเขาทำงานมาทั้งชีวิต อยากจะทำบุญให้สะใจเสียทีหนึ่ง แล้วเขาก็ถวายมา อาตมาก็มีเงินไปจ่ายเขาพอดี เพราะฉะนั้น..บางอย่างก็มาโดยที่เราคิดไม่ถึง

ในเมื่อเจอลักษณะนี้เข้าบ่อย ๆ ก็ยอมรับว่าในเรื่องของคุณพระรัตนตรัยนั้น ถ้าเรามีความเชื่อมั่น มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ถึงเวลาแล้วจะเป็นไปได้ทุกอย่าง เพียงแต่หลายท่านก็ค่อนข้างจะเครียด"

เถรี 13-10-2012 09:57

"ตอนอาตมาออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ใช้เวลา ๑๓ เดือน สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีเสร็จสรรพเรียบร้อย มีอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสิบกว่าหลัง อาตมาเลิกคบกับร้านวัสดุที่ทองผาภูมิไปหลายร้าน เพราะสั่งของกว่าจะได้ก็หลายวัน ช่าง ๔๐ กว่าคน ค่าแรงแต่ละวันกินเงินไปตั้งเท่าไร ลองบวกลบคูณหารดู ไม่มีวัสดุให้เขาทำ เขาก็นั่งกินค่าแรงฟรีไปสิ

ในเมื่อออกมาแล้วทำอะไรได้สะดวกทันใจ หลวงตาวัชรชัยก็เอาบ้าง พอท่านออกจากวัดมาได้ไม่นานก็โทรศัพท์มาหา “เล็กโว้ย..มึงทำได้อย่างไรวะ กูจะหัวหงอกหมดแล้ว..!” อาตมากราบเรียนพี่ท่านไปว่า “ผมมอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลยครับ อะไรที่ทำ ท่านต้องหาเงินมาได้” หลวงตาบอกว่า “มึงพูดง่ายนี่ กูเครียด.!” อาตมาบอกว่า “แล้วจะเครียดไปทำไมครับ ผมวางกำลังใจว่า ถ้ามีเงินผมก็ทำ ถ้าไม่มีเงินผมก็นอน แต่ไม่ได้นอนสักที"

ช่วงแรก ๆ หลวงตายังตั้งตัวไม่ได้ ต้องคอยยืมเงินเรื่อย ๆ เดี๋ยว ๆ ก็โทรศัพท์มาขอยืมก่อน ช่วงแรก ๆ ต้องไปช่วยท่านขุดหลุมปลูกต้นไผ่ แล้วพื้นที่ก็คล้าย ๆ กับโรยกรวดอัดแน่น ขุดยากขุดเย็น มือไม้แตกหมด ที่พวกเราเห็นสวนไผ่ร่มรื่น กินอาหารกันสบาย ไม่รู้หรอกว่ารุ่นแรก ๆ มือแตกไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว

ช่วงนั้นเขายังระเบิดหินอยู่ วันดีคืนดีก็มีหินก้อนใหญ่ ๆ ปลิวโครมลงมา บางทีโดนอาคารบางหลังก็พังไปเลย เพราะหินลงพอดี หลวงตาต้องสู้กับเขามาตลอด จนกระทั่งโดนไล่ยิง โดนอะไรสารพัด พวกเราไปตอนที่สบายแล้ว เป็นวัดเรียบร้อยแล้ว สวยเช้งวับ"

เถรี 13-10-2012 10:06

"อาตมาเองก็เหมือนกัน ตอนตกระกำลำบากไม่ค่อยมีใครมาช่วย ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ทำวัดอยู่ ๒ ปี คือ ปี ๒๕๓๖ - ๒๕๓๗ พอวัดเริ่มเสร็จ เข้าพรรษาปี ๒๕๓๗ มีพระมาอยู่ด้วย ๕ - ๖ รูป มาตอนนี้ทำไม ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนนั้นอาตมาทำงานตัวดำปี๋อยู่คนเดียว ต้องบอกว่าบุญเขาดี พวกเขามาตอนงานหมดแล้ว

ปีที่ทิดรัตน์บวชที่วัดท่าขนุน งานท่วมวัดเลยปีนั้น เพราะทำลานธรรม ต้องถมดิน ปูทราย ปรับระดับ แล้วค่อยลงแผ่นอิฐ พระรุ่นนั้นทำงานกันหัวทิ่มหัวตำเช้ายันค่ำทุกวัน หลังจากนั้นที่วัดก็ว่างมา เพราะงานส่วนใหญ่เป็นงานช่าง พรรษาปี ๒๕๕๕ นี่แหละ ที่สร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก พระต้องขัดแต่งกันเอง ไม่ต้องจ้างช่าง เพราะพระรับอาสาทำกันเอง วัน ๆ ปีนไปขัดพระกันเต็มไปหมด

ถ้าดูจากข้างล่างแล้วจะเห็นว่าองค์พระไม่ใหญ่เท่าไร แต่พอพระปีนขึ้นไปขัดกันแล้วเห็นตัวนิดหนึ่ง อย่างกับตัวไรไต่ภูเขา ทำให้นึกถึงพระพาหา (ต้นแขน) เขาใส่ถัง ๒๐๐ ลิตรไว้ ๕ ใบอยู่ข้างในแขน เพื่อลดน้ำหนักตอนเทคอนกรีต แล้วองค์พระจะใหญ่แค่ไหน"

เถรี 13-10-2012 12:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ๕๐ เล่มแรก น่าจะได้วันที่ ๒๐ ตุลาคมนี้ ใครจองไว้ให้ไปเบิกได้ ส่วนที่เหลือยังค่อนข้างนั่งลุ้นกันตัวเกร็ง ว่าจะเสร็จทันหรือเปล่า ?

เป็นวัตถุมงคลชิ้นเดียวที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุด ยากลำบากที่สุด เป็นสิ่งที่ควรจะภาคภูมิใจ เพราะขนาดเท่ากับ
พระแสงขรรค์ไชยศรีทุกกระเบียดนิ้ว ยกเว้นวัสดุที่ต่างกันนิดหนึ่ง อาตมาใส่บรรดาโลหะอาถรรพ์ต่าง ๆ ที่สะสมมา ๒๕ - ๒๖ ปี ลงไปหมดเลย ตรงจุดนี้ถ้าไม่ได้โรงงานของคุณวิทย์ ปกติแล้วไม่มีใครเขาทำได้

คุณวิทย์เขาเป็นนักหลอมโลหะมือหนึ่งของประเทศไทย เวลามีงานเกี่ยวกับโลหะศาสตร์ต่าง ๆ ของต่างประเทศ เขาจะเชิญคุณวิทย์ไปร่วมงานด้วย อาตมายอมจ่ายค่าแรงแพง ๆ คุณวิทย์ยังแทบจะปล้ำไม่อยู่ เพราะเวลาโลหะหลาย ๆ อย่างรวมกันแล้วเนื้อมักไม่ค่อยจะกลืนกัน


นอกจากนี้อาตมายังสูญเงินไป ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาทฟรี ๆ เนื่องจากจะเอาไม้พะยูงมาทำด้ามและฝักพระขรรค์ ไม้พะยูงทำด้ามได้ เวลากลึง ตัด การหดตัวจะมีน้อย แต่พอมาทำฝัก จะยาว ๆ แบน ๆ


ไม้ที่ได้มาในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นไม้สด ไม่ใช่ไม้ยืนต้นตาย พูดง่าย ๆ ก็คือโดนขโมยตัดนั่นแหละ พอเป็นไม้สด การหดตัวมีมาก เวลาทำให้แบน ยาว จะทั้งบิดทั้งหด ก็เลยต้องเปลี่ยนจากฝักไม้พะยูงมาเป็นฝักไม้สักทอง โยน
เงินค่าไม้พยุงทิ้งไป ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาทฟรี ๆ ไม่พอ ยังต้องจ่ายค่าไม้สักทองไปอีก ๓๐๐,๐๐๐ กว่าบาท"

เถรี 13-10-2012 12:24

"ถึงได้บอกกับพวกเราว่า เล่มละ ๘๔,๐๐๐ บาท โคตรจะคุ้มเลย หักกลบลบล้างแล้วไม่รู้อาตมาจะเหลือบ้างหรือเปล่า ? ตอนนี้ที่ตีคร่าว ๆ ก็คือชุบลวดลายทองคำไมครอน เล่มละประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาท แล้วชุบลูธิเนียมที่ตัวใบ เล่มละ ๕,๐๐๐ บาท สรุปว่าชุบอย่างเดียวราคาไป ๒๐,๐๐๐ บาทแล้ว

ลูธิเนียม บางคนก็เรียกว่าทองคำดำ เป็นโลหะธาตุตระกูลเดียวกับทองคำ แต่สีออกน้ำเงิน โบราณเขาเรียกว่าจ้าวน้ำเงิน เป็นหนึ่งในส่วนผสมของนวโลหะ ปัจจุบันนี้คนไม่ค่อยรู้จักกัน นี่ถ้าไม่ใช่อาตมาเปิดเผย เชื่อเถอะ..ป่านนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจ้าวน้ำเงินคืออะไร

พอ ๆ กับสุวรรณขีด สุวรรณขีดของโบราณคือแพลตตินัมหรือทองคำขาว โลหะธาตุนั้นโบราณเขาเรียกอย่างหนึ่ง ปัจจุบันเรียกไปอีกอย่างหนึ่ง

งานนี้ถ้าไม่ได้หลวงพี่นิลของพวกเรา ไปช่วยตามงานชนิดกัดไม่ปล่อย จะไม่มีทางสำเร็จเลย เป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านเมตตาวิ่งงานให้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่งท่านจะมาเบิกเงิน งวดนี้ขอเบิก ๔๐๐,๐๐๐ บาท อาตมายังไม่ได้จ่ายค่าชุบเขาเลยสักบาท เพียงแต่ว่าวางมัดจำเขาไป ๕๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น"

เถรี 13-10-2012 12:26

"งานนี้เขาหล่อใบพระขรรค์มาเผื่อเสีย ที่ต้องพยายามอย่างที่สุดก็คือ โลหะที่เป็นตามดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นปกติของโลหะผสมที่จะเกิด เพราะว่าประสานกันไม่สนิท กำลังเอาไปให้เขายิงเลเซอร์อุดหมด ค่ายิงเลเซอร์ก็อ่วมอรทัยเลย และแต่ละเล่มก็ไม่เท่ากัน อันไหนมีมากก็จ่ายมาก อันไหนมีน้อยก็จ่ายน้อย

พอขัดปัดเงาเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ชุบลูธิเนียม ประกอบด้าม ประกอบฝัก ประกอบลาย ใครอยากดูว่าสวยแค่ไหน ไปเปิดดูในกระทู้จองพระขรรค์ ปกติแล้วอาตมาถือคติอย่างหนึ่งว่า วัตถุมงคลทำออกมาต้องสวยที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้าวัตถุมงคลออกมาสวย คนเห็นเขาก็ศรัทธา

แต่ต้องยอมรับว่าพระขรรค์โสฬสนี้ ศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ ต้องรวยด้วย วัตถุมงคลชิ้นหนึ่งราคาเกือบแสน แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ อาตมากับหลวงพี่นิลถือได้อย่างสบาย ๆ แต่คนอื่นต้องอุ้ม ๒ มือ เฉพาะใบอย่างเดียวตอนหล่อเสร็จใหม่ ๆ หนัก ๓.๕ กิโลกรัม ลองดูซิว่า..ถ้าเข้าด้ามเข้าฝักประกอบลวดลายเข้าไปแล้ว จะหนักแค่ไหน ส่งให้ใครมีแต่ต้องอุ้มทั้งนั้น ดีเหมือนกันนะ อุ้มแล้วดูเท่ดี..!"

เถรี 14-10-2012 08:57

ถาม : ตะกรุดกำลังแม่พระธรณี ค่าบูชาครูดอกไม้ธูปเทียน ผมควรตั้งใจบูชาพระรัตนตรัยหรือตั้งใจบูชาพระอาจารย์ดีครับ ?
ตอบ : บูชาพระไป ปัจจัยก็ถวายเป็นสังฆทาน

ถาม : ต้องขึ้นครูทุกครั้งหรือเปล่าครับ หรือแค่รอบเดียว ?
ตอบ : รอบเดียว

ค่าบูชาครูวิชานี้แพงโคตร เราลองนึกถึงสมัยที่ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชามราคา ๕ สตางค์สิ แล้วเงิน ๑๐๐ บาทในสมัยตั้งเท่าไร ? ต้องบอกว่าหลวงปู่เนป่อง ท่านอยากได้วิชานี้มาก อุตส่าห์หาเงินได้ตั้งหนึ่งร้อยบาทไปขึ้นครู สมัยนั้นเงิน ๑ ชั่ง เท่ากับ ๘๐ บาท บ้านไหนมีเงิน ๑ ชั่ง เท่ากับเป็นเศรษฐีแล้ว นี่เขาเอาค่าครูตั้ง ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง

ที่เขาคิดเป็นชั่งเพราะเงินสมัยก่อนเป็นแท่ง เป็นก้อน ก็เลยต้องคิดเป็นชั่ง ต้องบอกว่าโบราณเขาเก่งกว่าเรา เขารู้ว่าเงินและทองเป็นโลหะมีค่า โดยเฉพาะทองคำเป็นโลหะธาตุที่ไม่เป็นสนิม เป็นโลหะที่อยู่ยั้งยืนยงที่สุด ไม่กินตัวเอง แล้วโบราณเขารู้ได้อย่างไร ?

เถรี 14-10-2012 09:06

ความรู้ในปัจจุบันไม่ต้องอะไรมากหรอก รู้ให้เท่าคนโบราณก็พอแล้ว สมัยนี้ส่วนใหญ่รู้มากเกินไป นำหลักวิชาตะวันตกมาจับเท่าไรก็สู้ของเราไม่ได้ โดยเฉพาะพวกหลักการทางศาสนาซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าพูดกันแบบไม่เกรงใจเลยก็คือ ศาสดาของทุกศาสนาเป็นชาวตะวันออกทั้งหมด ไม่มีศาสดาท่านไหนเป็นชาวตะวันตกเลย

ลองกล่าวมาสักศาสนาหนึ่งสิ พระเยซูเกิดในอิสราเอลซึ่งอยู่ตะวันออกกลาง พระมูฮัมหมัดอยู่ตะวันออกกลาง พระพุทธเจ้าอยู่ชมพูทวีป ขงจื๊อ เหล่าจื๊อ อยู่ประเทศจีน ศาสนาพราหมณ์ก็อยู่ในอินเดีย โซโรอัสเตอร์ บูชาไฟก็อยู่ในเปอร์เซีย

เพราะฉะนั้น..หลักการต่าง ๆ ตะวันออกของเราเจริญรุ่งเรืองมาก่อน โดยเฉพาะแหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำฮวงโห แหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ เจริญมาก่อนตะวันตกหลายพันปี

ปัจจุบันนี้พวกหลักฐานวิชาการต่าง ๆ เขาก็สรุปออกมาแล้วว่า จีนค้นพบทวีปอเมริกาเป็นประเทศแรก ไม่ใช่โคลัมบัส กลายเป็นเจิ้งเหอ ที่คนไทยเรียกว่าซำปอกง เจิ้งเหอแวะมาอยุธยาด้วยนะ หลวงพ่อโตซำปอกงที่วัดพนัญเชิง เขาสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเจิ้งเหอมีดำริให้สร้างขึ้นมา เจิ้งเหอเอากองเรือมหึมาออกตระเวนไปยังขั้วโลกเหนือ จนกระทั่ง
ทนหนาวไม่ไหวต้องถอยกลับ

เถรี 14-10-2012 09:15

คนจีนเขาขยันบันทึกเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่บันทึกเอาไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว ถ้าจำไม่ผิดสมัยโจวเจาอ๋อง บอกว่าอยู่ ๆ มีปรากฏการณ์ประหลาด มีรัศมี ๕ สี พุ่งมาจากทางทิศตะวันตก แม่น้ำมีขึ้นในเวลาที่น้ำควรจะลง แหล่งน้ำธรรมชาติทุกแหล่งอยู่ ๆ มีน้ำเปี่ยมถึงขอบทั้งหมด

ปุโรหิตพิจารณาดวงดาวแล้วบอกว่า ขณะนี้บุคคลผู้เป็นศาสดาเอกของโลกเกิดขึ้นแล้ว เขามีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว แล้วก็ยังทำนายต่อไปว่า อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ธรรมะของพระองค์ท่านจะเข้ามาถึงแผ่นดินจีน หลังจากนั้น ๘๐ ปีในสมัยของโจวมู่อ๋องก็มีบันทึกว่า มีแสงสว่างมาจากฝั่งฟากฟ้าตะวันตก ส่องสว่างเหมือนกับกลางวัน ปุโรหิตก็ทำนายว่า กายหยาบของพระอริยเจ้าท่านนั้นแตกดับแล้ว นั่นเขารู้ได้อย่างไร ?


อย่างพวกเราต้องใช้ฌานสมาบัติ หรือทิพจักขุญาณ แต่เขาอาศัยการโคจรของดวงดาวที่เป็นดาราศาสตร์ เป็นโหราศาสตร์คำนวณได้ ความชำนาญของเขาถึงระดับไหน ?

เถรี 14-10-2012 09:17

พระเจ้าโจวเจาอ๋องสั่งให้จารึกเอาไว้บนแผ่นหิน ก็เลยตกทอดมาถึงยุคเราได้ หลังจากนั้นมาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นของพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ ระยะเวลาห่างกัน ๑,๐๐๐ ปีพอดี อยู่ ๆ พระองค์ท่านก็ทรงพระสุบินว่า มีบุรุษร่างใหญ่กายเป็นทองคำเดินเข้ามาหา

ปุโรหิตก็บอกว่า คำทำนายที่ว่าธรรมะของศาสดาเอกที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั้น ควรจะมาถึงแล้ว ลักษณะที่พระองค์ท่านสุบินนิมิตเห็นมนุษย์ทองคำ ก็คือหลักธรรมที่มีคุณค่าขนาดนั้น สมควรที่จะเข้ามาถึงบ้านเราเมืองเราแล้ว จึงส่งราชทูตไป ๑๘ คน ปรากฏว่าไปเจอพระกาศยปะมาตังคะกำลังอัญเชิญพระไตรปิฎกกับพระพุทธรูปเข้าประเทศจีนพอดี เท่ากับว่าทางด้านนี้เตรียมราชทูตไปรับเลย

กาศยปะ เป็นภาษาสันสกฤต ถ้าภาษาบาลีก็คือพระกัสสปะ คราวนี้จีนเป็นทางสายมหายาน ซึ่งทุกอย่างจารึกด้วยภาษาสันสกฤต จึงเป็นกาศยปะ

เถรี 14-10-2012 09:30

เมื่อเป็นลักษณะนั้นก็เลยทำให้สิ่งที่มีคุณค่านั้นได้รับการบันทึกไว้ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจไปอ่าน บุคคลที่ได้ศึกษา สามารถรู้เท่าคนโบราณได้ก็เก่งมากแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดรู้มากกว่าคนโบราณหรอก

คนจีนสามารถคิดเครื่องวัดแผ่นดินไหวได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีของเราลงทุนขนาดไหนกว่าจะวัดแผ่นดินไหวได้ จีนเขาทำเป็นกระถางทองแดง มีมังกรคาบแก้วอยู่ ๘ ทิศ ข้างล่างเป็นกบที่อ้าปากอยู่ ถ้าแผ่นดินไหวทิศไหน มังกรจะคายแก้วลงไปที่ปากกบในทิศนั้น โบราณเขาทำได้ขนาดนั้น

ประเทศจีนเป็นต้นกำเนิดของสารพัดสิ่ง อย่างเช่น ผ้าไหม ธนบัตร ก็คือเงินที่ใช้ทุกวันนี้ ประเทศจีนใช้มาก่อน เงินทองเป็นพัน ๆ ตำลึง เอาเกวียนขนไปก็ไม่ไหว คนจีนจึงคิดระบบตั๋วแลกเงินขึ้นมาก่อน พวกร้านใหญ่ ๆ รับซื้อเงินเขามา ออกตั๋วประทับตราของตัวเองให้ แล้วก็เอาไปเก็บเงินที่สาขาของปลายทาง เท่ากับเป็นธนาคารแรก ๆ ของโลกเลย

คิดกระดาษขึ้นมา คิดดินปืนขึ้นมา เริ่มมาจากทางฟากตะวันออกแทบทั้งนั้น ระบบการพิมพ์ แบบแท่นพิมพ์ไม้ก็เป็นจีนคิดขึ้นมา แกะตัวหนังสือแล้วก็พิมพ์ทีละหน้า เอาแม่พิมพ์จุ่มหมึกแล้วก็กดพิมพ์เอา ถ้าหนังสือมี ๑๐๐ หน้าก็แกะแม่พิมพ์ ๑๐๐ ตัว พิมพ์ให้ครบแล้วก็เย็บเล่ม เขาทำมาก่อน

แม้กระทั่งการผ่าตัดทางการแพทย์ ปัจจุบันนี้เขาไปเห่อการรักษาแบบทิเบต ซึ่งทิเบตรับอารยธรรมการรักษาโรคไปจากจีน พวกการรมควัน ใช้ความร้อน ฝังเข็ม พวกหมอปัจจุบันที่พยายามวิเคราะห์ตามจุดฝังเข็มต่าง ๆ เขาบอกว่ามีหลายต่อหลายจุดที่เป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติ ถ้าไม่ได้เครื่องมือสมัยใหม่ก็ตรวจไม่ออก แต่คนจีนสามารถฝังเข็มตามจุดเหล่านั้นได้

เถรี 14-10-2012 09:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอควาญช้างของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ใช้เป็นอาวุธได้ สมัยอาตมายังเด็ก ๆ พวกเสือปล้นส่วนใหญ่จะหนังเหนียว ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ถ้าเจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมก็ไม่เหลือ ถ้าเขารู้ว่าเจ้าทรัพย์มีมีดหมอหลวงพ่อเดิม เขาไม่ไปปล้นให้เสียเวลาหรอก...กลัวตาย เพราะถึงเหนียวขนาดไหนก็โดนแล้วเข้าทุกที"

เถรี 14-10-2012 10:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เป็นลมพิษวันที่สามแล้ว คันคะเยอไปทั้งตัว ที่เห็นนั่งยิ้มอยู่นี่ ถ้าเป็นคนอื่นก็เกาตายชักไปแล้ว เนื่องจากเป็นวาระที่ต้องรับ อย่างไรเสียพระขรรค์โสฬสต้องเสร็จ ใครขวางได้ขวางไป อาตมาไม่ตื่นเต้นหรอก เพราะรู้ว่าเขาขวางได้ไม่ตลอด การตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้นี่อาตมาถนัดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในร่มผ้าไม่ต้องเปิดให้ดูเลย ถ้าเปิดให้ดูเหมือนอย่างกับโรคเรื้อนหรือไม่ก็หนังคางคก

กะว่า ๓ วันก็เลิก นี่วันที่ ๓ แล้ว ถ้าไม่หายจะอยู่ไปตลอดชีวิต อาตมาก็ไม่รังเกียจหรอก จะได้ซักซ้อมสมาธิว่ายังทำไม่รู้ไม่ชี้ได้หรือไม่ ? ตอนตื่นอยู่พยายามไม่เกาอาจจะพอได้ แต่ตอนหลับต้องไม่เกาด้วยนี่สิ.. บางคนตอนตื่นไม่เกา ตอนหลับเกาจนเสียหนังถลอกหมดเลย เป็นเครื่องทดสอบได้ว่าสติสมาธิทรงตัวจริงหรือเปล่า ?"

เถรี 15-10-2012 13:10

พระอาจารย์แนะนำโยมเรื่องการช่วยงานวัดว่า "ถ้าทีมงานไม่พร้อม อย่าไปรับงานใหญ่อย่างนั้น เราไม่มีทีมงานที่รับผิดชอบหน้าที่ ขนาดเงินเป็นขัน ๆ อาตมาถามว่าใครดูแล ก็ไม่มีใครรู้ อาตมาก็ต้องถือเอาไว้เอง จนกระทั่งส่งให้คนอื่นที่รู้จักเขาไปจัดการแทน ถ้าเราจะรับในลักษณะเป็นแม่งาน ทีมงานต้องพร้อม โดยเฉพาะคนที่เสียสละ

ทุกคนจะไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของงาน แต่การทำงานจะต้องแบ่งมาดูแลรอบนอกด้วย อย่างพวกงานด้านการจราจร เรื่องข้าวปลาอาหาร เรื่องสถานที่ ต้องแบ่งกันออกไปเลย ต้องเป็นคนเสียสละ

อย่างงานของวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานเป่ายันต์ ๑๘ ครั้ง อาตมามีโอกาสเข้างานเป่ายันต์ ๒ ครั้ง อีก ๑๖ ครั้งต้องไปดูแลงานข้างนอกหมด ถ้าเราไปประดังอยู่ที่เดียว งานจะไปไม่ได้ และจุดที่เห็นก็คือ ถ้าครูบาวิฑูรย์ท่านออกมาแล้ว เราแห่ท่านมาที่ศาลาทีเดียวจะจบเลย เพราะตรงนั้นที่แคบมาก คนไปประดังกันอยู่ ถ้าอาตมาไม่เจาะทางให้ออกนะ ก็ยังอัดกันอยู่อีกนาน

จุดที่น่าตายที่สุดก็คือ ดันไปนั่งนับเวลาให้ครูบาท่าน คนเราเหมือนกับพวกซาดิสม์ เวลามีเยอะกลับไม่ทำบุญ เวลามีน้อยยิ่งประดังกันเข้าไป คุณไปนับ ๑ - ๒๐ เขาก็ยิ่งวิ่งเข้าใส่ ไม่ต้องลุกกันพอดี ลุกก็คือลุกเลย อย่าไปนับอย่างนั้น

คราวหน้าถ้ามีทีมงานให้กระจายออก ว่าแต่ละคนรับผิดชอบงานส่วนไหน แล้วให้เขาหาทีมงานของเขามาเพิ่มเอง เราต้องมอบความไว้วางใจให้เขาไปเลย ดูแลเรื่องอาหารก็ดูแลไป ส่วนของโรงทานก็ดูแลไป ส่วนของอาหารถวายพระก็ดูแลไป ส่วนของการจราจร ส่วนของขบวนแห่ ให้แต่ละคนรับผิดชอบเป็นส่วน ๆ แล้วให้เขาหาทีมงานมาจะทำให้ง่ายขึ้น เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ทำงานก็จะไม่เห็น ถ้าได้ทำงานแล้วจะเห็นว่ามีข้อบกพร่องอีกมาก"

เถรี 15-10-2012 13:17

"อาตมาไปนั่งรออยู่ที่ศาลา พอได้ยินเสียงนับครั้งที่ ๒ ก็บอกกับน้องเล็กว่า “ไอ้นี่ถ้าไปนับที่วัดท่าขนุน โดนเตะตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว” เพราะคนเรานี่แปลก ยิ่งไม่มีเวลายิ่งตะบี้ตะบันเข้าไป กลัวว่าพระจะไป ยิ่งไปนับเขาก็ยิ่งแย่งกันทำบุญ ครูบาท่านก็ไม่ต้องลุกสักที คุณต้องตัดไปเลย หมดเวลาต้องลุกเลย ถ้าทำไม่เด็ดขาดก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ตอนเขาจะมาทำบุญกับอาตมาตรงข้างครูบาวิฑูรย์ อาตมาสั่งล้มโต๊ะไปเลย ไม่รับการทำบุญ ไม่อย่างนั้นคนก็จะมาอัดกันตรงนั้น คนอื่น ๆ ก็ไปกันไม่ได้

บางส่วนเราก็ต้องยอมเสียสละ อาตมาถือว่าตอนช่วงเช้าช่วยเขาได้เงินเข้าวัดมากแล้ว ตรงจุดนี้ไม่ต้องก็ได้ โละทิ้งไปเลย ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เร็วด้วย อย่างเรื่องนางรำ เขาจะรำให้เขารำไป ทางด้านนี้ครูบาจะออก ร่างกายท่านโทรมมาก ยิ่งนั่งนานเท่าไรยิ่งแย่เท่านั้น ต้องปล่อยคนทำบุญผ่านให้เร็วที่สุด คุณไปกั้นคน อั้นเอาไว้ให้เขารำก่อน ท่านก็ตายพอดี

ครั้งหน้าต้องรอบคอบกว่านี้ ไม่เป็นไรหรอก..พอมีสักเที่ยวหนึ่งต่อไปจะดีขึ้น วัดท่าขนุนพอเลิกงานแต่ละครั้ง อาตมาจะมีการบอกพระเณรว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน แล้วครั้งหน้าให้เขาแก้ไข งานก็จะคล่องขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลายวัดเขาบอกว่าอยากมีทีมงานอย่างวัดท่าขนุน อาตมาบอกว่าไม่ใช่หรอก ทีมงานวัดท่าขนุนที่มีขึ้นมาได้เพราะว่ามีการวิเคราะห์จุดบกพร่องทุกครั้งหลังทำงาน

ถ้าคุณไปรับจัดงานอย่างนั้น มอบให้ใครไปเสร็จสรรพ ต้องไว้วางใจเขาเลยว่าเขาทำได้แน่ แล้วคุณเองก็อาจจะอยู่ตรงศูนย์กลาง มีวิทยุหรือไมโครโฟนสักอันหนึ่งคอยควบคุม ยกตัวอย่าง “ตอนนี้ครูบาจะเคลื่อนขบวนแล้ว ใครดูแลเรื่องขบวนเสลี่ยงให้จัดเตรียมด่วนจี๋เลย” เขาจะรู้ว่าถึงงานของเขา ถึงเวลางานก็จะไปได้"

เถรี 16-10-2012 19:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหลายอย่างที่เป็นการตัดเคราะห์กรรมของคนส่วนรวม หัวหน้าชุดมักจะโดนก่อน อย่างงานทำพระขรรค์โสฬสฯ ของอาตมา โดนเล่นจนเดี้ยงทุกราย แม้กระทั่งตัวเอง ยิ่งงานใหญ่เท่าไรเขาก็ยิ่งเอาหนักเท่านั้น

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้เตือนนักเตือนหนาว่า การพุทธาภิเษกวัตถุมงคลแบบพกติดตัวให้ใช้เครื่องบวงสรวงเต็มชุด ถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูป ให้ใช้ชุดดอกไม้ ไม่ต้องมีหมู ไก่ ปลา ก็ได้ เพราะพระพุทธรูปเราตั้งบูชาอยู่ที่บ้าน คุ้มครองรักษาเฉพาะที่บ้าน แต่วัตถุมงคลที่ติดตัวนั้น เป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัว ถ้าเคราะห์หนักก็เป็นเบา เคราะห์เบาก็เป็นหาย

ท้าวมหาราชท่านสั่งบังคับไว้เลยว่าเครื่องบวงสรวงต้องเต็มชุด อย่าเผลอเป็นอันขาด ขนาดหลวงพ่อวัดท่าซุงยังโดนไปเต็ม ๆ คลานออกมาเลย

ตอนนั้นพุทธาภิเษกพระแก้วใสอยู่ มีคนทำสมเด็จองค์ปฐมรุ่นสี่เหลี่ยม องค์คล้าย ๆ สมเด็จวัดปากน้ำ เอาไปเข้าพิธี ท่านท้าวมหาชมพูบอกว่า "สั่งแล้วทำไมไม่จำ..!" ความจริงหลวงพ่อท่านจำ แต่ไอ้ลูกระยำไม่ยอมจำนะสิ..เอาไปซุกเข้าพิธีไปด้วย ท่านจึงโดนอ่วมเลย ต้องสั่งเอาไปเข้าพิธีใหม่ สรุปว่ายังไม่ทันจะเข้าพิธีใหม่หลวงพ่อก็มรณภาพเสียก่อน"

เถรี 16-10-2012 20:00

"จริง ๆ แล้วหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมมีแค่ ๓ รุ่นที่ทันหลวงพ่อวัดท่าซุงเสก ก็คือรุ่นหนึ่งที่มีกริ่ง รุ่นสองที่เจาะรูไม่อุดกริ่ง และรุ่นที่เป็นซุ้มเอาไว้แขวนหน้ารถ รุ่นนั้นมีแค่ ๕๐๐ องค์เท่านั้น นอกนั้นมาพุทธาภิเษกทีหลังทั้งสิ้น รุ่นสามยังไม่ทันเลย

โดยเฉพาะรุ่นที่แขวนหน้ารถ มีแค่ ๕๐๐ องค์ แต่คนอยากได้มีเป็นแสน พอแขวนไว้หน้ารถ ก็โดนทุบกระจกข้าง เขาทิ้งเงินไว้ ๒,๕๐๐ บาทเป็นค่ากระจกแล้วเอาพระไป ถ้าทุบกระจกหน้า ๒,๕๐๐ บาทก็ไม่พอ ต้องบอกว่าลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ขโมยหรอก ขอดื้อ ๆ และทิ้งค่ากระจกไว้ให้ด้วย..!"

เถรี 16-10-2012 20:32

พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนที่หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม จะมรณภาพ ช่วงวันเกิดของท่านอาตมาก็ไปกราบถวายสักการะท่าน ท่านกวักมือเรียกเข้าไปใกล้ ๆ ตอนนั้นท่านเจ้าคุณราชพุทธิวราภรณ์ วัดกวิศรารามที่ลพบุรี ดูแลท่านอยู่ ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า “เอียงหูเข้าไปเลย หลวงพ่อท่านจะได้ไม่ต้องพูดดัง”

หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านพูดขาดเป็นช่วง ๆ แต่ความจำท่านแม่นมาก ท่านบอกว่า “เรื่องพระอุปัชฌาย์ ผมต้องขอโทษคุณด้วย ผมมีโควตาให้ภาค ๑๔ อยู่ ๓๐ รูป สุพรรณบุรีขอมาก็ ๒๑ รูปแล้ว พระอุปัชฌาย์เป็นโควตาของเจ้าคณะตำบล ต้องให้เขาก่อน คุณไปขอสัญญาบัตรมาก็แล้วกัน” อาตมาไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านจึงให้ขอสัญญาบัตรแทน อาตมาก็ตอบ "ครับ ๆ" แต่ก็ไม่ได้ขอไปเหมือนเดิม

หลังจากวันเกิดไม่นาน หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็มรณภาพ ตอนนั้นอาตมาก็ยังเกรงว่าท่านจะห่วงงาน มรณภาพแล้วจะไปดีหรือเปล่า ? ปรากฏว่าไปดี ต้องบอกว่าโรคมะเร็งช่วยพระไปดีหลายรูปแล้ว อย่างหลวงพ่อพระเทพวิสุทธิเวที วัดอนงคาราม หรือหลวงพ่อเจ้าคุณไสว ที่ร่วมวงน้ำปลาพริกป่นกับหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นแหละ ท่านก็เป็นมะเร็ง ท่านบอก.. (บอกหลังจากท่านเสียแล้ว)
ว่า

"พอจนแต้มขึ้นมาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็นึกถึงมหาวีระที่เคยสอนกรรมฐาน บอกว่าอานาปานสติระงับกายสังขารได้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เหมือนไม่ป่วย ก็เลยต้องภาวนา" ไปได้ดีตอนนั้น ภาวนาอารมณ์ใจทรงตัว มรณภาพแล้วไปได้ไปเป็นพรหม ไม่อย่างนั้นป่านนี้ไปไหนก็ไม่รู้"

เถรี 16-10-2012 20:41

"ก่อนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามมรณภาพวันหนึ่ง ท่านบอกกับพระที่ดูแลและญาติโยมที่อยู่ใกล้ว่า “ภาระของเราไม่มีแล้วนะ” ท่านบอกชัดเลย พอเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ต้องวิ่งเข้าไปหาการปฏิบัติของตนเองก่อน

ท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ จังหวัดอยุธยา เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่สักลายพร้อยเลย ท่านไม่เคยตำหนิใครเรื่องลายสัก ท่านบอกว่าลูกผู้ชายต้องมีบ้าง แต่ให้เป็นลายสักที่เป็นไปตามสายครูบาอาจารย์ มีแล้วต้องใช้ให้เกิดผลจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าสักจนลายไปหมด ลายสักของท่านเองก็ดูไม่น่าเกลียด ท่านมีลายสักที่แขนอยู่ ๓ แถว ส่วนอื่นอยู่ในผ้า ถูกปิดอยู่มองไม่เห็น แต่สมัยปัจจุบันที่เขาสักสวย ๆ บางทีแขนลายหมด ห่มจีวรก็ยังแขนลายพร้อยเลย

หลวงปู่พระธรรมเสนานีหรือหลวงปู่ชุณห์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นคนเด็ดขาด จัดการทุกอย่างตามเรื่องตามราวตลอด ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ว่ากันตามกฎระเบียบ มีคนไปถามหลวงปู่ว่า “พระสักได้ไหมครับ ?”

หลวงปู่บอกว่า “นั่นเป็นค่านิยมของลูกผู้ชายไทยมาตั้งแต่โบราณแล้ว รอยสักนี่ปกบ้านป้องเมืองมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว สักได้..แต่อย่าให้มากนัก มากแล้วจะดูเป็นนักเลงมากกว่าพระ” ท่านว่าตามตรงเลยนะ เห็นพระผู้ใหญ่ที่ท่านยึดหลักการแล้วก็ปลื้มใจ บางอย่างอาตมาเองก็ยังนึกไม่ถึง"

เถรี 16-10-2012 20:56

"อย่างปัจจุบันนี้ พระทั่วประเทศของเราจะห่มจีวรกันหลายสี มีสีกรักทอง สีเหลืองส้ม สีแดงแบบพระพม่าหรือแดงแบบทางเหนือของเรา สีกรักออกเขียว ๆ แบบพระธรรมยุติ และสีกรักออกม่วงน้ำตาล

ตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางอยู่ ท่านเป็นพระที่เด็ดขาด ตรงไปตรงมาที่สุด มีคนถามท่านว่า “ทำไมหลวงพ่อไม่สั่งให้เขาห่มสีเดียวกัน จะได้เหมือนกันทั้งประเทศ” ท่านบอกว่า “พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม ผมไม่สามารถที่จะไปทำอะไรซึ่งเป็นการล้มล้างพระบัญญัติของพระพุทธเจ้าได้”

พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ใช้สีกรัก สีเหลือง และสีเหลืองเจือแดงเข้ม ท่านอนุญาตให้ทั้ง ๓ สี แต่ทางเหนือของเรานี่เหลืองเจือแดงเข้มเขาไม่ได้ดูที่มา เพราะเหลืองเจือแดงเข้มจริง ๆ เกิดจากพระอัญญาโกณฑัญญะเถระ ท่านอยู่ที่ฉัททันตะสระ ในป่าหิมพานต์ แถวนั้นจะหาต้นไม้ที่นำเปลือกมาทำเป็นน้ำย้อมฝาดไม่ได้ ท่านก็เลยเอาดินลูกรังมาต้มย้อมผ้าแทน ผ้าของท่านก็เลยออกลักษณะนั้น สีเหลืองก็จริง แต่ปนแดง ๆ

พอพระอัญญาโกณฑัญญะเถระไปกราบพระพุทธเจ้า พวกพระเล็กเณรน้อยเห็นก็นินทา “ดูหลวงตารูปนั้นสิ..มาจากไหนก็ไม่รู้ ? ผอมจนเอ็นขึ้นสะพรั่งไปทั้งตัว ห่มจีวรสีอย่างกับเลือด” พระพุทธเจ้าต้องรีบเสด็จเข้าไปในอุปัฏฐานศาลา ตรัสว่า “ภิกขเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังสนทนากันเรื่องอะไรกันอยู่หรือ ?”

พระก็ทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอไม่รู้จักพี่ชายใหญ่ของเธอหรือ ? นั่นแหละพระโกณฑัญญะเถระ พระสงฆ์รูปแรกในพระธรรมวินัยของตถาคต เป็นพี่ชายใหญ่ของพวกเธอ”

เถรี 16-10-2012 21:03

"ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงก็แปลกใจ เพราะช่วงนั้นพระของวัดท่าซุงก็ห่มผ้าหลายสีเหมือนกัน ใครชอบใจสีไหนก็ห่มสีนั้น อย่างอาตมาห่มสีเหลือง หลวงพี่สามารถห่มสีกรัก หลวงพี่สมานห่มสีกรัก หลวงพี่เกรียงไกรห่มสีกรักเขียวแบบธรรมยุติ ลายไปหมดทั้งโบสถ์เลย ลงโบสถ์ทีหนึ่ง มองไป ๔ - ๕ สี

หลวงพ่อท่านก็ข้องใจ ตอนพักอยู่ท่านเห็นพระรูปหนึ่งเดินเข้ามา ห่มจีวรสีเหลืองแบบย้อมขมิ้น แต่ไม่มีตัว มีแต่จีวรเป็นรูปคนเดินเข้ามา หลวงพ่อท่านก็ถามว่า “ใครน่ะ ?” มีเสียงตอบว่า “ผมโมคคัลลาน์ครับ” หลวงพ่อถามว่า “แล้วมาทำไม ?” พระโมคคัลลาน์บอกว่า “มาให้ดูว่าสมัยนั้นผมห่มจีวรสีนี้ครับ” หลวงพ่อบอกว่า “อ้าว.! สีนี้ก็ใช้ได้ด้วยหรือ ?” ท่านตอบว่า “พระพุทธเจ้าอนุญาตผ้าย้อมน้ำฝาด แล้วขมิ้นหวานไหมเล่า ?” ตกลงว่าใช้ได้

สมัยโบราณเขาห่มผ้าย้อมขมิ้นกัน พอห่มไป ๆ สีจะหลุด จับติดผิว ถ้ายิ่งพระบวชนาน ๆ จะเหลืองเป็นขมิ้นเลย ผิวเหลืองเพราะขมิ้นย้อม สมัยนี้ต้องเข้าสปาขัดผิว เห็นมีบางวัดเข้าสปากันทุกอาทิตย์ เขาบอกว่าออกมาผิวจะได้ผ่อง ๆ ญาติโยมดูแล้วจะได้ศรัทธา อาตมาได้ยินแล้วก็คิดว่า มัวแต่ไปยุ่งเรื่องขันธ์ ๕ อยู่ ก็ไม่ต้องทำมาหากินเรื่องอื่นแล้ว"

เถรี 16-10-2012 21:07

"วัดใหญ่บางวัดมีลูกศิษย์เป็นคุณหมอมีความสามารถ บรรดาพระก็ไปให้หมอช่วยเจาะเลือดไปทำ Stem cell ให้ พอเวลาฉีดกลับเข้าไป เขาก็มาคุยกัน “คอยดูนะ เดี๋ยวผมจะกลับเป็นหนุ่มใหม่ ผิวพรรณจะผ่องใสกว่านี้อีก” อาตมาได้ยินแล้วก็นั่งเซ็งในอารมณ์ ตกลงว่าบวชมาเอากันแค่นี้เองหรือวะ..!

ยิ่งนานไปสัทธรรมปฏิรูปจะแทรกเข้ามาในพระพุทธศาสนามากขึ้น ๆ ทำให้วัดที่มีวัตรปฏิบัติที่เข้มแข็ง รักษาพระธรรมวินัยเคร่งครัด ต้องคล้อยตามเขาไปหมด กลาย
จากผิดเป็นถูก"

เถรี 18-10-2012 05:28

ถาม : ลูกดื้อ บอกแล้วไม่ค่อยฟัง
ตอบ : ตีเสียบ้าง..พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ล้วนกลัวอาชญา เขาถึงได้บอกว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ถ้าเขาเจ็บตัวแล้วจะจำ พอจำแล้วครั้งต่อไปก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร เขาจะตั้งสติไว้ก่อนทำ

เถรี 18-10-2012 05:32

บางทีผู้ใหญ่ก็ทำผิดโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น พอเด็กทำผิดแล้วเราก็ไปเอะอะโวยวายใส่เขา แต่ในสายตาเด็กกลายเป็นว่า ก่อนหน้านั้นพ่อแม่ไม่ได้สนใจเรา พอเราทำผิดแล้วพ่อแม่สนใจ ก็เลยทำผิดอยู่เรื่อย ๆ เพราะอยากให้พ่อแม่สนใจ เป็นจิตวิทยามุมกลับอย่างหนึ่ง

เวลาเด็กทำความดีเราก็เฉย ๆ ไม่ได้ชมเขา ไม่ได้บอกเขาว่าดี ให้ทำอีก แต่พอถึงเวลาทำแก้วแตก วิ่งพรวดมาดูทั้งบ้านเลย เด็กจะรู้สึกว่า "ที่แท้อย่างนี้พ่อแม่ถึงจะสนใจ" ว่าแล้วก็ทำอีก

เถรี 18-10-2012 05:41

ถาม : ช่วงนี้...(ไม่ได้ยิน)..
ตอบ : เขาเรียกว่า "มารแกล้ง" พอกำลังใจเริ่มจะดี เขาก็มากวนเราให้พัง เป็นเรื่องปกติ ตั้งสติให้ดี ๆ ให้รู้ไว้เลยว่าพอก้าวเข้าเขตความดี เขาจะขวางเราทุกวิถีทาง เราก็ต้องพยายามตั้งสติระงับอารมณ์ ระมัดระวังอย่าให้รัก โลภ โกรธ หลง โผล่ออกมา

ความโกรธมีได้..ไม่เป็นไร แต่ให้อยู่ภายในอกเรา อย่าให้ลามไปหาคนอื่น โกรธก็อย่าให้ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้โกรธอยู่ในใจเฉย ๆ

เถรี 18-10-2012 06:07

ถาม : มีอยู่วันหนึ่ง ปีนบันไดไปหยิบของ พื้นรกมาก ทำให้บันไดสะดุด ความรู้สึกก็คือขาขวาแตะที่ปลายเท้าอยู่ตรงบันได ขาซ้ายจะค่อย ๆ ลง ข้าวของค่อย ๆ หล่น อันนี้เทวดาช่วยหรือสติคะ ?
ตอบ : ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน สติสมาธิปกติจะมีความเร็วยิ่งกว่าแสงอีก จะทำให้ทุกอย่างเหมือนกับช้า อย่างเวลาเกิดอุบัติเหตุ บางคนถ้าสติดี ๆ จะเห็นเหมือนกับภาพช้าเลย แต่จริง ๆ แล้วเป็นความเร็วปกตินั่นแหละ เพียงแต่ว่าสภาพความไวของจิตมีมากกว่า ทำให้เห็นว่าทุกอย่างช้า ในเมื่อเราเห็นว่าช้า ก็จะหาทางหลบหลีกป้องกันได้ทัน

เมื่อวานซืนนี้อาตมาก็เกิดเหตุแบบนี้ ต้นชัยพฤกษ์ที่ปลูกที่ลานธรรมเริ่มใหญ่ กิ่งยาวไปกดสายไฟที่เข้าหมู่บ้าน การไฟฟ้าขอตัดมาจะครบปีหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาตัดสักที วันนั้นอาตมาว่างก็เลยตัดเอง ตัดไปถึงกิ่งหนึ่งใหญ่ประมาณหน้าแข้ง ขึ้นไปยืนอยู่บนบันไดอะลูมิเนียม ๙ ขั้น น่าจะสูงประมาณ ๓ - ๓.๕ เมตร

พอปลายกิ่งขาด โคนกิ่งที่อาตมาเหนี่ยวอยู่ก็ดีดขึ้น คราวนี้สุดช่วงยืนพอดี ก็เท่ากับตีนพ้นบันไดออกมา พระก็เผ่นกันหมด ด้วยความที่สติไม่ขาด รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็มี ๒ ทาง ทางหนึ่งก็คือ พยายามตะเกียกตะกายจะหยั่งบันได อีกทางหนึ่งก็คือ อาจจะปล่อยมือทิ้งตัวลงไปเลย

แต่อาตมามีทางที่สามดีกว่านั้น ก็คือ ทิ้งเลื่อยแล้วก็โหนตามกิ่งที่ดีดขึ้นไป แล้วปีนลงทางต้น พระเพิ่งจะหลบกิ่งไม้ที่ตกลงไปเสร็จ ก็ถามว่า “หลวงพ่อลงมาได้อย่างไรครับ ?” อาตมาบอกว่า “ก็ปีนขึ้นไปทางโน้น” ปีนลงทางด้านต้น ก็กิ่งงัดจนลอย อาตมาก็พลิกตัวปีนขึ้นไปบนกิ่ง ลงทางด้านโน้นเลย

พระเขาเห็นอาตมาปีนลงมาได้ ก็บอกว่า “ขอโทษครับหลวงพ่อ พวกผมลืมช่วยหลวงพ่อเลย มัวแต่หลบกิ่งไม้กันอยู่” อาตมาบอกว่า “ถ้าหากผมต้องรอให้พวกคุณช่วย ก็คงไม่ได้โตมาจนป่านนี้หรอก..!”

เถรี 18-10-2012 09:19

ถาม : ผมพาลูกไปใส่บาตร พอใส่บาตรเสร็จ หลวงตาก็ให้ขนมลูกกลับมา จะแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ปล่อยให้หลวงตาติดหนี้สงฆ์ไป

ถาม : ไม่เกี่ยวกับลูกผมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยว..หลวงตาท่านให้ ในเมื่อหลวงตาคิดว่าเป็นของหลวงตา หลวงตาก็ติดหนี้สงฆ์ไป

ถาม : ลูกผมมากินไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก..ถ้าข้องใจ ราคาเท่าไร เราก็ซื้อของใส่บาตรไป ถ้าไม่คาใจก็แล้วไป

ถาม : ใส่เงินก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่ที่สำคัญก็คือ ส่วนใหญ่แล้วพระท่านไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เลี้ยงพ่อกับแม่เท่านั้น เพราะถ้าเลี้ยงคนทั่วไป คนใส่บาตรจะขาดศรัทธา ต่อไปศาสนาจะอยู่ไม่ได้

ถาม : เราบอกท่านจะน่าเกลียดไหมครับ ?
ตอบ : น่าเกลียด

ถาม : พอใส่เสร็จท่านก็เรียกลูกมาเอาแอปเปิ้ลไปกิน เอาขนมไข่ไปกิน ลูกผมก็วิ่งเลย เพราะได้ขนม
ตอบ : ไม่เป็นไร หลวงตารับผิดชอบเองได้ เป็นความเฮงของหลวงตาที่ไม่คิดว่าจะเจอ ในเมื่อท่านคิดว่าเป็นส่วนตัวของท่านแล้วให้คนอื่น ท่านก็ติดหนี้สงฆ์เอง

ถาม : ถ้าเราซื้อไปเหมือนเดิม ใส่คืนให้ท่านจะหายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าติดใจเรา คือเรากลัวเป็นหนี้สงฆ์ ก็คืนไป แต่ท่านเป็นแล้วเป็นเลย ท่านต้องแก้ของท่านเอง ไม่ใช่เราไปแก้ให้ท่าน

แม้กระทั่งพ่อแม่ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้สงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ตามสมควร ก็คือพอดำรงชีพอยู่ได้ แต่มีหลายท่าน ประเภทปลูกบ้านให้แม่อยู่ ๒๐ ล้านบาท ซื้อรถเบนซ์ให้พ่อแม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าอนุญาตแล้ว ถ้าเป็นเงินส่วนตัวของท่านก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเงินสงฆ์นี่เฮงไม่รู้จบเลย..!

เถรี 18-10-2012 09:51

ถาม : ที่บริษัทตั้งศาลพระพรหมและศาลอากาศเทวดาอยู่ข้างกัน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบริษัท ตั้งอยู่บนพื้นระดับเดียวกัน ศาลพระพรหมมีลักษณะเสาเดียวแต่ฐานใหญ่ เป็นซุ้มโค้งคล้ายที่อยู่หน้าโบสถ์วัดท่าซุงและมีพระพรหมสี่หน้าประดิษฐานอยู่ อยากทราบว่าศาลพระพรหมควรตั้งอย่างไร ? และควรบูชาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ศาลพระพรหมไม่ควรตั้ง ทั่วโลกมีไม่กี่แห่งที่พระพรหมท่านดูแลอยู่

สาเหตุที่ตั้งศาลพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ เพราะชื่อโรงแรมไปคล้องกับเอราวัณเทพบุตร เขาก็เลยตั้งศาลพระพรหมเพื่อให้ท่านเกรงใจ งานทุกอย่างจะได้สะดวก ถ้าไม่ใช่สถานที่ที่เรารู้ชัดว่าพรหมท่านดูแลอยู่จริง ไม่ต้องตั้งศาลพระพรหม เกินความจำเป็นไปมาก และถ้าไปตั้งลักษณะนั้น เจตนาเหมือนจะใช้งานท่าน เดี๋ยวจะเจริญมากอีก..! เพราะฉะนั้น..ในเมื่อไม่ต้องตั้งก็ไม่ต้องบูชา


ถาม : เมื่อเราตั้งศาลอากาศเทวดาผิดทิศทางและเราไม่สามารถบอกคนอื่นให้เห็นตามได้ เราควรปฏิบัติตัวเพื่อความปลอดภัยของเราอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ปิดหู ปิดตา ปิดปาก

เถรี 18-10-2012 10:10

ถาม : เนื่องจากดิฉันได้ฟังวิทยุ เป็นรายการธรรมะ มีชายคนหนึ่งเคยบวชเป็นพระอยู่ประมาณ ๑ พรรษา เขาสารภาพว่า ระหว่างที่บวชได้ฉันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกเย็น ปัญหาก็คือ อาจารย์ที่ตอบปัญหาบอกว่า ฉันตอนเย็นยังผิดน้อยกว่าพระที่บิณฑบาตแล้วให้พร เนื่องจากเป็นการแสดงธรรมโดยไม่สมควร พระจะต้องอาบัติหนักกว่าการฉันตอนเย็น และพระยืนให้พรแล้วญาติโยมนั่งรับพรยิ่งไม่สมควร เพราะการยืนเป็นการให้เกียรติ การที่โยมนั่งรับพรยิ่งไม่เหมาะสม โยมควรจะยืนรับพรจึงจะถูก ถ้าพระนั่งโยมต้องนั่ง พระยืนโยมต้องยืน ไม่เช่นนั้นพระจะต้องอาบัติ ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านนั้นกล่าวผิดหรือถูกประการใดคะ ?

ตอบ : พระอาจารย์ท่านนั้นอยู่วัดไหน ไปให้ห่าง ๆ อย่าไปใกล้วัดนั้น..!

การฉันอาหารในเวลาวิกาล คือหลังเที่ยงไปแล้ว เขาปรับอาบัติปาจิตตีย์ ส่วนพระที่แสดงธรรมกับผู้ที่นั่งอยู่ เขาปรับอาบัติแค่อาบัติทุกกฎ พูดง่าย ๆ ว่าปรับเท่ากับจับเงินนั่นแหละ แต่นี่ดันบอกว่าฉันอาหารเย็นอาบัติน้อยกว่า ก็เจริญมากแล้ว..!


ความจริงการที่ญาติโยมนั่ง บ้านเราถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความเคารพ และการที่พระให้พร จริง ๆ แล้วไม่ใช่การแสดงธรรม


ถ้าเป็นการแสดงธรรม เขาบอกว่าภิกษุนั่งอยู่ในที่ต่ำกว่า ไม่ให้แสดงธรรมแก่ผู้ที่นั่งสูงกว่า ภิกษุไปในทาง ไม่ให้แสดงธรรมแก่ผู้นอกทาง ภิกษุเดินไปข้างหน้า ไม่ให้แสดงธรรมแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลัง ฯลฯ เหล่านี้ท่านตั้งเจตนาเอาไว้เพื่อให้บุคคลเคารพในธรรม ดังนั้น..ในบ้านเราการนั่งลงไหว้ถือว่าเป็นการเคารพที่สุดแล้ว ดีไม่ดีก็กราบกับพื้นตรงนั้น
เลย

ถ้าเป็นการแสดงธรรม ตามการตีความของอาตมาถือว่าแสดงได้ เพราะโยมแสดงออกซึ่งความเคารพ เพราะว่า อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง แปลความว่า ปกติของผู้อ่อนน้อมกราบไหว้ต่อผู้ทรงศีลนั้น วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ ย่อมเป็นผู้เจริญด้วยธรรม ๔ ประการคือ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ถ้าเขาถือว่าเป็นการแสดงธรรม ถ้าเห็นว่าญาติโยมให้ความเคารพก็แสดงไปเถอะ แต่เจตนาที่แท้จริงของเราก็คือให้พร

คำว่าให้พร คือ ตั้งใจว่าสิ่งใดก็ตามที่ญาติโยมตั้งความปรารถนาไว้ ถ้าไม่เกินวิสัยแล้ว ขอบารมีพระช่วยสงเคราะห์ให้ประสบความสำเร็จด้วย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่การแสดงธรรม เมื่อสรุปลงมาแล้ว ถ้ารู้ว่าวัดนั้นอยู่ที่ไหนก็ไปห่าง ๆ ถ้าเห็นท่านมาก็หยิบขันข้าวหนีไปใส่วัดอื่น..!

เถรี 18-10-2012 10:15

ถาม : เพราะเหตุใดพระจึงต้องถือตาลปัตรเวลาให้ศีลญาติโยมครับ ?
ตอบ : บังหน้ากันสาว ๆ ปิ๊งพระ..! ที่มีตาลปัตรบังหน้า เพื่อไม่ให้เก้อเขิน เพราะถ้าพระเขินขึ้นมา มักนึกไม่ออกว่าจะสวดอะไรต่อไป ตกม้าตายกลางธรรมาสน์มาเยอะแล้ว

ในสมัยแรกตาลปัตรมีไว้เพื่อตั้งใจบังหน้า ป้องกันไม่ให้พระและโยมเก้อเขินต่อกัน สมัยหลังมีการปรับใช้เป็นพัดก็ได้ ใช้บังแดดก็ได้ แล้วกลายเป็นเครื่องหมายประดับยศด้วย จึงมีการทำให้ตาลปัตรวิจิตรพิศดารกันมากขึ้น แต่เจตนาดั้งเดิมจริง ๆ ก็เพื่อป้องกันการเก้อเขินระหว่างพระกับโยม

เถรี 18-10-2012 11:20

ถาม : เคยนำรูปหล่อทองเหลือง จำพวกสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกเป่ายันต์เกราะเพชร อยากทราบว่าอานุภาพใดจะถูกลงในสิ่งเหล่านี้ครับ ?
ตอบ : ก็พุทธานุภาพสิวะ..!

ถาม : มีผลเหมือนวัตถุมงคลที่เข้ายันต์เกราะเพชรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เรื่องของพุทธานุภาพอยู่ที่เราอธิษฐานเอา

ถาม : หากนำรูปหล่อทองเหลืองที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษกนี้ ไปหล่อพระพุทธรูปจะเป็นการสมควรหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ : ไม่สมควร..แต่ถ้าตั้งใจจะหล่อให้เป็นพระพุทธรูปก็ทำได้ เพราะรูปพระพุทธรูปคนเห็นแล้วให้ความเคารพมากกว่า ส่วนบรรดารูปสัตว์ต่าง ๆ ที่เอาพิธีนั้น คนที่ไม่รู้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวัตถุมงคลหรือเปล่า ? ส่วนคนที่รู้อย่างเรา รู้ว่าสิ่งนี้ประกอบด้วยพุทธานุภาพแล้วเอาไปหลอม แล้วจะทำใจได้หรือเปล่า ?


เถรี 18-10-2012 11:23

ถาม : วันงานพุทธาภิเษกพระกริ่งพระเจ้าพรหมมหาราช และดาบพระเจ้าพรหมมหาราช ที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๕ หลวงพ่อกำลังจะพูด แต่มัคคนายกพูดแทรกขึ้นมา หลวงพ่อท่านจึงกลับ โดยที่ญาติโยมรอฟังท่านพูดอยู่ครับ ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อครับว่า ท่านจะกล่าวอะไรที่สำคัญในวันงานวันนั้นครับ ?
ตอบ : จะบอกว่ากลับแล้วจ้ะโยม ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่าไปไม่ลามาไม่ไหว้ คนที่มีมารยาทต้องลาก่อน พอดีมัคคนายกเขาพูดแทรก อาตมาก็กลับเลย..!

เถรี 18-10-2012 11:27

ถาม : ถ้าเราเป็นพระภิกษุ เกิดอาพาธแล้วไปรักษาที่โรงพยาบาล ที่โรงพยาบาลนั้นมีกองทุนรักษาพยาบาลภิกษุและสามเณรฟรี แล้วเราไปรักษา อย่างนี้ถือว่าเราติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ?
ตอบ : โดนอาบัติปาราชิกไปก่อนหรือเปล่า ? ถ้าโดนอาบัติปาราชิกไปก่อนก็ติดหนี้สงฆ์เพราะไม่ใช่พระแล้ว ถ้าไม่โดนอาบัติปาราชิกไปก่อนก็รักษาฟรีได้ ก็ไม่ได้ติดหนี้สงฆ์

ถาม : แล้วสังฆาทิเสสไหมครับ ?
ตอบ : นั่นยังถือว่าเป็นพระอยู่ แต่ไม่เต็มองค์

เถรี 18-10-2012 11:38

ถาม : ใบฎีกาหรือเอกสารเกี่ยวกับงานบุญ อ่านแล้วรวบรวมขายให้กับซาเล้งได้ไหมคะ ? หรือจะต้องทำอย่างอื่นเพื่อไม่ให้เกิดโทษ ?
ตอบ : ได้..แต่ถ้ามีรูปพระอยู่ด้วยก็แยกออกมา แล้วจำเริญด้วยไฟหรือน้ำตามถนัด โบราณเขาใช้คำว่า จำเริญ ก็คือ เผาหรือลอยน้ำไปก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมลอยน้ำ เพราะเห็นว่าน้ำเย็นกว่า

หลายวัดพิมพ์ฎีกาแบบไม่เกรงใจว่าโยมจะตกนรก เล่นพิมพ์สี่สีเต็มที่เลย ข้างบนเป็นรูปสมเด็จองค์ปฐม ซ้ายขวาเป็นรูปหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุง ต่ำลงมาเป็นรูปท่านปู่ท่านย่า พูดง่าย ๆ คือ ไหน ๆ แล้วก็ให้คนรับลงอเวจีไปเลย จะได้ไม่ต้องมาทำบุญกันอีก


ถาม : เกี่ยวกับสีด้วยหรือครับ ขาวดำโทษเบากว่าหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นรูปพระไม่ควรทั้งนั้น แต่หลายวัดทำภาพสี่สีเลย

เถรี 18-10-2012 11:47

ถาม : มีเคล็ดลับในการลดทิฐิมานะอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ไปเกิดใหม่..!

ถาม : จะลดได้หรือครับ ?
ตอบ : ได้..พอเกิดใหม่เป็นเด็ก ขืนมีทิฐิมากผู้ใหญ่ก็ตบบ้องหูเอา..!

ถาม : เอาชาตินี้ก่อน..ใจร้อนครับ
ตอบ : การจะลดทิฐิมานะนั้น อันดับแรก..เราต้องเห็นโทษก่อน ว่าทิฐิมานะทำให้เราโดนร้อยรัดติดกับวัฏสงสาร ไม่สามารถจะหลุดพ้นไปได้ อันดับที่สอง..ต้องเห็นคุณประโยชน์ว่า ถ้าเราลดทิฐิมานะแล้ว จะเกิดประโยชน์แก่ตัวเราและผู้อื่นอย่างไร โดยเฉพาะในส่วนของอปจายนมัย คือ การอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น เป็นการได้บุญที่แทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

ในเมื่อเราเห็นโทษและเห็นประโยชน์แล้ว ก็จะค่อย ๆ พยายามลด ละและเลิก ไปเอง แต่ถ้าเราไม่เห็นโทษและเห็นประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วก็แบกไปอย่างเต็มที่ จะว่าไปแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ตำหนิใครไม่ได้ เพราะว่าทิฐิมานะเป็นสังโยชน์ใหญ่และละเอียดมากด้วย ต้องมีกำลังความดีสูงมาก จึงจะตัดละได้เด็ดขาด

ถ้าใครตั้งใจลดตรงจุดนี้ สติสมาธิและปัญญาต้องสมบูรณ์พร้อม ถ้าไม่ได้สมบูรณ์พร้อมถึงขนาดนั้น ก็ต้องค่อย ๆ ลด ๆ ค่อย ๆ ละ ไปทีละเล็กละน้อย ถ้าตั้งใจทำ ท้ายสุดก็ทำได้ แต่ถ้าจะเอาทีเดียวเลยต้องดูว่ากำลังเราสู้ไหวไหม ?

เถรี 19-10-2012 19:10

ถาม : จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไรว่าการมีลูกเป็นทุกข์ ?
ตอบ : อย่าไปเสียเวลาอธิบาย ถ้ามัวเสียเวลาอธิบายอยู่ ก็คงไม่ได้ไปบวชหรอก

ถาม : ถ้าเราทำผิดกับพ่อแม่ ?
ตอบ : ถ้าท่านยังอยู่..ไปขอขมาท่านก็จบแล้ว

ถาม : ทำกับพ่อแม่จะได้รับกรรมทันตาหรือคะ ?
ตอบ : มีลูกเมื่อไรก็เจอเมื่อนั้น..!

เถรี 19-10-2012 20:02

พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านแม่จามเทวีเป็นราชธิดาของอาณาจักรละโว้ (ลวะปุระในสมัยก่อนคือละโว้ บันทึกของจีนเขียนว่า เสียมหลอฮกก๊ก หลอฮกก็คือละโว้)

สมัยก่อนละโว้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม พระองค์ท่านใช้เวลาเดินทาง ๗ เดือน จากละโว้ไปถึงลำพูน หรือเมืองหริภุญไชยซึ่งฤๅษีวาสุเทพกับเพื่อน ๆ ฤๅษีช่วยกันสร้างเมืองไว้ก่อนแล้ว

ฤๅษีวาสุเทพเองเท่ากับเป็นพ่ออุปถัมภ์ของพระนางเจ้าจามเทวี เพราะว่าเก็บพระองค์ท่านได้จากการที่เหยี่ยวโฉบเอามา จะเอาเด็กไปเป็นอาหาร ฤๅษีวาสุเทพจึงไล่เหยี่ยวไป รับเด็กเอาไว้เลี้ยง จับยามสามตาดูว่าจะต้องส่งเด็กไปเป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้ จึงทำแพลอยน้ำไป อาศัยเทวดาช่วยสงเคราะห์ พาไปขึ้นที่ละโว้

ทางด้านเจ้ากรุงละโว้เห็นว่าเด็กเป็นคนมีบุญญาธิการมาก จึงแต่งตั้งให้เป็นพระราชธิดา ตอนหลังต้องออกรบแทนเจ้ากรุงละโว้ จนได้ชัยชนะศึกกลับมาก็เป็นที่ไว้วางใจ พอเขาขอพระองค์ท่านไปครองเมืองหริภุญไชย จึงเต็มใจยกให้ ขนเอาช้างม้าวัวควาย ข้า ทาส ช่างเงินช่างทองไปเยอะแยะ ที่แน่ ๆ คือ เพิ่งแต่งงานไม่นานกับพระเจ้ารามราช เดินทาง ๗ เดือน ไปถึงไม่กี่วันก็คลอดลูกเลย

ท่านแม่จามเทวีมีกุศโลบายในการดึงชาวบ้านด้วยการสร้างวัดตามสถานที่ต่าง ๆ ตามที่พักเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งไปถึงหริภุญไชยแล้วก็ยังสร้างวัดสี่มุมเมือง ได้เอาพระแก้วเสตังคมณี กับพระรอดหลวงไปจากละโว้ด้วย"

เถรี 19-10-2012 20:06

"ในส่วนของพระรอด สันนิษฐานว่าท่านสร้างแจกทหารตอนสมัยรบกับขุนหลวงวิรังคะ บาลีเขาเรียกชาวมิลักขะ แปลว่าป่าเถื่อนล้าหลัง แต่ความจริงก็คือราชาของพวกลัวะ

พระรอดทำให้ทหารแคล้วคลาดปลอดภัย นอกจากนี้ยังสร้างพระคงเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ

พระแม่เจ้าอายุยืนมาก นอกจากสร้างหริภุญชัยแล้ว ยังช่วยสร้างเขลางค์นครให้พระโอรสไปปกครอง ซึ่งปัจจุบันก็คือเมืองลำปาง ตอนท้ายสละราชสมบัติออกบวชเป็นแม่ชี สวรรคตเมื่อพระชนมายุ ๙๒ ปี"

เถรี 19-10-2012 20:14

พระอาจารย์เล่าว่า "ทางสายวัดเขาอ้อจะทำพิธีหุงข้าวเหนียวดำ คือ พิธีกินเหนียวกินมันของเขา จะมีหุงข้าวเหนียวดำกับหุงน้ำมันงา น้ำมันงานี่เสกจนแข็งเป็นก้อน แล้วให้ลูกศิษย์กิน ข้าวเหนียวเขาถือเคล็ดคำว่าเหนียว

ปัจจุบันนี้เหลืออาจารย์ประจวบ คงเหลือ อยู่รายหนึ่ง ส่วนใหญ่ลูกศิษย์วัดเขาอ้อมักจะใช้ชีวิตฆราวาสจนโชกโชนแล้วค่อยมาบวช เขาจะมีสายพระกับสายฆราวาส บางอย่างที่พระทำแล้วอาจจะผิดวินัย เขาก็จะให้ลูกศิษย์สายฆราวาสทำ แต่ลูกศิษย์สายฆราวาสพอท้าย ๆ แล้วก็มักจะมาบวช

อย่างหลวงปู่นำ วัดดอนศาลา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ท่านเป็นฆราวาสจนกระทั่งอายุ ๗๐ ปีแล้วกระมัง ถึงได้มาบวช เป็นเจ้าอาวาสอยู่ไม่กี่พรรษาก็มรณภาพ


ทางด้านนั้นเขาไม่ถือพรรษา เขาถือความสามารถว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? ถ้าเก่งจริงก็ให้เป็นเจ้าอาวาสไปเลย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:37


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว