กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3237)

เถรี 07-03-2012 09:34

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕
 
ถาม : พี่ชายของหนูเขาสนใจเกี่ยวกับการฝึกลมปราณค่ะ เขาอยากทราบว่าท่านได้เขียนหรือฝึกจากตำราไหนมาบ้างหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไปดูตำรามวยไทเก๊กที่ จำลอง พิศนาคะแปล นั่นได้เล่มหนึ่ง เล่มอื่นไม่ค่อยไว้วางใจเพราะว่าไม่ค่อยได้อ่านรายละเอียด

ถาม : หนูพยายามดึงพ่อเข้ามาทางธรรมค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะหวังผลแค่ไหนดี
ตอบ : ไม่ต้องหวังจ้ะ เราได้ทำถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ

ถาม : คิดว่าจะชวนพ่อมาที่บ้านวิริยบารมี แต่ก็กลัวท่านจะไม่เข้าใจ แล้วอาจจะเกิดผลร้ายมากกว่า
ตอบ : รอดูไปก่อนระยะหนึ่ง เอาหนังสือธรรมะไปทิ้ง ๆ ไว้บ้าง เผื่อท่านอยากอ่าน

เถรี 07-03-2012 16:13

ถาม : บทกรวดน้ำนี้ใช้ในกรณีไหนครับ ?
ตอบ : กรณีทั่ว ๆ ไปจ้ะ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้จงไปถึง อุปัชฌายา คุณุตตะรา พระอุปัชฌาย์ผู้มีคุณอันสูงสุด อาจะริยูปะการา จะ ครูบาอาจารย์ผู้มีอุปการะอย่างยิ่ง มาตา ปิตา จะ ญาตะกา ฯลฯ บิดามารดาและญาติทั้งหลาย แปลไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ

ถาม : ใช้ได้หมดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่หมดหรอก เพราะว่าถ้าผีที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในกติกานี้ก็อดไป

ถาม : ก็ต้องใช้ของหลวงพ่อ
ตอบ : ใช้ของหลวงพ่อวัดท่าซุงครอบคลุมที่สุดแล้ว ใช่ญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ไม่อย่างนั้นแล้วที่ว่ามาไม่มีหรอก ถ้าไม่ตรงชื่อก็อดไป

อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเห็นผีมาขอส่วนบุญ ท่านก็อุทิศ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ พออิมินายังไม่ทันเสร็จผีก็โดนผู้คุมเขากระชากไปแล้ว พอรุ่งเช้าตอนฉันเช้า หลวงพ่อปานท่านก็ว่า "เป็นอย่างไรพ่ออิมินาคล่อง มัวแต่ไปท่องอิมินาอยู่ผีมันจะได้แดกหรือ ?" เพราะผีที่มาญาติก็ไม่ใช่ อุปัชฌาย์ก็ไม่ใช่ ครูบาอาจารย์ก็ไม่ใช่ พ่อแม่ก็ไม่ใช่ ไม่มีในชื่อ ก็ต้องอดไปตามระเบียบ แล้วเวลาของเขามีน้อยด้วย พอหมดเวลาผู้คุมก็กระชากตัวไปเลย

เถรี 07-03-2012 16:33

พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "พระบวชใหม่ต้องอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาระเบียบวินัยต่างให้ครบถ้วน จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ส่วนใหญ่แล้วพระเณรระยะหลัง ๆ มักจะไม่ค่อยได้ศึกษาระเบียบวินัย พูดง่าย ๆ ก็คือบวชตามประเพณีเสียมาก ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงไม่เข้าใจว่าต้องอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ถึงจะเอาตัวรอดได้ เพราะกำลังใจตัวเองยังไม่ดีพอ เมื่อห่างครูบาอาจารย์ ไม่มีคนควบคุมก็ฟุ้งซ่าน พอฟุ้งซ่านมาก ๆ ท้ายสุดก็หาทางสึก"

เถรี 07-03-2012 16:35

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คาถาอะไรก็ได้ ถ้ากำลังใจทรงตัวแต่ปฐมฌานขึ้นไป ไสยศาสตร์ก็ทำอันตรายไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ได้สำคัญที่คาถา สำคัญตรงกำลังใจของเรา

ถ้าเห็นว่ามีคาถาเยอะมาก เลือกสักคาถาก็แล้วกัน สมัยก่อนอาตมาก็ว่าเป็นร้อยคาถาเหมือนกัน แต่ว่าแบ่งเวลา อย่างเช่นภาวนาอย่างละ ๓๐ จบ พอภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวแล้วก็เปลี่ยนคาถาใหม่ไล่ไปเรื่อย รู้สึกสนุกดีเหมือนกัน

ตอนหลังถึงได้เข้าใจว่าคาถาเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิเท่านั้น พอเป็นสมาธิแล้วเราจะใช้กำลังสมาธิในด้านไหนก็อธิษฐานเอา เพราะฉะนั้นจึงสำคัญอยู่ตรงใจเรา ใจต้องเป็นสมาธิ คาถาจึงจะมีผล และคาถานั้นคือ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ต่อให้คาถาไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย ถ้าเราตั้งใจให้เป็นอะไร เมื่อกำลังใจทรงตัวก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่าอำนาจจิตของเราทรงตัวแล้ว

เถรี 07-03-2012 17:04



พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งว่า "คนขุดสุสานเล่ม ๒ ตัวเอกคือจ้ากู่เซ้าต้องไปขุดสุสาน เพราะอาจารย์บอกว่าให้ไปถอดชุดของคนตายมาให้ก่อนไก่ขัน ถึงจะยอมรับเป็นลูกศิษย์สอนวิชาให้ พอจ้ากู่เซ้าไปก็มีสารพัดอุปสรรคขัดขวาง โดยเฉพาะศพผู้หญิงที่โดนสะกดอยู่ ถ้าของที่สะกดหลุดออกไปจากปากศพ ขนก็เริ่มงอกยาวขึ้น ๆ ตรงจุดนี้เป็นเรื่องจริงนะ เพราะว่าคนตายโดนอสุรกายสิง แล้วก็ใช้ร่างนั้นไปหากิน ถ้าอยากรู้เรื่องพวกนี้ ลองอ่านประวัติของหลวงปู่แหวน และกฎแห่งกรรมของ ท.เลียงพิบูลย์ ตอนความลับในดงดิบ ก็จะเจอเรื่องของอสุรกายแบบนี้

ในตำราฮวงจุ้ยของจีนเขาบอกว่า ถ้าฮวงจุ้ยไม่ดีแล้ว ธาตุตัดกันสับสนเมื่อไร จะทำให้ศพเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วกลายเป็นผีดิบได้ ตำราฮวงจุ้ยเขาเชื่ออย่างนั้น แต่เราคิดง่าย ๆ เลยก็คืออสุรกายเข้าไปสิงศพ

ในเรื่องคนขุดสุสาน พระเอกต้องใช้เชือกผูกคอศพแล้วมามัดโยงกับตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้แตะต้องศพแล้วจะได้ถอดเสื้อคนตายได้ แต่พวกผีดิบเราจะไปหายใจรดเขาไม่ได้ ถ้าหายใจรดแล้วผีดิบจะดึงพลังปราณของเราไปใช้งาน แล้วศพจะฟื้นเร็วขึ้นอีก พระเอกก็เลยต้องมีสารพัดวิธีในการเอาเสื้อคนตาย

เขาต้องกินยาสะกดตัวเองให้ลมปราณนิ่ง หายใจช้าเหมือนกับศพ แต่ปรากฏว่าแมวป่าดันตะกายตามเข้าไป ถ้าแมวกระทบถูกศพเมื่อไรศพก็จะฟื้น พระเอกก็แกล้งร้องเสียงแมว แมวจึงกระโดดขึ้นมาบนไหล่ พอได้ยินเสียงร้อง แมวก็เอาขาตะปบตรงหน้ากาก เพราะจ้ากู่เซ้าใส่หน้ากากกันไม่ให้ลมหายใจถูกผี

สถานการณ์สนุกสนานเฮฮามากเลย ต้องดูว่าพระเอกจะมีไหวพริบแก้ไขเหตุการณ์ได้ไหม เพราะเขามีกติกาว่าถ้าเทียนดับแล้วหยิบของของคนตายไม่ได้ หรือว่าถ้าเสียงไก่ขันก็ถือว่าหมดเวลา ลองไปอ่านดูสนุกดีเหมือนกัน แม้ว่าเรื่องจะเปะปะไปเปะปะมา แต่ว่ามีหลายตอนที่เป็นความจริงอยู่เหมือนกัน"

เถรี 08-03-2012 13:21

ถาม : ออกรถผิดฤกษ์ค่ะ ไปออกวันที่เขาไม่ให้ออกรถใหม่ จะแก้ไขได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : แก้ไขไม่ทันแล้วจ้ะ นอกจากซื้อใหม่อีกคันตามฤกษ์ แล้วคันเดิมจอดทิ้งไว้เฉย ๆ (หัวเราะ)

ถาม : เวลาที่มีสมาธินิดหน่อย หรือบางครั้งก็อยู่เฉย ๆ จะรู้สึกว่านิ้วที่มีแหวนแปล๊บ ๆ นั่นคืออะไรหรือคะ ?
ตอบ : พลังงานที่มีอยู่ตามปกติ พอดีจิตเราเป็นอุปจารสมาธิจึงรับได้

ถาม : แล้วถ้าเกิดเราตั้งใจ..
ตอบ : ถ้าตั้งใจกำลังจะเกิน ต้องเป็นระดับอุปจารสมาธิ

ถาม : แล้วจะเป็นการปรามาสไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นหรอกจ้ะ แต่ระวังจะไปเล่นผิด แล้วจะมัวไปสนุกอยู่ตรงนั้น

เถรี 08-03-2012 13:26

ถาม : หนูเข้าใจว่าปฏิบัติไปแล้วพรหมวิหารจะต้องดีขึ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งทำไป เมตตาที่แต่เดิมก็มีน้อยอยู่แล้วดูจะน้อยลงไปอีก กลับไปดีตัวอุเบกขาแทนค่ะ
ตอบ : อาตมาก็แบบเดียวกัน โดดข้ามเมตตาไปเป็นอุเบกขาเลย ทั้ง ๆ ที่ออกธุดงค์ก็เพราะตั้งใจจะไปเอาเมตตา

ช่วงนั้นทำงานอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ตั้งแต่เช้ายันค่ำต้องรบกับคนเป็นแสน ๆ มารู้ตัวตอนบ่าย ๆ แล้วว่า เสียงตัวเองดังขึ้น อาตมาเป็นคนรู้ตัวเร็ว พอรู้สึกว่าเสียงตัวเองดังก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงบอกเพื่อนให้ทำงานแทน ขอไปเข้าส้วมหน่อย ไปนั่งทบทวนตัวเองแล้วก็สรุปได้ว่ากำลังเครียด เครียดเพราะไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนมาเป็นวัน ๆ

ส่วนทำไมถึงเครียด ก็เพราะไปตั้งความหวังไว้ว่าทุกคนจะต้องรู้เรื่อง แล้วก็มีคนที่ไม่รู้เรื่องจนได้ บอกให้ทำบุญเดินเข้ามา เขาก็จะคลาน บอกว่าให้เตรียมเงินมาเรียบร้อย เขาก็มายืนล้วงยืนควักเงินอยู่ตรงนั้นแหละ ทำให้รู้ว่าจริง ๆ ตัวเมตตาของอาตมายังไม่พอ ในเมื่อตัวเมตตาไม่พอก็ต้องมาเน้นตรงจุดนี้

คราวนี้ถ้าหากว่าอยู่วัดจะไปฝึกเมตตาบารมีก็ยาก เพราะเผชิญกับเหตุการณ์จริงไปแล้ว ในเมื่อเจอเหตุการณ์จริงเข้าไป กำลังไม่พอก็หงายท้องอีก ก็เลยขออนุญาตหลวงพ่อออกธุดงค์ เพราะว่าในป่าไม่มีอะไรที่จะช่วยเราได้ นอกจากตัวเมตตาอย่างเดียว แต่ด้วยความที่ไม่เคยธุดงค์มาก่อน เริ่มต้นก็ไปที่ซึ่งมีโอกาสตายแน่ ๆ แทนที่จะเริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนดันไปเข้าป่าดงดิบเลย เพิ่งจะเดินพ้นบ้านคน รอยตีนสัตว์ก็เป็นเทือกแล้ว แทนที่จะได้เมตตาบารมี เหลือแต่อุเบกขาอย่างเดียว ก็คือ "ตายแน่..ตายแน่" ไม่เหลืออะไรเลย

เพราะฉะนั้น..ถือว่าเป็นพวกเดียวกับอาตมา ฝึกเมตตาแล้วกลายเป็นอุเบกขาแทน พยายามปรับใหม่ให้เป็นอุเบกขาในเมตตา ถึงเวลาเราจะช่วยเขา ช่วยเขาไม่ได้แล้ว ก็ปรับเป็นอุเบกขาใหม่ อุเบกขาแล้วก็ยังแฝงอุเบกขาในเมตตา ถึงเวลาก็กลับมาช่วยใหม่ ดีอยู่อย่างว่ากำลังจะไม่ตกเพราะเรา "เบรก" อยู่ ถ้า "เบรก" ไม่อยู่จะฟุ้งซ่านมาก

เถรี 08-03-2012 13:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนสงสัยว่า พวกโจรที่ขโมยตัดเศียรพระ ถ้าพระศักดิ์สิทธิ์จริงทำไมไม่เล่นงานขโมย อาตมาได้ยินก็ขำ เพราะว่าพระหรือเทวดาท่านเคารพกฎของกรรมมากกว่าเราหลายเท่า จะไปยุ่งอะไรกับพวกนี้ เขาอยากลงนรกก็ปล่อยให้ลงไป

ยกเว้นว่าบางคนที่พอจะกลับเนื้อกลับตัวได้ กุศลเก่ายังมีอยู่ ถ้าอย่างนั้นท่านจะทำให้รู้ บางคนอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าพระพุทธรูปยกมือได้ ก็วิ่งหนีกันป่าราบ ถ้าไม่มีบุญเก่าหนุนเสริม เป็นวาระที่อกุศลเข้าเต็ม ๆ นี่ท่านปล่อยเลย อยากลงนรกก็ปล่อยเขาลงไปเถอะ"

เถรี 08-03-2012 13:33

ถาม : ที่บ้านเป็นตึกสามสี่ชั้น เวลาจะจัดห้องพระต้องเอาไว้ชั้นบนสุดของบ้านเสมอไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ อยู่ชั้นไหนก็ได้ ถือว่าเป็นคนละส่วนกันแล้ว ในเมื่อเป็นดังนั้นเราก็บูชาพระของเราไป

แต่ถ้าหากว่าเป็นบ้านของเราเอง เลือกชั้นบนสุดเป็นห้องพระได้ก็จะดีมาก เวลาอาตมาทำกุฏิก็ดี ศาลาก็ดี จะเน้นเรื่องที่ตั้งพระก่อน แต่ว่าบ้านของญาติโยมทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกห้องกันจนพอใจ เหลืออะไรค่อยให้พระไป เป็นอย่างนั้นกันแทบทุกบ้านเลย น้อยบ้านจะตั้งใจสร้างห้องถวายพระ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เหลือแล้วไปตั้งหิ้งพระ

ต่อไปถ้าใครมีบ้านก็ตั้งใจสร้างห้องถวายพระ ปูพรมติดแอร์อย่างดีเลยนะ แล้วเราก็ขอนอนด้วย

ถาม : ผู้หญิงเขาไม่ให้นอนห้องพระไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่ผู้หญิง ผู้ชายก็ด้วย เขาไม่ให้นอนตรงหน้าพระ ให้ขยับมานอนด้านข้างจ้ะ

เวลาดึก ๆ เทวดา นางฟ้าหรือพรหม ท่านมักจะมานมัสการพระในเขตที่ท่านดูแลอยู่ หรือในเขตที่ท่านไปสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น..บางแห่ง ถ้าหากว่าเป็นพระสำคัญแล้วเราไปนอนขวางอยู่ ตื่นขึ้นมาอาจจะสงสัยว่าทำไมเราย้ายมาอยู่ตรงนี้ ปกติเรานอนตรงหน้าพระนี่นา ? ก็ท่านจะไหว้พระแล้วเราไปเกะกะ ท่านก็เขี่ยเราออกสิ.. ดังนั้น..อย่าไปนอนขวางหน้าพระตรง ๆ ให้ขยับออกมาด้านข้าง

เถรี 08-03-2012 13:45



พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนเล่มหนึ่งว่า "ในกระบี่อภิญญาเราจะเห็นอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องแรกก็คือทิพจักขุญาณเกิดได้ทั้งคนดีและคนไม่ดี ก็แปลว่าไม่ว่าคุณจะเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิก็ตาม เมื่อคุณฝึกตนถึงระดับ อภิญญาก็จะเกิด จึงเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนเลยว่า อภิญญาเป็นทั้งโลกียะหรือโลกุตระก็ได้

ประการที่ ๒ ก็คือ คนที่เขียนคำทำนาย รู้แล้วจะไม่กล้าฝืนกฎของกรรม เขาใช้คำว่าไม่กล้าฝ่าฝืนความลับของฟ้า แต่คราวนี้ด้วยความที่สงสารคน ถ้าหากว่าอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นชีวิตคนคงสิ้นหวัง แล้วจะคล้อยตามฝ่ายชั่วไปเสียหมด ก็อุตส่าห์เขียนคำทำนายทิ้งเอาไว้ ส่วนตัวเองก็ยอมรับกรรมไปคนเดียว ปล่อยให้คนมีความหวังเหลืออยู่บ้าง จะได้ไม่ทำชั่วไปจนหมด"

ถาม : พระเอกไม่ฝึกอะไรเลยทำไมได้อภิญญาเฉยเลยคะ ?
ตอบ : เขาสั่งสมมาในอดีต คนอื่นเขาฝึกมาก็ได้ทั่ว ๆ ไป แต่เขาฝึกแล้วได้อภิญญา สิ่งนี้เป็นปุพเพกตปุญตา คือสร้างสมบุญเก่าตั้งแต่ปางบรรพ์ พอเวลากำลังใจทรงตัวได้ระดับ ของเก่าก็คืนมา ไม่เห็นหรือว่าต้วนตู๋เสิ้งที่เป็นตัวร้าย พอฝึกไปก็ได้อภิญญาเหมือนกัน แต่ต้วนตู๋เสิ้งเป็นเจ้าพ่อนิกายอัคคี สุดยอดความชั่วเลย อยากรู้ต้องไปอ่านเองจ้ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวต้องเล่าให้ฟังทั้งเรื่องอีก

เถรี 09-03-2012 08:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหลวงตาวัชรชัยนี่น่ากลัวพอ ๆ กับงานที่วัดท่าขนุนเลย พอย่ามอาตมาเต็มแล้วยังต้องเอาถุงก๊อบแก๊บมาอีก ๓ ใบ นั่นขนาดอาตมาถวายหลวงตาไปเป็นกระสอบแล้วนะ ยังเหลือกลับมา ๑๒๐,๐๐๐ กว่าบาท เขาคงกลัวจะไม่เอากลับ เลยยัดให้มาอีกตอนจะขึ้นรถ

อย่างที่คุณพรศักดิ์บอกว่า พอหลวงพ่อเล็กเดินเลยไปคนก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อาตมาไม่ได้เหลียวหลังไปดูหรอก แสดงว่าบางคนเขาตั้งใจมาทำบุญจริง ๆ แล้วเลือกทำเฉพาะคนด้วย มีบางคนประเภทกรี๊ดกร๊าดดีใจมากที่ได้เห็นตัวจริงแล้ว เพราะรู้จักแต่ในเว็บ มีอีกหลายคนมาจับ ๆ คลำ ๆ แล้วก็เอาไปลูบหัวตัวเอง นี่ถ้าอาตมาเป็นโลหะเขาก็คลำจนสึกไปแล้ว..!

ถ้าจะยึดก็ควรจะยึดแต่พอสมควร เอาครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง แล้วเราก็เร่งปฏิบัติตามแนวที่ท่านสอน หรือตามที่ท่านทำถึง ไม่ใช่ประเภทเห็นท่านเป็นวัตถุมงคล ทางพม่าก็เป็นแบบนี้ ถึงเวลาก็คลี่มวยผมปูพื้นให้เดินเป็นแถว

การเคารพในพระรัตนตรัยเป็นเรื่องดี แต่ให้เคารพในส่วนที่เป็นนามธรรม คือคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นพระพุทธรูป ไม่ใช่เป็นคัมภีร์พระไตรปิฎก และไม่ใช่เป็นหลวงปู่หลวงพ่อ แต่เป็นคุณความดีทั้งหลายที่ทำให้ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทำให้คำสอนเหล่านี้ปรากฏขึ้น ที่ทำให้หมู่สงฆ์เข้าถึงความบริสุทธิ์

ถ้าอาตมาไปบ่อย ๆ เขาคงลูบจนขนร่วงหมด..! ยังดีที่ไม่ค่อยมีขนกับใคร"

เถรี 09-03-2012 08:27

ถาม : คาถาเงินล้านช่วยเรื่องเรียนด้วยไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเอง ถึงเวลาพอสมาธิทรงตัวแล้ว กำลังใจมุ่งไปเรื่องไหนก็ได้เรื่องนั้น

ถาม : เดิมหนูให้ลูกภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ค่ะ ตอนหลังลูกบอกว่าอยากภาวนาคาถาเงินล้านเยอะ ๆ เหมือนแม่
ตอบ : เอาเลย..ถ้าไม่ฉลาดก็หาเงินไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าฉลาดเรื่องเรียนก็ไม่ยากที่จะรวย เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะ โยงให้เป็นเรื่องเดียวกันให้ได้

เถรี 09-03-2012 09:51

ถาม : เวลาเข้าป่า อะไรเป็นสิ่งที่น่าระวังที่สุดครับ ?
ตอบ : ระวังกำลังใจตัวเอง ไม่ต้องระวังอย่างอื่นเลย

ถาม : ตอนไปนอนที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง มีอะไรแนะนำว่าอย่าไปทำไหมครับ ?
ตอบ : ภาวนา เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง ฯลฯ อย่างเดียว ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องอื่น เขาทำอะไรมา เรามีหน้าที่ภาวนารับไว้ให้หมด ไม่ต้องไปตอบไปโต้ไปอะไรทั้งนั้น อาตมาแกล้งโง่จนกระทั่งเขาคิดว่าพระรูปนี้เก่งหรือโชคดีกันแน่ ?

ถ้าเข้าป่า เทียนไข ไฟแช็ก มีด และกระติกน้ำ อย่าให้ห่างตัว อย่างอื่นไม่เป็นไร ถ้ามีมีดอยู่ในป่าอย่างไรก็เอาตัวรอดได้ พอหากินได้ มีเทียนไข มีไฟแช็ก อย่างไรก็ยังหุงต้มกินได้ มีน้ำอยู่เราก็ยังไปได้เป็นวัน ๆ ไม่มีข้าวไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีน้ำจะตายภายในไม่เกินสามวัน..!

แต่ที่อาตมาไปใช้วิธีเอาขวดน้ำไปแทน เอาขวดน้ำพลาสติกแบบฝาเกลียว ถ้าหากว่าแรงดีก็แบกไปสัก ๒ ขวด ถ้าจะพกบะหมี่สำเร็จรูปไป อย่าพกไปเป็นลังหรือเป็นซอง เพราะจะเกะกะมาก ให้บีบเส้นหมี่ให้ละเอียดเลย แล้วกรอกใส่ขวดน้ำลิตรครึ่ง กรอกไว้ให้เต็มขวด ลิตรครึ่งนี่ได้เป็นลังเลยนะ ถึงเวลาจะกินก็เทออกมา กะว่า ๑ ซองหรือ ๒ ซอง แล้วราดน้ำร้อนใส่ก็กินได้เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาโง่ไปแบกลังอยู่อีก ส่วนภาชนะไปหาเอาข้างหน้า ตราบใดที่ยังมีกอไผ่อยู่ก็ไม่ขาดภาชนะหรอก ใช้แล้วทิ้งได้เลยอีกต่างหาก

ถาม : มีดต้องเป็นมีดพร้าหรือเปล่า ?
ตอบ : จะเป็นมีดพกอะไรก็ได้ เลือกเอาที่ใช้งานสะดวก อย่าพกอะไรที่หนัก ถ้าเป็นมีดเดินป่าทรงมีดปาดตาลนั่นจะดี ส่วนมีดทหารนี่ห่วยแตกจริง ๆ ฟันอะไรก็ไม่ถนัด เพราะเอาไว้ฆ่าคนอย่างเดียว

เถรี 09-03-2012 11:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๘ มีนาคมนี้ อาตมาต้องไปเข้ากรรมฐาน ๑๕ วัน มหาวิทยาลัยเขาให้นักศึกษาต้องเข้ากรรมฐานครบ ๓๐ วัน ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้จบ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยพระ เขาก็เลยเน้นเรื่องสมาธิด้วย นักศึกษาจะต้องสะสมวันปฏิบัติธรรมให้ได้ ๓๐ วัน

นักศึกษาปริญญาตรีอย่างน้อยต้องปฏิบัติต่อเนื่องครั้งละ ๑๐ วันทุกปี ปริญญาโทต้องปฏิบัติต่อเนื่อง ๑๕ วัน รวม ๒ ครั้ง ๓๐ วัน ปริญญาเอกเจอรวดเดียว ๔๕ วัน..!"

เถรี 09-03-2012 12:10

ถาม : เวลาอ่านหนังสือจะภาวนาไปด้วยอย่างไรคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่ามีความชัดเจนของสมาธิเท่าไร คนฝึกสมาธิใหม่ ๆ ถ้ามุ่งเน้นด้านหนึ่ง ก็จะขาดอีกด้านหนึ่งไป อย่างเช่น ถ้าเราสนใจเนื้อหาหนังสือ ตัวสมาธิภาวนาก็จะเลือนไป พอเรามาเน้นสมาธิภาวนา ใจก็จะไม่เข้าใจเนื้อหาหนังสืออีก

ต้องแบ่งความรู้สึกสองส่วนให้ได้เท่า ๆ กัน เพียงแต่ว่าการทำอย่างนี้นานไปแล้วจะเกิดผลเสียอย่างหนึ่ง ก็คือ พอเราภาวนาไปแล้วฟุ้งซ่านได้ด้วย เพราะใจแยกเป็น ๒ อย่าง ถ้าเกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา ให้รีบดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ กำลังใจถึงจะทรงตัว

การแยกจิตแยกกายเป็นเรื่องของพวกซักซ้อมเกมกีฬาสมาธิ แต่ถ้าหากว่าทำแล้วควบคุมไม่เป็น ต่อไปจะฟุ้งซ่านทั้ง ๆ ที่นั่งสมาธิอยู่

ถาม : ในเบื้องต้นก็ควรจะแยกทำอย่างหนึ่งไปเลย ?
ตอบ : จะทำอะไรก็ทำให้จริงไปสักเรื่องหนึ่ง

เถรี 09-03-2012 12:13

ถาม : จะทำบุญบ้าน และอยากทำบุญให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วด้วย ต้องทำแบบไหนคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเองจ้ะ ทำแบบไหน ทำที่ไหนก็ตาม ต้องนึกถึงขอให้ท่านมาโมทนาก็ได้ ถ้าหากว่ามีเวลาและสะดวก ก็จัดสวดมนต์เย็น ถวายอาหารเช้าที่บ้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะก็ได้ ถ้าไม่สะดวกก็หอบเอาสังฆทานไปถวายวัดใกล้บ้าน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้เหมือนกันจ้ะ ทำที่ไหนก็ได้ สาระไม่ได้อยู่ว่าทำที่ไหน สาระอยู่ตรงที่ได้ทำหรือไม่

ถาม : สิ่งที่เราทำบุญไป เขาจะได้รับหรือเปล่า ?
ตอบ : โทรไปถามสิจ๊ะ โทรไปถาม “ท่าน..ที่ทำบุญไปได้รับไหม ?” เบอร์เขาให้ขึ้นด้วยเลข +๖๖๖ เบอร์นี้จะผ่านศูนย์กลางของซาตานแล้วจะไปถึงคนตาย..! (หัวเราะ)

เถรี 09-03-2012 12:41

มีโยมถวายเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๙ มา ท่านจึงกล่าวว่า "เครื่องบันทึกเสียงเครื่องนี้ ในหลวงถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงมา สมัยอาตมาไปฝึกบันทึกเทปใหม่ ๆ ไม่รู้ว่าต้องเปิดพัดลมด้วย ก็บันทึกยาวไป ๓ - ๔ ชั่วโมง เครื่องร้อนฉ่าเลย แต่ยังไม่พัง

ไปถึงหลวงพ่อท่านก็สอนว่าเอาเทปใส่ตรงนี้ เอาตัวมาสเตอร์เทปใส่ตรงนี้ กดปุ่มนี้ บันทึกตรงนี้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาออกมาพิมพ์ว่าเป็นเทปม้วนไหน แล้วก็เอาออกมาเก็บ เตรียมส่งไปจำหน่ายที่ธัมมวิโมกข์ ท่านไม่ได้บอกนี่ว่าต้องเปิดพัดลมด้วย

มีสวิทช์อยู่ตัวหนึ่งที่กดแล้วพัดลมจะพัดระบายความร้อน พอไม่ได้กด เครื่องก็ร้อนฉ่า ถ้าพังตอนนั้นก็หัวโตเลย สมัยนั้นเครื่องบันทึกเสียงในเมืองไทยราคาตั้ง ๔ แสนกว่าบาท พวกห้องอัดเสียงที่ทำเทปขายเขาถึงมีได้ นี่ในหลวงท่านทรงสั่งนำเข้ามา ได้รับการยกเว้นภาษี ราคาก็เลยไม่ถึงแสนบาท

ช่วงนั้นลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่า ๆ จะต้องฝึกเรื่องบันทึกเทป และจำหน่ายวัตถุมงคล งานหลัก ๆ เลยก็คือทำความสะอาดวัด กวาดกันจนหูตาลายเพราะว่าวัดกว้างมาก"

เถรี 09-03-2012 12:46

"ตอนช่วงนั้นศาลา ๒ ไร่ยังไม่มี หลวงพ่อท่านกำลังดำเนินการติดต่อขอซื้อที่ชาวบ้าน แต่ชาวบ้านใกล้วัดมักจะมองว่าหลวงพ่อรวย แล้วก็ขายที่ให้แพงกว่าปกติหลายเท่า หลวงพ่อก็เลยต้องให้คนในพื้นที่ไปถามซื้อ พอซื้อเสร็จแล้วค่อยโอนมาเป็นชื่อวัด

บริเวณศาลา ๒, ๓, ๔ ไร่ , ปราสาททองคำ ตลอดถึงธุดงค์ ๑๐๐ ไร่ ก่อนหน้านี้ยังเป็นท้องนา จะมีต้นไม้หลัก ๆ ก็คือทองกวาว ทองกวาวทางอีสานเขาเรียกดอกจาน จะเป็นโคกเป็นคันนาแล้วก็มีทองกวาวขึ้น

ส่วนที่เป็นท้องนาก็น่าเวทนาเหลือเกิน ปลูกข้าวงามเต็มที่สูงแค่คืบกว่า ๆ ถามเขาว่าได้ข้าวประมาณเท่าไร เขาบอกว่าไร่หนึ่งประมาณ ๑๐-๑๕ ปีบ เวรกรรม..ของที่อื่นอย่างไม่มี ๆ ก็ ๘๐ ถัง หลวงพ่อบอกที่เขาหากินไม่ขึ้นเพราะเป็นที่วัดเก่า ถ้าใครอยากจะทำกินขึ้นให้ชำระหนี้สงฆ์เสียก่อน ท่านอุตส่าห์ไปขอซื้อคืนเขายังจะขายแพง ๆ อีก

สมัยแรก ๆ ศาลา ๑๒ ไร่ยังไม่มี ที่ตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ก็ยังไม่มี ทางด้านหลังวัดก็จะมีหลวงตาวัชรชัยเดินบิณฑบาตประจำ บางวันถ้าท่านติดภาระอย่างอื่น พวกอาตมาก็จะแทรกไปแทนบ้าง พอเดินพ้นเขตท้ายวัด ก็คือป้อมยามที่อยู่ติดกับหอสูบน้ำที่อยู่มุมศาลา ๑๒ ไร่ จะมีเครื่องสูบน้ำอยู่เครื่องหนึ่ง ตรงนั้นจะเป็นจุดสุดเขตวัด แล้วตรงที่ตั้งศาลา ๑๒ ไร่ก็ยังเป็นท้องนา

พอนึกถึงภาพเก่า ๆ แล้ว เทียบกับสมัยนี้ที่เจริญขึ้นจนกระทั่งคนรุ่นใหม่นึกไม่ออกว่าสมัยนั้นเป็นอย่างไร แถวศาลา ๓ ไร่ จนต่อมาถึงถนนเป็นดงไผ่หนามทั้งดง ระยะหลังหลวงพ่อท่านทำตรงพื้นที่ต่อศาลา ๓ ไร่ออกมาเป็นสวนไผ่ ต้นไผ่นั่นก็คือไผ่ดั้งเดิมเลย ถ้าไม่ขึ้นใหม่ก็แปลว่าหมด ท่านก็อุตส่าห์เว้นช่องให้ขึ้นได้

อาตมาก็ปีนตามช่องนั่นแหละมุดลงข้างใต้ ไปอยู่กับพวกจระเข้น้อย พวกงูเหลือม เขาอาศัยอยู่ในนั้นเยอะแยะ อาตมาไปฝึกกรรมฐาน ข้างใต้นั้นยกพื้นอยู่จึงเดินจงกรมได้สบาย พอถึงเวลาเดินจงกรมแล้วก็เข้าที่ภาวนา จะมีอยู่ ๓ - ๔ ท่านที่ไปอย่างนั้นประจำ มีอาตมา ท่านชาติชาย หลวงพี่ไพบูลย์"

เถรี 09-03-2012 15:52

ถาม : ถ้าเรายกจิตขึ้นพระนิพพาน สามารถยกขึ้นได้เลย ไม่ต้องภาวนาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคนมีความคล่องตัวแล้ว ไม่ทันภาวนาก็ไปแล้ว แรก ๆ ก็ต้องตั้งท่า ไปกันตามลำดับที่ฝึกมา พอคล่องตัวมาก ๆ ไม่ทันจะรู้ตัวหรอก คำภาวนาอะไรก็ไม่ทันจะใช้ แค่นึกก็ไปแล้ว

ถาม : ไปได้ตลอดหรือคะ ?
ตอบ : จะไปเมื่อไรก็ไปสิจ๊ะ อยู่บนนั้นตลอดไปเลยได้ยิ่งดี

ถาม : พอขึ้นไป ฟังแล้วไม่ได้ยิน ยังฟังไม่รู้เรื่องเวลาพระท่านพูด
ตอบ : ตั้งใจขอให้ท่านสงเคราะห์ หรือกราบขอบารมีท่านให้เห็นหรือได้ยินอย่างชัดเจนด้วย

เถรี 09-03-2012 16:07

ถาม : พระท่านหนึ่งสอนสมาธิผม ท่านบอกว่าให้กำหนดแค่กึ่งกลางตรงศีรษะ โดยไม่สนใจลมหายใจ ผมขอถามว่าอยู่ในกรรมฐานหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็ลองทำดูสิ..แต่อะไรก็ตามถ้าไม่ได้ควบลมหายใจเข้าออก จะไม่ทรงตัวหรอก ยกเว้นอย่างเดียวว่า คุณซักซ้อมเรื่องของฌานสมาบัติจนกระทั่งคล่องตัวแล้ว คราวนี้จะกำหนดที่ไหนก็กำหนดไปเลย

ที่ท่านว่ามาอยู่ในลักษณะของคนทำเป็นแล้ว ไม่ใช่คนเพิ่งเริ่มหัด ถ้าเพิ่งเริ่มหัดต้องเอาลมหายใจเข้าออกด้วย ยกเว้นว่าคล่องตัว จะเอาสมาธิขั้นไหนก็เข้าได้เลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปจับลมหายใจ จะเอาจิตไปอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไปได้

ถาม : ถ้าพระลูกวัดหรือเจ้าอาวาสท่านไม่ทำวัตรเช้าเย็นหรือบิณฑบาต ผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แล้วแต่วัดท่าน เพราะว่ากติกาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องทำ เพียงแต่ว่าถ้าเราทำในเรื่องวัตรปฏิบัติต่าง ๆ จนกระทั่งเคยชินแล้ว เรื่องสมาธิอื่น ๆ จะทำได้ง่าย เนื่องจากเคยชินกับการโดนบังคับแล้ว เพราะฉะนั้น..การมาบังคับใจจะทำได้ไม่ยาก แต่อย่างพวกที่ไม่เอาเรื่องวัตรปฏิบัติอะไรเลย แล้วจะมาฝึกสมาธิก็เหมือนกับควายเปลี่ยว ต้อนควายเปลี่ยวเข้าคอกก็ดิ้นตาย

ถาม : แล้วถ้ามีพระจูงมือลูกวัด ซึ่งเป็นจริยาที่ไม่สมควร ท่านมีความผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าผิด เขาปรับอาบัติทุกกฎเท่ากับจับเงิน เขาถือว่ากายสังสัคคัง คือมีการสัมผัสระหว่างกายกัน ผู้ชายต่อผู้ชายท่านก็ห้าม ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเพราะท่านรู้ว่าสมัยนี้จะมีพวกชายไม่แท้เยอะ..!

ถาม : ถ้าท่านจับเหมือนกับเป็นลูกเป็นหลานครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เจตนา แล้วแต่ใครจะมองมุมไหน

คนเราดีแสนดี คนจะติก็หามาติจนได้ ไม่ต้องไปใส่ใจแทนท่านหรอก เขาบอกว่าพระพุทธชินราชสวยที่สุดในโลก ลูกอีช่างติก็ยืนมอง ๆ มองซ้ายมองขวา ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเสร็จก็บอกว่า “เออ..ก็สวยดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..!” หาเรื่องติจนได้ เพราะฉะนั้น..ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขาเถอะ

เถรี 09-03-2012 16:09

ถาม : ในการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม ผู้ที่บวงสรวงต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ควรจะรู้ให้จริงว่าท่านอนุญาตหรือไม่ ? ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวได้เฮงแน่

ถาม : ถ้าผู้ที่ทำพิธีไม่มีคุณสมบัติที่จะทำพิธีบวงสรวง เราสร้างพระกับท่าน บุญที่เราตั้งใจทำจะได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บุญเป็นของเรา ความซวยเป็นของท่าน..!

ถาม : คาถาทะพะมะนะ เป็นคาถาปลดกุญแจ แล้วคาถามหาพิทักษ์ ท่านเอาไว้ล็อกทุกสิ่งทุกอย่างใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านเอาไว้รักษาทรัพย์ แปลว่าต่อให้ปลดกุญแจได้ ถ้าคนใส่กุญแจเขาใช้คาถาเป็น เราก็ไม่นึกอยากที่จะขโมย

เถรี 10-03-2012 12:55

ถาม : พวกรูปพระในหนังสือพิมพ์ ถ้าทิ้งสะเปะสะปะก็ไม่ควร ถ้าเราเอามาเผา ?
ตอบ : ขอขมาพระแล้วก็เผาไปเลย โบราณเรียกว่า "จำเริญ" เขาใช้ ๒ วิธีคือด้วยน้ำหรือด้วยไฟ แต่สมัยนี้ถ้าเราไปลอยน้ำในกรุงเทพฯ ก็อาจเสียค่าปรับเยอะ ดังนั้นก็เผาเสีย ที่โบราณเขานิยมลอยน้ำเพราะเขาถือว่าเย็นกว่า แต่ความจริงน้ำกับไฟมีสภาพเหมือนกัน ก็คือไม่รังเกียจว่าของจะสกปรกหรือสะอาด รับได้ทั้งนั้น

เถรี 10-03-2012 13:27

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่าเอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจก็สบายแล้วจ้ะ เราชอบไปแบกแทนคนอื่นเขานี่ ก็แค่เลิกเท่านั้นเอง ถึงรู้สาเหตุแต่ถ้าไม่แก้ก็ไม่ได้

ถาม : ผมปฏิบัติไปแล้ว โทสะกลับเกิดง่ายขึ้น ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ก็แค่ควบคุมตากับหูเรา ตาเห็นกับหูได้ยินอย่าเพิ่งรับเข้ามาในใจ ถ้าตาเห็นหูได้ยินแล้วรับเข้ามาในใจ จะเป็น ๒ อย่าง คือ ชอบกับไม่ชอบ แล้วส่วนใหญ่เราก็ไม่ชอบเสียด้วย ในเมื่อส่วนใหญ่เราไม่ชอบก็จะหงุดหงิดขึ้นมาเพราะเกิดแรงกระทบ แล้วก็กลายเป็นโทสะ ต้องระวังให้ทันนะ

ความจริงจมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เอาเรื่องพอ ๆ เหมือนกันนั่นแหละ แต่หูกับตาจะมาเร็วที่สุด

ถาม : ระวังไม่ทันจึงสอบตก ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ สอบตกทำให้เรารู้ตัวว่ากำลังยังไม่พอ เราจะได้เร่งตัวเองมากขึ้น การสอบตกไม่ใช่เรื่องน่าละอายจ้ะ เรารู้ตัวแล้วพยายามแก้ไข บอกแล้วว่าทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน มีแต่ได้ทั้งคู่ไม่มีเสีย

ถาม : ขอให้ผมสำเร็จซึ่งพระโพธิญาณในอนาคตกาลด้วยเถิด
ตอบ : โมทนาจ้ะ แต่อาตมาไม่ไปด้วยแล้วนะ อาตมาเดินทางมาถึงป่านนี้แล้ว รู้ว่าทางเส้นนี้ไกล แต่ก็แปลก มีที่แวะข้างทางมีเยอะ แต่หลายต่อหลายคนกำลังใจมุ่งมั่นมาก ไม่แวะสักที ก็อย่างว่า..คนจะทำงานใหญ่กำลังใจต้องเข้มแข็ง

เถรี 10-03-2012 13:45

ถาม : ทำไมส่วนใหญ่ถึงลาพุทธภูมิ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่มั่นคงพอ เพราะว่าไม่ได้เกิดจากความปรารถนาที่แท้จริง จะอยู่ในลักษณะที่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ แสดงพุทธปาฏิหาริย์เปิดโลก ตั้งแต่พระนิพพานยันอเวจีมหานรกให้เห็นถึงกันหมด ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่าก็จะเห็นว่านี่คือบุคคลที่เป็นเลิศที่สุด แล้วจะมีความปรารถนาลึก ๆ ในใจว่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นบ้างก็ดี นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรารถนาพุทธภูมิ

คราวนี้ก็อยู่ที่ว่ากำลังใจจะมั่นคงแค่ไหน แต่ก็อย่างว่า ร้อยละเกิน ๙๐ ทิ้งหมด ทนความลำบากไม่ได้

ถาม : เป็นพุทธธรรมเนียมหรือครับที่พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลก ?
ตอบ : ไม่ใช่พุทธธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในช่วงนั้น อย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันโดนศาสนาอื่นคุกคามมาก ทั้งที่เจ้าลัทธิอื่นบางทีก็ไร้ความสามารถ แต่เนื่องจากว่าได้ลาภยศจากการที่คนเขาเคารพนับถือมาก่อน พอศาสนาพุทธมาชี้แจงธรรมะที่แท้จริงให้ คนได้สติมากขึ้น เลิกงมงาย หันมาปฏิบัติตามศาสนาพุทธ ทำให้ลาภผลของพวกเขาลดลง เขาก็เลยต้องหาทางสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา

จ้างคนไปด่าว่าบ้าง มีการปล่อยข่าวลือบ้าง ท้ายสุดก็พอได้ยินพระพุทธเจ้าท่านประกาศห้ามสาวกแสดงฤทธิ์ เขาก็เลยประกาศว่าจะแสดงฤทธิ์แข่งกับพระพุทธเจ้า ต้องบอกว่าพวกนี้จริง ๆ แล้วฉลาดมาก เพียงแต่ว่าใช้ความฉลาดไปในทางที่ผิด

เถรี 10-03-2012 13:52

ถาม : ผมไปอินเดียมา เอาใบโพธิ์ตรัสรู้มาถวายท่านด้วยครับ
ตอบ : โมทนาด้วยจ้ะ อาตมาเคยได้มาใบโพธิ์มาทั้งกิ่งเลย ตอนนั้นโยมเขาอยากได้ พอไปแล้วกิ่งสด ๆ หักลงมาทั้งช่อ เป็นสิบ ๆ ใบเลย แสดงว่าท่านให้จริง ๆ ส่วนอาตมาเคยเจอใบโพธิ์กว้างเป็นฟุตเลย ไม่ได้เก็บมาหรอก ถ่ายรูปไว้เฉย ๆ ต้นนี้อยู่ที่วัดหนองบัว

ปีนั้นเรากำหนดงานฉลองวัดหนองบัว เพราะว่าไปช่วยสร้างให้เขามา ๕ - ๖ ปี ปรากฏว่าปีนั้นต้นวาสนาทุกต้นออกดอกหมด แล้วใบโพธิ์แตกใบใหม่กว้างเป็นฟุต ใหญ่ขนาดเอามาปิดปากบาตรได้สบายเลย ก็ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ เพราะว่าวัดนั้น ๔๐๐ กว่าปีแล้วไม่มีการบูรณะ ไปทำให้เขาดีขึ้นมาก็เลยกลายเป็นนิมิตแสดงออกให้เห็น

ถาม : วัดหนองบัวอยู่แถวไหนครับ ?
ตอบ : จังหวัดจะอีน รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า แถวนั้นเขามีบ้านสองแคว บ้านสามพระยา บ้านป่าหวาย บ้านใหม่ บ้านป่าลาน คนไทยโดนกวาดต้อนไปสมัยเดียวกับพระนเรศวร ก็เลยยังใช้ชื่อไทยอยู่ แต่เวลาพม่าเรียกเราจะฟังยาก อย่างสามพระยาพม่าออกเสียงเป็นตำมะยา เลยกลายเป็นบ้านมะนาวแทนที่จะเป็นบ้านสามพระยา ป่าลานพม่าออกเสียงเป็นปาตะแล

ที่พม่าดีอยู่อย่างคือ ถึงแม้เราจะไม่ได้ภาษาเขา ก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ภาษาเขา ไม่ได้ภาษาอังกฤษ ก็ใช้ภาษาไทยนี่แหละ คนพม่าทั้งประเทศพูดไทยได้เกือบหมด เพราะมาทำงานเมืองไทยกันแทบทุกคน

เถรี 10-03-2012 14:24

พระอาจารย์กล่าวถึงงานพุทธาภิเษกที่วัดเนินสุทธาวาสว่า "ปกติแล้วงานพุทธาภิเษกแบบนั้น ถ้ามีเวลาก็จะแอบดูว่าท่านอื่น ๆ ทำอย่างไร จึงพบว่าเกินร้อยละ ๙๐ ใช้กำลังตนเองทั้งนั้น ก็เลยแปลกใจว่าวิธีการขอบารมีพระสงเคราะห์ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไร ต้องบอกว่าเป็นที่รู้กันทั่วไป แล้วทำไมท่านไม่ทำกัน ?

อาจจะเป็นเพราะความเคยชินก็ได้ ถึงเวลาก็ใช้กำลังตัวเอง แต่ว่าหลายท่านกำลังใช้ได้จริง ๆ กำลังใจพุ่งเป็นเข็มเลย พอดีนั่งคู่กับหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร แล้วก็มีหลวงพ่อนิยม วัดถลุงทอง ขนาบข้างอีกข้างหนึ่ง หลวงปู่ฟูท่านเข้าไปก่อนสัก ๑๐ นาที ส่วนอาตมาเขานิมนต์ตามเข้าไปเพราะว่าที่นั่งไม่พอ เขานิมนต์พระ ๔๙ องค์ แต่ว่าที่นั่งมีไม่ถึง ก็ต้องผลัดกันเข้าผลัดกันออก

ไปถึงขอบารมีพระท่านเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าสมาธิยาวไปเลย รอจนพระท่านบอกว่าเสร็จแล้ว ลืมตาขึ้นมาทำน้ำมนต์ หลวงปู่ฟูท่านก็ลืมตามาทำน้ำมนต์ ทำเสร็จเรียบร้อยท่านก็หันมาบอก "พอแล้ว..เต็มแล้ว..ไปกันเถอะ" หลวงปู่ก็เป็นยอดฝีมือ แสดงว่าท่านก็ดูอยู่ว่าพระท่านบอกอย่างไร พอถึงเวลาพระท่านบอกเต็มแล้วก็ลืมตามาทำน้ำมนต์ ทำน้ำมนต์เสร็จก็ต่างคนต่างพรม พรมเสร็จก็ชวนกันออกมา ปล่อยท่านอื่นเขานั่งกันต่อไป"

เถรี 10-03-2012 14:35

"วัดเนินสุทธาวาส ถ้าหลวงปู่เกลี้ยงมรณภาพนี่จะลำบากนิดหนึ่ง เพราะคนเป็นเจ้าอาวาสใหม่จะต้องลำบากใจ และเป็นอย่างนี้แทบทุกวัด คือต่อให้เจ้าอาวาสใหม่เก่งเท่าเจ้าอาวาสเก่า เขาก็คิดถึงแต่เจ้าอาวาสเก่า ถ้าเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ ก็จมดินหายไปเลย วัดโทรมทันตาเลย แล้วหลวงปู่เกลี้ยงท่านเป็นเจ้าอาวาสมา ๕๐-๖๐ ปี ไม่ใช่บวชมา ๕๐-๖๐ ปีนะ แต่เป็นเจ้าอาวาสมา ๕๐-๖๐ ปี..!"

เถรี 10-03-2012 21:01

ถาม : จิตวิญญาณกับวิญญาณขันธ์เป็นอันเดียวกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถามแล้วได้อะไร ? ถ้าช่วยให้การปฏิบัติเราก้าวหน้าก็ถามมา แต่ถ้าถามเพราะอยากรู้ก็ไม่ต้องถาม

ถาม : ก็มีส่วนให้ก้าวหน้าครับ คำว่าจิตวิญญาณกับวิญญาณขันธ์ เป็นอันหนึ่ง ?
ตอบ : คุณถามคำถามผิด จิตก็คือจิต วิญญาณก็คือวิญญาณ จิตในความหมายของคุณก็คือที่เขาเรียกว่าผี แล้วดันไปเรียกว่าวิญญาณ แต่วิญญาณของบาลีก็คือตัวประสาทรับรู้ของร่างกายเรา

เพราะฉะนั้น..ถ้าแยกระหว่างจิตกับวิญญาณก็เป็นคนละอย่างกัน จิตคือตัวรู้ วิญญาณก็คือประสาทรับความรู้สึก เพราะฉะนั้น..วิญญาณขันธ์ของคุณ ถ้าตามหมอสมัยใหม่ก็เป็นเส้นประสาท

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่าจิตกับวิญญาณต้องอาศัยกันอยู่จริงไหมครับ ?
ตอบ : จิตอาศัยร่างกายนี้อยู่ ถ้าไม่มีวิญญาณรับรู้จิตก็ทำงานไม่ได้

ถาม : คนที่ตายไปแล้วที่อยู่ในภพภูมิอื่น ถือว่ามีจิตวิญญาณไหมครับ ?
ตอบ : นั่นคือจิต แต่ส่วนใหญ่ภาษาชาวบ้านจะเรียกว่าวิญญาณหรือเรียกว่าผี

ถาม : แล้ววิญญาณในขันธ์ ๕ ที่แปลว่าตัวรู้ นี่คนละอันกัน ?
ตอบ : วิญญาณคือประสาทรับความรู้สึก ถ้าร่างกายนี้ตาย วิญญาณหรือประสาทรับรู้ก็ตายไปด้วย

ถาม : แล้ววิญญาณในขันธ์ ๕ ในพระไตรปิฎกคืออะไรครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าประสาทความรู้สึก

ถาม : ไม่ใช่แปลว่าตัวรู้หรือครับ ?
ตอบ : ตัวรู้คือจิต

เถรี 10-03-2012 21:05

ถาม : แล้วกฎแห่งกรรมกับกฎสังสารวัฏ ใครเป็นผู้คุมกฎ ?
ตอบ : เราทำเอง เพราะฉะนั้น..จะเรียกว่าเราเป็นผู้คุมกฎก็ได้ เพราะถ้าเราไม่ทำก็ไม่ต้องรับกรรมนั้น ๆ ถ้าทำเมื่อไรก็ต้องรับ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว

ถาม : แต่ละคนเป็นคนรับ ไม่มีใครมาคุม ?
ตอบ : การกระทำของเรา ที่บาลีเขาเรียกว่ากรรมหรือกัมมะนั่นแหละคือตัวควบคุม เขาถึงได้เรียกว่ากฎแห่งกรรม ก็คือ ทำดีคุณได้ดี ทำชั่วคุณได้ชั่ว เพียงแต่ว่าเร็วช้าอยู่ที่ลักษณะการกระทำของเรา

ถาม : เสมอทุกคนหรือครับ ?
ตอบ : ทุกคนไม่มีเว้น จนกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นกรรมไปแล้ว สิ่งที่ท่านกระทำเป็นเพียงจริยาเท่านั้น ไม่เป็นกรรมเพราะว่าจิตไม่ได้ปรุงแต่งไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง

เรื่องพวกนี้เกินความรู้คุณไปมาก พูดไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วที่ถามมาอาตมาไม่เห็นประโยชน์เลย สักแต่ว่ารู้ให้หายคันแล้วก็เอาไปนั่งเถียงกับคนอื่นเขาต่อ บางทีก็ไปยืนยันกับเขาว่าอาตมาว่าอย่างนั้น ถ้าคนที่เขาจะเถียงเสียอย่างก็เลยพลอยด่าอาตมาไปด้วย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะการเถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมไม่สามารถเข้าถึงสมาธิ" ผู้ที่ไม่เข้าถึงสมาธิปัญญาไม่เกิด ในเมื่อปัญญาไม่เกิดการหลุดพ้นก็ไม่มี

เถรี 10-03-2012 21:22

ถาม : สุขาวดีกับพุทธเกษตร เป็นอันเดียวกับนิพพานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของมหายานเขา อย่าเอามาปนกัน อย่าลืมว่าของเรานับถือพุทธศาสนาสายเถรวาท

ถาม : ตามความเชื่อของมหายาน ถ้าทำจริง ๆ แล้วมีจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มี

ถาม : ถ้ามีแล้วอยู่ในเขตภพภูมิไหน ?
ตอบ : อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วไม่ต้องไปยืนยันกับคนอื่นเขา เขาจะหาว่าคุณบ้า สุขาวดีหรือพุทธเกษตรเป็นแดนของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะอยู่ประจำที่ชั้นดุสิตเป็นปกติ

พระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องทั้งหลายนี้ พระองค์ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ท่านหมายเอามรรคผลนิพพานเป็นที่ตั้ง การที่ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกนับชาติไม่ได้ พระองค์ท่านก็เลยไม่สอน แต่ว่าครูบาอาจารย์รุ่นหลังท่านไปพบเข้าแล้วเกิดชอบใจ เอามาสอนก็เลยกลายเป็นพุทธศาสนาสายมหายานขึ้นมาเท่านั้นเอง

ถาม : ที่ว่าอรูปพรหมสื่อไม่ได้หรือสื่อไม่ถึง เป็นจริงไหมครับ ?
ตอบ : ลองไปสื่อดู ท่านไม่มีอายตนะรับรู้ มีแต่จิตเฉย ๆ ก็เลยรับอะไรไม่ได้ จนกว่าจะหมดบุญหมดกรรมแล้วมามีขันธ์ ๕ ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขันธ์ทิพย์หรือขันธ์หยาบก็ตาม ต้องประกอบไปด้วยอายตนะถึงจะรับรู้ต่อไปได้

เถรี 11-03-2012 08:40

พระอาจารย์กล่าวถึงการสาธยายพระไตรปิฎกว่า "ช่วงที่อาตมาไปฝึกอบรมนักเทศน์ เขาบอกว่าการประกาศศักราชไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่ถ้าใครมีได้ก็จะดี ยังดีที่ยุคหลังนี้การประกาศศักราชเพียงแต่บอกว่าผ่านไปแล้วเท่าไร ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่นอกจากบอกว่าผ่านไปแล้วเท่าไร ยังบอกอีกว่าเหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี

ความจริงเป็นการเตือนสติให้คนรู้ว่า ระยะเวลาของพระพุทธศาสนาสั้นลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าเราไม่เร่งทำความดีไว้ อาจจะไม่ทัน เนื่องจากว่าการประกาศศักราชนั้นเขาประกาศเป็นบาลี ก็มีการเปลี่ยนปี เปลี่ยนเดือน เปลี่ยนวัน อยู่บ่อย ๆ พวกขี้เกียจจำหรือขาดความคล่องตัวก็เลยเบื่อที่จะประกาศศักราช เพราะกลายเป็นของยาก

ปกติแล้วช่วงเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านวิริยบารมีคนจะมาน้อย ก็เลยพอที่จะหลบไปช่วยท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ประกาศศักราช แล้วค่อยกลับมารับสังฆทาน อย่างน้อย ๆ เวลาที่พวกเราไปกันเห็นคนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ยังพอดูแล้วชื่นใจหน่อย ว่าคนที่สนใจทำความดียังพอมีอยู่ ไม่ใช่กลายเป็นส่วนน้อย แปลกแยกจากสังคม ทำแล้วบ้า..!

ใครที่ทำตัวมีสติ ในสายตาของคนไร้สติเขาจะว่าบ้าทุกคน ให้ทนไปก่อน เดี๋ยวต่างคนต่างตายไปก็รู้เองว่าใครเป็นใคร

แบบเดียวกับคุณยายเมื่อเช้านี้ บอกว่าเจอผีอิสลามอุ้มลูกมาอยู่หน้าบ้าน ผีเรียกให้ออกไป คุณยายก็ออกไปดูหน้า แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะกลัวว่าอุทิศส่วนกุศลไปแล้วผีจะไม่รับ โธ่..ผีอุตส่าห์มา อาตมาบอกคุณยายว่าผีเวลาตายเขาฉลาดทุกตัว ไม่เหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่โง่บรรลัยเลย เพราะไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พอตายแล้วรู้ทุกตัว รู้ว่าอะไรดีมีที่ไหนก็พยายามที่จะไปหา"

เถรี 11-03-2012 08:43

"ท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ ท่านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น โดนไฟช็อตตาย พอฟื้นขึ้นมาท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาจัดงานสาธยายพระไตรปิฎก จัดเป็นการกุศลจริง ๆ ใครจะทำบุญกับท่านอย่าถาม เอาเงินไปส่งให้ท่านเลยก็จบแค่นั้น เพราะถ้าถามท่านจะบอกว่าไม่รับ

ท่านจัดสาธยายพระไตรปิฎกมาหลายปีแล้ว เข้าเนื้อท่านอยู่บ่อย ๆ แต่ก็จัดไปเรื่อย เงินเดือนผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ น่าจะอยู่ ๓๐,๐๐๐ บาทเศษ ๆ แต่เกลี้ยงไม่เหลือหรอก ถึงเวลาท่านเช่าเต็นท์จัดงานที ๗ วัน ค่าเต็นท์เต็นท์ใหญ่ ๆ เขาคิดวันละ ๒,๕๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท ๗ วันก็ตกสองหมื่นบาทแล้ว ไหนจะค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก"

เถรี 11-03-2012 09:39

พระอาจารย์กล่าวถึงวงการพระเครื่องว่า "มีพวกเซียนพระบางคนเล่นเฉพาะพระเนื้อทองคำ เขายืนยันว่าอย่างไรเขาก็มีกำไร มีอยู่รายหนึ่งได้พระเป็นมรดกจากพ่อ ๓๐๐ กว่าองค์ อยากจะได้เงินไปลงทุนทำธุรกิจ ก็เลยเอาพระไปให้เซียนเขาดู ปรากฏว่าปลอมทุกองค์ แต่พอแกะกรอบไปขายแล้วได้มาเกือบ ๓ ล้านบาท เพราะพ่อเลี่ยมทองไว้ทุกองค์เลย แสดงว่าพ่อรักพระจริง พระ ๓๐๐ กว่าองค์เลี่ยมทองนี่ปาไปเท่าไรแล้ว ตีเสียอย่างน้อยทอง ๑๕๐ บาทแล้ว สรุปว่าพระปลอมแต่ทองแท้ ได้เงินไปลงทุนจนได้

จะว่าไปแล้วคำว่าปลอมหรือไม่ปลอมอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้ากำลังใจเราเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า มีความเคารพเป็นปกติ ต่อให้ปลอมแค่ไหนก็เป็นของจริง แต่ถ้าหากว่าไม่มีความเคารพพระ คิดอยู่แต่เรื่องของการค้าขายเอากำไรอย่างเดียว จริงแค่ไหนก็เหมือนกับปลอม เพราะว่าไม่ได้ประโยชน์จากพระเลยนอกจากขายเอาเงินมาใช้

วงการพระเครื่องเป็นวงการของเสือสิงห์กระทิงแรด หาคนที่ซื่อสัตย์จริงใจยากมาก ใครที่มีของต่อให้แท้แค่ไหน เข้าไปถ้าเจอพวกขี้โกงก็กลายเป็นของปลอม เขาจะมีพวกเขาอยู่ ๘ - ๑๐ คน พอเขาบอกว่าปลอม ส่งต่อไป ทำท่าไม่สนใจ รายที่ ๒ ก็บอกปลอม รายที่ ๓ ก็บอกปลอม รายที่ ๔ ก็บอกปลอม พอเจ้าของหมดกำลังใจ เก็บพระลงกระเป๋าทำท่าจะกลับ “พี่ ๆ ปลอมได้เจ๋งมากเลย ขอซื้อไว้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยเถอะ พี่จะเอาเท่าไร ?”

ต้องขายให้เขาถูก ๆ เขาจะเอาเป็น "องค์ครู" ว่าอย่างนั้น ใช้คำว่าซื้อความรู้ แต่ถ้าขายเมื่อไรเราเองจะกลายเป็นฝ่ายซื้อความรู้ ซื้อแพงด้วย เพราะมารู้ทีหลังว่าโดนหลอก"

เถรี 11-03-2012 09:44

"มีพระบางรุ่นเขาตีว่าแท้ สร้างประวัติขึ้นมา พอคนฮือฮาก็ขายต่อในราคาสูง คนรับช่วงก็จุกไปตามระเบียบ หรือไม่ก็เที่ยวไปกว้านซื้อพระใหม่นี่แหละ สมมติว่าเป็นพระของวัดท่าขนุนก็แล้วกัน ไปถึงก็กว้านซื้อพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ ไว้ พอถึงเวลากว้านซื้อไปเยอะ ๆ เข้า คนเห็นว่าเซียนใหญ่กว้านซื้อต้องมีราคาแน่ ก็วิ่งไล่ซื้อเอาบ้างจนราคาสูงไปเรื่อย ๆ

พอสูงได้ระดับที่เขาต้องการ เขาก็ปล่อยที่ซื้อมา คนที่รับช่วงต่อไปก็จุกสนิท เพราะราคาสูงจนกระทั่งคนเขาไม่ตามกันแล้ว ก็เลยมีอนาคตแน่ ๆ เพียงแต่เป็นอนาคตลงดิ่งเหว วงการนี้เขี้ยวลากดิน ไม่จำเป็นอย่าเข้าไป หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่คบพวกนี้เลย

ประมาณปี ๒๕๑๘ อาจจะหลังจากปีนั้นหน่อยหนึ่งก็ได้ หลวงพ่อท่านสร้างพระปิดตา ตชด. เป็นปิดตาลักษณะเดียวกับพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านที่อาตมาทำองค์เล็กนั่นแหละ เพียงแต่ของท่านตัดมุมเป็นเหลี่ยม ไม่ได้ทำมุมมนแบบพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ท่านสั่ง ๓๐,๐๐๐ องค์ ปรากฏว่าเขาทำเกินเก็บไว้ถึง ๒๐,๐๐๐ องค์ พอเอาพระไปส่ง หลวงพ่อท่านสั่งเก็บเลย ท่านบอกว่าทางโรงงานผลิตเกิน จะว่าปลอมก็ไม่ได้เพราะเนื้อก็ใช่ พิมพ์ก็ใช่

ตอนนั้นหนังสือลานโพธิ์เขาไปลงว่า “ฤๅษีลิงดำรู้ด้วยญาณ โรงงานโกง สร้างพระเกินจำนวนที่สั่งไว้ ระงับการพุทธาภิเษก” หลังจากนั้นหลายปี พอเรื่องซาลงแล้ว ไม่มีใครใส่ใจแล้ว หลวงพ่อท่านค่อยเอาออกมาแจก ไม่อย่างนั้นทันทีที่ออกท้องตลาด เขาก็จะวางขายตามไปเลย

แบบเดียวกับพระขรรค์โสฬสวัดท่าขนุน ขนาดทำสัญญารัดกุมมากเลยว่าห้ามทำซ้ำ เขาก็ยังทำหน้าตาเฉย เพียงแต่เขาลดขนาดลง เขาทำเล็กกว่าของทางวัดหน่อยหนึ่ง เพียงแต่ชื่อเดียวกัน วัดเดียวกัน โรงงานเดียวกันอีกต่างหาก แล้วที่แสบกว่านั้นคือมีการถวายวัดมาอีก ๒๐๐ เล่ม เขาจะดูว่าวัดปล่อยออกมาราคาเท่าไร เขาจะได้ใช้ราคานั้นเป็นหลัก

อาตมาก็เลยให้โยมไปถามว่าที่โรงงานเขาออกราคาเท่าไร เขาบอกว่าโรงงานออก ๑๙๙ บาท จึงให้ทางวัดออก ๒๐๐ บาท ให้กำไรเขา ๑ บาท ในเมื่อเขาให้มา เราก็เลยช่วยเขาหน่อย ช่วยให้เขาได้กำไรไป ๑ บาท หลังจากนั้นมาอาตมากับโรงงานนี้ก็เลิกคบกัน ความดีเขาเยอะเกินไป ถ้าคบต่อไปเดี๋ยวจะดีตามไปด้วย..!"

เถรี 11-03-2012 10:08

พระอาจารย์กล่าวถึงงานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวงว่า "พออาตมาไปถึง หลวงตาวัชรชัยก็ส่งไมค์ให้ “เอ้า..เล็ก..ช่วยเชียร์น้ำมนต์ให้หน่อย” ทำอย่างกับอาตมาเป็นเด็กเชียร์เบียร์ไปได้ (หัวเราะ)

โอกาสที่พี่น้องจะไปรวมกันแบบนั้นจะยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแต่ละคนมีภารกิจ ยกเว้นว่าจะกำหนดล่วงหน้าเป็นงานประเพณีเฉพาะไปเลย ถ้าอย่างนั้นจะกำหนดวันล่วงหน้าได้ อย่างงานวันแม่ ๑๒ สิงหาคมของวัดท่าขนุน พี่ ๆ เขามักจะไปกันไม่ได้ เพราะวัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมต้องจัดงานกันทั้งนั้น อย่างวัดท่าซุง วัดเขาวง วัดศาลพันท้ายฯ ถึงเวลาก็ต้องจัดงานของตัวเอง ไปงานวัดท่าขนุนไม่ได้

พี่ ๆ แต่ละคนนี่เหลือเกินจริง ๆ เวลาพุทธาภิเษกก็นั่งรออาตมาเลย ปล่อยให้อาจารย์เล็กนำไปเถอะ ส่วนตนเองนั่งเชียร์ พอเสร็จพิธีเรียบร้อยเมื่อไร ก็รอดตายไปที

เคยได้ยินภาษิตจีนไหม ที่บอกว่า "เมื่อขึ้นมาจากน้ำไยต้องกลัวเปียกฝน" หรือไม่ก็ "คนอยู่ในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเอง" งานอย่างนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาถึง ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาถึง ก็โดดใส่งานเสียแต่แรกก็หมดเรื่อง จะเสียเวลาไปหลบไปหนีทำไม ประเภทหนีจนแทบล้มประดาตายแล้วในที่สุดก็เสร็จจนได้นี่เสียชื่อ วิ่งใส่เสียแต่แรกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าใครจะอยู่ใครจะไป

บางท่านก็กลัวว่ามางานอย่างนี้แล้วต่อไปจะเสียความเป็นส่วนตัว เพราะคนจะรู้จักเยอะ นั่นไม่ใช่..ความเป็นส่วนตัวขึ้นอยู่กับเรา ถ้าความโหดเพียงพอก็จะไม่เสียความเป็นส่วนตัว ใครโผล่มาผิดจังหวะก็งับหัวให้ เดี๋ยวเขาก็ถอยไปเอง

ในเมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งของลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ก็เท่ากับเป็นบุคคลในยุทธจักร ต่อให้คุณต้องการความสงบขนาดไหน อย่างไรก็หาความเป็นตัวของตัวเองยาก ในฐานะที่เกิดมาจากวัดท่าซุงก็เหมือนกับอยู่ในน้ำแล้ว ในเมื่อขึ้นมาจากน้ำเปียกโชกไปทั้งตัวแล้วจะไปกลัวฝนทำไม ? ว่าแล้วก็เดินลุยไปเลย เพราะฉะนั้น..ภาษิตจีนนี่มีความหมายลึกซึ้งนะ ขึ้นมาจากน้ำแล้วไยต้องไปกลัวเปียกฝน"

เถรี 11-03-2012 10:18

ถาม : ลูกแก้วจักรพรรดิในงาน เป็นของหลวงพ่อฤๅษีฯ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ความจริงอาตมาจะหยิบมาแล้ว เพราะว่าตอนหลวงพ่อมรณภาพ ย่ามของหลวงพ่ออยู่กับอาตมา แล้วอาตมาเองเป็นคนเอาไปถวายหลวงพี่อนันต์ท่านเอง ถ้าจะอมไว้เองตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าว่า เพราะตอนนั้นอาตมาเป็นมาเฟียคุมวัดอยู่..!

ถ้าหากว่าเอามาก็คงจะเหนื่อยรากเลือดอีก ความจริงแก้วทั้ง ๒ ดวงนั้น ถ้าหากว่าดูในแสงปกติจะทึบ ต้องส่องไฟใส่ถึงจะใส เพราะฉะนั้น..ถ้าหากอยู่ ๆ เห็นใครเขาถ่ายรูปดวงแก้วทึบ ๆ มา แล้วเราก็ไปบอกไม่ใช่ มีหวังเถียงกันตายเลย เพราะถ้าไม่ส่องไฟใส่จะสีทึบ

ถาม : ทำไมไม่เอามาละครับ ?
ตอบ : อาตมายังอยากมีชีวิตอยู่อีกพักหนึ่งว่ะ..ถ้าเอามาก็ตายเร็ว เท่ากับแบกงานไว้ทั้งหมด ตอนนี้งานของอาตมาก็เท่ากับเสี้ยวเดียว แหม..รื่นเริงมาก

ถาม : แล้วมีดูดมาบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ดูดเฉย ๆ เผื่อหมดทุกคนเลย แบ่งกัน..พวกเอ็งรวยข้าก็สบายไปด้วย แต่ที่ทำพิธีพุทธาภิเษกช้าเพราะว่าการเสกแก้วให้มีอานุภาพเหมือนพระเป็นเรื่องยากจริง ๆ ขนาดบารมีพระท่านสงเคราะห์ และมีแก้วจักรพรรดิอยู่ด้วยยังยาก ไม่อย่างนั้นมีหวังปาเข้าไปอย่างน้อย ๒ - ๓ ชั่วโมง

ถาม : ทำไมท่านไม่ทำเพชรจักรพรรดิบ้างละครับ แบบเพชรเบลเยียม ?
ตอบ : เดี๋ยวรอคุณก้านบัวว่าง ๆ ก่อน จะเล่นเพชรเดอเบียร์เลยก็ไม่ว่า เท่าไรก็ไม่ว่าถ้าคนอื่นลงทุน..!

ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงเขาหมั้นกันด้วยแหวนจักรพรรดิมาเยอะแล้วนะ เล่นเอาสาว ๆ บ่นอุบเลย บอกว่าแหวนจักรพรรดิไม่เป็นสากล ยอมรับกันเฉพาะหมู่พวกเราเท่านั้น แต่สาวจะปฏิเสธก็ไม่ได้ ถ้าปฏิเสธก็หาว่าเพชรของหลวงพ่อไม่ดีสิ แล้วถ้าหนุ่มเอาไปหมั้นคนอื่นแทน ตัวเองก็จะเดือดร้อนอีก ท้ายสุดก็กัดฟันรับ ๆ เอาไว้

หมายเหตุ : ข้อความนี้ไม่อนุญาตให้นำออกจากเว็บวัดท่าขนุนค่ะ


เถรี 11-03-2012 16:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีงานทำบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๒๙ มีนาคมนี้นะจ๊ะ สวดมนต์ ฉันเพล น่าจะเริ่มงานสัก ๑๐ โมง ถ้าใครว่างก็แวะมาช่วยกันเลี้ยงพระหน่อย ปีที่แล้วทำบุญเปิดบ้านวันที่ ๓๑ มีนาคม ปีนี้วันที่ ๓๑ อาตมาติดงาน จึงต้องเลื่อนมาวันที่ ๒๙ แทน"

เถรี 12-03-2012 10:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "เกี่ยวกับบรรดาคำทำนายต่าง ๆ พวกเราอย่าเพิ่งไปแตกตื่นตามนั้น เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงรู้ดีที่สุด ถ้าพระองค์ท่านขยับเรื่องใดแล้วเราค่อยขยับตาม อย่างพระองค์ท่านให้ทำทางด่วนระบายน้ำมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ แต่ไม่มีใครทำ พอน้ำท่วมแล้วค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าในหลวงมีรับสั่งไว้นานแล้ว

ขอให้พยายามช่วยกันประคับประคองในหลวงของเราอยู่ให้นานที่สุด เพราะว่าบุคคลที่เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ซึ่งผีและเทวดาเกรงใจ ตอนนี้มีอยู่ไม่มากแล้ว ถ้าสิ้นพระองค์ท่านไปแล้วเขาเลิกเกรงใจ พวกเราอาจจะเดือดร้อนหนักกว่านี้"

เถรี 12-03-2012 10:59

ถาม : ช่วงนี้มีผู้ชายไม่แท้อยู่เยอะ จะทำอย่างไรครับให้เขาเปลี่ยนเป็นผู้ชายแท้ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปเปลี่ยน อย่าไปทะลึ่งอุตริ..! จำไว้ว่าอะไรที่มีมากจะเป็นปกติ ต่อไปพวกคุณแหละที่จะผิดปกติ เพราะพวกเขามีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ

ช่วงนี้เป็นช่วงที่พวกเขามาสร้างบารมีกัน จึงมีมากขึ้น ๆ พอถึงอุปบารมีขั้นปลายก็จะกลายเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไปเอง อุปบารมีขั้นกลางยังเป็นกึ่งหญิงกึ่งชายอยู่ พวกผู้หญิงใกล้จะเป็นผู้ชาย จะเอานิสัยห้าวมาใช้ เราก็ไปเรียกเขาว่าทอม พวกที่ข้ามมาเป็นผู้ชายแล้วยังติดจริตนิสัยผู้หญิง ก็ไปเรียกเขาว่าตุ๊ด ความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติ พวกคุณก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

เถรี 12-03-2012 11:45

ถาม : บางครั้งเวลาที่เราไปกราบหลวงปู่หลวงพ่อ แล้วเราอาจจะให้ท่านสงเคราะห์เจิมนั่นเจิมนี่ ถือว่าเราไปใช้ท่านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่..พูดง่าย ๆ ว่าเวลาไปหาพระ เอ่ยปากให้ท่านทำอะไรก็คือใช้ท่านนั่นแหละ

ถาม : มีโทษถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปพิจารณาเอาเองแล้วกัน ถ้าอาตมาบอกเดี๋ยวจะเป็นลมไปก่อน ประเภทใช้ให้ท่านทำมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว ดันมากลัวเอาตอนนี้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว