กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2938)

เถรี 05-10-2011 15:58

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔
 
ถาม : ทำไมพระในสมัยพุทธกาลท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติคะ ?
ตอบ : เพราะเข้าแล้วสบาย

ถาม : สมัยนั้นทุกข์มากเลยหรือคะ ?
ตอบ : ด้วยความที่จิตท่านละเอียดมาก ท่านจึงเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ในเมื่อรู้เห็นชัดเจนก็เท่ากับว่ารับทุกข์มากกว่าคนอื่น จึงรู้สึกทุกข์มากกว่าคนอื่น

ถาม : สมัยนั้นเหมือนกับสมัยนี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : สภาพร่างกายหิวกระหาย ร้อนหนาว เจ็บไข้ได้ป่วย สกปรกโสโครก เหมือนกันหมดนั่นแหละ จะยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน มีสภาวทุกข์ (ทุกข์ตามสภาพ) เหมือน ๆ กัน มีปกิณกทุกข์ (ทุกข์เล็กน้อยทั่วไป) เหมือน ๆ กัน มีนิพัทธทุกข์ (ทุกข์ประจำ) เหมือน ๆ กัน

เถรี 06-10-2011 13:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครอบครัวถ้าคิดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บางครั้งก็ต้องมีความลับเล็ก ๆ ต่อกัน อย่างเราบอกเขาว่าไปวัด เขาก็บ่นว่าเรา ถ้าเราบอกว่าไปเที่ยวก็จบ ไปเที่ยวกับเพื่อน ๓ วันนะ นี่เป็นศิลปะในการดำรงชีวิตที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การมีศิลปะจัดเป็นอุดมมงคล

นอกจากศิลปะที่เป็นความรู้ในการหาเลี้ยงชีพแล้ว ยังมีศิลปะในการเอาตัวรอด ศิลปะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และท้ายสุดก็คือ ศิลปะในการต่อสู้เพื่อให้พ้นจากกิเลส พระพุทธเจ้าท่านหมายเอาหลักธรรม เราก็ดึงฟ้าต่ำลงมานิดหนึ่ง เอาเรื่องทางโลกปน ๆ ไปหน่อย"

เถรี 06-10-2011 13:53

ถาม : นี่เป็นข้าวกลายเป็นหิน ใช่หรือเปล่าคะ ? ได้มาจากฝั่งลาว
ตอบ : ไม่ใช่..โดนเขาหลอกแล้ว นี่เป็นพระธาตุสีวลี


ถาม : หนูนึกว่าเป็นหินงอกหินย้อย เกือบจะเอามะนาวทดสอบสารละลายแคลเซียมแล้วค่ะ
ตอบ : เขาเรียกว่าพระธาตุเทพนิมิต แบบเดียวกับที่คนเราสร้างพระเครื่องไว้บูชา เทวดาก็สร้างพระธาตุไว้บูชาเหมือนกัน ก็ต้องนิมิตเอาจากสิ่งธรรมชาติรอบ ๆ ข้าง

ตอนนั้นพาทิดตู่ที่ยังเป็นเณรไปถ้ำที่มีพระธาตุ เขาเห็นก็ติดใจเพราะสถานที่เย็นมาก พอกลับมาเขาก็พาโยมกลับไปใหม่ แล้วก็ไปโกยพระธาตุใส่ถุงมา

มีโยมคนหนึ่งชื่อตาธูป สมัยแรก ๆ ก็มาทำงานเป็นช่างไม้ช่างปูนอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนเดินกลับตาธูปรู้สึกเสียวสันหลัง เลยหันกลับไป จึงเห็นว่าระหว่างที่เดินออกมา มีรอยเท้าเหยียบตามมาด้วย มีแต่รอยนะ..ไม่เห็นตัว ตาธูปขวัญหนีดีฝ่อ ในที่สุดนึกขึ้นได้ว่า โบราณบอกว่าถ้าเจ้าของหวงก็ให้ซื้อเขา ตาธูปเลยล้วงเงินหมดตัว มีเงินเท่าไรก็ขอซื้อ แต่ทิดตู่ไม่ได้ขอซื้อ เลยโดนยันตกเขาอยู่คนเดียว..เกือบตาย..!

เถรี 06-10-2011 13:56

ถาม : พระหลวงปู่ปานองค์นี้เป็นของที่ไหน ?
ตอบ : คุณไม่ต้องสงสัยหรอก พระของหลวงปู่ปานจะจริงจะปลอม จะแท้จะเทียม ท่านให้พรไว้ว่าถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากันหมด นึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว คาถาปลุกคือ อิทธิฤทธิพุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด

เถรี 06-10-2011 14:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระราหุลเป็นเอตะทัคคะทางใคร่ในการศึกษา ตอนเช้า ๆ ท่านไปล้างหน้า ก็จะกอบทรายที่ริมน้ำขึ้นมาอธิษฐานว่า “วันนี้ขอให้ได้ข้อธรรมคำสอนจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระเถระทั้งหลาย มากเท่าจำนวนเม็ดทรายในกอบนี้” อธิษฐานอย่างนั้นทุกวัน ฉะนั้น..ความใฝ่ในการศึกษาเป็นปฏิปทาเฉพาะตัวของท่าน

พระราหุลเป็นพระที่ปรินิพพานไม่เหมือนใคร ท่านไปปรินิพพานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาจึงต้องทำศพให้"

เถรี 06-10-2011 14:40

ถาม : เป็นมะเร็งเต้านมค่ะ
ตอบ : ต้องไปนั่งกรรมฐานเยอะ ๆ เพราะมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ทุกอย่างของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหน้าอก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ เกิดจากความเครียดแล้วทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ถ้าหากไม่เครียดก็จะหายไปเอง

ขอยืนยันว่าจริง เพราะมีโยมคนหนึ่งตั้งใจจะไปตายที่วัด ไปสวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ๔ เดือน มะเร็งหายไปเฉยเลย ไปหาหมอให้หมอตรวจ หมอถามว่าไปทำอะไรมา โยมเขาก็บอกตามความจริง หมอบอกว่าใช่เลย แต่คนอื่นเขาสู้ไม่ได้อย่างนั้น คือคนอื่นติดทำมาหากิน และไม่สามารถจะบังคับตัวเองให้นั่งสมาธิได้ แต่นั่นเขาตัดใจว่าเขาจะไปตายแล้ว ขอไปตายที่วัด

ในเมื่อตัดใจ ไม่มีห่วงไม่มีกังวล ๔ เดือนผ่านไปมะเร็งก็หายไปเอง ทั้ง ๆ ที่หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี แล้วหมอก็อธิบายบอกว่า มะเร็งที่เกิดจากการที่ฮอร์โมนร่างกายแปรปรวนจากความเครียด..ถ้าไม่เครียดก็หาย

เถรี 07-10-2011 09:22

ถาม : บริวารหายากค่ะ ตอนนี้ก็แก่แล้วด้วย
ตอบ : เรื่องบริวารให้บนเสด็จในกรมหลวงชุมพร บอกท่านว่าขอคนให้มาช่วยงาน เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์หาให้ แล้วเราจะถวายสังฆทานให้ท่าน

ถาม : แล้วถวายที่ไหนคะ ?
ตอบ : ที่วัดไหนก็ได้จ้ะ ถวายเป็นสังฆทานก็แล้วกัน ถ้ามีคนลักษณะนั้นมาแล้ว การค้าของเราจะไม่มีปัญหา เพราะเขาช่วยเราได้

เถรี 07-10-2011 09:27

ถาม : ทำอย่างไรจะค้าขายดีคะ ?
ตอบ : ขายถูก ๆ สิ ขายแพงใครเขาจะซื้อเล่า ? ลดราคาให้ต่ำกว่าคนอื่นหน่อยก็ขายดีไปเอง

ถาม : ขายถูก ๆ ก็เหนื่อยอีก ต้องใช้น้ำมันไปส่งไกล
ตอบ : บางปั๊มเติมแก๊สทุก ๑๐๐ บาทแถมน้ำขวดหนึ่ง อย่างอาตมาเติมทีหนึ่งก็ได้น้ำ ๕-๖ ขวด ส่วนอีกปั๊มหนึ่งนอกจากแถมน้ำร้อยละขวดแล้ว ยังลดราคาอีกลิตรละ ๒๐ สตางค์ เกี่ยงกันตรง ๒๐ สตางค์นี่แหละ อาตมาไปเข้าปั๊มลดราคาดีกว่า เห็นไหมว่าเขาลดแค่ ๒๐ สตางค์แล้วได้ลูกค้าเยอะขึ้นเยอะเลย

เถรี 07-10-2011 09:31

ถาม : เปิดร้านนวดแล้วร้านเงียบค่ะ จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปนั่งภาวนา ยิ่งเงียบยิ่งดี ฉันจะได้ภาวนาให้เยอะ ๆ เดี๋ยวลูกค้าก็ประดังเข้ามาเอง

เถรี 07-10-2011 09:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาวิฑูรย์แลดูแข็งแรงแล้ว ฟื้นตัวได้เร็ว คนหนุ่มได้เปรียบ ถ้าอาตมาโทรมขนาดนั้นคงร่วงไปแล้ว"

ถาม : ครูบาไม่ได้ฉันอาหาร ๗ วัน โทรมมากเลยหรือคะ ?
ตอบ : ครั้งนี้ท่านเข้ากรรมฐาน ๙ วัน พอออกมา กำลังจะทรงกายยังไม่ค่อยจะมีเลย ดูท่าก็รู้ บอกให้คนเอายาดมให้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านจะเป็นลม

เวลาอยู่ในสมาธิจะไม่เป็นอะไร แต่พอออกจากสมาธิมา อาการเวทนาทุกอย่างจะรับรู้หมด อย่างตอนที่อาตมาเข้ากรรมฐานอยู่สามวัน พอคลายกำลังใจออกมา ในท้องอย่างกับไฟไหม้เลย แสดงว่าร่างกายหิวมาก แต่ตอนที่อยู่ในสมาธิเราไม่รับรู้

เรื่องอย่างนี้ถ้าคนไม่ชำนาญจริง ๆ จะไม่สามารถประคองตัวจนงานเลิกได้ จะเสียภาพพจน์ เพราะกำลังใจเวลาคลายออกมา จะคลายหมดเลย ถ้ารู้ว่าได้เวลาเลิกงานแล้ว ร่างกายจะไม่เอากับเราเลย สั่งอย่างไรก็ไม่เล่นด้วยแล้ว ก็หงายแผ่ขายหน้าชาวบ้านเขา อย่างอาตมานี่ไปนอนแผ่ลับหลังดีกว่า ต่อหน้าคนอื่นต้องทำเก่งไว้ก่อน

ถาม : ถ้าอยู่ในธรรมปีติ คืออยู่ด้วยกำลังสมาธิ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่ใช่กำลังสมาธิอย่างเดียว ธรรมปีติจะอาศัยสภาพของสมาบัติปรับร่างกายไปด้วย จะดึงธาตุดินน้ำลมไฟรอบข้างไปใช้งานเอง เป็นการกินเป็นปกติ แต่กินทางผิวหนัง ไม่ได้กินทางปากเท่านั้น อธิบายไปก็บ้า เพราะคนฟังทำไม่ได้

เถรี 07-10-2011 09:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่า..ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องบังคับมันได้ อย่าให้มันบังคับเรา ถึงร่างกายบอกว่าไม่ไหว เราก็จะไป เดี๋ยวมันก็ต้องไปตามเราเอง"

เถรี 08-10-2011 16:26

พระอาจารย์เล่าว่า "น้านิล (คุณนิลประไพ บุญ-หลง) เป็นน้องสาวคนเล็กของหลวงปู่มหาอำพัน สมัยที่อาตมาไปปรนนิบัติดูแลรับใช้หลวงปู่ได้เจอน้านิล

แหวนจักรพรรดิทองคำของวัดท่าซุงที่อาตมาพกติดตัวอยู่ น้านิลเป็นคนถวาย เพราะตอนนั้นราคาแหวนจักรพรรดิสำหรับฆราวาสราคา ๖,๖๐๐ บาท ส่วนพระ..หลวงพ่อท่านคิดเฉพาะต้นทุนแค่ ๒,๒๐๐ บาท แต่ห้ามใช้สิทธิ์แทนกัน เพราะท่านถือว่าให้สิทธิแก่พระเป็นพิเศษแล้ว

แหวนจักรพรรดิเป็นวัตถุมงคลชิ้นเดียวที่หลวงพ่อท่านบอกว่าพระควรจะมีติดตัวไว้ ถามเหตุผลแล้วหลวงพ่อบอกว่า แหวนจักรพรรดิจะให้ผลในการสงเคราะห์บริวารมาก ถ้าหากว่าต่อไปพวกเราออกไปรับผิดชอบงานพระศาสนาในที่ใดก็ตาม ต่อให้มีบริวารมากขนาดไหนก็จะมีปัญญาเลี้ยงเขา

สมัยนั้นราคา ๒,๒๐๐ บาทสำหรับอาตมาถือว่าแพงมาก ไม่มีปัญญาจะบูชา คุณน้านิลประไพก็เลยตัดสินใจควักกระเป๋าจ่ายแทน นี่เขาเพิ่งส่งข่าวมาว่าคุณน้าท่านเสียแล้ว

น้องสาวของหลวงปู่มหาอำพันมีคุณน้าดวงตา คุณน้าส่าหรี คุณน้านิลประไพ คุณน้าดวงตาถึงเวลาก็จะซื้ออาหารมาถวาย สมัยนั้นธนบัตรที่ใหญ่ที่สุดในบ้านเราคือ ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาท ถ้าคุณน้าดวงตาซื้ออาหารแล้วใช้ธนบัตร ๕๐๐ บาทไม่หมดก็จะเซ็งมาก น้าต้องใช้ให้หมด ก็เลยไปเที่ยวเสาะหาอาหารแพง ๆ ประเภทกุ้งล็อบสเตอร์มาถวาย

น้าดวงตาสรุปว่า "พระเล็กเลี้ยงยาก ซื้ออะไรมาก็ไม่ค่อยจะฉัน" หันมาอีกทีเห็นอาตมาฉันผักบุ้งไฟแดงอยู่ น้ายิ่งโกรธใหญ่เลย ซื้อของแพงมาไม่กิน กินแต่ของถูก ๆ ข้างทาง

ตระกูลหลวงปู่ท่านเป็นตระกูลผู้ดีเก่า จะรู้จักแหล่งอาหารที่เป็นพวกของแพง ประเภทไข่เจียวจานละ ๖๐๐ บาท มีใครเคยกินกุ้งมังกรบ้างไหม ? เคี้ยวยางรถยนต์ยังดีกว่าตั้งเยอะ..! เหนียวอย่าบอกใคร กว่าจะหั่นออกมาได้แทบต้องใช้อีโต้จาม..! อะไรที่กินยากอาตมาไม่เอาด้วยอยู่แล้ว ต้องมานั่งเลาะเปลือก ต้องมาหั่น เสียเวลาเป็นบ้าเป็นหลัง"

เถรี 09-10-2011 14:22

ถาม : พอเราถวายข้าวพระพุทธที่บ้านแล้ว เราสามารถจะลามากินเองหรือใส่บาตรพระได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ ถ้าหากไม่มีพระมาบิณฑบาตเราก็สามารถเอาไปกินไปใช้เองได้ เพราะพระที่บ้านก็เหมือนเราบูชาท่านเฉย ๆ แต่ถ้าเป็นของที่ถวายพระที่วัดแล้ว จะเป็นของสงฆ์ ถ้าเราเอามากินมาใช้ก็จะติดหนี้สงฆ์ ต้องชำระหนี้สงฆ์จ้ะ

ถาม : ไหว้พระที่บ้านจำเป็นต้องจุดธูปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นจ้ะ ถ้าจุดธูปจะได้อานิสงส์บูชาด้วยของหอม แต่ถ้าเผลอเมื่อไรอาจจะได้อานิสงส์เผาบ้านตัวเองด้วย..! ทางที่ดีใช้ธูปไฟฟ้าดีกว่าจ้ะ อย่างเก่งก็ช็อตดับไปเอง แต่ถ้าไม่มีก็ใช้สิบนิ้ววันทาตั้งหน้าปฏิบัติแทน

เถรี 09-10-2011 15:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังซุ่มทำวัตถุมงคลอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง ๘๔ พรรษา ซึ่งจะมีแค่ ๘๔ ชิ้นเท่านั้น กำลังจ้างช่างฝีมือระดับโลกทำอยู่ ช่างคนนี้ในวงการโลหะถือว่าติด ๑ ใน ๑๐ ของโลก เป็นคนไทย ค่าตัวแพงหน่อย ชื่อบุญเรือน หงษ์มณี

ว่าจะใส่บรรดาโลหะที่สะสมไว้ทั้งหมดลงไป โดยเฉพาะพญาเหล็กที่บางคนเรียกว่าเหล็กไหล ตอนแรกเอาพญาเหล็กก้อนใหญ่ไปให้เขาดู ถามว่าหลอมไหวหรือไม่ ? ช่างพลิกซ้ายพลิกขวาดูแล้วบอกว่าสบาย ด้วยความรู้เกี่ยวกับโลหะศาสตร์ของเขามั่นใจว่าหลอมได้แน่

คนไทยที่ฝีมือดี ๆ มีเยอะมากเลย แต่เราจะมีโอกาสได้เจอหรือเปล่า ? อย่างช่างที่แกะพระจำหน่ายทั่วไปที่เป็นโอท็อป ต้องทำชิ้นงานเยอะ ดังนั้นความประณีตจะน้อย แต่ช่างที่อาตมาให้แกะพระยืน เขารับงานทีละชิ้น เขาจะทุ่มเทให้กับชิ้นงานได้มากกว่า ความละเอียดประณีตของงานก็จะมากกว่า"

เถรี 09-10-2011 15:22

"ส่วนตอนนี้ให้ญาติโยมเก็บเงินไว้ พอหลังงานกฐินจะเริ่มเปิดให้จองวัตถุมงคลร่วมเป็นกรรมการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่นแรกชุดพิเศษ จะมีเนื้อชินตะกั่วเพิ่มขึ้นมาอีกเนื้อหนึ่ง มี ๓๐๐ องค์เท่านั้น ราคาน่าจะอยู่ราว ๆ ๗,๕๐๐-๘,๐๐๐ บาท

เร่งเก็บสตางค์ไว้ จะได้ช่วยกันสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดของทองผาภูมิ เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำสั่งให้สร้างพระกลางแจ้ง ใจคอไม่ค่อยดี รู้สึกเหมือนกับเอาท่านไปตากแดดตากฝนอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เหตุผลของท่านก็คือ คนที่เขาเห็นองค์พระเด่นแบบนั้นก็จะเกิดศรัทธา เขาก็จะมาอีก"

เถรี 10-10-2011 05:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้หญิงสมัยก่อนกว่าเขาจะได้แสดงตัวให้หนุ่ม ๆ เห็น ก็ต้องรอมีงานบุญ งานแต่ง ไม่เหมือนสมัยนี้อวดตัวได้ทุกงาน แม้กระทั่งงานศพยังนุ่งสั้นไปได้ ถ้ารู้ว่าผ้ายังไม่พอก็อย่าเพิ่งไปงานเขา ก็ไม่มีใครว่าหรอก..!

เราต้องรู้กาลเทศะ ถ้าคนอื่นเขาไม่เกรงใจ เขาจะด่าเอา ถ้าแถวทองผาภูมินี่ไม่ได้หรอก โผล่ขึ้นศาลาเมื่อไรโดนเจ้าอาวาสงับ..! พวกนี้จะรู้ตัวนะ โผล่ขึ้นมาอาตมาก็ด่าออกเสียงตามสายเลย เพราะเจ้าอาวาสนั่งอยู่กับเครื่องเสียง"

ถาม : ถ้าเห็นคนแต่งตัวไม่เหมาะสม แล้วเราไปบอกเขา จะเหมาะหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเขายังไม่เกรงใจเราก็อย่าเพิ่งไปทำ เพราะจะมีโทษมากกว่า ถ้าหากว่าเขาเกรงใจเราแล้ว คราวนี้ด่าไปเถอะ เขาไม่ว่าอะไรหรอก..!

เถรี 10-10-2011 05:29

ถาม : เด็กที่สมาธิสั้นแล้วเราให้นั่งสมาธิแบบที่ผู้ใหญ่นั่งกัน จะช่วยให้ดีขึ้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่อย่านาน นับลมหายใจ ๓-๕ คู่แล้วเลิกเลย

ถาม : ตอนนี้จับพี่น้องนั่งคู่กันค่ะ ประมาณ ๑๕ นาที แต่ดูเหมือนคนพี่เขาจะไม่ค่อยนิ่งตั้งแต่เริ่ม ๆ เลย อย่างนี้ให้จับแยกกันหรือคะ ?
ตอบ : ให้อยู่ข้าง ๆ กันนี่แหละ เขาจะได้มีกำลังใจ ลืมตาขึ้นมาน้องยังอยู่ก็กัดฟันนั่งต่อ ต่อไปก็บอกว่าถ้าน้องยังไม่เลิก หนูอย่าเพิ่งเลิกนะ ถ้าเลิกก่อนสู้น้องไม่ได้ เดี๋ยวเขาก็เกิดมานะฮึดขึ้นมาเอง

สมัยก่อนอาตมาเจอทีเด็ดของเด็กเข้า หมดสภาพความเป็นครูเลย อาตมาเป็นครูสอนมโนมยิทธิ สอนแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้สักคนหนึ่ง ปรากฏว่าเดือนถัดไปแม่เขาพาเด็ก ๒ คนมา เราสอนคนพี่ไป เขาพาคนน้องมากราบ เขาบอกว่าขอบคุณมากที่ช่วยให้ลูกเขาได้มโนมยิทธิทั้งคู่ อาตมาก็ อ้าว..ไปสอนตัวเล็กเมื่อไร ?

เขาบอกว่าพอพี่เขาได้มโนมยิทธิแล้ว กลับบ้านไปก็นั่งกรรมฐาน น้องมาถามว่าพี่ทำอะไร พี่ก็บอกว่านั่งกรรมฐานไปดูนรกสวรรค์ น้องก็ถามว่าทำอย่างไร พี่บอกว่า "ให้หลับตาแล้วไปด้วยกัน" บอกแค่นั้นน้องทำได้แล้ว อาตมาสอนแทบตาย เด็กบอกประโยคเดียวได้เลย แสดงว่าเด็กเก่งกว่าเราเยอะ เขามีภาษาที่สื่อแล้วเด็กด้วยกันเข้าใจ น้องเขาก็เชื่อว่าหลับตาไปได้..ก็ไปเลย

เถรี 10-10-2011 05:32

ใครเคยดูคลิปวีดิโอบ้าง ที่พ่อเขาเอาขนมเสียบไว้ตรงวงกบประตูแล้วให้ลูกปีนขึ้นไปเอา คนเป็นพี่สาวเห็นพ่อบอกให้ขึ้นแสดงว่าขึ้นได้ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้ ถึงเวลาน้องเห็นพี่ขึ้นได้เราต้องขึ้นได้แน่ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้เหมือนกัน อาตมาดูก็คิดว่า โอ้โห..ผู้ใหญ่ยังร่วงเลย นี่เด็กขึ้นไปเอาได้ กรอบประตูลื่น ๆ นะ สงสัยเป็นไอ้แมงมุมกลับชาติมาเกิด

เพราะฉะนั้น..ความมั่นใจในผู้นำเป็นหนึ่งในเวสารัชชกรณธรรม คือธรรมที่ทำให้คนกล้า ท่านบอกว่าต้องประกอบไปด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธาคือความเชื่อมั่น ท่านบอกว่าประกอบไปด้วยเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองยึดถือกันมาตามตระกูล เชื่อมั่นในผู้นำว่าสามารถนำตนไปสู้เป้าหมายได้ ท้ายสุดเชื่อมั่นในตนเองว่าทำได้สำเร็จ

ถ้ามีความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ทำให้กล้าได้ นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ พ่อบอกให้ทำแสดงว่าทำได้

เถรี 10-10-2011 10:15

ท่านชาติชาย สมัยที่เป็นหัวหน้าป่าไม้อยู่ไปจับไม้เถื่อน พวกตัดไม้ก็ยิงสู้ ลูกน้องท่านชาติชายโดนยิง หน้าท้องเปิด ไส้ทะลักมากองกับพื้น ท่านชาติชายก็เข้าไปช่วย คลานไปถึงก็จับไส้ยัด ๆ กลับเข้าไป เอาผ้าขาวม้าพันไว้ ลูกน้องก็ถามว่า “เจ้านาย..ผมจะตายไหม ?” ท่านชาติชายบอกว่า “เฮ่ย..แค่นี้เอง กูเห็นมาเยอะแล้ว ไม่เป็นไรสักคน หมอเย็บเสร็จก็หาย เอ็งนั่งอยู่นี่แหละ ใจเย็น ๆ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะพาไปหาหมอ”

ลูกน้องก็เลยนั่งสูบบุหรี่รอ รอจนเจ้านายจัดการคดีเสร็จก็พาไปหาหมอ แล้วเขาก็รอดจริง ๆ นะ เพราะเชื่อเจ้านายว่าไม่เป็นไร แต่หมอนี่ด่ากระจายเลย ประการแรก..คุณยัดไส้เขากลับเข้าไป โดยที่ไม่ได้ทำให้ปลอดเชื้อก่อน หมอต้องล้วงออกมาล้างใหม่หมด

ประการที่สอง..ไส้ถูกลมมากไปเลยพอง ทบกลับเข้าไปยาก หมอต้องไปนั่งเรียงใหม่ เพราะถ้าเรียงผิด ไส้บิดแล้วอาจจะทำให้ไส้ตัน อาจจะถึงตายได้ ประการสุดท้าย..ทิ้งคนไข้ไว้นานเกินไป เสียเลือดไปเยอะ

นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ ผู้นำบอกว่าไม่เป็นไร กูเห็นมาเยอะแล้ว หมอเย็บเสร็จก็หาย ลูกน้องคงลืมคิดไปว่าหัวหน้าเพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง จะไปยิงกับใครมาสักกี่คน..!

เถรี 10-10-2011 12:15

ท่านชาติชายสอนลูกน้องยิงปืน เพื่อที่จะเอาไว้สู้กับพวกทำไม้เถื่อน ตัวเองก็อุตส่าห์ไปซ้อมที่สนามยิงปืน ร.ด. อยู่บ่อย ๆ พอจะแม่นบ้าง เวลายิงเป้าทั่ว ๆ ไปจะยิงให้อยู่ในวงกลมก็ไม่ยาก คราวนี้เขาจะสอนวิธียิงต่อสู้ ให้ลูกน้องผูกเป้าไว้แล้วตัวเองหันหลังให้เป้า..ชักปืน..หันขวับ..ยิงเปรี้ยง..เป้าหล่น..ปรากฏว่ายิงตัดเชือกพอดี..!

ถามว่าคุณทำอย่างไรต่อ ? ท่านชาติชายบอกว่า “ผมแสดงให้ดูแค่นั้น แล้วผมก็ไม่ยิงให้ดูอีกเลย เพราะไม่มีทางยิงถูกแบบนั้นอีกแล้ว..!” เขาตั้งใจจะยิงให้ถูกเป้า ดันไปตัดเชือกเข้าพอดี สมัยก่อนอาตมาเองซ้อมอยู่เป็นปีกว่าจะยิงดับเทียนได้ ยิงตัดเส้นลวดได้ยังต้องใช้ปืนยาวเลย แต่นี่ปืนสั้นยิงตัดเชือกได้ถือว่าสุดยอด ถ้ายิงซ้ำอีกทีก็ไม่ถูกหรอก เพราะฉะนั้น..เขาก็บอกว่าแค่นั้นแหละ แล้วก็ให้ลูกน้องซ้อมยิงกันเอง

ตอนแรกเห็นรุ่นพี่ที่เก่ง ๆ เขาเอาปืนลูกกรดยาวยิงดับเทียนได้ อาตมาก็ว่าไม่น่าจะยาก พอลองยิงเองถึงได้รู้ว่ายาก เพราะไปเล็งที่ไฟ ต้องเล็งตรงกลางต่ำกว่าไฟนิดหนึ่งซึ่งก็คือไส้เทียน ไปเล็งที่ไฟจะยิงดับยาก บางทียิงไส้เทียนขาดไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ไฟก็ยังติดต่อได้เพราะยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง กว่าจะรู้เคล็ดนี้ก็นาน

เถรี 10-10-2011 16:33

ถาม : การที่เราจะใช้มโนมยิทธินี่สามารถใช้ได้เรื่อย ๆ เลยหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าหากมีความคล่องตัวจะใช้เมื่อไรก็ได้จ้ะ ยกเว้นคุณสุภิตา คุณสุภิตานี่ช่างถาม ถามจนพระท่านรำคาญ จำกัดว่าให้ถามได้ไม่เกินวันละ ๑ ข้อ แต่คุณสุภิตาก็ยังคงมีข้อสงสัยต่อไปว่า “แล้วถ้าอยากถามเกิน ๑ ข้อละคะ ?” คิดดูแล้วกัน..ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะโดนจำกัด แต่ของเรานี่ไม่จำกัดหรอก ใช้ไปเถอะ...

ถ้ามีความคล่องตัวใช้ได้ทั้งวัน ใช้ได้ทุกวินาทียิ่งดี เพราะว่าจิตที่ทรงมโนมยิทธิอยู่ อย่างน้อย ๆ เรามีฌานสมาบัติเป็นเครื่องควบคุม นิวรณ์ ๕ ก็ดี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ดีจะแทรกตอนนั้นไม่ได้

ถาม : แล้วเวลารู้เห็นอะไรจะทำอย่างไรให้ไม่เตลิด ?
ตอบ : ตัวเราที่ใช้คำว่าเตลิดนี่ คนฟังไม่เข้าใจจะไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าสิ่งที่เรารู้อาจจะไม่ถูกต้อง เกิดการผิดพลาดขึ้นเนื่องจากกำลังสมาธิเราไม่พอ ถ้าหากว่ารู้ตัวว่ากำลังสมาธิของเราถอย เราก็หันกลับมาเข้าสมาธิใหม่ จนอารมณ์ทรงตัวแล้วพิจารณาตัดร่างกายอีกรอบหนึ่งจากนั้นค่อยไปใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วจะผิด ไม่ได้เตลิดเฉย ๆ หรอก ถ้าผิดแล้วเข้าป่าเข้าดงไปเลย..!

เถรี 11-10-2011 05:32

พระอาจารย์แจ้งว่า "ขอประกาศให้ญาติโยมทราบ งานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งต่อไปคือวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกไม่กี่เดือน แสดงว่าสถานการณ์ปีหน้าค่อนข้างจะหนัก เพราะเสาร์ ๕ มาตั้งแต่ต้นปีเลย

แม้ว่าสถานการณ์ของประเทศชาติจะหนัก แต่ก็มีวิธีผ่อนปรนโดยการมีฤกษ์ยามที่เหมาะสม ที่เราจะทำการบวงสรวงรวมกำลังใจอธิษฐานเพื่อประเทศชาติกัน ลองดูสิว่า ๒๘ มกราคม ปีหน้าตรงกับวันเสาร์หรือเปล่า ? ใครจะไปมั่นใจได้เล่า ? เกิดไม่ใช่วันเสาร์ขึ้นมาก็หน้ามืดสิ..! ประกาศไปแล้วจัดงานไม่ได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านประกาศจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรก่อนวันงาน ๓ วัน พระพุทธเจ้าเสด็จมา ขออภัยนะ..อาตมาใช้คำพูดตามที่หลวงพ่อท่านบอก พระท่านตรัสว่า “แกแหกตาดูหรือเปล่าว่ามันวันอะไร ?” หลวงพ่อท่านบอกว่า “วันเสาร์ ๕ ครับ” พระท่านบอกว่า "วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ ใช้ได้ซะเมื่อไรเล่า ?" หลวงพ่อท่านรีบไปเปิดปฏิทินดู เป็นวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำจริง ๆ ไม่ใช่ขึ้น ๕ ค่ำ

หลวงพ่อท่านก็เลยกราบทูลว่า “แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรครับ เพราะประกาศบอกโยมไปแล้ว ?” พระท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร..จะข้างขึ้นหรือข้างแรม ถ้าฉันทำให้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่คราวหน้าต้องรอบคอบกว่านี้”

ถ้าหากว่าตามสายครูบาอาจารย์ของเรา ต้องใช้วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เคล็ดลับอยู่ตรงคำว่า "ขึ้น" จะทำของให้ขึ้นก็ต้องข้างขึ้น ข้างแรมเขาไม่นับ ช่วงที่ผ่านมามีวันเสาร์ข้างแรม เขาตื่นเต้นกันใหญ่ จัดงานกันอุตลุด เขาว่าปีเสือ เดือนสิงห์ กระทิงวันอะไรให้ยุ่งไปหมด ถ้าหากว่าตามสายของสมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์ฯ ท่านจะใช้ฤกษ์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ท่านถือว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง และโดยเฉพาะเป็นวันพระราชสมภพของท่านด้วย

แต่สมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ท่านสร้างพระตามกำลังวัน ถ้าขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันอาทิตย์ ท่านสร้างพระแค่ ๖ องค์ ตรงกับวันจันทร์สร้าง ๑๕ องค์ แปลว่าเต็มที่พระรุ่นนั้นจะมีไม่เกิน ๒๑ องค์ จนลูกศิษย์ทนไม่ไหวถึงได้ขอให้ท่านสร้างให้ต่างหาก ถึงได้มีการเททองกันทีหนึ่ง ๓๐๐-๔๐๐ องค์ แต่บางครั้งโลหะที่เตรียมไว้ไม่พอ ก็จะมีเทเช้าวรรณะเป็นสีเหลือง เทบ่ายวรรณะเป็นสีแดง ให้ยุ่งไปหมด ก็คือโลหะไม่พอ ต้องหาของมาเพิ่ม กลายเป็นจุดตายที่บรรดาเซียนพระเขาชี้จริงชี้ปลอมกัน"

เถรี 11-10-2011 08:47

ถาม : ทำงานให้ราชการ แต่ไม่ค่อยสบายใจ เพราะราชการทำงานไม่ค่อยตรง ผมทำงานตรงไปตรงมาจะไม่มีปัญหา แต่กรณีนี้มีผู้ที่มีอิทธิพล เขามาเรียกร้องทีหลัง ถ้าผมไม่จ่ายเขาเขาจะไม่ตรวจรับงาน เผลอ ๆ จะต้องให้ของเขา อย่างนี้จะผิดไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ไม่ถือว่าผิด คบหาพวกนี้เอาไว้นอกจากอำนวยความสะดวกให้แล้ว ต่อไปเราจะได้งานอื่นง่ายด้วย แต่ว่าให้คุยกันให้ชัดไปเลยว่าแต่ละงานจะเอากี่เปอร์เซ็นต์

ถาม : อย่างนี้ไม่ผิดหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด..จะไปผิดอะไรเล่า? เราไม่ได้มาเอาเงินเพิ่มจากราชการ แต่ว่าเราแบ่งส่วนที่จะพึงได้ให้กับเขาไป

ถาม : แต่ถ้าเรามีการคุยกันก่อนว่า งานนี้ผมได้ คนนี้ก็จะไปกันคนอื่นครับ อย่างนี้ก็เหมือนกับไปกีดกัน
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของเขา

ถาม : ไม่เกี่ยวกับเราหรือครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกับเราสิ..ก็เขาทำ

ถาม : แต่เรามีส่วนรับรู้นะครับ
ตอบ : คุณก็อย่าไปสนใจตรงนั้น คุณคิดเสียว่าเขาอำนวยความสะดวกให้เรา แล้วคุณก็จ่ายค่าอำนวยความสะดวกให้เขา ลักษณะเดียวกับภรรยาของพรานกุกกุฏมิตร สามีจะทำอะไรก็แล้วแต่ ภรรยาไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ไม่ตามไปคิดด้วย ไม่สนใจ

ถาม : แล้วกรณีคนนี้อยู่ในราชการ กับไม่อยู่ในราชการนี่ ?
ตอบ : เหมือนกัน

ถาม : คือต้องรับผลไม่ต่างกัน ?
ตอบ : เขาเองรับแน่ ความซวยตกอยู่ที่เขาเอง

เถรี 11-10-2011 08:59

ถาม : กรณีนี้ถ้ามีอีกหนึ่งบริษัทเป็นตัวแทน เข้าไปจัดการเรื่องทุกอย่าง แต่ผมไม่ยุ่ง จะปลอดภัยสุดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ถ้าเราหางานได้ก็หาซับเอเยนต์ ถ้าอย่างนี้จะแน่นอน ปล่อยเขาไปรบราฆ่าฟันกันเอง ถึงเวลางานของเราได้กี่เปอร์เซ็นต์ เราก็เบิกตามนั้น จ่ายเขาให้ตรงก็แล้วกัน

ถาม : กรณีที่ว่าแข่งขันกันสี่ราย จะต้องไปเคาะราคากันสี่ราย แล้วปรากฏว่ามีการฮั้วกันในสี่ราย แล้วไม่ยอมไปเคาะ เราก็ไม่ให้ราคามันตก กรณีนี้ถือว่าผิดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด..เพราะอย่างน้อย ๆ ถ้าอยู่ในราคากลางก็ใช้ได้

ถาม : แต่มันคือการฮั้วนะครับ
ตอบ : ฮั้วก็จริง แต่เขาไม่ได้เสียอะไรเพิ่ม ยังอยู่ในงบคือจ่ายเท่าเดิม ในเมื่อนายจ้างไม่ได้เสียอะไร พวกนี้เขาตกลงกันเอง เอาแค่ไหนก็อย่าให้มากเกินงบไปแล้วกัน

ถาม : แล้วถ้าไม่มองว่า เป็นการประหยัดงบประมาณ
ตอบ : ใช่..แต่คุณอย่าลืมว่าราคากลางที่เขาตั้งมา ต่อให้เขาไม่ให้คุณ เขาก็ไปถลุงกันเอง

ถาม : แสดงว่าทั้งหมดที่พูดมานี่ในทางกรรม..
ตอบ : ไม่ผิดตรง ๆ ถ้าอยู่ในราคากลาง แล้วไม่มีการไปซิกแซกเอาเพิ่มเติมอะไร

ถาม : แล้วกรณีที่ผมพูดมานี่ ที่เขาทำผิด เขาต้องรับโทษอย่างไรในทางกรรม ?
ตอบ : มีนรกอยู่ขุมหนึ่ง รับพวกคอรัปชั่นโดยตรง

ถาม : อย่างนี้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ ปิสสกะปัพพตะนรก

ถาม : แล้วถ้าเขามาถาม ผมจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกเขาว่าพยายามเจริญกรรมฐานให้อารมณ์ใจทรงตัวให้ได้ เวลาตายอย่าหลุดก็แล้วกัน

เถรี 11-10-2011 13:46

ถาม : อยากให้ช่วยอธิบายคำว่า แก่น กระพี้ เปลือกค่ะ
ตอบ : แก่นก็คือส่วนที่แข็งแกร่งที่สุด กระพี้คือส่วนที่หุ้มแก่นอยู่ เปลือกคือส่วนที่หุ้มทั้งกระพี้และแก่น ถ้าจะเอาแก่นธรรมจริง ๆ ก็ต้องเข้าถึงพร้อมทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าเอาแค่กระพี้ก็อาจจะได้แค่ศีล ถ้าเอาแค่เปลือกสะเก็ด ๆ ผิว ๆ ก็อาจจะประเภททำ ๆ เล่น ๆ อยู่แล้วก็ดันไปคุยว่าเราทำแล้ว เสียหายกับศาสนาอีกต่างหาก เพราะทำไม่จริงแล้วไปคุย

ไปดูในอุทุมพริกสูตร ท่านจะระบุไว้ชัดเลยว่า การเข้าถึงสะเก็ดของพระศาสนาเป็นอย่างไร ? เข้าถึงกระพี้เป็นอย่างไร ? เข้าถึงแก่นเป็นอย่างไร ? ไปค้นดูในอินเตอร์เน็ตก็ได้ พิมพ์คำว่าอุทุมพริกสูตร แล้วจะรู้ว่านิโครธปริพาชกเป็นพวกช่างถามแค่ไหน

ถาม : หลวงตาวัดเขาวง เขาส่งมาให้ถามท่านค่ะ
ตอบ : อ๋อ..พอหมดท่าเข้า ท่านก็โยนมาใช่ไหม ? สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุง ถ้าเหลือกำลังหลวงพี่อาจินต์ก็จะไปที่หลวงตา ถ้าเหลือกำลังหลวงตา จะหล่นมาที่อาตมา ถ้าเหลือกำลังอาตมาก็แปลว่าไม่มีใครช่วยได้ แต่ยังไม่เคยเจอที่เหลือกำลังนะ แต่ว่ามีประเภทหนึ่งที่เข็นเกือบจะไม่ไหว บุคคลนั้นท่านเป็นพระ มาฝึกมโนมยิทธิได้ ๖ วัน วันนั้นวันที่ ๗ แล้ว หลวงพี่อาจินต์เอารถจี๊ปซูซูกิคาริเบียนของท่านมากับหลวงตา

มาถึงหน้าตึกริมน้ำก็เรียก “เฮ้ย...เล็กเว้ย ฝากเวรเขาไว้หน่อยสิ..ไปช่วยกันที” อาตมาก็ถามว่าอะไรกันนักหนา “กูเข็นกันมา ๖ วันแล้ว เอาไม่ไป” สอนมา ๖ วันแล้วนะ วันนั้นเป็นวันที่ ๗ ตามกติกาของวัดอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ก็เลยต้องมาดึงอาตมาไป

ปรากฏว่าสอนอยู่ ๒ ชั่วโมง ท่านไปได้แค่จุฬามณี เพราะท่านต้องการรายละเอียดมากเป็นพิเศษ ขนาดบันไดเป็นอย่างไรท่านตามดูทีละขั้น ถึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อท่านบอกว่า บุคคลที่เป็นคนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ถ้าหลุดมาถึงมือเรา จะเหมือนกับเข็นเรือทรายบนบก คือเข็นกันจนหมดเรี่ยวหมดแรงก็ไม่อยากจะขยับ

อาตมาสอนท่านได้แค่นั้นก็หมดแรงหงายแผ่เหมือนกัน ได้แต่เรียนท่านไปว่า “วิธีการเดียวกันนี่แหละขอรับพระคุณท่าน ถึงเวลากลับวัดแล้วก็ไปปฏิบัติซักซ้อมเอง แล้วความคล่องตัวจะเกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่ต้องเสียเวลารอครู พิจารณาตัดร่างกายเสร็จก็ไปได้เลย” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้ท่านไปถึงไหนแล้ว อาจจะยังวน ๆ อยู่แถวจุฬามณีก็ได้ เพราะยังสำรวจไม่ทั่ว

เถรี 11-10-2011 13:56

ถาม : ช่วยอธิบายศีลข้อสามอย่างละเอียดหน่อยค่ะ
ตอบ : ท่านบอกไว้ถึงขนาดว่าบุคคลมีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง มีญาติปกครอง มีพระราชาปกครอง ก็คือมีกฎหมายคุ้มครอง บุคคลอันผู้อื่นจองแล้วด้วยพวงมาลัย คือมีคู่หมั้น แล้วท้ายสุดบุคคลอันมีธรรมปกครอง คลุมทุกสภาพเลย เพราะฉะนั้น..ละเมิดเมื่อไรก็ผิดเมื่อนั้น

มีอยู่ทางเดียวคือทำให้ถูกต้อง อาตมายังชื่นชมว่าคนโบราณเขาเก่ง เก่งตรงที่ว่าถึงเวลาก็ฉุดกันไป พากันหนี แต่พอท้องมาสัก ๗-๘ เดือน หรือคลอดลูกมาสักคนสองคนก็กลับมาขอขมา ก็จบ บางทีพ่อตาแม่ยายงอนด้วย ไม่ยอมรับการขอขมา ขึ้นบ้านมาจะยิงให้ตกบันไดเลย ปรากฏว่าเจอลูกเขยมีนะเมตตาขึ้นมา ยิงไม่ลงอีก เพราะเล่นอุ้มหลานมาด้วย แล้วก็สอนกันมาดีเหลือเกิน สอนให้เรียกตาจ๋า..ยายจ๋า..มาแต่ไกลเลย เสร็จเขา..ต้องรับขอขมาแต่โดยดี เรียกว่าฝึกมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ

ถ้าผิดก็แก้ให้ถูก จดทะเบียนใช้ไม่ได้นะ เพราะว่าเขามีเจ้าของ ต้องขออนุญาต สมัยนี้คิดว่าจดทะเบียนสมรสก็จบแล้ว นั่นจบแค่ทางโลก ทางธรรมยังไม่จบ แต่ว่าเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมามีข่าวครูพละกับลูกศิษย์ นั่นไม่ใช่เขาพรากผู้เยาว์นะ เด็กเขาตามไปเอง แล้วพอครูโดนจับ ครูเขาคงอายเลยผูกคอตาย เด็กก็ผูกคอตายตามไปด้วย นั่นเขารักกันจริง

เถรี 11-10-2011 14:02

ถาม : ครูอายุตั้ง ๕๐ กว่าแล้วค่ะ
ตอบ : ความรักมีพรมแดนเสียเมื่อไรเล่า โบราณท่านว่า
รักกันสุดขอบฟ้า................เขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว............ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว...............ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง..........ป่าไม้มาบัง

อยู่ติด ๆ กันแค่ตาเห็น แต่เชิดใส่ หันหลังให้กัน ก็เหมือนกับมีป่ามาขวางอยู่ตรงหน้า

ถาม : ในทางธรรมแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเขาเป็นคู่กัน?
ตอบ : เนื้อคู่มีบุพเพสันนิวาส คือเนื่องกันมาแต่อดีต แล้วก็มีเกื้อกูลกันในปัจจุบัน จนเห็นใจกันแต่งงานกัน ถ้าหมอดูคนไหนบอกไม่มีเนื้อคู่ ไม่ต้องไปเชื่อ ถ้าอดีตไม่มีเราหาเอาในปัจจุบันก็ได้

ชื่นชมที่สุดคือคุณสมศรี สมศรีบวชชีอยู่ที่วัดท่าขนุน น้ำหนักเขาร้อยกว่ากิโลกรัม วันนั้นสมศรีขอสึก อาตมาบอกว่า "ยายศรี..แกจะสึกไปทำไม ? หุ่นอย่างนี้จะมีใครเอาไปทำเมีย" ยายศรีบอกว่า "แค่ผู้ชาย...สบายมากอาจารย์ ออกไปเดินวนรอบตลาดรอบเดียวก็ได้แล้ว" ยายศรีหายไปชั่วโมงหนึ่ง กลับมามีผู้ชายตามมาจริง ๆ เขาทำได้จนอาตมาทึ่ง นี่ถ้ารู้จักกันมาก่อนหน้านี้ อาตมาก็คงไม่บวชหรอก จะขอลองใช้วิธีของเขาหน่อย ไม่รู้ทำอีท่าไหน เก่งจริง ๆ..!

เถรี 11-10-2011 16:32

ถาม : คนที่เหลือจากสมเด็จองค์ปัจจุบัน ทำไมถึงเข็นยากนักละคะ ?
ตอบ : ก็เพราะเหลือจากท่านแล้ว ขนาดท่านยังเข็นไม่ไปแล้วใครจะไปเข็นไหวเล่า ?

ถาม : แล้วมีที่เหลือจากองค์ก่อน ๆ อีกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่รู้ว่าเหลือหรือเปล่า ? แต่ถ้าเหลือก็กรุณาอย่าเลี้ยวมาทางนี้เลย ส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้ขึ้นมา ไม่หนาวหรอก..อบอุ่น ที่เขาอยู่อบอุ่นจะตาย มีเครื่องทำความร้อนประจำเลย ไม่ต้องเสียค่าไฟด้วย

ถาม : การที่ใครจะเกี่ยวเนื่องกับองค์ไหนนี่เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : สร้างบารมีตามกันมา อธิษฐานตามกันมา ถ้าตะเกียกตะกายไปไม่ถึง เจอใครก็ต้องยึดไว้ก่อน มีโอกาสถ้าท่านเห็นว่าวาระสมควรแล้ว เป็นดอกบัวพ้นน้ำกระทบแสงเมื่อไรก็พร้อมจะบานแล้ว ก็คงลงมาสงเคราะห์เอง หรือไม่ก็สะกิดท่านใดที่เหมาะสมในตอนนั้น ฝากคนนี้ให้ช่วยดูแลด้วย

เถรี 12-10-2011 06:55

ถาม : กรณีที่วงสมาธิแคบ ขึ้นไปแล้วเห็นได้เฉพาะจุด ถ้าเราจะให้เห็นได้กว้าง ๆ นี่คือต้องตั้งจิตอธิษฐานหรือคะ ?
ตอบ : ต้องขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ กำลังของท่านจะช่วยได้ ลำพังความสามารถของเราเห็นแค่นั้นก็ดีตายชักแล้ว

ถาม : ไม่ต้องไปพยายามฝึกให้กว้างขึ้นหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้รู้เห็นสภาพในบริเวณนั้นได้ชัดเจนตามความเป็นจริง พอวงสมาธิขยายขึ้น เราก็อาจจะช็อกตาค้าง เพราะเดินเหยียบปู่ย่าตายายไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้..!

เถรี 12-10-2011 06:58

ถาม : ผมปฏิบัติกรรมฐานครับ แต่แล้วกลายเป็นว่า ๒ คน คนหนึ่งหูหนวก คนหนึ่งตาบอด เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : สร้างมาไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมาทางทิพจักขุ คนหนึ่งมาทางทิพโสต

ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นเก่าคือ คุณบุญถึง เป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันที่มโนรมย์ พระธาตุเสด็จคุณบุญถึงก็ได้ยิน หลวงพ่อไปด้วยกายใน สวดมนต์ให้บ้านงานเขา แกก็ได้ยิน แต่แกมองไม่เห็น

หลวงพ่อลักษณ์ วัดศรีรัตนารามชี้บอก "คุณบุญถึง..เห็นไหมอาจารย์คุณนั่งเคี้ยวหมากอยู่นั่น ?" คุณบุญถึงมองไม่เห็น เห็นแต่อาสนะเปล่า ๆ ทุกคนก็เห็นแต่อาสนะเปล่า ๆ แต่บุญถึงได้ยินเสียงหลวงพ่อตอนสวดมนต์ร่วมกับคนอื่น แกจำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงพ่อ

ถ้าถนัดทิพจักขุมาก็จะเห็น ถนัดทิพโสตมาก็จะได้ยิน ฉะนั้น..สองคนต้องไปด้วยกัน จะได้สมบูรณ์

ถาม : แล้วเมื่อไรจะได้ยิน หรือยังไม่ถึงเวลา ?
ตอบ : รอเวลา..ถ้าอภิญญาเต็มที่ก็จะได้ครบ ถ้ายังไม่เต็มที่ ก็เอาที่ตัวเองถนัดไปก่อน หรือไม่ก็ซื้อ iPad เพราะใช้ได้ทุกอย่าง เห็นด้วยได้ยินด้วย..!

เถรี 12-10-2011 12:44

พระอาจารย์แจ้งว่า "กฐินวัดท่าขนุนปีนี้ตรงกับวันที่ ๒๓ ตุลาคม ถวายกฐินเวลาบ่ายโมง และจะเป็นเวลาบ่ายโมงไปเรื่อย ๆ ทุกปี เนื่องจากตอนบ่ายเราไม่ต้องไปเกาะพระฤๅษีแล้ว ให้เขามารับพร้อมกันที่วัดท่าขนุนเลย เป็นอย่างนี้สัก ๒-๓ ปีเดี๋ยวก็ชินกันไปเอง แต่ว่าคงจะเปลืองน่าดูเลย เพราะกว่าจะถึงเวลาบ่ายนี่มีเวลากินอีกเยอะ โรงทานจะเดือดร้อน..!

โดยเฉพาะพวกมอญพม่า พอถึงเวลาประกาศว่ามีงานวัดท่าขนุนนี่ เขาล้างท้องรอไว้เลย หอบลูกจูงหลานมา มีกี่คนกินกระจาย แล้วขนทุกอย่างกลับ แม่ชีเขามักโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ อาตมาก็บอกแม่ชีว่า ไปโกรธเขาทำไม ในเมื่อเราตั้งใจเลี้ยงเขา เขาอุตส่าห์มากินให้ก็ถือว่าเขามีบุญคุณแล้ว..!

แต่บางทีเราเลี้ยงโต๊ะจีนแล้วเหลือ ๑๐ กว่าตัว แม่ชีก็เก็บกับข้าวไว้ ตั้งใจจะเลี้ยงพระวันรุ่งขึ้น พอเทใส่หม้อไว้เสร็จสรรพ หันกลับมาหายไปทั้งหม้อ เขายกหม้อไปด้วย..!

กฐินปีนี้ ๒๓ ตุลาคม แต่ปีหน้าไม่สามารถจะเป็นวันที่ ๒๓ ตุลาคมได้ เพราะมีเดือน ๘ สองหน แล้วเข้าพรรษาช้ามาก ปีหน้าเข้าพรรษาวันที่ ๒ สิงหาคม ตั้งแต่อาตมาบวชมาจนป่านนี้จะ ๓๐ ปีแล้ว เคยเข้าพรรษาเดือนสิงหาคมแค่ครั้งเดียว ปีหน้าจะเป็นครั้งที่ ๒ นาน ๆ ทีจะเลื่อนไปได้ขนาดนั้น ก็แปลว่าจะไปออกพรรษาราว ๆ เดือนพฤศจิกายน เลย ๒๓ ตุลาคมไปตั้งนาน"

เถรี 12-10-2011 15:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอปรึกษาพวกเราอย่างหนึ่งว่า ตอนแรกตั้งใจไว้เรื่องของการช่วยงานวัดอื่นในลักษณะกฐินปลดหนี้ จะไปให้ได้ทุกภาค แต่ปรากฏว่ามีหลายแห่งที่เราไม่ต้องช่วยเขาก็อยู่ได้ เพราะฉะนั้น..เราไม่จำเป็นต้องไปทุกภาค แต่เลือกเอาเฉพาะท่านที่เดือดร้อนจะดีกว่าไหม ?

ถ้าเป็นอย่างนั้น ปีหน้าจะได้ไปวัดครูบาเหนือชัยก่อน เพราะว่างานท่านสาหัสจริง ๆ อาตมาไปแต่ละทีต้องหอบเงินไปให้ท่านเป็นมัด ๆ เมื่อวันก่อนที่ไปก็เหมือนกัน ท่านไปรับซองของครูบาบุญยัง อาตมาก็บอกว่า "เฮ้ย ๆ ทางนี้ไม่ใช่ซอง นี่กระสอบ..!"

ท่านต้องวางพระลูกศิษย์ไว้เป็นจุด ๆ ตามแนวชายแดน ป้องกันไม่ให้พวกคริสต์เข้าไป แต่ละจุดเข้าไปถึงยากมาก ถ้าไม่มีอาคารถาวร คนเขาไม่เห็นเป็นวัดเป็นวาก็จะไม่ไป จึงจำเป็นต้องมีตัวอาคารด้วย งานของท่านก็เลยต้องใช้เงินเยอะมาก

ถึงแม้ท่านจะมีชื่อเสียงมากกว่าอาตมา ต้องใช้คำนี้นะ มีชื่อเสียงมากกว่า แต่ว่าคณะญาติโยมที่ไปทำบุญนั่นไม่ใช่นักบุญอย่างพวกเรา อย่างพวกเราจะมากจะน้อยเราแย่งกันทำบุญ แต่ของเขาไม่ใช่ สังเกตไหม ใครไปงานนิโรธกรรม ถ้าอาจารย์เล็กไม่ไปด้วย งานท่านจะเฉา แทบจะไม่มีคนไปทำบุญเลย

เอาเป็นว่าไปช่วยกันหน่อย แล้วปีถัดไปก็วน ๆ หาพระพี่พระน้องที่เขาเดือดร้อนกัน คือเอาท่านที่ได้ประโยชน์จริง ๆ จะดีกว่า"

เถรี 12-10-2011 15:57

"อย่างจะไปช่วยหลวงพ่อหนุนหรือ ? ชื่อเสียงท่านก็ดังคับภาคอีสานอยู่แล้ว มีคนช่วยเหลือเต็มที่อยู่แล้ว ถ้ายิ่งจะไปช่วยหลวงพ่อมนัสนี่ไม่ต้องเลย ท่านดังระดับชาติไปตั้งนานแล้ว

เอาตามนี้นะ..เขาเดือดร้อนที่ไหนก็ไปตรงนั้น จะได้วนไปหาหลวงพ่อสิงห์เร็วหน่อย ตอนนี้หลวงพ่อสิงห์จ้างช่างมาทำโบสถ์ เขาขอค่าแรงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท แต่ว่าฝีมือเขาได้อย่างใจ ตุ๊ป้อก็เลยยอม เฉพาะหัวหน้าช่างคนเดียวนะ ๕๐,๐๐๐ บาท

นี่ยังดีกว่าที่วัดท่าขนุน วัดท่าขนุนวันก่อนเขามาเบิก ๒,๖๘๘,๕๐๐ บาท เฉพาะค่าแรงทำโครงหลังคาอย่างเดียว ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท วัสดุทุกอย่างเป็นของเรานะ นั่นค่าแรงอย่างเดียว เพราะว่าการที่จะดัดเหล็กให้เป็นหลังคาทรงไทยแล้วได้รูปนี่ทำยากมาก มีช่างไม่กี่คนที่จะมีความสามารถพิเศษที่ทำได้สวย นอกจากนั้นที่เขาทำสักแต่ว่าเป็นรูปเท่านั้น

จะสังเกตเห็นว่าหลังคาทรงไทยจริง ๆ จะแอ่นโค้งสวยมาก ถ้าหากว่าฝีมือไม่ถึงแล้วเหล็กแข็ง ๆ ทั้งดุ้น เราทำอย่างไรจะให้เป็นได้ อยากได้ของสวยเราก็ต้องยอมให้เขา

ท่านเจ้าคุณปัญญา (พระราชวิสุทธิเมธี)ถามว่า “อาจารย์เล็ก แบบนั้นหลังละเท่าไร ?” อาตมากราบเรียนว่า “ไม่เคยตกลงราคากันครับ ทำเสร็จแล้วเขาเบิกเท่าไร ผมก็ให้เท่านั้น” ท่านเจ้าคุณปัญญากลืนน้ำลายเอื๊อก บอกว่า "สงสัยจะมีอาจารย์เล็กคนเดียวที่จ่ายไหว"

เถรี 12-10-2011 15:59

"น่าเห็นใจตรงที่ว่า บางทีช่างเขาตีราคาไปแล้ววัสดุขึ้นราคา เขาก็จะขาดทุนกำไร ถ้าหากว่าวัสดุขึ้นราคาแล้วยังมีปัญหาอื่นอีก อย่างเช่นว่าฝนตกทำงานไม่ได้ เท่ากับกินค่าแรงตัวเองไปเรื่อย แล้วท้ายสุดก็จะขาดทุน

มีหลายต่อหลายงานที่เขารับแล้วเขาขาดทุน เขาก็เลยทำงานกับอาตมาด้วยความสบายใจมา ๓ ปีกว่าแล้ว ไม่ต้องไปไหนเลย ทำไปเรื่อย ๆ เบิกเท่าไรเอาไปแค่นั้น คือเขาเป็นช่างที่ทำงานแล้วไม่ต้องไปคุม สั่งเสร็จเป็นอันว่าดีแน่

ส่วนอาตมาก็ไม่เดือดร้อน พอถึงเวลาจะจ่ายเงินก็ระดมจากโยม ประกาศลงเว็บวัดท่าขนุน ต้องการใช้เงินด่วน..!"

เถรี 12-10-2011 16:11

"เดือนที่แล้วทำพระปิดตารุ่น ๒ ที่จะพุทธาภิเษกวันเป่ายันต์ปีหน้า ต้องใส่ทองไปองค์ละตั้ง ๔ บาท ช่างคำนวณมาได้ว่า ๓.๕๐ บาท ตูเกือบสลบ..! เอาทองไป ๕๔ บาท ได้มา ๑๑ องค์ครึ่ง..! ท้ายสุดต้องหาทองไปเพิ่มให้ได้อีกครึ่งองค์

การหล่อพระทุกครั้ง ถ้าจะทำเป็นทองให้ใช้ทองแท่งเพราะว่าทองรูปพรรณจะสูญเสียประมาณ ๑๐-๑๕ % บางรายที่ไร้ศีลไร้ธรรมอาจจะสูญเสียถึง ๓๐ % เพราะเขาผสมโลหะอื่นมาเยอะ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พวกร้านทองผสมมาก ถึงขนาดเหลือเปอร์เซ็นต์ทองประมาณ ๖๐ กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง จนกระทั่งสมาคมผู้ค้าทองกับ สคบ.ต้องยื่นมือเข้ามา ไม่อย่างนั้นเขาคิดจะโกยกำไรอย่างเดียว

และอาตมาก็ดวงเศรษฐี ซื้อทองตอนราคา ๒๗,๒๐๐ บาท คุยได้เต็มปากเต็มคำว่า ไม่มีใครซื้อแพงกว่านี้อีกแล้ว เนื้อเงินรุ่นนั้นก็กิโลกรัมละ ๔๕,๐๐๐ บาท ภูมิใจมาก เป็นพระมหาเศรษฐีจริง ๆ..! แต่ก็ดีนะเพราะอาตมาจ่ายคนเดียว คนอื่นเขารอลุ้นบูชาตอนประกาศออกเว็บ

รุ่นนี้ทำน้อย ทุกเนื้อทำเต็มที่แค่ ๑,๐๐๐ องค์เท่านั้น เพราะว่าสู้ราคาวัสดุไม่ไหว อย่างพระเนื้อเมฆสิทธิ์มีส่วนผสมของทองจะเป็นสีเขียวเหลือบทอง คือเขียวเหลือง แล้วเมฆพัตรนี่จะเป็นน้ำเงินเหลือบเงิน เพราะว่าส่วนผสมหลัก ๆ ก็จะมีเงิน มีพลวง มีสังกะสี มีทองแดง ฯลฯ คราวนี้มีส่วนผสมทองก็สะดุ้งสิ เพราะฉะนั้น..เมฆสิทธิ์รุ่นนี้จะสีเหมือนเมฆพัตรมากกว่า เพราะไม่กล้าใส่ทองมาก

นวโลหะรุ่นนี้ก็ใส่แค่ ๙ บาทตามสูตรจริง ๆ รุ่น ๑ ที่เป็นพระปิดตาองค์เล็กนั่น อาตมาใส่ทองไป ๑๐๐ บาท..! ตอนช่วงนั้นทองบาทละแค่ ๑๒,๐๐๐-๑๓,๐๐๐ บาท อาตมาก็ใจป้ำ ทำทั้งทีเอาให้ดีไปเลย จึงใส่ลงไปตั้ง ๑๐๐ บาท เล่นเอาช่างตกใจ เทเสร็จนี่เขาเก็บเศษทุกชิ้นคืนมาหมดเลย กลัวจะไปปนกับของคนอื่นเขา"

ถาม : ตามสูตรนี่เอามาจากที่ไหนคะ ?
ตอบ : สมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์ แต่ท่านยืนยันว่า ตำรานี้สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สืบทอดมาถึงพระพุฒาจารย์(มา) วัดสามปลื้ม มาสมเด็จพระวันรัตน์(แดง) วัดพระเชตุพนฯ แล้วก็มาสมเด็จพระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคไอที สูตรจึงแพร่กระจายไปหมด ไม่เป็นความลับอีกแล้ว

เถรี 13-10-2011 03:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่มีเงินเหลือเฟือสัก ๘๔,๐๐๐ บาท เก็บ ๆ เอาไว้หน่อยนะ เพราะว่าอาตมากำลังทำวัตถุมงคลชิ้นหนึ่ง เป็นที่ระลึกในหลวง ๘๔ พรรษา ก็เลยทำแค่ ๘๔ ชิ้นเท่านั้น ทำจากโลหะผสม อาตมาจะใช้โลหะอาถรรพ์ทุกอย่างที่เก็บเอาไว้ลงทีเดียวหมดเลย ไม่ว่าจะปรอทเงิน ปรอททอง พญาเหล็กสีเงินยวง สีปีกแมลงทับ สีปีกแมลงภู่อะไรก็ใส่ลงไปทีเดียวหมด

ช่างที่ขึ้นรูปวัตถุมงคลก็ถือว่าเป็นช่างที่ได้รับการยอมรับฝีมือในระดับประเทศ ส่วนท่านที่ทำหน้าที่หล่อนี้ วงการโลหะศาสตร์ของโลกยอมรับว่าเขาเป็น ๑ ใน ๑๐ ของสุดยอดนักโลหะ ที่ต้องการระดับนั้นเพราะกลัวว่า เขาจะไม่สามารถหลอมโลหะเราทุกอย่างให้เข้ากันได้

ทำแค่ ๘๔ ชิ้น คิดชิ้นละ ๘๔,๐๐๐ บาท หลาย ๆ คนรวมกันเอาไปชิ้นหนึ่งก็ได้ ทุกอย่างที่ทำออกมาจะทำให้ดูดีสมพระเกียรติที่สุด ดูแล้วก็ได้แต่ชื่นชมน้ำลายหก แตะไม่ถึง ยกเว้นว่าใครไม่กลัวกินแกลบก็ได้

นับเป็นการลงทุนมหาศาลแต่ทำงานชิ้นน้อยมาก จนกระทั่งช่างเขายังถามว่าเอาจริงหรือ ? จริงสิ..จะทำมากไปทำไมเล่า ทำน้อย ๆ ให้เขาแย่งกันดีกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก ของเรามีน้อยด้วย ทำมาก ๆ แล้วจะไปหาโลหะผสมได้สักเท่าไร"

ถาม : ออกเมื่อไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะออกภายในสิ้นปีนี้ ถ้าใครไปงานที่วัดสระพังจะเห็นอาตมาถืออยู่ เท่าของจริงทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ต้องจองหรอก ๘๔ เล่มนี่หาคนจองยากเพราะราคาแพงมาก กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะใส่ทองเท่าไรดี


ถาม : เอาเยอะ ๆ ครับ
ตอบ : เข้าใจยุนะ ให้อาจารย์เจ๊งไปก็แล้วกัน เพราะก็ราคานั้นแหละไม่ได้เพิ่มขึ้นสักบาท ตอนนี้ที่แน่ ๆ ก็คือ ใส่ตะกรุดมหาสะท้อนกับตะกรุดโสฬสลงแน่ ๆ ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ๑ ดอก หลวงปู่เนียม วัดน้อย ๑ ดอก เสียดาย..เราควรจะตะไบให้ไปหน่อยหนึ่งก็พอ นี่ดันให้เขาไปทั้งดอกเลย..!

เถรี 13-10-2011 20:01

ถาม : มีเรื่องกราบเรียนครับ ผมเห็นนิมิตว่าตอนที่ไปใต้มีระเบิดตูมขึ้นมา
ตอบ : ไม่ต้องห่วงโดนแน่..!

ถาม : แล้วเห็นเหมือนเขายิงเข็มสีดำมาเต็มท้องฟ้าเลยครับ
ตอบ : อาตมาก็มั่นใจว่าโดนแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ชวนพวกเราไปกันแบบนี้..! เขารู้กำหนดการล่วงหน้าเป็นเวลานาน ถ้าใครยังไม่ได้ทำประกันชีวิตทำไว้เยอะ ๆ เลยนะ ถ้ามีชิ้นส่วนอะไรที่เก็บกลับมาได้ อาตมาจะเก็บกลับมาให้ คราวนี้จะได้รู้ว่าวัตถุมงคลของใครเจ๋งจริง แล้วก็จะได้รู้ว่ากลัวตายหรือเปล่า ? ระเบิดนี่เหนียวแค่ไหนก็ตายเพราะแรงอัด..!

เรื่องของความตายอาตมากลืนลงท้องไปนานแล้ว จริง ๆ แล้วความตายเป็นแค่การเปลี่ยนรูปเปลี่ยนขันธ์ไปเท่านั้นเอง เหมือนกับรถยนต์ ถ้าพังไปเราก็ไปหารถคันใหม่ต่อ อย่างอาตมานี่ถ้าได้รถคันใหม่ก็คงจะหรูระดับเบนซ์หรือบีเอ็มฯ เป็นอย่างน้อย อาจจะเล่นเครื่องบินส่วนตัวไปเลย

เรื่องของระเบิดไม่น่ากลัวเท่าไสยศาสตร์ แต่จากที่เคยผจญมา ไสยศาสตร์อิสลามนี่อนุบาลมาก คือพวกมือแน่ ๆ นี่แค่เราเดินผ่านเขาก็เจ๊งแล้ว แต่ไสยศาสตร์อิสลามดังเพราะว่าส่วนใหญ่เขาทำให้กิน พอเข้าไปเป็นเลือดเป็นเนื้อแล้วจะถอนได้ยาก

ถาม : เดินผ่านแล้วเสื่อมเลยนี่เป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เหมือนกับแสงสว่างผ่านเข้าไป ความมืดก็หายไปแล้ว

เถรี 13-10-2011 20:15

พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมอยู่คนหนึ่งเล่นพระมาตลอดชีวิต เขาเป็นคนรักพระมาก ได้มากี่องค์ก็ต้องเลี่ยมทอง ท้ายสุดยกเป็นมรดกให้ลูกชาย แต่ลูกชายไม่เห็นคุณค่า พอดีมีความจำเป็นต้องการเงินไปลงทุน ลูกชายก็เลยเอาพระไปให้เซียนพระตีราคา กลับมาบอกพ่อว่า “พ่อ ๆ พระของพ่อปลอมทุกองค์เลย” พ่อก็บอกว่า "อ้าว..ไหนบอกว่าจะเอาไปปล่อยในสนาม เอาเงินไปลงทุน" ลูกชายบอกว่า “ไม่เป็นไรพ่อ เงินได้แล้ว” ถามว่าเอ็งเอามาจากไหน “ขายกรอบพระของพ่อ”

พ่อเขาเลี่ยมทองทุกองค์เลย ไม่น่าเชื่อจะเลี่ยมได้เยอะขนาดนั้น คงจะเลี่ยมตั้งแต่สมัยทองบาทละ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ แล้วมาปล่อยสมัยบาทหนึ่งเป็นหมื่น ต้องการเงินไปลงทุนนี่แกะกรอบพระ ๓๐๐-๔๐๐ องค์ขายนี่พอเลย พระจะปลอมก็ปลอมไป แต่ทองไม่ได้ปลอมด้วย"

เถรี 13-10-2011 20:26

ถาม : หนูไปที่นครพนม ผ่านวัดหนึ่งเป็นวัดที่ร่มรื่นมาก ๆ รู้สึกมีเทวดาเหมือนตอนไปบึงลับแล แต่รู้สึกว่าเขาเป็นอดีตเจ้ากรรมนายเวร เหมือนกับเขาจะมาจ้องทำร้ายเรา หนูกลัวว่าจะคิดไปเอง
ตอบ : ดินแดนแถบนั้นเป็นเขตอำนาจของลาวมาก่อน แล้วลาวเขาไม่ชอบหน้าไทย พอ ๆ กับที่ไทยไม่ชอบหน้าพม่า เพราะเราเคยไปตี ไปเผาบ้านเผาเมืองเขาจนยับเยิน แล้วยึดเอาพระพุทธรูปสำคัญของเขามาเกลี้ยงเลย เพราะฉะนั้น..ท่านเหล่านี้ก็ยังจำเราได้

อาตมาเองเข้าไปในพระราชวังมันฑะเลย์ โดนเล่นงานเสียปางตาย พลังงานอัดเข้ามาทุกทิศทุกทาง ชนิดที่แทบจะกระดิกไม่ออก ต้องใช้วิธีดื้อ ดันเข้าไปเรื่อย ๆ บอกเขาว่า นี่เรื่องของคนละชาติคนละภพกันแล้ว ยุคนี้สมัยนี้ก็ไม่ได้รบราฆ่าฟันกันแล้ว จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกันนักหนา

เขาเองก็ยังระแวง เพราะเขายังจำได้ว่านี่คือศัตรู แล้วดันบุกเข้ามาในวังหลวงด้วย เขาก็เลยต้องตามประกบทุกฝีก้าว ปรากฏว่าพอพ้นออกมา พลังคลายออก เขาไม่ยุ่งด้วยแล้ว เล่นเอาอาตมาเดินไม่เป็นเลย คือจากที่ต้องทุ่มแรงเต็มที่แล้วเดินได้ กลายเป็นทุ่มไปแล้วไม่เจออะไร เดินเป๋ไป ๗-๘ ก้าวเลย เพราะฉะนั้น..ไม่แปลกหรอกถ้าไปเจอแบบเดียวกัน

ถาม : ถ้าหนูไปตามเมืองชายแดนแม่น้ำโขง หนูก็จะเจอแบบนี้เรื่อย ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ไม่แน่..อาจจะเจอพวกเยอะก็ได้ เพราะแถวลุ่มแม่น้ำโขง พวกเก่าเราก็เยอะ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ใกล้แม่น้ำ

เถรี 13-10-2011 20:48

ถาม : ผมเป็นอิสลามครับ จะถามว่าเรื่องการตัดร่างกายเวลาจะไปด้วยมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังนี่ เป็นการปลงอสุภะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่แต่ก็คล้ายกัน..คือต้องพิจารณาให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ร่างกายเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง เราเป็นแค่คนขับรถเท่านั้น ถึงเวลาพอรถยนต์นั้นพัง เราก็ทิ้งรถไปหาคันใหม่ได้

ดังนั้น..ต้องเห็นให้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย คล้ายกับการปลงอสุภะ ถ้าเราพิจารณาจนเห็นชัดว่าไม่ใช่ของเรา สภาพจิตจะไม่โดนดึงรั้งไว้ ก็จะไปได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยความที่จิตยังหวงร่างกายอยู่ ก็จะออกไปไม่ได้ หรือไม่ก็ออกไปแล้วก็มืดมัว มองอะไรไม่ชัดเจน

ถาม : แล้วอาการสั่นก็จะหายไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาการสั่น ถ้าเป็นตัวปีติเราต้องปล่อยให้เกิดเต็มที่ แต่ถ้าหากว่าเป็นกำลังที่จะออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าเราไม่ยึดถือร่างกายก็จะไปได้เลย แต่ถ้าหากว่าเรากลัว ๆ กล้า ๆ ก็ยังไปไม่ได้ แต่กำลังเราพอก็จะดันให้ไป เราก็ทั้งสั่นทั้งดิ้น

ถาม : แล้วจะทราบได้อย่างไรครับ ว่าเป็นอาการปีติหรือจะไปเต็มกำลัง ?
ตอบ : ทำถึงจริง ๆ ก็จะรู้เอง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:50


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว