เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์กล่าวว่า "อานิสงส์การสร้างพระ คือ พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชมีอำนาจ เกิดใหม่เมื่อไรก็เป็นผู้นำเขา อีกส่วนหนึ่งท่านบอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะประมาณได้ ก็แปลว่ามีอานิสงส์ที่ไม่สามารถจะประมาณออกมาได้"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมานั่งรถแท็กซี่ เกือบจะมาไม่ถึงบ้านวิริยบารมีแล้ว เพราะเงินหมด แถมยังทำเป็นใจใหญ่ ค่าแท็กซี่ ๒๙๓ บาท แต่จ่ายให้เขา ๓๐๐ บาทเลย เขาไม่รู้หรอกว่าอาตมาเหลือติดตัวอยู่แค่อีก ๔๐ บาท พอสอนหนังสือเสร็จเดินออกมา มีสาวคนหนึ่งเดินมาขอเงินกินข้าว ๒๐ บาท อาตมาบอกว่า "จะไปพอกินอะไร เอาไป ๔๐ บาทเลย"
เวลาคนอื่นมาขออะไรเรา ทางที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปเสียเวลาระแวงสงสัย ให้คิดว่าเป็นบุญลาภอันใหญ่ของเราแล้ว ที่จะได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนในการตัดความโลภ เพราะฉะนั้น..อาตมาจะไม่สนใจเรื่องอื่น เอ็งรีบเอาไปเลย ให้โดยเร็วที่สุด และให้เยอะที่สุดเท่าที่มี พอถึงเวลาถ้าจำเป็นต้องเกิดใหม่ อานิสงส์ตรงนี้จะทำให้ตอนที่ได้เราจะได้มากจนเบื่อ ระยะนี้อาตมาเบื่อสุด ๆ เวลาที่คนเขาเอาสารพัดของมาให้ ก็เพราะทำบุญลักษณะนี้เป็นประจำ บางทีอยู่ ๆ มอเตอร์ไซค์วิ่งพรวดมาจอดหน้ากุฏิ “หลวงพ่อขอเงินเติมน้ำมันร้อยหนึ่ง” อาตมาก็ควักให้เขาดู "ทั้งตัวมีอยู่ ๑๒๐ บาท เอ็งเอาไป ๑๐๐ ก็แลัวกัน" ตัดใจให้จริง ๆ พวกนี้มีมาสารพัดรูปแบบเลย แต่ว่าถ้าเราให้ได้ ก็ให้เขาไปเลย ถ้าหากว่าเรามีไม่พอ ก็ให้เขาแค่ที่มี ถ้ามีพอก็ให้เกินกว่าที่เขาขอ ทำอย่างนั้นแหละแล้วจะเจริญ เพราะเขาจะมาขอเรื่อย ๆ...(หัวเราะ)..." |
มีหลวงตารูปหนึ่งที่วัดมาขอลาสิกขา หลังจากทำพิธีกรรมเสร็จ พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาท่านบวชมาแล้วตั้งใจปฏิบัติ พร้อมกับศึกษาเล่าเรียน ท่านอายุมากแต่สอบจนได้นักธรรมเอก ซึ่งส่วนใหญ่คนอายุมากแล้วสมองจะไม่ค่อยไหว คราวนี้ท่านเป็นโรคเบาหวาน ต้องมีคนดูแลอยู่ตลอด ท่านก็เลยไม่สะดวก ขอสึกกลับบ้านไปให้ลูกหลานดูแล เพราะพระเราด้วยกันดูแล อย่างไรก็ไม่เหมือนกับลูกหลานของตัวเองดูแล
เราจะเห็นว่าการสึกหลวงตาเมื่อครู่นี้ จะมีพิธีกรรม ๒ อย่างที่ลืมไม่ได้เลย อย่างแรกคือการแสดงคืนอาบัติ เท่ากับเป็นการชำระศีลของตนเองให้บริสุทธิ์ก่อน จะได้สึกในสภาพภิกษุที่มีศีลสมบูรณ์พร้อม ข้อที่ ๒ ก็คือการขอขมาพระ การอยู่ร่วมกันในคณะสงฆ์อาจมีการกระทบกระทั่งกันด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจบ้าง ก็ให้ขอขมากันก่อน อาตมาเป็นตัวแทนสงฆ์ เดี๋ยวกลับไปจะต้องแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบ เวลาที่พระสึก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้อธิษฐานว่า บุญเนกขัมมบารมีที่เราสร้างมาทั้งหมดในการบวชครั้งนี้ เราตั้งความปรารถนาอะไรก็ให้ขออย่างเดียว ถ้าหากว่าเป็นอาจารย์สมัยโบราณ อย่างหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ลูกศิษย์ไปขอสึก ท่านถามว่า “จะเอาเมียหรือจะขโมยควาย ?” ถ้าอยากได้เมีย ท่านเป่าหัวให้ สึกออกไปได้เมียแน่ ถ้าหากว่าอยากเป็นโจรขโมยควาย ท่านจะแถมเชือกให้ขดหนึ่ง ลูกศิษย์ก็นักเลงพอนะ บางคนจะไปเป็นโจรขโมยควายจริง ๆ เพราะมั่นใจว่าหาเมียเองได้ ไม่ต้องพึ่งหลวงพ่อหรอก ไปขโมยควายดีกว่า..!" |
มีคนเอาหนังสือหลวงปู่จันทามาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "หลวงปู่จันทาไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ท่านอยากบวชมาก ท่านจึงใช้การต่อหนังสือ คำว่า "ต่อหนังสือ" ก็คือ ให้คนอื่นเขาบอกคำขานนาค แล้วท่านก็จำเอาทีละประโยค ๆ ใช้เวลา ๘ เดือนถึงได้บวช ถ้าเป็นคนสมัยนี้อยู่วัด ๘ วันก็จะบ้าตายแล้ว แต่ท่านตั้งใจบวชจริง ๆ พยายามต่อหนังสืออยู่ ๘ เดือน กว่าจะท่องคำขานนาคได้ครบ
ถ้าหากว่าเรียนดนตรี เขาใช้คำว่า "ต่อเพลง" ครูเพลงจะเล่นเพลงให้ฟังครั้งหนึ่ง แล้วลูกศิษย์ก็จำ แล้วก็เล่นตาม ต่อเพลงกันไปเรื่อยจนกว่าจะครบทั้งเพลง" |
พระอาจารย์พูดถึงการขนแบบหล่อพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกว่า "ใครมีรถพ่วงให้เช่าสัก ๒ คันไหม ? วิ่งจากทองผาภูมิไปจังหวัดศรีสะเกษ ขนแบบพระไปให้วัดโนนผึ้งเขาหน่อย นี่เป็นมารยาทในการสร้างพระรุ่นนี้ คือใครที่สร้างพระรุ่นนี้เสร็จแล้ว จะต้องออกค่าขนส่งแบบไปให้วัดต่อไป พอวัดนั้นสร้างเสร็จก็ต้องออกค่าขนส่งไปให้วัดอื่นต่อไปอีก
ทั้งแบบพระและเครื่องไม้เครื่องมือรวมนั่งร้าน เต็ม ๒ คันรถพ่วง ก็คือ ๔ คันรถสิบล้อ ตอนนี้กำลังถามร้านขายวัสดุก่อสร้างอยู่ว่า จะสละเวลาให้สัก ๒ วันได้ไหม ? จะขอเช่ารถหน่อย ช่างทำพระชุดนี้เขาเป็นมืออาชีพจริง ๆ กินนอนอยู่หน้างานเลย ทางวัดของเราต้องให้แม่ชีทำอาหารไปส่ง เฉพาะพระที่มาช่วยสร้างก็ ๒๐ รูป แล้วเขาก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่กับขบวนนี้ รับสร้างพระทั่วประเทศ ตอนนี้สร้างไป ๒๐ องค์แล้ว ความจริงคิวของวัดท่าขนุนเป็นอีก ๒ ปีข้างหน้า แต่ธรรมะจัดสรร วัดทางด้านอุดรธานีเขาไม่พร้อม แต่คิวลงตัวแล้ว ถ้าไปแทรกคิวลัดให้วัดอื่น ก็เกรงว่าวัดอื่นจะรับไม่ทัน แต่วัดท่าขนุนไม่เกี่ยง เตรียมตัวทันอยู่แล้ว คุณลัดให้ผมเร็วขึ้นได้เท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น วันแรกก็ขลุกขลักนิดหน่อย เพราะเขานัดว่าจะมาถึงวันที่ ๒๖ ปรากฏว่ามาวันเป่ายันต์เกราะเพชรพอดีเลย เมื่อเป็นวันเป่ายันต์ฯ งานจึงเต็มไม้เต็มมือ หาคนไปขนแบบพระลงได้ยาก ยังโชคดีที่โยมและพระจำนวนหนึ่งออกไปช่วย เขาบอกว่าไม่นึกว่าคนจะมากขนาดนั้น คิดว่าลงแบบกันเป็นวัน เพราะของ ๔ คันรถสิบล้อ ปรากฏว่าพวกเราไปมะรุมมะตุ้มช่วยกัน แค่ประมาณ ๒ ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว" |
ถาม : จากที่หนูมีอารมณ์โดนกระทบ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เป็นเรื่องคนอื่นที่เราเห็นอยู่ในเหตุการณ์แล้วกระทบใจเรา ทำให้อารมณ์เกิดขึ้นในขณะนั้นคือปีติร้องไห้ แล้วเราก็เห็นว่า ที่เราเห็นนั้นไม่ได้เป็นคน เราเห็นเป็นดวงจิตซึ่งมีความทุกข์ แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่า เราไม่อยากเกิดให้มีทุกข์อย่างนี้อีก ?
ตอบ : ก็ถูกแล้วนี่จ๊ะ หลักการปฏิบัติท้ายสุดต้องโอปนยิโก น้อมเข้ามาที่ตัวของเรา เห็นเขาทุกข์ก็รู้ว่าเราก็ทุกข์ด้วย แล้วเราต้องการความทุกข์เช่นนั้นไหม ? ถ้าไม่ต้องการความทุกข์เช่นนั้น มีทางเดียวก็คือ ต้องไม่เกิดอีก การที่เราจะไม่เกิดได้ก็คือต้องลุ้นไปพระนิพพานให้ได้ พอความรู้สึกอย่างนั้นเกิดขึ้น เรารู้ว่าเรามีช่องทางที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ปีติจึงเกิด บางทีนั่งร้องไห้เป็นวัน ใครพูดถึงความดีอะไรไม่ได้ ได้ยินเมื่อไรน้ำตาร่วงหมด ถือว่าเป็นเรื่องปกติจ้ะ ปล่อยให้ปีติขึ้นเต็มที่เดี๋ยวก็จะเลิกไปเลย แต่ถ้าเราไปห้ามเอาไว้ ถึงเวลาก็มาอีก ไม่เลิกสักที ปีติต้องปล่อยเต็มที่ ถ้าเป็นอุเพ็งคาปีติก็ปล่อยดิ้นตึงตังโครมคราม หกคะเมนตีลังกาไปเลย เต็มที่เมื่อไรถึงจะเลิก ถ้าเราไปห้ามไว้ก็จะหยุดทันที แต่ถ้าหากว่ากำลังใจกระทบจุดนั้นเมื่อไรก็จะมาอีก เพราะฉะนั้น..เรื่องของปีติอย่าไปห้าม ปล่อยให้เต็มที่จนเลิกไปเอง ก้าวข้ามได้สมาธิก็จะทรงตัวเป็นฌานไปเลย ถาม : พอใคร่ครวญในสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์เกี่ยวกับโพชฌงค์ ๗ ในขณะที่พิจารณาไตร่ตรอง ขณะนั้นดำเนินตามโพชฌงค์ด้วยไหมเจ้าคะ ? ตอบ : ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น เพียงแต่เรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น ถาม : ในขณะตอนนั้นรู้ค่ะ แต่ว่าหลังกลับมาแล้วคิดทบทวนแล้ว... ตอบ : องค์ของโพชฌงค์ทั้งหมดจะอยู่กับนักปฏิบัติ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้นเองว่าเราทรงในโพชฌงค์อยู่ เพราะถ้าไม่มีโพชฌงค์ เรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลไม่ต้องไปคิดเลย แต่คราวนี้เราอย่าไปเสียเวลาไปคิดว่าอันนี้เป็นโพชฌงค์หรือไม่ มีหน้าที่ทำอย่างเดียวพอ ถาม : ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะไปอย่างไรหรือคะ ? ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ พยายามรักษาอารมณ์ใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ทุกข์จะเหลือน้อยแค่สภาวทุกข์ทางร่างกายเฉย ๆ กำลังใจเราจดจ่ออยู่กับพระนิพพานเท่านั้น กาย วาจา ใจของเราทุกอย่างเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ก็คือ จะไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น ไม่ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจของเรา อย่างน้อยเราต้องมีศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ทรงตัว มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าถ้าตายลงไปตอนนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน ถ้ารักษากำลังใจไว้แค่นี้ได้ โพชฌงค์ ๗ ข้อ อยู่กับเราครบถ้วน ถาม : ขอความเมตตาท่านแนะนำว่า ตอนนี้ลูกมีอะไรที่ต้องทำอีกบ้าง ? ตอบ : ไม่มีอะไร กลับไปก็ปล่อยปีติให้เต็มที่ไปสักทีหนึ่ง ขอร้องไห้หนัก ๆ สักวันหนึ่ง พอก้าวข้ามไปคราวนี้สมาธิจะทรงตัว พอสมาธิเริ่มทรงตัว โอกาสที่เราจะสู้กับกิเลสก็มีมากขึ้น ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวกำลังของเราก็ยังสู้กิเลสไม่ได้ ถาม : แต่จริง ๆ ค่ะ หลังจากนั้น ๔-๕ วันได้ พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไร ก็จะเป็นแบบนี้ขึ้นมาทุกทีเลย ตอบ : จ้ะ..ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้นตลอด พอก้าวพ้นไปแล้ว ใจเราก็จะแน่วแน่มั่นคงในพระนิพพาน ไม่ไปไหนแล้ว ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงงานเสาร์ห้าที่ผ่านมา มีญาติโยมหลายท่านขออนุญาตนำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี อาตมาก็เข้าใจว่าเขาสร้างวัตถุมงคลมาแล้วเอาไปเข้าพิธี เพิ่งจะรู้ว่าเขาทำวัตถุมงคลในชื่อวัดท่าขนุน ซึ่งจะสร้างปัญหาให้วัดท่าขนุนทีหลังทุกครั้ง เพราะว่าพอเขาเห็นกล่องเขียนว่าวัดท่าขนุน ต่อไปเขาจะไปตามหาที่วัด ซึ่งอาตมาไม่มีให้ และโดนโยมเขาประท้วงมาตลอด เขาต้องการวัตถุมงคลรุ่นนั้นแล้วทำไมวัดบอกว่าไม่มี พอบอกว่าทางวัดไม่ได้สร้าง เขาก็ควักออกมาให้ดู กล่องเขียนไว้ชัด ๆ ว่าวัดท่าขนุน พุทธาภิเษกวันนั้นเวลานั้น
ดังนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าใครขออนุญาตนำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี ห้ามใช้ชื่อวัดท่าขนุน เพราะทำให้ทางวัดลำบากมาหลายต่อหลายงานแล้ว ถ้าไปเจอวัดที่โหด ๆ หน่อย เขาฟ้องข้อหาหลอกลวงไปเลย เพราะทางวัดไม่ได้สร้าง แค่เอาไปร่วมเข้าพิธีเท่านั้น ให้บอกกับเขาไปชัด ๆ เลยว่าเราสร้าง แล้วไปขอเข้าพิธีที่วัดก็จบแล้ว ไม่ต้องไปใช้ชื่อวัดให้เสียเวลาหรอก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครจะสร้างวัตถุมงคล ห้ามสร้างในชื่อวัดท่าขนุนอย่างเด็ดขาด แม้กระทั่งทุกครั้งที่ผ่านมา อาตมาก็ไม่ได้อนุญาต อาตมาอนุญาตแค่ให้นำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี แต่เขาไปจัดการสร้างในชื่อวัดท่าขนุนเสร็จสรรพเลย" |
พระอาจารย์เล่าเรื่องความฝันให้ฟังว่า "เมื่อคืนอาตมาทำหนังสือดึกไปหน่อย หลับไปแล้วนิมิตเห็นงู ตัวใหญ่กว่าเสาเรือนอีก ขำที่สุดก็คือ งูกำลังไล่กินคนกินสัตว์คนนั้นตัวนี้อยู่ พอมาถึงอาตมาก็จะกิน พอดีอาตมาเห็นที่หลบลักษณะเหมือนกับท่อน้ำซีเมนต์ ก็เลยเข้าไปอยู่ข้างใน พองูฉกมาก็มุดเข้าไปอยู่ข้างใน พองูถอยไปก็โผล่ออกมาดู สรุปแล้วงูกินไม่ได้ เป็นอะไรที่สนุกมาก เวลาเราไม่กลัวนี่สนุกดี..!
ปกติถ้าเจองูตัวใหญ่ขนาดนั้นก็จะกลัว แต่นี่ในฝันยังไม่กลัว แสดงว่ากำลังใจจริง ๆ จะต้องมั่นคงพอ ความฝันเป็นเครื่องวัดกำลังใจปัจจุบันของเราได้ดี ถ้าหากในฝันเรามีโอกาสละเมิดศีลละเมิดธรรม แล้วเราประคับประคองไม่ไปละเมิดศีลธรรมได้ แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดีกว่า ถ้าหากว่าเจอในสิ่งที่น่ากลัว สามารถนึกถึงพระ นึกถึงความดีได้ ก็แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดีมากกว่า เพราะฉะนั้น..อาตมาไม่ได้เอาความฝันมาเป็นอารมณ์ นอกจากเอามาวัดกำลังใจในการปฏิบัติ ในฝันหรือว่าในชีวิตจริงส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ก็คือไม่ได้เป็นเรื่องที่อาตมาหามาหรอก ในฝันสังเกตว่าบ่อน้ำใหญ่บ่อนั้น มีแต่รอยเดินลง ไม่มีรอยเดินขึ้น แล้วรอยที่กว้างเป็นเรือชะล่า มีแต่รอยลงไปอย่างเดียว อาตมาก็เตือนคนอื่นว่าอย่าลงไป พวกนั้นก็ดื้อ หิวน้ำ..จะลงไปกินให้ได้ พอวักน้ำเท่านั้นเอง งูโผล่พรวดขึ้นมา คราวนี้ก็ตัวใครตัวมันเถอะ เราได้เตือนคุณแล้ว ห้ามแล้วยังดื้ออีกก็สมควรโดน..!" |
"ในชีวิตอาตมา เจองูสัมผัสใกล้ชิดชนิดที่มารัดตัวเองเลย ความรู้สึกบอกว่าตัวใหญ่ประมาณกระติกน้ำ กระติกน้ำธุดงค์ของอาตมาเป็นกระติกขนาด ๒ ลิตรครึ่ง เพราะฉะนั้นจะใหญ่หน่อย แต่ปรากฏว่าตอนหลังพระท่านมาบอกว่า งูตัวนี้ใหญ่กว่าถังสังฆทานอีก..!
เหตุที่อาตมาไม่รู้ว่าตัวใหญ่แค่ไหน เพราะเขามาตอนดึก ๕ ทุ่มกว่า เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว มืดมาก..อาตมาตื่นขึ้นมาก็ไปปัสสาวะที่นอกถ้ำแล้วกลับมาที่กุฏิ พวกกะเหรี่ยงเขาสร้างกุฏิเล็ก ๆ ให้อาศัยอยู่ กางกลดออกมาก็เต็มกุฏิพอดี กว้างไม่น่าจะเกิน ๑.๘๐ เมตร พออาตมาเข้ามาที่กุฏิ ความรู้สึกบอกว่า 'ปิดประตูเสีย งูใหญ่จะมา' บอกชัด ๆ เหมือนคนพูดข้างหูเลย แหม..กำลังภาวนาเพลิน ๆ ขี้เกียจขยับ ก็เลยไม่สนใจ ปล่อยไป สักพักเดียวเท่านั้นเอง งูยื่นหัวเข้ามาทางประตู ดันมุ้งกลดยวบยาบ ๆ อาตมานอนอยู่ เขาก็เลยวนรอบ รอบที่ ๑ รอบที่ ๒ ลองคิดดูว่างูตัวยาวแค่ไหน ? อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร นี่งูวน ๒ รอบแล้วความยาวยังไม่หมดเลย พอรอบที่ ๒ เสร็จงูก็ยกหัวขึ้นมาแบบหายใจรดหน้า รู้สึกเลยว่าลิ้นงูเฉียดไปเฉียดมาอยู่ใกล้ ๆ หน้า ถ้าไม่มีกลดก็คงถูกงูเลียหน้าเล่นไปแล้ว อาตมาก็ได้แต่บอกในใจว่า ไม่อร่อยหรอก อย่ากินเลย ถามว่ากลัวไหม ? ก็ไม่กลัวนะ..แต่อาตมานอนตัวแข็งทื่อกระดิกไม่ได้..(หัวเราะ)..นี่เรื่องเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ครั้งนั้นโชคดี เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าถ้าตกใจลุกขึ้นโดนรัดแน่ แต่อาตมานอนอยู่งูจึงรัดไม่ได้ ได้แต่แลบลิ้นเลีย ๆ พอเห็นว่าไม่กระดิกกระเดี้ยก็อาจจะคิดว่าตายแล้ว เลยไม่สนใจ คลายออกแล้วก็เลื้อยออกหน้าถ้ำ ไปส่งเสียงร้องอยู่หน้าถ้ำ เสียงงูร้องนี่บอกไม่ถูก สะเทือนไปถึงแก้วหูไม่พอ ยังสะเทือนไปถึงในอกด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าตัวใหญ่ ใครเคยได้ยินเสียงงูร้องบ้าง ฟังครั้งเดียวจะจำได้ตลอดชีวิตเลย บางคนเรียกงูเห่าปี่แก้ว เสียงร้องวี้ด ๆ ยาวเชียว บางคนก็คิดว่าเป็นตัวแมลงอะไรร้อง พอหาดูไปเจองูร้องอยู่บนกิ่งไม้ แต่เจ้าตัวนี้ใหญ่จัด เสียงจึงดังสนั่นสะเทือนเข้าไปในอกเลย" |
"คราวนี้ไปเล่าให้พระที่เจอกันตอนธุดงค์ฟัง บอกว่างูตัวประมาณกระติกน้ำธุดงค์ของอาตมา พระมอญชื่อจันทิมา ท่านบอกว่า “ไม่ใช่ครับอาจารย์ ถังสังฆทานดี ๆ นี่เอง” อาตมาถามว่า "คุณเคยเจอหรือ ?" “เจอครับ..นอนขวางทางอยู่ สงสัยไปหากินมาอิ่มแล้วก็เลยนอนหลับ ผมเดินตามเกล็ดไปตั้งไกลกว่าจะพ้นปลายหางได้”
"แล้วทำไมไม่ก้าวข้ามเลย ?" “ใหญ่มากครับ กลัวว่าก้าวข้ามไม่พ้นแล้วไปสะดุดเข้า ผมคงตายคาที่ตรงนั้นแหละ..!” "ทำไมต้องเดินตามเกล็ดด้วย ?" “เดินย้อนเกล็ดก็เจอหัวงูสิครับ” เขาเก่งกว่า ถ้าเป็นอาตมาคิดไม่ถึงหรอก เดินส่งเดชไปเรื่อยแหละ เขายังมีสติว่าต้องเดินตามเกล็ดจึงจะไปทางหาง ถ้าเดินย้อนเกล็ดจะไปทางหัว สรุปแล้วอาตมามีพระจันทิมาเป็นพยานว่า งูใหญ่ขนาดนั้นมีจริง ๆ ใหญ่ขนาดที่พระไม่กล้าก้าวข้าม กลัวจะไปสะดุดเข้า เรื่องของการฝันถึงงู ตำราทำนายฝันบางทีท่านตีความว่า เป็นกิเลสหรือความชั่วในใจของเราเอง ตำรานี้น่าจะมาจากฝรั่ง ที่เขาสรุปว่างูก็คือตัวชั่วร้ายที่มายุให้อดัมกับอีฟเข้าไปกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนเข้าไป แล้วก็เลยทำให้มนุษย์มีแต่ความทุกข์" |
"ถ้าเราดูในอัคคัญญสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะ เกี่ยวกับกำเนิดของโลก อย่าลืมว่าแม้แต่อาภัสราพรหม ซึ่งเป็นพรหมชั้นที่ ๖ เวลาได้กลิ่นง้วนดินที่หอมมาก ยังทนไม่ไหว ต้องลงมาลองชิมดู ขนาดอาภัสราพรหมกิเลสยังหลอกให้กิน จนกระทั่งเหาะกลับไม่ได้ เพราะกินของหยาบเข้าไป กายทิพย์ก็เลยหยาบขึ้น พอน้ำหนักมากเหาะไม่ขึ้น ก็เลยกลายเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ไป
เพราะฉะนั้น..เรื่องอดัมกับอีฟ ที่ว่าโดนหลอกให้กินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนก็ลักษณะเดียวกัน บุคคลที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ที่มากระตุ้นเร้า ทำให้ทำผิดพลาด ก็เลยกลายเป็นว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ทางฝ่ายคริสต์ก็กินแอปเปิ้ลเข้าไป บรรพบุรุษมนุษย์ทางฝ่ายพุทธของเราก็กินง้วนดินเข้าไป เราสามารถที่จะคืนสู่สภาพเดิมได้ก็ด้วยการฝึกจิต เพราะสภาพร่างกายเป็นวัตถุธาตุที่ยืมโลกมาใช้ คือ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ในเมื่อยืมสมบัติของโลกมาใช้ สภาพของร่างกายจึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนได้ วิธีจะหลุดพ้นมีทางเดียวก็คือต้องไปด้วยจิต ในเมื่อไปด้วยจิต วิธีการเน้นฝึกจิตของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็สอนแล้ว รักษาศีลให้บริสุทธิ์ รักษาศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ไม่พอ ห้ามยุคนอื่นเขาละเมิด แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาละเมิดศีลด้วย แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติในสมาธิภาวนา ตั้งเป้าหมายแน่วแน่อยู่ว่า ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน ปฏิบัติสมาธิภาวนาก็ปฏิบัติอย่างคนปฏิบัติเป็น ก็คือรักษาอารมณ์ใจให้รู้อยู่กับปัจจุบัน ถ้ารู้อยู่ในปัจจุบัน จิตไม่ฟุ้งไปในอดีต ไม่ฟุ้งไปในอนาคต ความทุกข์จะมีน้อยมาก สติจะรู้เท่าทันอยู่เฉพาะหน้า กิเลสรัก โลภ โกรธ หลงจะเข้ามากินเราไม่ได้ อันนั้นเป็นขั้นต้น แล้วหลังจากนั้นพอปัญญามากขึ้น เราก็เอาไปใช้ในการหาช่องทาง ว่าจะละรัก โลภ โกรธ หลงอย่างไร" |
ถาม : ตอนภาวนาแล้วรู้สึกว่าเจ็บตรงกลางหน้าผากค่ะ พอเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าถอยดีกว่า แต่ความจริงแล้วไม่ควรถอยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เพราะเราไปวางกำลังใจอยู่จุดเดียว ต้องบอกว่าตรงส่วนนั้นเป็นจักระ คือแหล่งพลังงานอย่างหนึ่ง ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ ไฟฟ้าในร่างกายคน ไฟฟ้าจากสมอง ไฟฟ้าจากส่วนอื่นของร่างกาย ไปรวมศูนย์อยู่ตรงจุดนั้น จะเกิดพลังไฟฟ้าสถิตมากขึ้น ๆ ถ้าหากว่ารู้สึกจะไม่ไหว ยกมือขยี้ ๆ หน่อยก็ได้ ถ้ามีถ่านไฟฉายอยู่ เอาก้นถ่านไฟฉายแปะหน้าผากทีเดียวก็หายแล้ว ไฟฟ้าจะไปอยู่ในถ่านไฟฉายแทน ถาม : แต่ถ้าเราฝืนต่อไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรหรือเปล่าคะ ? ตอบ : บางทีก็เป็นเหมือนกันนะ เพราะจะเครียด แล้วก็ปวดหัว ถาม : ตอนภาวนาแล้วหลุดออกไป จะไปท่านอนทุกทีเลยค่ะ พยายามให้ไปท่านั่งแต่ไม่ยอมไป ? ตอบ : เคยชินอย่างไรจะไปอย่างนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงต้องพิงตุ่มถึงไปได้ เพราะฉะนั้น..เรานอนไปสบายกว่า นั่งไปบางทีก็ไม่สบายเหมือนนอนหรอก เราก็นอนต่อไปเถอะ ถ้าเกิดไปสัก ๕-๖ ชั่วโมง อย่างน้อย ๆ ร่างกายก็ไม่ลำบากมาก |
ถาม : บังเอิญได้ยินคนอื่นเขาว่า ยันต์เกราะเพชรถ้ารับไปจะค้าขายไม่ดี กลัวจะโดนบังหมดค่ะ ?
ตอบ : คนละเรื่องเดียวกันเลย ยันต์เกราะเพชรเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ท่านมีพระนามหนึ่งว่าภะคะวา เป็นผู้มีโชคอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น..ถ้าอาราธนาเป็นจะค้าขายดีเสียด้วยซ้ำไป สมัยก่อนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงจะได้พระคาถาเงินล้านมา คาถามหาลาภของหลวงพ่อคืออิติปิ โสฯ ก็คือบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าเวลาออกบิณฑบาตนี่ไหลมาเทมา กำลังใจของเรา..ถ้าคิดจะให้ไปด้านไหนก็จะเป็นไปด้านนั้น คราวนี้ท่านคิดจะให้ไปด้านลาภผลก็เป็นลาภผลเต็มที่ เพราะกำลังใจทรงตัว เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกังวลนะจ๊ะ ถ้าอาราธนาเป็นจะรวยด้วย เขาว่ายันต์เกราะเพชรถ้ารับไปเดี๋ยวค้าขายไม่ดี กลัวจะโดนบังหมด เราก็อธิษฐานขอให้บังส่วนที่ไม่ดี แล้วก็เลือกรับแต่ส่วนที่ดี ๆ สิ แสดงว่าคนพูดนั่นยังใช้งานไม่เป็น..! |
ถาม : ตอนพิธีพุทธาภิเษก เอาของไปเข้าพิธีที่เขาจัดไว้ให้ แต่ตอนเป่ายันต์เกราะเพชรเราเอาออกมาไว้ที่ตัวก่อน ไม่ทราบว่าของเราจะได้รับการเสกด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในพิธีพุทธาภิเษกนี่เขาบังคับให้นะ ปกติเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไปในตัวอยู่แล้ว บารมีที่พระท่านคลุมลงมา ถ้าตั้งใจรับอยู่คนละจักรวาลยังได้เลย |
ถาม : เอาพระปิดตาองค์ละ ๕,๐๐๐ บาท ไปเลี่ยมกรอบที่ร้าน ทันทีที่วางมีคนอื่นคว้าไปดูเลยค่ะ ?!!
ตอบ : นั่งเฝ้าดีที่สุด อาตมาเอาสมเด็จคำข้าวรุ่นพิเศษที่บรรจุพระธาตุของวัดท่าซุงไปเลี่ยม กลับมาพระธาตุ ๕ องค์เหลือ ๓ องค์ หายไป ๒ องค์ คิดดูแล้วกัน เผลอหน่อยเดียวแอบสะกิดเอาไปดื้อ ๆ ถาม : ถ้าไม่ได้เข้ากรอบแต่ยังอยู่ในถุง พระสีจะเปลี่ยนไหมคะ ? ตอบ : จะอยู่ได้ระยะหนึ่ง อย่างเนื้อเงินอยู่ได้เป็นปี เพราะเรามีการเคลือบด้วยไฟฟ้า เพื่อให้ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเนื้อเงินได้ช้า แต่เนื้อนวโลหะนี่จะช้าจะเร็วก็ต้องดำ เพราะส่วนผสมอย่างหนึ่งก็คือเงิน และเป็นส่วนผสมเกือบจะมากที่สุดด้วย ผสมเงินไป ๘ บาท ทอง ๙ บาท เพราะฉะนั้น..เงินมากก็ดำเร็ว ถ้าจะไม่ให้ดำมีอย่างเดียวก็ขัดให้ลื่นเลย แล้วรีบอัดเข้ากรอบพลาสติกกันน้ำไว้ ถ้าอากาศเข้าไม่ได้ ทำปฏิกิริยาไม่ได้ ก็ไม่ดำ ถาม : ที่ว่าขัดให้ลื่นนี่ใช้อะไรขัดคะ ? ตอบ : เอาผ้านุ่ม ๆ เช็ดแล้วจะเงาเหมือนเดิม แต่ต้องรีบไปใส่กรอบ ความจริงสภาพเดิม ๆ ดีที่สุด เพราะโดยค่านิยมของพวกเล่นพระเครื่องกัน เขาจะเอาสภาพเดิม ๆ ถ้าไปเปลี่ยนแปลงราคาจะตกฮวบเลย |
ถาม : ทำกรรมฐาน หนูรู้สึกว่า การกำหนดใจไว้ที่ฐาน.. (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ตรงไหนก็ได้ ไม่เอาสักฐานเลยก็ได้ ถาม : ถ้าเราเห็นแสงสว่าง ? ตอบ : แสงสว่างเขาเรียกอุปกิเลส เป็นโอภาสในอุปกิเลส ถ้าเราไปสนใจอยู่ตรงนั้น การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า คำว่าอุปปะ แปลว่าใกล้ เพราะฉะนั้น..อุปกิเลส คือ ใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไม่สนใจก็แค่ใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไปสนใจเมื่อไรจะเป็นกิเลสทันที ถาม : คนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์นี่... ตอบ : ทำให้ถึงเดี๋ยวรู้ ถาม : กำลังใจเป็นปรมัตถ์ ? ตอบ : ถ้าขยันก็ใช้เวลาน้อย ถ้าขี้เกียจก็ใช้เวลามาก เป็นเรื่องปกติ |
ถาม : บทสวดธรรมจักร ในส่วนที่ท่านพูดถึงการพิจารณากิจในอริยสัจ ๔ พิจารณาอย่างไรครับ ? ขอความเมตตาช่วยอธิบายด้วยครับ ผมพยายามคิดตาม แต่คิดตามไม่ไปครับ
ตอบ : แล้วจะคิดไปทำซากอะไร ? การรู้ครบทุกเรื่อง เป็นเรื่องของคนที่จะไปเป็นครูเขา ในเมื่อเราไม่ได้เป็นครู รักจะเป็นนักเรียน รู้เรื่องทุกข์อย่างเดียวก็จบแล้ว ถ้าทุกข์แล้วยังไม่เข็ดอีกก็ไปเกิดเสียให้พอ เรื่องของอริยสัจนั้นประกอบไปด้วย ทุกข์ ท่านบอกว่าทุกข์นั้นต้องใช้ปริญญา คือการกำหนดรู้ให้ชัดเจน จิตจะได้ยอมรับสภาพ สมุทัย คือสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ท่านบอกว่าต้องใช้ปหานะ ก็คือ ตัดให้ขาดออกจากใจของเราให้ได้ นิโรธ คือทุกข์ดับหมดนั้น ท่านบอกว่าต้องใช้สัจฉิกิริยายะ ก็คือการที่ทำให้แจ้ง หมายความว่าถ้าไม่แจ้งก็จะดับทุกข์ไม่ได้ มรรค ท่านบอกว่าให้ภาวนา คือทำให้เจริญเข้าไว้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของอริยสัจแต่ละหัวข้อ การที่เราจะปฏิบัติได้ก็ต้องใช้คนละอย่าง คนละวิธี แล้วคุณไปใช้วิธีเดียวกันหมดก็ไปไม่รอดสิ..! |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาเอก มีรุ่นพี่ปริญญาเอกรุ่นที่แล้วแต่ว่ายังเรียนไม่จบ มาสร้างความสนิทสนมและสนุกสนานกับรุ่นน้อง เขาบอกว่าให้พูดเลียนแบบสิ่งที่เขาพูด แต่ว่าให้พูดเฉพาะคำสุดท้าย อย่างเช่น เขาบอกว่า กรุงเทพฯ รถไม่ติด เราต้องพูดว่า “ติด” ถึงติดก็ไม่มาก “มาก” ถึงมากก็ไม่นาน “นาน” ถึงนานก็ไม่ท้อ “ท้อ” ถึงท้อก็ไม่ถอย “ถอย” สรุปแล้วค้านทุกเรื่อง รุ่นน้องกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านไปเลย
ต้องบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นพรสวรรค์ของเขา เรื่องธรรมดา ๆ ก็เอามาทำให้สนุกได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงต้องมีเอตทัคคะ คือบุคคลที่เป็นยอดในทางใดทางหนึ่งที่พระองค์ทรงตั้งไว้ มีบางท่านได้เอตทัคคะเกินกว่า ๑ ตำแหน่ง อย่างเช่น พระสุภูติเถระ เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศกว่าบุคคลอื่นในการอยู่อรณวิหาร ก็คืออยู่โดยปราศจากกิเลส และในด้านทักขิไณยบุคคล ถ้าเข้านิโรธสมาบัติตลอดก็ต้องเป็นทักขิไณยบุคคล บุคคลที่สมควรแก่ของที่เขามาถวาย ท่านได้เอตทัตคคะ ๒ อย่าง พระอานนท์ได้เอตทัตคคะ ๕ อย่าง เช่น เป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นทางด้านเป็นผู้มีสติ คือกำหนดจดจำได้มาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์พระอานนท์จำได้หมด และเป็นผู้มีคติ ก็คือรู้ที่มารู้ที่ไป ที่เหมาะที่สมทุกอย่าง บุคคลที่มามาจากที่ไหน ใกล้หรือไกลเพียงไร ควรพาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเมื่อไร สุดยอดเลขานุการเลย เพราะฉะนั้น..ใครทำหน้าที่เลขานุการ บริการเจ้านายอยู่ ให้บูชาพระอานนท์เยอะ ๆ ขอบารมีท่านช่วยสงเคราะห์" |
"พระอานนท์ทำหน้าที่ไม่เคยพลาด แต่พอพลาดทีเดียวพระอานนท์ร้องไห้เลย เป็นเพราะกรรมบังหรือมารมาดลใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงนิมิตให้ทราบว่าพระองค์ใกล้จะปรินิพพานแล้ว ถ้าพระอานนท์ทูลขอไว้ พระองค์ท่านจะห้ามแค่ ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ จะรับอาราธนาอยู่ถึง ๑ กัป แต่ช่วงนั้นพระอานนท์โดนเรื่องของกรรมบังหรือมารดลใจ ฟังผ่านหูไปเฉย ๆ ๑๖ ครั้ง
ในเมื่อเป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงปลงอายุสังขาร ตัดสินใจแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง พอตัดสินใจแล้วแผ่นดินไหว พระอานนท์สงสัยเลยมาถาม พระพุทธเจ้าตรัสเหตุแห่งการเกิดแผ่นดินไหว ๘ ประการให้ทราบ มีประการหนึ่งก็คือ เมื่อตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร พระอานนท์จึงทราบว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว สาเหตุแผ่นดินไหว ๘ ประการมี ๑. ลมกำเริบ ในปัจจุบันแผ่นดินไหวคือลมกำเริบ พอความร้อนใต้ดินมากเข้า ๆ โดนอัดหนักขึ้น ๆ ความร้อนถูกอัดอยู่ในที่แคบ ไปไหนไม่ได้ เดือดอยู่ตลอด ก็เหมือนกับน้ำเดือดที่พยายามดันฝาหม้อหรือฝากาให้เคลื่อนที่ โลกเราก็เหมือนกัน กำลังความร้อนสะสมมากเข้า ดันแผ่นพื้นโลกที่ฝรั่งเรียกว่า Plate ให้เคลื่อนที่ คนไทยบอกว่าปลาอานนท์พลิกตัว พลิกแรงไปหน่อยจึงแผ่นดินไหว อันนี้คือลมกำเริบ ๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ท่านที่ชำนาญในกสิณ ๑๐ เจริญปฐวีกสิณแต่น้อย เจริญอาโปกสิณให้มาก จะทำให้แผ่นดินไหวได้ แบบเดียวกับพระอุปคุตเถระ พระเจ้าอโศกมหาราชนิมนต์พระอุปคุตเถระมา ป้องกันไม่ให้มารมารบกวนงานของพระองค์ท่าน เพราะว่าท่านสร้างเจดีย์ ๔๘,๐๐๐ องค์ ทั่วชมพูทวีปแล้วจัดงานฉลอง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน พระอุปคุตบอกว่าจะบันดาลให้แผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชไม่เชื่อว่าทำได้ ถ้าเกิดว่าแผ่นดินไหวช่วงนี้ อาจเป็นเพราะแผ่นดินไหวเองก็ได้ พระอุปคุตก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเอาขันล้างหน้ามา ใส่น้ำลงไปเกือบเต็มขันแล้วตั้งเอาไว้ ท่านจะบันดาลให้แผ่นดินไหวโดยน้ำสะเทือนแค่ครึ่งขัน อีกซีกหนึ่งจะให้นิ่งเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นแผ่นดินไหวตามธรรมชาติ น้ำจะต้องไหวทั้งขัน แล้วท่านก็ทดสอบให้ดู" |
"๓. พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์ ความหมาย คือ พระโพธิสัตว์ที่เป็นชาติสุดท้ายจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าลงท้องแม่เมื่อไรแผ่นดินจะไหว ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ แต่แผ่นดินไหวของท่านเกิดด้วยบุญญาบารมี จะไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป
๕. พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันตรัสรู้ก็จะเกิดแผ่นดินไหว ๖. พระตถาคตเจ้าแสดงปฐมเทศนา ตอนนี้ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ๗. พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร ตัดสินใจว่าจะไปพระนิพพานเมื่อไรแผ่นดินจะไหว ๘. พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน แผ่นดินก็จะไหว เราจะเห็นว่าในเรื่องของสาเหตุแผ่นดินไหว ๘ ประการนั้น มีอยู่ ๖ ประการที่เกี่ยวเนื่องกับพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนลมกำเริบและผู้มีฤทธิ์บันดาลอาจจะเป็นใครก็ได้ หรือเป็นธรรมชาติเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ พระท่านเรียนเรื่องสาเหตุแผ่นดินไหวตั้งแต่นักธรรมตรีแล้ว แผ่นดินไหว ๖ ประการหลังส่วนใหญ่เป็นเพราะพรหมเทวดาท่านสาธุพร้อม ๆ กัน ทำให้แผ่นดินสะเทือน บาลีในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ท่านใช้คำว่า สังกัมปิ สัมปะกัมปิ พลิกไปพลิกมาเลย หวั่นไหวขนาดนั้น อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ แสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้บังเกิดขึ้นในโลก อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ หมื่นโลกธาตุก็สั่นไหว ทะสะคือสิบ สะหัสสะคือพัน สิบพันก็คือหมื่นโลกธาตุ ไม่ได้ไหวแค่ของเรานะ แปลว่าดวงดาวอื่นอีก ๙,๙๙๙ ดวง ไหวไปพร้อมกับของเราด้วย เรื่องอย่างนี้วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ทัน ตามทันเมื่อไรแล้วจะสนุกสนานกว่านี้อีกเยอะ" |
ถาม : ของอะไรที่สามารถบรรจุในองค์พระได้ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ ขอให้เป็นของมีราคา เป็นของที่สมควรแก่การบรรจุเอาไว้ ความจริงพระพุทธรูปเขาจัดเป็นเจดีย์อย่างหนึ่ง ก็คือ อุเทสิกเจดีย์ เจดีย์ซึ่งยังความระลึกถึงพระรัตนตรัย เจดีย์ในพระพุทธศาสนามี ๔ อย่าง คือ พระธาตุเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุ ธรรมเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุคัมภีร์พระธรรม บริโภคเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่บรรจุเครื่องใช้ไม้สอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพวกบาตร จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว อุเทสิกเจดีย์ เจดีย์เพื่อยังความระลึกถึงพระรัตนตรัย เราจะสร้างเป็นองค์เจดีย์ก็ได้ พระพุทธรูปของเรายังให้เกิดความระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยกลายเป็นอุเทสิกเจดีย์ คราวนี้สิ่งที่เราบรรจุถวายไปอาจจะเป็นบริโภคเจดีย์ก็ได้ แต่ถ้าบรรจุวัตถุมงคลก็เป็นอุเทสิกเจดีย์ ใครเอาคัมภีร์เทศน์ไปบรรจุเจดีย์องค์นั้นก็จะกลายเป็นธรรมเจดีย์ไปด้วย หรือไม่ก็ถ้าหากว่ามีบริขารของพระพุทธเจ้าไปบรรจุเลยยินดีรับ จะได้เป็นบริโภคเจดีย์ด้วย |
พระอาจารย์กล่าวถึงการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกว่า "ฐานพระสมเด็จองค์ปฐมด้านบนจะเว้นช่วงไว้ ๒ ช่วง ชั้นล่างรอบด้าน ๑๐ เมตร เผื่อเอาไว้ว่าใครอยากจะเวียนเทียน เป็นพื้นที่โดยรอบก็คือ ๑๒๐ เมตร คาดว่าถ้าสร้างเสร็จแล้วคงมีการตามประทีปฉลองด้วย
องค์นี้ไม่ปิดทองเด็ดขาด ปิดไม่ไหว ขนาดสีทองอย่างเดียวยังจ่ายแทบหน้ามืดเลย ปัจจุบันนี้สีทองที่ดีที่สุด ทาแล้วองค์พระงามสว่างที่สุด ราคาลิตรละ ๔,๐๐๐ บาท ไม่ใช่แกลลอนนะ แต่เป็นลิตร ลิตรหนึ่งแค่ทาปลายพระเกตุมาลายังไม่ทั่วเลย บางทีญาติโยมไม่รู้ว่างานแต่ละอย่างในช่วงที่ทำหมดเปลืองทรัพยากรไปขนาดไหน มักจะมาชื่นชมตอนเสร็จแล้ว “สาธุ” เอาไปเกลี้ยงเลย คนสร้างแทบตาย.!" |
"แบบเดียวกับพระขรรค์โสฬส วันนี้ช่างเขามาโอดครวญว่า เขาขาดทุน อาตมาก็บอกกับโยมว่า อาตมาก็ท่าจะขาดทุน เพราะเมื่อหล่อพระขรรค์มาแล้ว จำนวนพระขรรค์ที่เราเห็นอยู่ รวมแล้วเป็นน้ำหนักโลหะประมาณ ๒๕๐ กิโลกรัม ทว่าตั้งแต่ตอนหล่อใช้โลหะไป ๓,๐๐๐ กิโลกรัม..! ก็คือ ๓ ตัน ขนาดนั่นเป็นโลหะของเขาล้วน ๆ ยังไม่ได้นับชนวนของเรา พอถึงเวลายังมีโลหะอาถรรพ์ของเราใส่เพิ่มไปด้วย ฉะนั้น..ส่วนที่หมดไปมากก็คือส่วนที่เรียกว่าชนวน ต้องเจาะช่องเพื่อให้น้ำโลหะไหลผ่าน เพื่อเป็นการไล่อากาศไปในตัว เนื้อโลหะจะได้แทรกผ่านไปเต็มทั้งแบบ
โลหะนี่แปลกมาก สมมติว่าจำนวน ๑๐๐ กิโลกรัม พอหลอมเสร็จจะหายไปประมาณ ๑๐ กิโลกรัม พอหลอมครั้งที่ ๒ จะหายไปอีกประมาณ ๕ กิโลกรัม เนื้อโลหะจะสูญเสียไปในระหว่างหลอม จะกลายเป็นขี้โลหะ หรือไม่ก็ฟลักซ์(Flux) เพราะฉะนั้น..ถ้ากำหนดเนื้อโลหะตายตัวนี่เสร็จ ไม่พอทำแน่นอน ต้องกำหนดเกินไว้เสมอ ตอนแรกเขากะไว้ที่ ๑,๘๐๐ กิโลกรัม ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วใช้ไป ๓,๐๐๐ กิโลกรัม ช่างเขามาคร่ำครวญว่า ”งานนี้คงต้องทำถวายแล้วครับ กำไรไม่เหลือเลย” อาตมาก็บอกแล้วว่า ๘๔,๐๐๐ บาทที่ให้จอง ไป ๆ มา ๆ ตัวเองเหลือถึง ๘๔๐ บาทหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? โดยเฉพาะการชุบ ต้องชุบแล้วชุบอีก ถ้าชุบแล้วเสียก็แปลว่าหมดไป ๕,๐๐๐ บาทฟรี ๆ ต่อเล่ม เพราะฉะนั้น..งานนี้จะมีช่างมากต่อมากด้วยกันที่อยู่ในลักษณะว่าจำเป็นต้องทำถวาย" |
"อาตมาร่างหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชฯ ขอประทานอนุญาต ข้อที่ ๑ ขอสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๒๑ ศอก ถวายเป็นกุศลในวาระครบ ๑๐๐ ปีชาตกาล
ข้อที่ ๒ ขออนุญาตนำตราสัญลักษณ์พระนามย่อ ญสส. ประดับที่ฐานผ้าทิพย์ขององค์พระ ข้อที่ ๓ ขออนุญาตสร้างพระไพรีพินาศ พร้อมตราสัญลักษณ์พระนามย่อ ญสส. จำนวน ๑๐,๐๐๐ องค์ เพื่อให้ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมบูชานำปัจจัยมาสร้างพระองค์ใหญ่" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธศาสนาของเราตั้งอยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาของประชาชนจริง ๆ อย่างมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งอาตมาเป็นทั้งนักศึกษาและเป็นทั้งอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น ที่มหาจุฬาฯ นี้ขยายห้องเรียนทั่วประเทศโดยใช้งบประมาณเพียงนิดเดียว
เวลาจัดงานประชุมวิสาขบูชาโลก เขาให้งบประมาณมา ๖๐,๐๐๐ บาท ค่าน้ำเปล่ายังไม่พอเลย เพราะพระไปประชุม ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ รูป แต่มหาจุฬาฯ สามารถจัดงานประชุมได้ พอถึงเวลาขยายห้องเรียนก็ดูวัดที่มีศักยภาพ อย่างห้องเรียนวัดไร่ขิงสามารถอยู่ได้โดยอาศัยบารมีหลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อนั่งเฉย ๆ เงินก็มา ตัดงบสังฆทานไปเลยเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท เอาไปบริหารโรงเรียน หรืออย่างห้องเรียนวัดโสธรก็เช่นกัน เขาทำอย่างนี้ถึงอยู่ได้ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยอื่นก็รอไปสิ ชาติหน้าบ่าย ๆ จะขยายได้มากอย่างนี้ไหมก็ไม่รู้ ? เพราะมัวแต่รองบประมาณส่วนกลางล้วน ๆ อย่างห้องเรียนวัดไร่ขิงจะพอหรือไม่พอ ท่านเจ้าคุณฯ ก็มองซ้ายมองขวา “เฮ้ย..พวกเรามีใครไหวบ้าง ?” ก็ต้องควักย่ามช่วย ๆ กันไป วันก่อนที่ไปฉลองปริญญาโทรุ่นของอาตมา ท่านเจ้าคุณถวายมา ๒,๐๐๐ บาท แต่อาตมาควักคืนไป ๑๐,๐๐๐ บาท..! ช่วยเขาเอาไปบริหารห้องเรียนต่อ ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนที่ทำได้แบบนี้ อยู่ได้ด้วยแรงศรัทธาประชาชนจริง ๆ ญาติโยมที่ทำบุญกับวัดทั้งหลายที่เป็นห้องเรียน เป็นวิทยาลัยสงฆ์ เป็นวิทยาเขต จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ท่านได้บุญธรรมทานไปเต็ม ๆ เลย เพราะว่าเขาต้องเอาไปเป็นงบประมาณบริหารห้องเรียน ให้การศึกษาแก่พระเณรตลอดจนญาติโยมด้วย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะปรึกษาพวกเรา ก็คือ อาตมาเรียนวันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ แต่วันศุกร์ต้นเดือนต้องมารับสังฆทานที่นี่ แต่อาตมาไม่อยากจะขาดเรียน ควรจะทำอย่างไรดี ? มีใครสามารถหาวิธีให้อาตมาไม่ต้องขาดเรียนได้ไหม ?
ตอนนี้ปัญหาใหญ่อยู่ที่วันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ ถ้าวันจันทร์ อังคาร พุธติดวันพระ เขาจะเลื่อนมาเรียนวันพฤหัสบดี ซึ่งจะมาชนกับวันเรียนของตัวเอง ตกลงจะเลือกสอนหรือจะเลือกเรียน ถ้าวันศุกร์ต้นเดือนก็ติดรับสังฆทาน อย่าแนะนำให้เป็นเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ เพราะว่าวันจันทร์อาตมาติดสอน" ถาม : รับสังฆทานสองวัน เสาร์ - อาทิตย์ค่ะ ตอบ : ถ้ารับเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ คาดว่ามีบางคนขาดใจตาย..! |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณ หรือพระครูปลัดปิง ท่านเอาชื่ออาตมายื่นเข้ามหาเถรสมาคม ขอพาสปอร์ตพระธรรมทูตให้ อาตมาบอกว่า ถ้าได้ขึ้นมานี่อาตมาเอาเปรียบชาวบ้านมากเลย เพราะคนอื่นต้องไปอบรมพระธรรมทูต ๓ เดือน ท่านบอกว่าลองยื่นเสนอดู เผื่อได้ เพราะพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมรู้จักอาตมาอยู่หลายท่าน อย่างไรเขายืนยันได้ว่าทำงานทางด้านนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเลยใส่ชื่อไป ถ้าทำสำเร็จต้องช่วยกันนั่งกรรมฐานส่งให้ท่านเป็นเจ้าคุณไว ๆ จะได้อำนวยความสะดวกให้อาตมาอีก..(หัวเราะ)..
พาสปอร์ตธรรมทูตเวลาไปไหนจะได้รับการต้อนรับอีกเรื่องหนึ่งเลย ยกตัวอย่างง่าย ๆ แค่สำนักงานใหญ่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อาตมาไปในฐานะพระนักศึกษา ต้องไปนอนรวมกันห้องละ ๒๕ รูป อาหารก็ไม่มีให้ อาตมาเองต้องเอารถวิ่งไปซื้อมาเลี้ยงพรรคพวกทั้งห้อง ส่วนตอนไปในฐานะอาจารย์ นอนห้องปรับอากาศคนเดียวสบายเลย ทำไมคนละเรื่องละราวก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่คนเดียวกัน ไปต่างสถานะกันเท่านั้นเอง สาเหตุที่มหาจุฬาฯ สำนักงานใหญ่ไม่สามารถรับนักศึกษาได้เต็มอัตราเพราะว่าที่บิณฑบาตไม่มี ร้านอาหารไม่มีด้วย ลองคิดดู..พระนักศึกษา ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ รูป จะรอโยมไปเลี้ยง ก็แปลว่า ถ้าโยมคนนั้นไม่ใช่ใจถึงสุดชีวิตก็ต้องมีเงินเหลือเฟือจริง ๆ แค่เลี้ยงพระเป็นร้อยก็แย่แล้ว นี่พระตั้งหลายพันจะเลี้ยงไหวไหม ? สมมติว่ามีพระ ๓,๐๐๐ รูปอยู่พร้อม ๆ กัน ฉันรูปละ ๒๐ บาทก็ต้องจ่ายไป ๖๐,๐๐๐ บาทแล้ว ถ้ามีไม่ถึงแสนนี่อย่าไปขยับจะเลี้ยงพระที่นั่นเชียวนะ เพราะฉะนั้นในเมื่อหวังให้โยมเลี้ยงไม่ได้ ที่บิณฑบาตก็น้อย ก็เลยทำให้มหาจุฬาฯ สำนักงานใหญ่ ไม่สามารถจะเปิดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ โดยรับนักศึกษาให้อยู่ประจำได้ ถ้ารับนักศึกษาอยู่ประจำเมื่อไรที่กินต้องพร้อม" |
ถาม : มีหนังสือสอนเรื่องเปิดตาที่สามตามแบบหลวงปู่โต โดยให้เพ่งไปที่กลางหน้าผาก ทำได้จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จำไว้ว่าหลวงปู่โตมรณภาพไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว คำสอนของท่านก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอ้างว่าเป็นคำสอนหลวงปู่โตส่วนใหญ่มาจากร่างทรง ถาม : แล้วถ้าทำตามจะมีผลอะไรหรือไม่คะ ? ตอบ : มี...ปวดหัวดี..! |
ถาม : เอาของไปบรรจุองค์พระได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่เขาบรรจุวันที่ ๑๔ เอาไปไว้ก่อนได้ คราวนี้การบรรจุเขาตั้งใจบรรจุที่เศียรพระทั้งหมด ยังคำนวณไม่ได้ว่าเศียรพระใหญ่แค่ไหน แต่เขายืนยันว่าอิฐ ๕,๐๐๐ ก้อนเอาไว้ก่อเศียรพระอย่างเดียว ตอนแรกก็ถามเขาว่าบรรจุแค่เศียรจะพอหรือ เขาบอกว่า ถ้าอาจารย์ไม่ได้มีของบรรจุสัก ๔ - ๕ คันรถกระบะก็พอบรรจุได้ ในเมื่อคนทำเขายืนยันว่าพอ แสดงว่าต้องใหญ่จริง ตอนนี้ทางด้านวัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อยได้ทุนไปก่อสร้างแล้วหนึ่งล้านบาท เขาบอกว่าเอาลงดินหมดแล้ว กะว่าวันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้จะให้เขาอีกสักหนึ่งล้านบาท ทยอยให้ไปเรื่อย ๆ ความจริงอยากจะทำอย่างนี้ทุกที่ อาตมาจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ให้เงินไปแล้วเขาไปจัดการลุยกันเอง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครไปปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะ วันที่ ๒๘-๒๙ กรกฎาคมนี้ มีหนังสือเล่มใหม่แจก เล่มนี้เสร็จแล้วราคาคงไม่หนี ๒๐๐ บาท อาตมาปั่นเป็นวันเป็นคืนแล้วยังไม่เสร็จเลย เป็นบันทึกการเดินทางในพม่า ตอนมิงกะละบาร์ เมียนมาร์
"มิงกะละ" มาจาก "มังคละ" ของบาลี ก็คือมงคล "บาร์" ก็คือ "ไหว้" หรือ "สวัสดี" มิงกะละบาร์ ก็คือ สวัสดีมงคล เมียนมาร์ก็คือประเทศพม่า แปลตามความหมาย ก็คือ สวัสดีเมืองพม่า ฉบับนี้ลงรูปให้สะใจไปเลย รูปเก่า ๆ ต้องเอาไปสแกนก่อน กว่าจะเอามาลงได้แต่ละเล่ม งานอื่นก็ท่วมหัวไปหมด แม้แต่พระก็สงสัยว่าอาจารย์เอาแต่เก็บตัวเงียบ ทำอะไรทั้งวัน ก็ทำหนังสือให้พวกคุณอ่านนั่นแหละ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีสื่อมวลชนก็ทำความหมายของภาษาไทยเสียหายได้ เมื่อครึ่งค่อนเดือนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐบอกว่า “กินข้าวต้มอย่ากระโจมกลาง” คือ อย่าไปตักกลางหม้อ อาตมาอ่านแล้วก็หัวเราะ แสดงว่าตักข้าง ๆ หม้อจะร้อนน้อยกว่าหรือ ? ข้าวต้มเดือด ๆ อยู่จะตักตรงไหนก็ร้อนเท่ากัน คำว่า “กินข้าวต้มอย่ากระโจมกลาง” ก็คือ อย่าพูนข้าวไว้ตรงกลาง เพราะว่าเย็นช้า เขาให้แหวกออกจะได้เย็นเร็ว
นอกจากนี้ไปเจอหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เขาเขียนเรื่องขุนศึก ตอนที่สมิงมะตะเบิดไล่ฟันทหารไทย จนไม่มีใครต่อต้านได้ อ้ายเสมาเลยขออนุญาตไป “ต่อกลอน” กับสมิงมะตะเบิด อาตมาจึงบอกว่าอ้ายเสมามีอารมณ์จริง ๆ เลย ขอไปต่อกลอนด้วย ที่ถูกต้องคือ "ต่อกร" ซึ่งแปลว่ารับมือ นี่อ้ายเสมาจะไปแต่งกลอนกลางสนามรบ..เจริญ..! ขนาดหนังสือพิมพ์ที่เป็นสื่อมวลชน คนเขาให้ความเชื่อถือมากยังพาเข้ารกเข้าพงขนาดนั้น แล้วต่อไปจะเหลืออะไร และคนที่เขียนข่าวก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขียนผิด ขำมากคือที่เขาอธิบายว่า คำว่ากระโจมก็คือจ้วงเอาตรงกลาง แสดงว่าเขาเป็นเด็กรุ่นหลัง ไม่เคยเห็นว่ากระโจมหน้าตาเป็นอย่างไร กระโจม ก็คือ พูนข้าวต้มเอาไว้ตรงกลางแล้วจะเย็นช้า ต้องแหวก ๆ ออก หรือไม่ก็ใส่จานไปเลย เย็นเร็วดี อาตมาเองเบื่อตอนที่ญาติโยมพยายามจะทำอะไรให้เจ้าอาวาสไม่เหมือนคนอื่นเขา จะได้ดูดีหน่อย ถึงเวลาก็ตักข้าวต้มใส่ชามฝาอย่างหนาเลย แล้วก็ปิดฝา กว่าอาตมาจะฉันได้ คนอื่นฉันไปตั้งนานแล้ว ใส่ชามหนาขนาดนั้นก็ร้อนพอแรงแล้ว ดันปิดฝามาอีก ดุไปหลายทีแล้วไม่เคยจำ" |
"เขาเขียน "ครองธรรม" ใช้ ร.เรือ ซึ่งผิด เขาไม่เข้าใจว่าคำนี้มาจาก "ครรลอง" ครรลองแผลงเป็นคลอง "คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง" ที่ถูกต้อง คือ ตามครรลองคลองธรรม
แบบเดียวกับชื่อของพระยาศรีสุนทรโวหาร หรือน้อย อาจารยางกูร คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้มาจาก "ตระกูล" จึงเขียนเป็น อาจารยางกูล แต่ไม่ใช่ มาจาก "อังกูร" อังกูรคือความรุ่งเรือง ดังนั้นต้องใช้ ร.เรือสะกด "ข้าขอนบชนกคุณ" "นบ" ก็คือเคารพนบไหว้ ใช้ บ.ใบไม้ แต่คนไปใช้ พ.พาน "นพ" ซึ่งแปลว่า ๙ แบบเดียวกับสมัยโบราณ ที่อยู่ที่อาศัยเขาเรียกว่า "ทับ" แต่ปัจจุบันทับต่าง ๆ ที่เป็นสถานที่ ส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็น "ทัพ" พ.พาน กันหมด แม้กระทั่งทัพหลวงที่นครปฐมก็ใช้ พ.พาน กลายเป็นกองทัพพระเจ้าแผ่นดินไปเลย ความจริงทับหลวงตัวนี้แปลว่าบ้านหลังใหญ่ ทับคล้าย ทับผึ้งน้อย ทับยายท้าว จากบ้านของยายท้าวกลายเป็นกองทัพของยายท้าว เขาไม่รู้ที่มาที่ไป ความหมายจึงไปคนละเรื่องเลย" |
"เรื่องของภาษาพอนาน ๆ ไปก็เพี้ยน เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจรากศัพท์ที่มา อย่างกาญจนบุรีเขามีหนองยั้งช้าง ปัจจุบันนี้เป็นหนองย่างช้าง ยั้งช้างก็คือเวลาเดินทางเอาช้างไปหยุดพักที่นั่น ซึ่งเป็นแหล่งน้ำ เป็นที่อาศัยกว้างขวาง เป็นที่พักกลางทางได้ จึงเป็นหนองยั้งช้าง ปัจจุบันนี้คงหิวมากจึงย่างช้างกินกันเลย
อย่างเขานกเจ่า เพราะมีนกมาเกาะพัก ตอนนี้กลายเป็นเขานกจ้าว ไม่รู้เชื้อพระวงศ์ที่ไหนไปเลี้ยงนกที่นั่น พอนาน ๆ ไปภาษามีความเพี้ยนมากขึ้น แทนที่บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะช่วยกันรักษาเอาไว้ ดันยิ่งเปลี่ยนกันให้พินาศหนักเข้าไปอีก ทุกวันนี้หนังสือไทยที่อาตมาเรียนมาสมัย ป. ๑ - ๔ ใช้ไม่ได้เยอะเลย เขาแก้ไขจนกระทั่งทุเรศทุรังไปหมด แบบเดียวกับสิงโต เขาตัด “ห์” ออก คำว่า "สิงห์" มาจาก "สิงห" เป็นภาษาบาลี ต้องมี "ห์" พอแผลงเป็นไทยเป็นสิงโต เขาบอกว่าในเมื่อเป็นไทยแล้วทำไมแล้วต้องลากไปบวชเป็นบาลีด้วย ก็เอา "ห์" ออก สมัยอาตมาเด็ก ๆ ใช้ ข้าวโภชน์ มาจากโภชนะ แล้วตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นข้าวโพด สับปะรดก็เหมือนกัน ก่อนหน้านั้นเป็น สัปตรส แปลว่า ๗ รส ลองไปชิมสับปะรดให้ดี ๆ มีรสอะไรบ้าง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด..ไม่ใช่เผ็ดธรรมดานะ เผ็ดสับปะรดเผ็ดกัดลิ้น จืด ขม มี ๗ รสจริง ๆ "สัปตะ" กลายเป็น "สับปะ" ซึ่งแปลว่า งู แถมยังเปลี่ยนจาก "รส" เป็น "รด" ดังนั้น..สับปะรดในปัจจุบัน หมายถึง เอาน้ำไปราดงู" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมาโยกย้ายเปลี่ยนห้อง ก็เลยทำให้ความเคยชินเก่า ๆ ยังคาอยู่ เวลาจะทำอะไรก็จะเดินไปมุมเก่า ๆ ตรงจุดนี้อยากจะบอกกับทุกคนว่า ส่วนใหญ่แล้วถ้าพวกเรากล้าเปลี่ยนแปลงจะประสบความสำเร็จ แต่เรามักจะไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เพราะไม่แน่ใจกับผลที่จะเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในผลที่จะเกิดขึ้นนี่แหละ เป็นสักกายทิฏฐิ คือตัวกูของกูเต็ม ๆ เลย เพราะกลัวว่าผลเกิดขึ้นแล้วจะกระทบกับกู ฉะนั้น..ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง แล้วบรรดาตัวแสบอย่าไปบอกนะ ว่าอาจารย์สอนให้เปลี่ยนแปลง แล้วก็เป็นข้ออ้างเปลี่ยนแฟน ตายกันเองแล้วกัน พระไม่เกี่ยว
อาตมาเองเป็นคนที่เปลี่ยนตัวเองเป็นว่าเล่น ทำงานกำลังรุ่ง ๆ เลย ดันลาออกไปเรียนทหาร เรียนจบกลับมารับราชการ รุ่งมาก เพราะได้ ๒ ขั้นทุกปี ถึงขนาดว่า ๓ ปีแล้วเจ้านายต้องเอาระเบียบมากางให้ดูว่า เขาห้ามให้ ๒ ขั้นเกิน ๓ ปี ถ้าได้ ๓ ปีแล้วต้องเว้น อาตมาก็ลาออกมาบวช เพราะฉะนั้น..การเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไปคือสึก..(หัวเราะ).. เวลาทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จเร็ว จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก น่าเบื่อตรงที่ว่าไม่มีอะไรที่ท้าทายแล้ว และโดยวิสัยอาตมาจะเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ เกิดมาใต้ธาตุลมจะเป็นอย่างนี้ทุกคน ในเมื่ออยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าเจออะไรซ้ำ ๆ แบบเดิมก็จะเบื่อ ฉะนั้น..ตอนนี้กำลังรออยู่ เขาบอกว่าเวลาบวชต้องหวังสูงสุดคือหวังความเป็นพระอรหันต์ ถ้าอาตมาได้เป็นและเบื่อเมื่อไร ก็จะสึก..!" |
"อาตมาไม่กลัวเรื่องยาก อย่างการฝึกขับรถ ยากที่สุดสำหรับคนหัดใหม่คือการถอย ยิ่งสมัยแรก ๆ รถไม่มีกระจกมองข้าง มีแต่กระจกมองหลัง คนก็จะเคยชินกับการยื่นหน้าออกไปแล้วเอี้ยวมองไปทางด้านหลัง ถ้าทำอย่างนั้นจนชินแล้วจะติดเป็นนิสัย ทำให้ใช้กระจกมองหลังไม่เป็น
อาตมาเป็นคนที่ค่อนข้างจะรั้น อะไรที่ยากมักจะทำ เพราะฉะนั้น..ก็ถอยขึ้นถอยลง ถอยเข้าถอยออกอยู่อย่างนั้นแหละ จนกระทั่งมั่นใจ แต่ไม่อยากจะบอกหรอกว่าครั้งแรกบ้านพังไปแถบหนึ่ง..! แหม..กำลังตีวงอยู่พอดี พี่ชายดันตะโกนเรียก อาตมาก็หันไปมอง แต่มือยังหักพวงมาลัยเลี้ยวค้างอยู่ ขับรถใหม่ ๆ ยังไม่รอบคอบหรอก ฉะนั้น..ถ้าพวกเรามีโอกาส อะไรที่ยากให้ทำไว้ก่อน ถ้าเราทำของยากได้ ของอื่นจะง่ายทั้งหมด ของยากถ้าทำสำเร็จเราจะภูมิใจ แล้วต่อไปจะเกิดความกล้า กล้าตรงที่ว่าอย่างอื่นจะสักเท่าไรเชียว ? แบบที่หลวงตาบัวโดนชาวบ้านเขาว่า บวชใหม่ ๆ แล้วไปเทศน์ หลวงตาบัวเอาคัมภีร์เทศน์ไปฉบับเดียว เทศน์เรื่องเดียว เทศน์จบเขาจะฟังเรื่องอื่น หลวงตาบัวบอกว่าเทศน์ไม่ได้ ชาวบ้านว่า "ฮื้อ..มันยากหยัง ?" เล่นเอาหลวงตาบัวฉันข้าวไม่ลง..เครียด ภาษาอีสานบอกว่า "มันแค่น" คือแน่นไปทั้งอก จะหายใจไม่ออกเอา นั่นก็คือลักษณะของที่ยากสำหรับเรา แต่คนอื่นนั้นพูดง่าย อะไรที่พูดส่วนใหญ่จะง่าย จะไปยากตอนทำ หัดทำของยากไว้ การทำของยาก ไม่มีเสีย มีแต่ได้ ทำสำเร็จก็ได้กำไร ทำไม่สำเร็จก็ได้บทเรียน ในเมื่อมีแต่ได้กับได้ก็ทำไปเถอะ ต้องคิดว่าถ้าทำสำเร็จเราเก่ง เพราะคนอื่นเขาทำไม่ได้ ถ้าทำไม่สำเร็จ เราก็เหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ เพราะเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน" |
"สรุปว่าต้องกล้าในการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับการปฏิบัติแล้ว ถ้ากรรมฐานกองนั้นของเรายังได้ผลไม่เต็มที่ก็อย่าเพิ่งเปลี่ยน เพราะถ้าหากว่าเปลี่ยนบ่อยเราก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่าของเก่ายังไม่ได้ ของใหม่ยังไม่ดี คราวนี้จะขึ้นหน้าก็ลำบาก จะถอยหลังก็ยาก
ตั้งใจทำกรรมฐานกองหนึ่ง ยากแค่ไหนช่างมัน มุมานะทำไป ให้ตายคากรรมฐานไปเลยได้ยิ่งดี ถ้าตายตอนนั้นรับรองว่าไปดีแน่ เอาให้ได้จริง ๆ สักกองหนึ่งก่อน แล้วที่เหลือจะง่ายทั้งหมด เพราะว่าใช้กำลังในการปฏิบัติเท่าเทียมกัน เพียงแต่เปลี่ยนหัวข้อเท่านั้น แม้กระทั่งอรูปฌาน ที่ว่ายากนักยากหนา กำลังก็แค่ฌาน ๔ เท่านั้นแหละ เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาเปลี่ยนจากฌาน ๔ ไปจับอรูปเท่านั้น ถ้าได้กองหนึ่งแล้วที่เหลือจะง่าย แต่ถ้าไม่ได้กองหนึ่งแล้ว อีก ๓๙ กองก็ยากพอกันทั้งหมด อย่าหลายใจ อย่าเปลี่ยนบ่อย ในเมื่อยากเท่ากันทุกกอง เราชอบใจกองไหนก็ลุยไปกองหนึ่งก่อน เอาให้ทะลุปรุโปร่ง แล้วที่เหลือจะง่ายไปเอง อาตมาเองก็สู้มา ประเภทฟัดกันจะเป็นจะตาย แค่ปฐมฌานอย่างเดียว ใช้เวลาไป ๓ ปีเต็ม ๆ แต่ว่าเป็น ๓ ปีที่โง่มาก่อนฉลาด ถ้าเป็นตอนนี้ปฐมฌานสามารถทำได้ภายในไม่กี่นาที เพราะรู้วิธีแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมา หลวงปู่ครูบาอ่อน วัดสันต้นหวีด จังหวัดพะเยา มรณภาพ ถัดมาอีก ๓ วัน หลวงปู่มหาเจิม วัดสระมงคล ใกล้บ้านอาตมาเองมรณภาพ เราเสียพระดีไป ๒ องค์ติด ๆ กัน ตอนนี้ก็รอ รอว่าท่านจะเป็นแบบหลวงปู่ครูบาผัดหรือไม่ ?
หลวงปู่ครูบาผัดเผาเสร็จเป็นพระธาตุเดี๋ยวนั้นเลย แล้วเป็นพระธาตุแบบให้หายสงสัยด้วย คือ ครึ่งหนึ่งเป็นแก้ว ครึ่งหนึ่งเป็นกระดูก เอาให้เห็น ๆ เลย จะได้รู้ว่านี่เป็นจริง ๆ ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น การซักฟอกจิตใจของตนเองให้ผ่องใสสะอาด ธาตุขันธ์ก็โดนฟอกไปในตัวด้วย ในเมื่อธาตุขันธ์โดนซักฟอกไปในตัว ความดีก็เข้าถึงเนื้อถึงเลือดถึงกระดูกด้วย ในเมื่อเลือดกับเนื้อทรงอยู่ไม่ได้ กระดูกทรงอยู่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นแก้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีอาตมาก็เป็นห่วงญาติโยมที่มีจิตศรัทธา เพราะหลายแห่งเขาไม่ได้ประคับประคองศรัทธาของโยม แต่อยู่ในลักษณะกอบโกยเอา พอเขารู้ว่าโยมสามารถทำบุญมาก ๆ ได้ ก็ตามจิกตามกัดไม่ยอมปล่อยเลย
อาตมาเตือนโยมหลายครั้งด้วยกันแล้วว่า ถ้ามีฐานะพอที่จะทำบุญได้โดยตัวเองไม่เดือดร้อน อย่าไปเผลอทิ้งเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ไว้กับวัดไหน เขาตามยันบ้านจริง ๆ..! จะว่าไปแล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ทำถูก เพราะคำว่า "ภิกขุ" หนึ่งในความหมายนั้นแปลว่า ผู้ขอ เขาขอกันแหลกเลย ขอยันบ้าน ไม่ได้ไม่เลิก จนกระทั่งหลายต่อหลายท่านต้องทำบุญแบบซื้อรำคาญ ก็คือให้ ๆ ไปจะได้ไปให้พ้นหน้า แต่เขาก็ไม่เลิก งานหน้าก็มาใหม่ ในเรื่องของการทำบุญ บางคนช่วงนั้นเกิดปีติขึ้นมา ทำบุญเท่าไรก็ไม่สมกับความปีติของตน แบบเดียวกับจูเฬกสาฎก มีผ้าห่มผืนเดียวถวายพระพุทธเจ้าไป พระเจ้าปเสนทิโกศลพอทราบก็ให้ผ้าจูเฬกสาฎกไปคู่หนึ่ง จูเฬกสาฎกก็ถวายไปเสียทั้งคู่ พอได้มา ๒ คู่ก็ถวายหมด ๔ คู่ก็ถวายหมด เพราะกำลังปีติอยู่ ก็เลยทำให้ญาติโยมหลายท่านที่ทำบุญจนตัวเองเดือดร้อนเพราะกำลังปีติอยู่ กลายเป็นเขาขอเท่าไรก็ให้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ จะว่าไปแล้วสำคัญที่นักบวชของเรา พระพุทธเจ้าท่านเตือนนักเตือนหนาว่า นักบวชควรทำตัวเหมือนผึ้ง นำน้ำหวานไปจากดอกไม้ ก็อย่าทำให้กลีบดอกไม้นั้นต้องชอกช้ำ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าโกยให้ได้มากที่สุด ก็คือความสำเร็จของตน เวลาโยมมาทำบุญที่นี่อาตมาจะรู้สึกชอบใจมากกว่า มาทีหนึ่ง ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท บางคนที่ดูหน้าก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่ยังเรียนไม่จบก็เพิ่งจบมาทำงานใหม่ ๆ ควักเงินมาทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท ๒,๐๐๐ บาท อาตมาถามว่าต้องใช้อย่างอื่นหรือเปล่า ? เขาก็งง..ถ้าเพิ่งจะทำงานเงินเดือนจะสักเท่าไร ควักทีหนึ่งขนาดนั้นแล้วจะเหลือชนเดือนไหม ?" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า สาเหตุที่โบราณนิยมสร้างพระเป็นเนื้อชินตะกั่ว เพราะว่าตะกั่วมีเนื้อหาใกล้เคียงกับทองมากที่สุด เวลาพุทธาภิเษก ทองคำจะรับพลังงานได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นตะกั่วมีเนื้อหาใกล้เคียง แล้วคนสามารถเข้าถึงได้มากกว่า รับพลังงานได้ใกล้เคียงกัน โบราณเขาเลยนิยมสร้างด้วยตะกั่ว
แต่ที่เป็นชินตะกั่วเพราะเขาผสมโลหะอื่นเข้าไปด้วย อย่างของอาตมาผสมเงินเข้าไปด้วย ผสมเงินในอัตรา ๒ : ๘ ก็คือ ๑ : ๕ ส่วน ๕ กิโลกรัมใส่เงิน ๑ กิโลกรัม ใส่ไปใส่มาเงินหายหมด เพราะว่าเวลาหลอมเนื้อเงินจะลอยหน้า ตอนเทจะจับอยู่หน่อยเดียว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในทางพระพุทธศาสนาแล้วไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมคือสิ่งที่เราทำไว้ มเหสีของพระเจ้าอโศกมหาราชได้รับการยกย่องจากพระเจ้าอโศกมหาราชมาก สนมกำนัลนางอื่นก็อิจฉา ผู้หญิงกระทบกระทั่งกันง่ายอยู่แล้ว ในเมื่ออิจฉาก็มีการเสียดสีกระแนะกระแหนเขาไปเรื่อย
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงรำคาญ จะพิสูจน์บุญญานุภาพให้ดู ก็เลยสั่งโรงครัวทำขนมมา ๑,๐๐๐ ชิ้น แสดงว่าพระองค์มีมเหสีรวมนางสนมทั้งหมด ๑,๐๐๐ คนพอดี แล้วถอดพระธำมรงค์ประจำพระองค์ บอกพ่อครัวให้ใส่พระธำมรงค์ไว้ในขนมชิ้นหนึ่ง พอถึงเวลานึ่งสุกเอามาให้บรรดาสนมและมเหสีทั้งหมดไปหยิบเอา ถ้าธำมรงค์อยู่ในขนมของใคร จะตั้งคนนั้นเป็นอัครมเหสี พวกสนมแย่งกันกระจายเลย ปรากฏว่ามเหสีตัวจริงท่านนั่งเฉย ๆ รอเขาหยิบจนเหลือชิ้นสุดท้ายท่านจึงหยิบมา และธำมรงค์ก็อยู่ในนั้น โบราณเขาถึงได้บอกว่า แข่งเรือแข่งแพพอจะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้หรอก เขาทำของเขามาเขาต้องได้ ต่อให้เราทำมาเหมือนกัน ถ้าทำช้ากว่าเขาก็ต้องรอเขาได้ก่อน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เข้าใจตรงนี้ ถึงเวลาเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชท่านเมตตาพระมเหสีมากเป็นพิเศษ โปรดเป็นพิเศษก็คอยอิจฉาอยู่เรื่อย พิสูจน์ขนาดนั้นแล้วก็ยังมีคนไม่เชื่ออยู่ดี" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:24 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.