กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2894)

เถรี 10-09-2011 21:25

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔
 
ถาม : เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจ ทำให้ตัวเองวุ่นวาย
ตอบ : อ้าว..รู้อยู่ ก็เลิกสิวะ..!

ถาม : เราสงสารเขา ก็เลยอารมณ์ค้างว่าเราสงสาร
ตอบ : โบราณเขาเรียกว่า "วัวพันหลัก" เขาผูกวัวไว้ให้กินหญ้า จึงปักหลักผูกวัวเอาไว้ วัวมันกินหญ้าวนรอบหลักไปเรื่อย ๆ เชือกก็พันหลักไปเรื่อย เชือกก็สั้นลง ๆ จนกระทั่งวัวติดอยู่กับหลัก ไปไหนไม่ได้

ถาม : พอฟังเขา เราก็สงสาร แต่เราก็รู้ว่าที่เขาพูดถึงเป็นอารมณ์ของคนที่ยังวกวนอยู่ในนั้น
ตอบ : ไปร่วมงานกับเขาหรืออย่างไร ?

ถาม : ไม่ได้ร่วมงานค่ะ แต่เป็นที่ระบายชั่วคราวของเขา
ตอบ : รับเรื่องของผู้อื่นมา ได้แต่รับฟังไว้ อย่าเก็บเอาเข้ามาในใจ ไม่อย่างนั้นเราก็จะวุ่นวายไปด้วย

ถาม : เป็นเพราะว่าสมาธิเรายังไม่แน่นพอหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เราไปปล่อยให้อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง นำหน้า จะว่าสมาธิไม่แน่นพอก็ได้ เพราะถ้าหากว่าสมาธิเพียงพอ ก็จะสามารถทรงอยู่ได้ ไม่ปล่อยให้หลุดออกไป

ถาม : การที่จะทำให้อารมณ์สมดุลได้นั้นลำบากค่ะ เรารู้สึกว่าอยากจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา บางทีเอาใจใส่เยอะเกินไป แล้วก็เผลอรับเข้ามา
ตอบ : เริ่มต้นใหม่ รู้ตัวแล้วก็แก้ไขใหม่

เถรี 10-09-2011 21:37

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ในเรื่องการปฏิบัติ สิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดก็คือ ถ้าหากว่าเราคุยมากจะฟุ้งซ่านมาก กำลังที่เพาะสร้างมาได้จะไม่เหลือ

ถ้าทำแล้วกำลังใจไม่ทรงตัว การปฏิบัติก็จะได้ผลน้อย ไม่อย่างนั้นกำลังที่เพาะสร้างได้ พอจะสู้กิเลสได้ กดรัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบไปชั่วคราว แต่พอไปฟุ้งซ่าน กำลังของเรารั่วหมด กิเลสก็จะมีกำลังเหนือกว่า"

เถรี 10-09-2011 21:44

ถาม : โยมฝึกกรรมฐาน เห็นไม่ชัดเจนแจ่มใสค่ะ
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัดเจน ให้รู้ได้ก็พอ

ถาม : รู้ได้ก็พอ ?
ตอบ : สภาพที่จิตสงบและปฏิบัติได้ถูก จะรู้เห็นชัดเจนไปเรื่อย ๆ ก่อนหน้านั้นเวลาอาตมารู้อะไร ก็รู้แบบมืด ๆ มัว ๆ สลัวเหมือนกับตะวันใกล้ค่ำ แต่ก็พอรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร

ปกติอาตมาจะใช้วิธีซ้อมด้วยการวนไปรอบ ๆ มองสิ่งที่อยู่ใกล้ ๆ พอบวชมาได้ ๑๐ กว่าพรรษา วันหนึ่งมองไปที่ต้นไม้ เฮ้ย..! ทำไมรายละเอียดชัดขนาดนั้น ใบอ่อนหรือใบแก่แยกออกหมดเลย ก่อนหน้านั้นไม่รู้หรอก เห็นเป็นรูปต้นไม้ก็ดีเหลือเกินแล้ว

เพราะฉะนั้น..ต้องซักซ้อมสะสมไปนาน ๆ อย่าใจร้อน ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอ หรือเราทำได้ถูกจุด จะออกมาชัดเจนเลย แรก ๆ อย่าไปอยากมาก ให้รู้ได้ก็พอ

เถรี 11-09-2011 12:21

ถาม : มีเหตุแปลก ๆ เกิดขึ้นกับหนูค่ะ อยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกวาบขึ้นมา อย่างเช่นเคยรู้สึกว่าตัวเองจะตัดลูกไม่ได้ ติดอยู่ตรงนี้นานมาก อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า เราอยู่ในห้องแล้วเราก็แค่ออกไปรอนอกห้อง นั่งรอเฉย ๆ เดี๋ยวคนในห้องเขาก็ออกมาเหมือนกัน พอความรู้สึกนี้เกิดขึ้น จากที่คิดว่าจะตัดลูกไม่ได้ ก็หายไปหมดเลยค่ะ
ตอบ : แสดงว่าปัญญาถึงแล้ว ของที่เคยคิดไม่ตกก็พลันคิดได้ อย่างนิยายจีนเรื่องฤทธิ์มีดสั้น อาฮุยหลงลิ้มเซียนยี้อย่างหัวปักหัวปำ ทั้งเพื่อนฝูงและครูบาอาจารย์ว่าตักเตือน อาฮุยไม่ฟังใครสักคน ลิ้มเซียนยี้เขาก็มั่นใจว่าอาฮุยอยู่มือเขาแน่ จึงหลอกอาฮุยครั้งแล้วครั้งเล่า

พอจะหลอกเป็นครั้งสุดท้าย ลิ้มเซียนยี้ดึงเสื้อไว้ อาฮุยก็ถอดเสื้อที่กำลังถูกดึงนั้นทิ้ง แล้วก็เดินต่อ ลิ้มเซียนยี้ก็แปลกใจ ตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น อาฮุยบอกว่า “ไม่มีอะไร ข้าพเจ้าพลันคิดตก” จากที่อาฮุยหลงหัวปักหัวปำ ตัดไม่ได้ถึงเวลาก็ยังตัดได้

ถาม : ขนาดว่าเจาะจงพิจารณา ยังมียอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้าง นี่อยู่เฉย ๆ ก็รู้เลย
ตอบ : กำลังพอในส่วนที่เราก้าวเข้าถึง เพียงแต่ว่ากำลังเราพอแค่เรื่องนี้ ยังมีอย่างอื่นอีก ต้องสะสมกำลังกันต่อไป

ถาม : เคยวาบแบบที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติก็มี
ตอบ : ตัวนี้แหละที่ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียก ซาโตริ ซาโตริแปลว่า รู้แจ้งเข้าถึงธรรมโดยฉับพลัน แต่ความจริงไม่ใช่การเข้าถึงธรรมโดยฉับพลันหรอก บางทีก็หมายถึงหัวข้อธรรมที่เราขบไม่ออก แล้วพลันขบออก

แต่คนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็บอกว่า บางคนซาโตริได้ครั้งเดียวในชีวิต คนที่เป็นอาจารย์ใหญ่เขาก็บอกว่า ไม่จริงหรอก ผมซาโตริเป็นร้อย ๆ ครั้ง ซาโตริในความหมายนี้ของเขา ก็คือเข้าใจในหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อ


ถาม : แล้วจะมีโอกาสได้ไหมว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ?
ตอบ : ได้ เป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ แต่ว่าเราต้องมีสติด้วยว่าควรจะทำหรือไม่ อาตมาเคยวางแผนปล้นรถขนเงินทหาร แผนการรัดกุมมากเลย ขั้นตอนทุกอย่างชนิดที่ว่า ต้องทำได้แน่นอน เป็นไปได้ขนาดนั้น

สมัยที่เป็นทหารอยู่ เงินเดือนของทหาร ๑ กองพล ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทเขามัดเป็นลูกบาศก์ใหญ่ ๆ ใส่รถกรงขนไป มี สห.ขนาบหน้า ๒ คน ขนาบหลัง ๒ คน มีมอเตอร์ไซค์นำหน้าและปิดท้าย เอ็ม. ๑๖ ล้วน ๆ ถ้าทำตามแผนที่วางไว้ อาตมามั่นใจว่าปล้นได้แน่นอน นั่นคือไปซาโตริในเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ได้

เถรี 11-09-2011 12:32

ถาม : เวลาเกิดโทสะหนูรู้สึกว่าเป็นไฟ เวลาเกิดมุทิตารู้สึกว่าเป็นแสงสว่างไสว เป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือหนูคิดไปเอง ?
ตอบ : โดยสภาพแล้วก็คือว่า สิ่งนี้เป็นความร้อน สิ่งนี้เป็นความเยือกเย็น ความสะอาด ความสว่าง ความผ่องใส ถ้าสภาพจิตละเอียดพอก็สามารถที่จะแยกออกได้ โดยเฉพาะถ้าเราเข้าถึงอารมณ์นั้นจริง ๆ

ถ้าเข้าถึงจริง ๆ จะสามารถแยกออกและสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเป็นอย่างไร แต่ขอให้เข้าใจว่า สิ่งที่เราเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเข้าถึงจริง ๆ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน สิ่งที่เราเปรียบเทียบเป็นแค่ผิวหยาบ ๆ อารมณ์ที่เราเข้าถึงนั้นละเอียดกว่า เราก็ได้แต่เปรียบว่าเป็นไฟ แต่คราวนี้ไฟนั้นเผาเราอย่างไร อธิบายไปคนอื่นเขาฟังก็ไม่รู้เรื่องหรอก

เถรี 11-09-2011 14:25

ถาม : ครั้งที่แล้วที่หนูไปช่วยงานที่วัดหนึ่ง หนูเริ่มเห็นเค้าลางของความแตกแยก ในหมู่ลูกหลานของท่านค่ะ
ตอบ : ที่ไหนก็มี สำคัญตรงที่เจ้าอาวาสเองจะต้องมั่นคงและยุติธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วความแตกแยกจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ให้สังเกตว่า แต่ละวัดถ้าหากสิ้นเจ้าอาวาสแล้ว วัดจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เพราะว่าบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากพวกเขาได้จากไปแล้ว คนที่เขาจะเกรงใจนั้นไม่มีแล้ว ฉะนั้น..จำเป็นที่เราจะต้องหาตัวตายตัวแทน ให้เป็นคนใจกว้างหน่อย ยอมรับแนวคิดของคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วจะอยู่กันยาก

เคยเตือนเจ้าอาวาสท่านไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนที่ไปพุทธาภิเษกครั้งล่าสุด บอกท่านว่า ถ้าจะเอาคนนี้ขึ้น ก็ต้องรีบแต่งตั้งเลยนะ ถ้าท่านมัวแต่ใจเย็นอยู่ ถึงเวลาคนอื่นเขาขึ้นมาได้จะลำบาก ประการที่สองคือ เราต้องใช้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่อะไรท่านก็ใช้คนนี้อยู่คนเดียว ถ้าหากว่าคนที่ท่านใช้เกิดป่วยเข้าโรงพยาบาลไปสัก ๓ วัน ท่านแย่เลยเพราะคนอื่นจะไม่รู้งาน

ตามกฎหมาย เวลาตั้งเจ้าอาวาสเขาจะพิจารณาจากรองเจ้าอาวาสก่อน ถ้าหากว่าไม่มีรองเจ้าอาวาส ก็มาพิจารณาผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถ้าผู้ช่วยเจ้าอาวาสมีหลายรูป ให้ตั้งคณะกรรมการ คือเจ้าคณะอำเภอ ๑ เจ้าคณะตำบล ๑ และเจ้าอาวาสในเขตนั้น ๑ ให้ลงมติว่าจะเอาใคร ไม่มีเกี่ยวกับฆราวาสเลย

กฎหมายของพระเขาระบุไว้ ๓ รายนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ยุ่งอะไรหรอก คุณจะประท้วงอะไรก็แล้วแต่ เขาตั้งกันไปแล้วก็จบ แต่ส่วนใหญ่แล้วคณะสงฆ์ก็มักจะเลือกคนที่ชาวบ้านเอา เพราะเขาถือว่าต้องเอาเสียงส่วนรวมเป็นใหญ่จึงจะรักษาวัดไว้ได้

ถาม : หนูก็มองในลักษณะที่คนมาหาท่าน..
ตอบ : เคยเปรียบเทียบไว้ว่า กลุ่มลูกศิษย์แต่ละกลุ่มเหมือนกับห่วงโซ่ห่วงหนึ่ง ถ้าต่างคนต่างอยู่จะมีประโยชน์น้อย หรือใช้ประโยชน์แทบไม่ได้เลย แต่ถ้าสามารถเกี่ยวคล้องกันเป็นโซ่จะใช้งานได้สารพัด เราก็ลองเป็นตัวกลางดูสิ ยอมเหนื่อยหน่อย..ช่วยประสานให้เขาไป

เหมือนกับตอนอาตมาเป็นฆราวาสก็วิ่งกลุ่มนั้นบ้างกลุ่มนี้บ้าง จนกระทั่งโดนบางกลุ่มเขาด่าว่าเป็นนกสองหัว ในเมื่อเขาไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของเราก็ปล่อยให้เขาด่าไป

เถรี 11-09-2011 16:11

เคยได้ยินที่ฝรั่งเขาพูดกันไหม ? ว่างานสำเร็จตรงที่ได้ทำ ไม่ได้สำเร็จตรงที่ผลงานนั้นเกิด ขอให้ได้ทำก็พอแล้ว ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ช่างหัวมัน ฟังดูเหมือนเอาความสะใจอย่างไรก็ไม่รู้

ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด เพราะว่าบุคคลที่เขาสร้างบารมีมาร่วมกัน ก็จะฟังกัน จะไปด้วยกันเป็นกลุ่ม ๆ คราวนี้ถ้าหากหัวหน้ากลุ่มกำลังใจไม่เปิดกว้างพอ ก็เหมือนกับจะปิดกั้นกลุ่มอื่น สมัยนี้เขาใช้คำว่า "จิตสาธารณะ" ใช่ไหม ? ถ้ามีจิตสาธารณะ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า ทำเพื่อส่วนรวมไป ทุกอย่างก็จะดี ถ้าจิตสาธารณะมีน้อย ไม่ทันไรเดี๋ยวก็ตัวกูของกูขึ้นหน้า แล้วก็ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน

เถรี 11-09-2011 19:46

ถาม : ถ้าเราใช้อำนาจสมาธิไปสะกดจิตคนอื่นนี่ได้ไหมคะ?
ตอบ : ได้..แต่ว่าไม่ควรทำ แค่พระโสดาบันตำหนิคนทำผิดขึ้นมา คนนั้นจะเกิดความละอายใจอย่างแรงกล้า ตอนนั้นจะไม่ทำผิดเลย เพราะกำลังท่านสูงมาก ต่อให้โจรจี้ท่านอยู่ จะเอาเงินหรือว่าจะฆ่าท่าน ถ้าท่านเอ่ยปากตำหนิขึ้นมานี่ เขาจะเกิดความละอายใจอย่างแรงกล้า ดีไม่ดีก็วิ่งหนีไปซึ่ง ๆ หน้า แต่ก็เปลี่ยนได้แค่ชั่วคราว แล้วเราไม่ใช่พระโสดาบันนะ

เรื่องอย่างนี้ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ ไม่ฝืนกฎของกรรม พรหมเทวดาจำนวนมากคงขนคนไปสวรรค์นิพพานไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ท่านจัดการไปหมดแล้ว แต่การที่คนเราทำดีทำชั่ว ต้องเป็นเรื่องจิตใจเขาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าให้เขาทำดีเพราะเราไปเปิดให้เขาเห็นนรก ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ได้ทำดีเพราะสภาพจิตใจต้องการทำ แต่เขาทำเพราะกลัว..ผลดีจึงไม่บริสุทธิ์เต็มร้อยส่วน

ขณะเดียวกัน เขาทำชั่ว ก็ไม่ใช่ว่าเห็นนรกแล้วจะเลิกทำ คนที่มันจะชั่วต่อให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรงหน้า เขาก็จะชั่ว ในพระไตรปิฎก มีคนเขาจ้างไปด่าพระพุทธเจ้า ก็เดินตามด่าพระพุทธเจ้าไปเรื่อย

เรื่องของความดีความชั่วต้องปล่อยไปตามวาระ ถ้าหากว่าคนไหนเลี้ยวถูกทาง ก็ขึ้นบกขึ้นฝั่งเร็วหน่อย ถ้าหากว่าเขาเลี้ยวไม่ถูกทางก็ลอยคอในทะเล จมน้ำตายไปตอนไหนไม่รู้ สงเคราะห์เขาได้เมื่อไรเราก็สงเคราะห์ ถ้าหากว่าสงเคราะห์ไม่ได้ก็ได้แต่มองด้วยความเวทนา..!

เถรี 11-09-2011 19:50

ถาม : ท่านที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ?
ตอบ : ต่อให้มีคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่หลงตัวเองว่าได้ กติกาเดิมเคยทำอย่างไรท่านก็ยังทำอยู่อย่างนั้น จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ ๑. ได้รับพุทธพยากรณ์ ๒. ญาณเป็นเครื่องรู้เกิดขึ้น มั่นใจว่าตัวเองจบกิจในส่วนนั้นแล้ว เท่าที่เจอมาก็คือ มีมากต่อมากด้วยกันที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็น

สมมติว่าได้หนังสือของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา อ่านเจอว่าพระโสดาบันมีกติกาอย่างนี้ อ้าว...เราทำได้หมดแล้วนี่ แต่ท่านก็ไม่ได้ประมาท ท่านก็ทำต่อไป

ไม่ใช่ท่านโง่นะ เพียงแต่ท่านไม่ได้สนใจว่านั่นคืออะไร รู้แต่ว่าท่านต้องการทำอย่างนี้ ชอบทำอย่างนี้ ถ้าหากว่าไปนอกทุ่งนอกท่า ผิดศีลผิดธรรมท่านไม่เอาด้วย ต่อให้ตายก็ไม่ทำ กำลังใจของท่านสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไป ในเมื่อสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไปก็ไม่มีใครบังคับให้ท่านทำความชั่วได้ เพราะท่านไม่เอาด้วย

เถรี 11-09-2011 20:03

ถาม : ถือศีล ๘ ทาครีมกันแดดได้ไหมคะ?
ตอบ : เป้าหมายในการที่ท่านห้ามเรื่องของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา ก็คือเอาไปยั่วเพศตรงข้าม ถ้าเรามั่นใจว่าสวยพอแล้วก็ไม่ต้องไปยั่ว..(หัวเราะ)..

เราก็ให้อยู่ในลักษณะเหมือนกับพระทายารักษาโรค ทาไปด้วยเห็นไปด้วยว่า ร่างกายนี้ไม่ดีจริง ถ้าร่างกายนี้ดีจริงเราก็ไม่ต้องมาคอยทาแล้ว

เถรี 11-09-2011 20:08

พระอาจารย์กล่าวถึงปรมาจารย์ตั๊กม้อว่า "ท่านหันหน้าเข้าหาข้างฝา ๙ ปี เพื่อสอนธรรมให้ผู้อื่นรู้ว่า ความสงบนั้นดีอย่างไร ไม่ต้องเสียเวลาเอ่ยปากสอนแม้แต่คำเดียว

เวลา ๙ ปีนี้ ลมปราณที่แผ่ออกจากร่างของท่าน ทำให้หินตรงหน้าโดนกัดเซาะจนเป็นรูปร่างของท่านไปเลย นั่นคือลักษณะแบบเดียวกับพระพุทธฉาย ท่านนั่งอยู่ ๙ ปี พูดง่าย ๆ ว่าพลังบารมีของท่านแผ่ไปจนกระทั่งรูปของท่านไปติดอยู่ที่ผนังหินได้"

เถรี 11-09-2011 20:37

ถาม : ผมอยากถามว่า ผมชอบฝันเห็นคนใส่ชุดดำเดินเข้ามาอยู่บ่อย ๆ ผมเคยอ่านเจอในตำราพระนเรศวรบอกว่า มักจะมีสิ่งไม่ดีหรือมีคนมาปองร้าย เขามาตั้งเดือนเกือบสองเดือนแล้วครับ คืออะไรครับ
ตอบ : ฝันมีอยู่ ๔ อย่าง มีธาตุวิปริต กินมากท้องไส้ไม่ดีก็ฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต ความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุ จิตนิวรณ์ เป็นความฟุ้งซ่านประสาทเสียของเรา ทำให้เก็บเอาไปฝัน แล้วก็เทพสังหรณ์ เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์

ถาม : แล้วอย่าไปสนใจหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าคุณเลิกคิด ภาวนาจนใจสงบก็จะเลิกฝันไปเอง

เถรี 11-09-2011 20:39

ถาม : ผมเคยอ่านบทความของหลวงพ่อวัดท่าซุง ปกติถ้าเป็นรูปพระพุทธ จะมีเทวดาคุ้มครองแม้ไม่ได้ปลุกเสก ผมอยากทราบถ้าเป็นรูปพระอริยสงฆ์จะเหมือนกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เน้นเฉพาะรูปของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าหากว่าเป็นสิ่งของที่พระอรหันต์ท่านใช้งาน จะมีเทวดารักษาอยู่

ถาม : อย่างวัตถุมงคลอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ของใช้ส่วนตัวทั่วไป

เถรี 11-09-2011 21:54

ถาม : ตอนที่หลวงพ่อฤๅษีมีคดีแม่ชม้อย ท่านทำใจอย่างไรคะ ? หนูกลัวว่าหนูจะเอาใจออกห่างจากพระค่ะ
ตอบ : นึกถึงคนที่เดินทางอยู่ท่ามกลางพายุ จะให้ก้าวตรงไปอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเอียงซ้ายเอียงขวาบ้างก็ช่างมัน ขอให้มุ่งตรงต่อที่หมายของเรา เมื่อพายุผ่านไป เราผ่านพ้นช่วงนั้นไปได้ เราก็จะมั่นคงอยู่ในพระรัตนตรัยเช่นเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม

ลองไปหาดูในเว็บก็ได้ เขามีลงไว้อยู่ อาตมาเขียนเอาไว้ตอนนั้นว่า

หนทางแม้สุดไกล...........ขอมุ่งไปกว่าจะถึง
ยากเข็ญมิคำนึง..............ถึงทนทุกข์สักเพียงไร
เดินตามรอยเท้าพ่อ.........มั่นคงต่อธรรมวินัย
พ่อชี้หนทางใด..............จะมุ่งไปไม่ลังเล
จิตมั่นด้วยศรัทธา............ทุกเวลาไม่หันเห
ผู้ใดจะรวนเร.................มิซวนเซตามเขาไป
พ่อนำทางให้ลูก............มีแต่ถูกลูกมั่นใจ
ขอเดินตามพ่อไป..........ตราบจนถึงซึ่งนิพพาน


อันนั้นประกาศชัดเลย จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมอาตมาถึงทำใจได้

เถรี 12-09-2011 08:13

ถาม : หนูพยายามตั้งพุทโธให้ได้ เวลาภาวนาไปมีความรู้สึกตัว แต่พุทโธไม่เด่นเหมือนมีความคิดแทรกเข้ามา ตอนหลังมาคิดว่าเป็นเพราะหนูตั้งพุทโธผิด หนูก็เลยลองหลับตา ดูว่าจิตของตัวเองอยู่ที่ไหน ก็รู้สึกว่าจิตจะเด่นอยู่ในศีรษะ แล้วไปพอภาวนาพุทโธอีก ไม่ได้รู้สึกว่าสบาย ก็เลยไม่แน่ใจว่าทำถูกไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ เราทำถูกแล้ว เพียงแต่ว่าวิธีการบางอย่างยังไม่ใช่ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรากับพุทโธ ไหลตามลมหายใจเข้าไป และไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าสติของเราเริ่มขาด พุทโธจะไม่ชัด เราก็ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ลมหายใจใหม่

ส่วนอาการภายนอกจะเกิดขึ้นก็เป็นปกติ ถ้ากำลังใจไปถึงระดับหนึ่ง อาจจะรู้สึกขนลุก น้ำตาไหล ตัวลอย ตัวโยกไปโยกมา บางคนก็ดิ้นตึงตังโครมคราม บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด บางทีก็เห็นแสงเห็นสี บางคนรู้สึกตัวแข็งขึ้น ๆ จนกลายเป็นหินไปเลย

ให้เราสังเกตว่าตอนนั้นจิตเราจะนิ่งอยู่กับพุทโธตรงหน้า เราก็อย่าไปสนใจร่างกายว่าจะเป็นอะไร ปล่อยให้เป็นให้เต็มที่ไปเลย บางคนดิ้นตึง ๆ จนเพื่อนตกใจ ให้สังเกตว่าต่อให้ดิ้นแรงขนาดไหน ใจก็นิ่ง ให้เราอยู่กับตรงนี้ พอเต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง จิตจะสงบนิ่ง แล้วจะสบาย

ถาม : เหมือนกับสงบใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต่อไปภาวนาเฉย ๆ อยู่แค่ลมหายใจนี้ อย่าไปคิดไปสนใจว่าถึงขั้นตอนไหน ถ้าคิดอยากได้อยากเป็นก็จะไม่นิ่ง เรามีหน้าที่ตามดูลมหายใจเข้าออกกับพุทโธเท่านั้น ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายก็ให้ช่างมัน

เถรี 12-09-2011 08:16

ถาม : หนูเคยอ่านหนังสือที่เขาบอกว่า เวลาตายไปแล้วไม่ได้กินน้ำ พอฟื้นขึ้นมาจึงรีบทำบุญด้วยน้ำ สงสัยว่าเป็นผีแล้ว ยังต้องกินต้องใช้อีกหรือคะ ?
ตอบ : พวกที่ตายไปใหม่ ๆ อุปาทานที่ติดไปจากโลกมนุษย์ยังเยอะมาก ทำให้รู้สึกว่าต้องกินต้องใช้เหมือนคนปกติ มีที่หนึ่งซึ่งเป็นชายขอบของชั้นจาตุมหาราช เหมือนตลาดนัดจตุจักรของเรานี่แหละ พวกที่ตายแล้วจะไปเดินซื้อของ อยู่ไปอยู่มาพอรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น เขาก็ไปตามบุญของเขา สัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ที่ติดไป ทำให้เขารู้สึกว่ายังต้องกินต้องใช้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยังไม่คุ้นชินอยู่พักหนึ่ง แต่พอรู้ตัวเขาจะปรับตัวได้เอง

เถรี 12-09-2011 08:20

ถาม : พอนั่งสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ไหมครับว่าเราเข้าฌาน ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจในขั้นตอนจะรู้ทันที

ถาม : ถ้ารู้สึกตัวเหมือนกับว่าหลับละครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นดีที่สุดก็แค่ปฐมฌานหยาบ ถ้าหากว่ามากกว่านั้นสภาพจิตจะละเอียด จะไม่รับรู้อาการภายนอก แต่ทุกขั้นตอนที่ผ่านระดับของสมาธิจะรู้

ถาม : ถ้าถึงฌาน ๔ ล่ะครับ ลืมตาขึ้นมา..?
ตอบ : ถ้าหากว่าถึงฌาน ๔ แล้วจะนิ่งอยู่ข้างใน หากไม่ใช่บุคคลที่ฝึกหัดเรื่องฌานใช้งานมาจริง ๆ เวลาสมาธิไม่ถอยแล้วจะลืมตาไม่ขึ้น เพราะจิตกับประสาทแยกกันหมดแล้ว รวมถึงขยับปากไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ อย่างกับตอไม้อย่างนั้นแหละ แต่ข้างในสว่างโพลง เยือกเย็นมาก มีความสุขมาก

ถาม : ไม่ได้ยินเสียงภายนอก ?
ตอบ : ไม่รับรู้อาการภายนอกเลย แต่ว่าภายในรู้ตลอด

เถรี 12-09-2011 13:37

ถาม : มีงานบางอย่างที่มาจ่อตรงหน้า เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ พอถึงจุดที่จะได้ก็จะพลาดตลอดครับ มีกรรมอะไรหรือไม่ครับ ? แล้วจะมีวิธีแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกับว่าเคยไปขวางใครเขาไว้ คงต้องทำบุญอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พวกอุปสรรคต่าง ๆ อย่างนี้ ถ้าปล่อยนกปล่อยปลาจะช่วยได้ เราช่วยให้เขาได้รับอิสระและความสะดวกสบาย ถึงเวลาเราก็ได้รับความสะดวกสบายไปด้วย


ถาม : เรื่องพวกนี้ เกิดจากกรรมหรือเกิดจากตัวมิจฉาทิฏฐิครับ ?
ตอบ : เกิดจากปัญญาไม่พอ ในเมื่อปัญญาไม่พอก็เลยก่อกรรมที่คิดว่าไม่มีโทษ

เถรี 12-09-2011 16:48

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "นางวิสาขามีเครื่องประดับที่มีราคาแพง คือ มหาลดาปสาธน์ มีอยู่วันหนึ่งนางวิสาขาจะเข้าวัด จึงถอดมหาลดาปสาธน์ให้นางปุณทาสีที่เป็นคนใช้ประจำตัวนำไปเก็บ นางปุณทาสียกเครื่องประดับนี้ไหวเพราะกำลังเท่ากับเจ้านาย สาเหตุที่นางวิสาขาให้เอาเครื่องประดับไปเก็บไว้ก่อนเพราะนางจะเข้าไปหาพระ แต่งตัวหรูหราเกินไปแลดูไม่เหมาะสม นางปุณทาสีจึงเอาเครื่องประดับไปเก็บไว้ที่มุมหนึ่งของศาลา พอจะกลับ ทั้งนางวิสาขาและนางปุณทาสีลืมเครื่องประดับนี้ทั้งคู่

เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์นี้ราคา ๙ โกฏิ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ ๙๐๐ กว่าล้านบาท เครื่องประดับราคาแพงขนาดนั้นยังลืมได้ นางวิสาขาจึงให้นางปุณทาสีย้อนกลับไป บอกว่า "ไปดูสิ..ถ้าเครื่องประดับยังอยู่ก็เอามา แต่ถ้าพระท่านเก็บไว้ ถือว่าเป็นของกึ่งกลางระหว่างสงฆ์ เราจะไปไถ่คืนมา" ปรากฏว่าพระอานนท์ไปเจอเครื่องประดับเข้า พระมีศีลอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าหากว่าโยมลืมของหรือทิ้งของไว้ในวัด ต้องเก็บไว้ให้จนกว่าเจ้าของเขามาเอาคืน

ถ้าไม่ใช่พระอานนท์มาเจอ ก็ไม่มีใครยกไหวหรอก โยมลองนึกดูว่าเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ทำด้วยเงิน ๑,๐๐๐ แท่ง ทอง ๑,๐๐๐ แท่ง แก้วไพฑูรย์ ๔ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมณี ๓๓ ทะนาน ร้อยลงมาเป็นเสื้อคลุมใครจะไปยกไหว ทอง ๑,๐๐๐ แท่งก็ไม่รู้แท่งละกี่บาท นำมารีดเป็นเส้นแล้วก็ร้อยแก้ว คราวนี้พระอานนท์ท่านมีกำลัง ๗ ช้างสาร ท่านยกไหวก็เลยนำไปเก็บไว้ นางวิสาขาท่านก็คิดว่าในเมื่อพระท่านนำไปเก็บจึงเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ รับคืนมาเฉย ๆ อาจจะมีโทษได้

ท่านก็เลยนำเครื่องประดับขึ้นเกวียน ไปประกาศว่ามีใครจะซื้อบ้าง จะเอาเงินไปชำระหนี้สงฆ์ ประกาศทั้งเมืองก็ไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะของราคาแพงจัด นางวิสาขาก็เลยซื้อเอง ชำระหนี้สงฆ์เก็บไว้ใช้เอง แล้วก็นำเงินไปสร้างวัด ชื่อว่า วัดบุพพาราม

ท่านบอกว่าสร้างวัดบุพพารามสิ้นเงินไป ๙ โกฏิ ซื้อที่ดินสิ้นเงินไป ๙ โกฏิ จัดงานฉลองหมดไปอีก ๙ โกฏิ รวม ๆ แล้ว ๒๗ โกฏิ เราจึงได้วัดสำคัญขึ้นมาอีกวัดชื่อวัดบุพพาราม ไม่ใช่บุปผาราม

บุพพาราม แปลว่า อารามเบื้องต้น คือเป็นวัดแรกในเมืองสาเกต พระพุทธเจ้าท่านจำพรรษาอยู่ที่แคว้นโกศล ๒๕ พรรษา อยู่ระหว่างวัดเชตวันของอนาถปิณฑิกเศรษฐีกับวัดบุพพารามของนางวิสาขา

เวลาพระพุทธเจ้าท่านเดินบิณฑบาตออกทางประตูไหน ชาวบ้านก็จะไปคอยดู ถ้าหากว่าออกประตูทิศนี้ก็จะไปอยู่วัดบุพพาราม ถ้าหากออกประตูทิศนี้ก็ไปวัดเชตวัน ชาวบ้านเขาช่างสังเกต"

เถรี 12-09-2011 17:05

"ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าคนที่มีกำลังมากขนาดนั้นจะมีจริงหรือ ? มาคลายความสงสัยสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาอยู่รับใช้ท่าน หลายครั้งที่ท่านป่วยอยู่ ไม่ค่อยจะมีแรงทรงกาย แต่เรี่ยวแรงก็ยังเกินมนุษย์

ปกติท่านจะพักที่กุฏิหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร เวลาประมาณ ๗ โมงครึ่ง ก็จะมาทำงานที่กุฏิริมน้ำ อาตมามีหน้าที่เฝ้าหน้าประตู วันหนึ่งท่านว่า "เออ...วันนี้รู้สึกมีแรง ขอออกกำลังหน่อย" ท่านขึ้นไปโยกเครื่องออกกำลังที่โยมถวายมา เครื่องออกกำลังที่เท้าถีบได้ มือโยกได้ สปริงแต่ละข้างใหญ่ประมาณท่อนแขนอาตมา หลวงพ่อโยกไม่กี่ทีสปริงขาดเลย สรุปว่าอาตมาต้องแบกเอาไปเก็บ ใช้งานไม่ได้เพราะสปริงขาด

หลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันเป็นท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี วัดสุวรรณคีรี สมัยก่อนท่านไปหาหลวงพ่อบ่อย ท่านเคารพหลวงพ่อมาก พอไปถึงก็กราบที่อก หลวงพ่อท่านก็ตบหัว “เป็นยังไงไอ้ดำ..?” หลวงพี่ดำก็ลงไปกองที่เท้าหลวงพ่อ

อาตมาเห็นก็คิดว่า หลวงพี่มหาท่านเคารพหลวงพ่อจริง ๆ กราบจากอกยันเท้าเลย ที่ไหนได้ พอหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพี่ดำลุกขึ้นมาบอกว่า "เกือบสลบ..!" หลวงพ่อท่านตบหัวทักทาย แต่หลวงพี่ดำรู้สึกอย่างกับโดนค้อนตี ที่เห็นนั้นไม่ได้กราบเท้านะ ร่วงลงไปกองอยู่ที่เท้า..!

อาตมาก็สงสัยว่าทำไม หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นกำลังบุญ กำลังที่สั่งสมมาตั้งแต่เดิม คนที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเกิดเป็นหัวหน้าเขา ตอนเกิดเป็นคนก็เป็นหัวหน้าคน เกิดเป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าสัตว์ ถ้าไม่แข็งแรงกว่าเขา ก็เป็นหัวหน้าเขาไม่ได้"

เถรี 12-09-2011 17:10

มีโยมอัดรูปพระอาจารย์มาถวาย ท่านกล่าวว่า "จำไว้เลยนะว่า..ถ้าไม่อยากโดนด่า อย่าทำรูปอาตมามา ตูเห็นหน้าตัวเองจนเบื่อเต็มทีแล้ว นี่ยังดีนะว่าซ่อนไว้ข้างล่าง ถ้าเห็นก่อนนี้โดนด่าตั้งแต่ตอนเอามาแล้ว เสือกทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง..!

แจ้งให้ญาติโยมทราบอีกครั้งนะจ๊ะ เผื่อประเภทหลงลืมหรือไม่เคยได้ยิน อย่าอัดรูปอาตมามาเป็นอันขาด ถ้าอยากได้รูป อาตมาทำเองและดีกว่าด้วย แทนที่จะแจกเองเสือกทะลึ่งเอามาให้อาตมาแจก ตกลงไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับอาตมาเลย นอกจากเหนื่อยเพิ่มขึ้น ถ้าอาตมาอยากจะแจก จะทำเอง ไม่ต้องเมตตาทำมา นี่ดีว่าซุกเอาไว้ ถ้าเห็นตั้งแต่เมื่อวานนี้ก็ด่าไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ต้องบอกว่ายิ่งห้ามยิ่งเจอ"

เถรี 13-09-2011 06:23

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เดือนนี้ทั้งเดือนที่ทองผาภูมิแทบจะไม่เห็นแดดเลย โดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาบิณฑบาตเปียกฝนแทบทุกวัน
เรื่องบิณฑบาตเป็นกิจวัตร เป็นสิ่งที่พระจำเป็นต้องทำ เพราะเป็นการรักษาอริยประเพณีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ท่านบิณฑบาตแม้วาระสุดท้ายของชีวิต ก็คือบิณฑบาตที่บ้านของนายจุนทะ

อีกอย่างหนึ่งก็คือ เคยพบด้วยตัวเอง ตอนนั้นอยู่ที่วัดท่าซุงจะบิณฑบาตที่สายใต้เป็นประจำ ตอนแรกหลวงตาวัชรชัยท่านเป็นหัวหน้าสายอยู่ พออาตมาได้หลายพรรษาหน่อย หลวงตาท่านก็ไปเดินสายหลังวัด อาตมาก็เป็นหัวหน้าสายใต้แทน มีอาจารย์สมปองเดินตาม และน้อง ๆ อีก ๑๐ กว่ารูป บางทีฝนตกหนักไม่มีใครบิณฑบาต มีอาตมากับอาจารย์สมปองสองคนไป

เดินไปจนสุดทางประมาณ ๒ กิโลเมตรจากวัด มีคุณยายอายุ ๘๐ กว่าปี ยืนถือใบกล้วยบังหัวกับขันข้าวรอใส่บาตร ลองนึกดูว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้ไป คุณยายจะทำอย่างไร? คุณยายแก่ ๆ ผมขาวทั้งหัว กลัวว่าฝนตกแล้วลูกพระจะอด อุตส่าห์ยืนถือใบกล้วยบังหัวรอใส่บาตร"

เถรี 13-09-2011 16:19

"ในวัดท่าซุงตอนนั้นมีพระอยู่ ๒ รูป ก็คืออาตมากับท่านอาจารย์สมปอง ฟ้าถล่มดินทลายอย่างไรก็ไม่เลิกบิณฑบาต พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านวางกฎระเบียบไว้ว่า ต้องบิณฑบาตกลับมาครบแล้วถึงฉันพร้อมกัน เพราะฉะนั้น..อาตมากับอาจารย์สมปองไม่รู้โดนเขาแช่งชักหักกระดูกไปเท่าไรแล้ว เพราะเวลาฝนตกเขาไม่ไปบิณฑบาตกัน แต่พวกเรา ๒ คน ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกอย่างไรก็ไป

อาตมาเองใช้ผ้าแค่ ๓ ผืน มารู้ทีหลังอาจารย์สมปองก็ใช้ ๓ ผืนเหมือนกัน พอเปียกแล้วไม่มีเปลี่ยน กลับมาถึงก็รีบบิดให้หมาด ๆ แล้วห่มเข้าวงฉัน ฉันเสร็จก็ค่อยหาทางว่าจะทำอย่างไรให้จีวรแห้ง ถ้าไม่มีแดดจริง ๆ ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมเป่าจีวร กว่าจีวรจะแห้งพอที่จะไปทำงานอย่างอื่นได้ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน

จากที่พวกเราเอานิสัยไม่ยอมละทิ้งระเบียบ ไม่ยอมผ่อนผันให้กับตัวเองมาใช้ในการปฏิบัติ เวลาทำอะไรจึงได้มากกว่าคนอื่น ขณะที่คนอื่นถึงเวลาก็ผ่อนผันให้กับตัวเอง แต่พวกเราไม่ยอมผ่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อสอนจะถือว่าเป็นคำสั่งที่ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ฟังเป็นคำสอนผ่านหูไปเฉย ๆ ก็เลยทำให้กลายเป็นสมบัติติดตัวมา

แม้กระทั่งจนทุกวันนี้ฝนตกแดดออกอย่างไรก็ออกบิณฑบาต บางทีญาติโยมที่รู้จักเขาก็บอกว่า หลวงพ่อเป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้ พระเณรเต็มไปหมด ถ้าเป็นที่อื่นเขาให้พระเณรบิณฑบาตเลี้ยงแล้ว แต่อาตมาไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ายังไปไหวก็ต้องไป"

เถรี 13-09-2011 16:30

"ถ้าเป็นวันที่ต้องไปบิณฑบาต ตั้งแต่บวชมา ๒๗ ปี อาตมาขาดแค่ ๔ ครั้งเพราะป่วยจนลุกไม่ขึ้น ถ้าลุกขึ้นพอโงนเงนได้ก็ไป บางทีไข้จับหนักมาก แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเดินไปถึงปลายทางได้อย่างไร แทบจะไม่รู้ตัวว่าเดินกลับมาที่วัดได้อย่างไร เดิน ๆ ไปก็สะดุดก้อนหิน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เลือดไหลเป็นกองเพราะเล็บหลุดไปทั้งอัน..!

เวลาไข้จับหนัก เราไม่รู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร เพราะเบลอไปหมด ตั้งสติไว้อย่างเดียวว่ากลับให้ได้ก็แล้วกัน ทำให้เห็นชัดว่า จริง ๆ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราอย่าให้เขาบังคับเรา เราต้องบังคับเขาแทน ถ้ายังไหวเอ็งไปซะดี ๆ..!

ถามว่าทำอย่างนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยคหรือไม่ ? ทรมานตนเองเกินไปหรือไม่ ? โหดร้ายขาดเมตตากับตัวเองหรือไม่ ? ไม่ใช่หรอก..ถ้ายังไปได้ต้องไป ระเบียบวินัยเป็นแค่ของหยาบ ๆ ถ้าเราทำไม่ได้ การเข้าถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียด เราจะเข้าถึงไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น..ใครที่เป็นคนต่อต้านระเบียบ ไม่ยอมรับระเบียบวินัย ไม่ยอมรับกฎหมายบ้านเมืองหรือกฎกติกาของสถานที่ใด ๆ ให้รู้ว่าโอกาสที่เราจะเข้าถึงธรรมมีน้อยมาก เพราะว่าของหยาบสภาพจิตของเรายังต่อต้านไม่ยอมรับ ธรรมะที่เป็นส่วนละเอียดกว่านั้นหลายเท่าเราจะไม่มีโอกาสได้เข้าถึงเลย"

เถรี 13-09-2011 16:58

ถาม : หนูชอบทำบุญด้วยการให้เงินคนอื่นไปทำบุญ เราจะได้รับอานิสงส์ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..เราเองทำบุญรายการไหนเราก็ได้อานิสงส์อย่างนั้น แต่คนที่รับจากเราไปก็จะได้เวยยาวัจมัย คือบุญในการช่วยให้งานบุญคนอื่นสำเร็จ แปลว่าคนรับจากเราไปทำให้ ต่อไปเขาก็จะอยู่ในลักษณะที่มีภาระหรือมีการงานอะไรก็จะมีคนคอยช่วยเหลือ ส่วนเราเองก็สบายในส่วนที่ว่าไม่ต้องไปเหนื่อยเอง บางคนเหนื่อยมากแล้วกำลังใจตก ทำให้บุญลดลง

เถรี 13-09-2011 17:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนกันยายนนี้มีวันสำคัญทางราชการอยู่ ใครรู้บ้างว่าวันอะไร ? คำตอบคือ วันเยาวชนแห่งชาติ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชสมภพ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๓๙๖ กับในหลวงรัชกาลที่ ๘ ทรงพระราชสมภพ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๖๘ พระองค์ท่านเสด็จขึ้นครองราชย์ก่อนพระชนมายุ ๒๐ ปีทั้งคู่ ก็เลยถือว่าเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๐ กันยายน ของทุกปี"

เถรี 14-09-2011 16:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการใช้สาลิกาลิ้นทอง เขาบอกว่าให้พูดเพราะ ๆ พูดหวานขานเพราะไปไหนคนก็รัก พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นปิยวาจา

ในเรื่องคำพูด พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น ปุปผภาณี แปลว่า วาจาที่หอมเหมือนดอกไม้ มีแต่คนอยากฟัง มธุภาณี แปลว่า คำพูดหวานเหมือนน้ำผึ้ง คนฟังจะติดใจ คูถภาณี ก็คือ วาจาเหม็นเหมือนขี้ ประเภทปากไม่ดี คนไม่อยากเข้าใกล้

เพราะฉะนั้น..ในส่วนปิยวาจานี้ต้องเว้นคูถภาณี ปุปผภาณีหรือมธุภาณีถึงใช้ได้ คำว่า "ภาณี" แปลว่าพูด สุภาณี คือ พูดดี พูดเพราะ

เราได้ยินว่า "ภาณยักษ์ ภาณพระ" ภาณตัวนี้แหละคือภาณี คือพระพูดหรือยักษ์พูด ก็คือคาถา นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มเหสินัง ข้าพเจ้าขอน้อมต่อบรรดาสมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นใหญ่ที่ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก

ตัณหังกโร มหาวีโร เมธังกโร มหายโส พระพุทธตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีความกล้าอันยิ่งใหญ่ คือกล้าที่จะต่อสู้ฝ่าฟันกับกิเลส เมธังกโร มหายโส ฯ พระพุทธเจ้ามีนามว่า เมธังกร ผู้มียศอันยิ่งใหญ่ คือคนเขายกย่องให้เหนือผู้อื่น เพราะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

คาถานี้ผูกขึ้นโดยท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านประชุมกันที่อาฏานาฏิยนครซึ่งเป็นเมืองหลวงของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ว่ายักษ์และผีที่ไม่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า ตลอดจนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั้นมีจำนวนมาก ถ้าหากไม่ออกคำสั่งห้ามไว้ ถึงเวลาอาจจะมีการทำร้ายพระที่เป็นพุทธสาวกได้"

เถรี 14-09-2011 16:51

"ท่านก็เลยประชุมรวมกันแต่งฉันท์สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า บอกว่า ถ้าหากว่าผู้ใดสวดสาธยายคาถาบทนี้แล้ว ห้ามผีและยักษ์ทั้งหลายไปทำร้าย ถ้าหากว่าผีหรือยักษ์ตนใดไปทำร้ายผู้ที่สวดสาธยาย ถือว่าเป็นขบถต่อท้าวจตุมหาราช

เมื่อประกาศให้ยักษ์ทั้งหลายทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านก็นำไปกล่าวถวายพระพุทธเจ้า ตอนที่ท่านกล่าวถวายพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า ภาณยักษ์ คือยักษ์พูด เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย พระพุทธเจ้ารับมาแล้วก็มาแจ้งต่อพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยตรัสทวนให้ฟังอีกรอบ จึงเรียกว่า ภาณพระ คือพระพุทธเจ้าพูด

ใครจะเอาไปท่องก็ได้ ที่เขาขึ้นว่า วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภูตานุกัมปิโน จนกระทั่งท้ายสุด สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโตฯ ท่องไว้ทุกวัน อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัยจากพวกผีพวกยักษ์ที่จะทำร้าย เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิจะหลีกไป เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิจะช่วยรักษา"

เถรี 14-09-2011 16:58

"แต่อย่าไปท่องอย่างท่านอาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์นะ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นหลวงปู่ปานไปช่วยสร้างวัดเขาวงพระจันทร์ อาจารย์สำราญท่องภาณยักษ์ทุกวัน ปกติคนเขาจะท่องด้วยความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัย แต่อาจารย์สำราญท่องเพื่อไล่ผีไล่เทวดา ไม่ให้ไปกวนแก

หลวงปู่ปานพอทราบเข้าก็ไปเตือนว่า “ท่านสำราญ...ทำอย่างนี้เดี๋ยวจะเดือดร้อน ไปไล่ผีไล่เทวดาเขาได้อย่างไร" ท่านสำราญไม่ฟัง ท่องทุกวัน อยู่ ๆ วันหนึ่งหลวงปู่ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ร้องโอดโอยอยู่บนกุฏิ พอวิ่งขึ้นไปดูเห็นคนนุ่งแดงตัวใหญ่หัวค้ำเพดาน ถือหวายท่อนเท่าแขนตีอาจารย์สำราญ หวดซ้ายป่ายขวาอุตลุด

หลวงปู่ปานก็บอกว่า “พ่อขุนด่านพอเถอะ เดี๋ยวตายเปล่า ๆ ” คนนุ่งแดงใส่แดงหันมาบอกว่า ถ้าไม่ใช่ท่านขอไว้จะล่อให้ตายจริง ๆ แล้วคนนุ่งแดงก็ก้าวขึ้นขื่อหายวับไป นั่นเจ้าพ่อขุนด่าน ถ้าใครออกไปทางด้านลพบุรี ชัยภูมิ จะผ่านจุดหนึ่งที่มีศาลเจ้าพ่อขุนด่าน

อาจารย์สำราญไปท่องไล่อยู่ทุกวัน พวกผีเล็กผีน้อยหนีหมด แต่เจ้าพ่อท่านเป็นระดับมหาอำมาตย์แล้ว ท่านไม่หนีแต่ทนไม่ไหวจึงตีเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครท่องให้ท่องด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยนะจ๊ะ ไม่ใช่ไปท่องไล่เขา ถ้าท่องไล่ผีให้ระวัง ถึงเวลาผีจะไล่เอาบ้าง"

เถรี 14-09-2011 17:27

ถาม : การยอมรับกฎของกรรมทำให้ลดสักกายทิฐิได้อย่างไรครับ ? ผมรู้ว่ามันลดได้ แต่ไม่รู้ว่ามันลดได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : คุณต้องคิดว่าเราทำเราจึงรับ ในเมื่อเราทำเราจึงรับ กำลังใจที่คิดจะต่อต้านก็ไม่มี ก็แปลว่าเราไม่ได้แบกทิฐิ นั่นก็เท่ากับว่าลดไปในตัวอยู่แล้ว

เถรี 15-09-2011 00:45

ถาม : เวลาที่หนูภาวนาแล้วหลุดออกไป อย่างขึ้นไปกราบพระ พอไปแล้วจะไม่ค่อยเจอใครเลยค่ะ เป็นเพราะไม่มีใครหรือเพราะหนูหยาบคะ ?
ตอบ : ความคล่องตัว ความชำนาญในสมาธิไม่มี วงสมาธิก็เลยแคบ การรู้เห็นจึงถูกจำกัดไปด้วย จำไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยอยู่พระองค์เดียว อย่างน้อย ๆ พรหมเทวดาก็ต้องอยู่ด้วยเยอะแยะ เราเองไม่รู้ว่าลุยเข้าไปจนเขากระจายทั้งวงหรือเปล่า ?

ถาม : ไปกราบพระทีไรก็เห็นแต่พระท่านองค์เดียว
ตอบ : ประมาณนั้นแหละ เพราะสมาธิยังไม่ดีพอ จึงเห็นได้เฉพาะหน้าที่มุ่งไปเท่านั้น

ถาม : เวลาหลุดออกมาแล้ว หนูตั้งใจจะไปกราบพระ แต่บางทีก็มีแรงดึงลงไปข้างล่าง แล้วคราวนี้ไม่เห็นอะไรก็เลย ไม่รู้ว่าคืออะไร ? หรือมีใครหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัยหรอก ให้เราคิดไว้ก่อนว่าถ้าเราขึ้นข้างบนไม่ได้นี่ต้องลงข้างล่างแน่ ๆ..!

ถาม : แล้วมีใครมาดึงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : กำลังใจของเราตอนนั้นมั่นคงจริงหรือเปล่า ? ถ้าไม่มั่นคงจริง โอกาสที่จะไหลลงต่ำก็มีสูง ต้องบอกว่าไปเองตามสภาพจิตของเราตอนนั้น ซึ่งอาจจะแบกรัก โลภ โกรธ หลง มาเต็มที่ทั้งวัน พอมาปฏิบัติสิ่งที่แบกเอาไว้ก็ถ่วงเราลง ต้องรีบชำระใจให้ผ่องใสโดยด่วนเลยจ้ะ

ถาม : หนูก็กลัวจะลงไปชินข้างล่าง เจออย่างนี้ทีไรก็ตะกายขึ้นไปทุกทีค่ะ
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ กลัวไว้ได้แหละดี

เถรี 15-09-2011 00:51

ถาม : เวลาอาราธนาพระหางหมากจนหลับ ทำไมเวลาหลับจึงฝันเห็นพระ ?
ตอบ : ใครเกาะด้านดีก็ฝันในด้านดี ใครเกาะด้านไม่ดีก็ฝันไม่ดี เท่านั้นเอง

ถาม : เห็นจริงหรือไม่ ? วันหลังผมจะได้ไม่ต้องยึดติดอะไร
ตอบ : แล้วคุณจะไปยึดอะไร ?

ถาม : หรือผมฝันเห็นจริง ๆ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเอาแต่ฝัน ชาตินี้หาดีไม่ได้หรอก ต้องทำตอนลืมตา ความฝันสามารถบอกได้ถึงสภาพจิตของเราในระดับหนึ่ง ถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ดีก็ฝันเห็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าหากว่าสภาพจิตดีก็ฝันเห็นสิ่งที่ดี

แต่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม อย่าลืมว่านั่นแค่เขาบอกว่าเราเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่คิดจะทำความดีต่อก็ไม่ได้อะไรหรอก

เถรี 15-09-2011 01:56

ถาม : ที่เขาเวียนไปไหว้พระทำบุญที่โน่นที่นี่ มีผลอย่างไรต่อการปฏิบัติ ?
ตอบ : ได้อนุสติเต็ม ๆ และได้ทานบารมีด้วย สำหรับคนที่กำลังใจยังน้อยอยู่ก็ต้องทำอย่างนั้น ถึงกำลังใจสูงแล้วก็ไม่ควรประมาท ต้องกอบโกยบุญทุกอย่างให้เต็มที่ไว้ก่อน

เถรี 15-09-2011 10:54

ถาม : ผมอยากทราบว่า การชอบอ่านหนังสือธรรมะ เป็นธัมมานุสติกรรมฐานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กล่าวถึงเรื่องไหน ก็เป็นอนุสติในเรื่องนั้น

ถาม : ถ้าเราอ่านหนังสือเจริญพระพุทธมนต์ แล้วเราก็คิดว่าคือการเจริญกรรมฐานนี่ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน ทำอย่างไรก็ได้ให้ใจเกาะความดี จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

ถาม : เสร็จแล้วเราก็แผ่เมตตา อานิสงส์ก็พอ ๆ กับการนั่งกรรมฐาน ?
ตอบ : ถ้าคุณสามารถทำได้โดยไม่ต้องนั่ง จะดีกว่าด้วย

เถรี 15-09-2011 22:21

ถาม : ผมมีปัญหากับที่บ้าน ผมออกมาจากบ้านโดยไม่ได้บอกพ่อไว้ แต่เขียนทิ้งจดหมายไว้ ผมอยากกราบถามท่านว่า ผมจะได้มีโอกาสกลับไปดูแลพ่ออีกไหมครับ ?
ตอบ : จะกลับก็กลับ จะออกก็ออก การตัดสินใจอยู่ที่ตัวเรา ไม่ต้องถามคนอื่น ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนตัดลูกขาด มีแต่ลูกนั่นแหละจะตัดพ่อตัดแม่ ถึงเวลาอยากกลับก็กลับ

เถรี 15-09-2011 22:23

ถาม : เวลาทำสมาธิ เขาบอกว่าให้ปล่อยจิตตาม... ผมก็ปล่อย แต่ทำสมาธิไม่ได้ ต้องบังคับตัวเองตลอดเวลา ให้จิตนิ่ง ๆ
ตอบ : ให้อยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้าก็พอ ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าบังคับหรือไม่บังคับ

เถรี 15-09-2011 22:34

ถาม : พอดีจะขายบ้านค่ะ ตอนนี้ตกงานไม่ได้ทำอะไร กลัวผ่อนบ้านไม่ไหว ขายเท่าไรก็ขายไม่ได้
ตอบ : ไปจุดธูปบอกเจ้าที่ที่บ้าน บอกว่าเราจะขายที่ ขอให้ท่านช่วยให้ขายได้ไวที่สุด แล้วเราจะทำบุญสังฆทานไปให้

ถาม : บอกเจ้าที่บ้านที่จะขาย หรือบ้านที่อยู่ปัจจุบันคะ?
ตอบ : ขายหลังไหนก็บอกเจ้าที่หลังนั้นแหละ

ถาม : จุดธูปหน้าบ้านใช่หรือเปล่าคะ หรือในบ้านคะ ?
ตอบ : ไปจุดบนหลังคาบ้าน..!

ถาม : เพราะในบ้านยังไม่มีอะไรเลย ยังไม่ได้เข้าไปอยู่
ตอบ : จุดกลางแจ้ง หลังจากนั้นก็รีบติดประกาศขายเสียไว ๆ

เถรี 15-09-2011 22:36

ถาม : ลูกสาวไปอยู่หอแล้วเหมือนมีวิญญาณมารบกวนค่ะ
ตอบ : บอกเขาให้หัดภาวนาแล้วแผ่เมตตาไว้บ้าง ถ้าหากว่าใครภาวนาแล้วแผ่เมตตา พวกนี้จะไม่รบกวนหรอก ก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตาให้เขาก่อนค่อยนอน

เถรี 15-09-2011 22:46

ถาม : ผมปฏิบัติโดยท่องคาถาเงินล้านไปด้วย เดินจงกรมไปด้วย แล้วก็กำหนดภาพพระพุทธเจ้าไปด้วย ระหว่างนี้คิดกำหนดมรณานุสติไปด้วยนี่จะช่วยในเรื่องตัดสังโยชน์ ๓ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำทีละอย่าง เต็มที่อย่าให้เกิน ๒ อย่าง ตั้งระยะเวลาว่าจะทำนานเท่าไร ที่ทิ้งไม่ได้เลยก็คือลมหายใจเข้าออก จะใช้คาถาเงินล้านเป็นคำภาวนาใดก็ได้ เพิ่มได้อีกอย่างเดียวคือภาพพระ

พอทำจนกระทั่งทรงตัวดี อารมณ์ไปต่อไม่ได้แล้วค่อยคลายกำลังใจลงมาแล้วก็มาคิดพิจารณา อย่างเช่นว่าเราต้องตายแน่ ๆ เพราะถ้าหากว่าทำหลายอย่างทีเดียวกำลังของเราไม่พอ เราจะฟุ้งซ่านเสียเปล่า ๆ

ถาม : เกี่ยวกับการคิดเรื่องของความตายนี่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเราระลึกถึงความตายเฉย ๆ เป็นสมถภาวนาแต่ถ้าหากว่าเราเห็นจริงว่าความตายเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเห็น ธรรมชาติของร่างกายเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อจะพบกับความตายอย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก ตายแล้วเราจะไปนิพพาน ถ้าอย่างนี้ก็เป็นการวิปัสสนา

จากปกติของสมถะ เราก็แค่เห็นจริงว่าความตายเป็นความตายของทุกคน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีใครที่จะหลุดพ้นความตายไปได้

เถรี 20-09-2011 08:14

ถาม : ในวจีกรรม ๔ การพูดเพ้อเจ้อ หมายรวมถึงคำพูดตลก ๆ พูดเล่นมุกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว การพูดอะไรที่ไม่ชัดเจน ไม่เข้าหาธรรม ก็ถือว่าเพ้อเจ้อ กำลังใจแต่ละคนแต่ละระดับก็ไม่เท่ากัน ถ้ากำลังใจที่ละเอียดก็จะเห็นว่าฝ่ายที่หยาบกว่าพูดจาเพ้อเจ้อ เพราะฉะนั้น..ตัวนี้เป็นตัวที่เว้นยากสักนิดหนึ่ง

ถาม : ความละเอียดในการรักษากรรมบถ ๑๐ ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันสิคะ ?
ตอบ : ใช่..เพราะอยู่ที่ความหยาบละเอียด ถ้าเต็มที่ก็ต้องเป็นพระสกิทาคามี เพราะถ้าเป็นอนาคามี ท่านจะไม่ยุ่งอะไรกับใครแล้ว

อนาคา แปลว่า ผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน ผู้ที่ไม่มีครอบครัว อนาคาริกะ คือ ไร้ซึ่งบ้านเรือน อนาคามี ผู้ที่ไม่ย้อนกลับไปหาเรือน ไม่กลับมาเกิดใหม่แล้ว รอไปนิพพานอยู่ข้างบนอย่างเดียว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:43


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว