กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2447)

เถรี 07-02-2011 11:37

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
 
ถาม : เวลาปล่อยวัว จะอธิษฐานว่าอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : อธิษฐานว่า กรรมอะไรที่เราเคยล่วงเกินต่อเจ้ากรรมนายเวรมา ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ขอชดใช้ด้วยชีวิตของวัวตัวนี้ ขอให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้กับเราด้วย

เถรี 07-02-2011 11:40

ถาม : ตอนที่พิจารณาตัดร่างกาย ว่าร่างกายนี้เป็นธาตุสี่ เราพอเข้าใจ ทีนี้ก็จะเหลือตัวอทิสมานกาย ต้องตัดว่าไม่เป็นของเรา ?
ตอบ : ให้ดูว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่อทิสมานกายนี้ไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว ถ้าจิตปล่อยวางได้จริง ๆ ความยึดถือว่าจิต (อทิสมานกาย) นี้ไม่ใช่ของเราก็จะพลอยหมดไปด้วย

เถรี 07-02-2011 12:18

ถาม : อาโลกกสิณดีอย่างไร ?
ตอบ : สร้างทิพจักขุญาณให้เกิด

ถาม : การมองพระที่เป็นแก้ว เป็นอาโลกกสิณหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นโดยตรงเลยจ้ะ

เขาอ่านว่า อา-โล-กะ-กสิณ อาโลกะ คือ แสงสว่าง , กสิณ คือ การเพ่ง , อาโลกกสิณ คือ เพ่งกำหนดแสงสว่าง แต่เวลาพวกเราอ่าน ก.ไก่หายไปหนึ่งตัว

ถาม : ระหว่างมาทำอาโลกกสิณแบบนับหนึ่งใหม่ กับใช้อภิญญารวม อย่างไหนดีกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ความขยันของเรา ถ้าขี้เกียจก็ใช้คาถาอภิญญารวม ถ้าขยันก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เถรี 07-02-2011 12:48

ถาม : ในตำราเขาบอกว่านรกมี ๔๕๖ ขุม แต่ทำไมบางท่านที่ไปมา อย่างพระโพธิสัตว์ตี่จั๊งอ้วง ท่องนรกแปดหมื่นกว่าขุม ?
ตอบ : คุณอย่าสับสน..! พระโพธิสัตว์ตี่จั๊งอ้วงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ของมหายาน ส่วนนรก ๔๕๖ ขุม เป็นของเถรวาท

ถาม : นรกมีต่างกันด้วยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความหยาบละเอียดของคน ขณะเดียวกันบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ความเชื่อเก่า ๆ ของตนเองด้วย อย่างเช่น จีนมีพระยายม ๑๐ ท่าน แต่ของไทยเรามีพระยายมท่านเดียว

ถาม : ขึ้นอยู่กับการยึดหรือครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อถือ และสิ่งที่รู้เห็นมา ความหยาบละเอียดของจิตทำให้รู้เห็นได้ชัดเจนไม่เท่ากัน

แม้แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงก็เคยบอกว่า สมัยท่านขึ้นไปสวรรค์ครั้งแรก ท่านเห็นพระจุฬามณีเป็นเจดีย์ปูนเก่า ๆ เพราะขาดการพิจารณาตัดร่างกายก่อน พอท่านพิจารณาตัดร่างกายได้ดี ขึ้นไปใหม่ คราวนี้เห็นเจดีย์เป็นแก้วสว่างไสวแพรวพราว

เพราะฉะนั้น..เราต้องรู้ด้วยว่า ท่านเห็นอะไรมาท่านก็ว่าไปตามนั้น และได้โปรดอย่าเอามหายานมาปนกับเถรวาท ปัจจุบันนี้ปนกันมั่วไปหมด แม้แต่หลวงตามหาบัวก็กลายเป็นมหายานไปเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นมหายานตอนไหน ?

เพราะเขายึดถือตัวบุคคลเป็นลักษณะเทพเจ้า ไม่ได้ยึดถือคำสอนของหลวงตาเป็นหลัก ถ้ายึดถือคำสอนของหลวงตาเป็นหลัก ถึงเวลาหลวงตาจะสิ้นก็สิ้นไป แต่คำสอนของท่านยังอยู่ ความดีของท่านยังอยู่ ความเป็นพระสงฆ์อันเป็นสังฆคุณที่แท้จริงของท่านยังอยู่ในใจของเรา

ในเมื่อเรายังทำไปยังไม่ถึงตรงนั้น กลายเป็นว่าเราไปยึดตัวบุคคล เหมือนกับลักษณะของมหายานหรือฮินดู ก็คือไปยึดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยึดเป็นเทพเจ้าของเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราวางกำลังใจถูกหรือผิด ? ถ้าวางกำลังใจถูกก็ดีไป ถ้าวางกำลังใจผิดก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี 07-02-2011 13:11

ส่วนใหญ่พวกเรามักจะยึดติดในตัวบุคคลเสียมาก ต้องระมัดระวังตรงจุดนี้ให้หนัก ๆ ไว้ อย่าลืมว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังปรินิพพาน พระสาวกของพระองค์ท่านก็มรณภาพ หรือไปนิพพานกันนับไม่ถ้วนแล้ว ปัจจุบันตัวตนบุคคลที่เรายึดถืออยู่ อย่าได้ยึดในลักษณะที่เกาะท่าน แต่ให้ยึดในลักษณะที่เอาท่านเป็นอนุสติ

ให้ยึดในความดีของพระสงฆ์ สุปฏิปันโน..ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีอย่างไร อุชุปฏิปันโน..ท่านปฏิบัติตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ญายะปฏิปันโน..ปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนมาว่าอย่างไร สามีจิปฏิปันโน..ปฏิบัติแล้วโดยชอบอย่างไร

ท่านเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ เราก็เกาะความดีตรงนั้น ไม่ใช่ไปเกาะองค์ท่าน ถ้าเกาะองค์ท่านแล้ว ท่านมรณภาพไปเราก็จะเคว้งไปเลย อาตมาเคยเห็นภาพตลกที่หัวเราะไม่ออก

ตอนนั้นปี ๒๕๓๐ มีการเผาศพจำลองของหลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราแห่โลงศพของท่าน ซึ่งตั้งอยู่ที่ตึกอำนวยการทางด้านฝั่งจุฬามณีนำไปไว้ที่ศาลาสี่ไร่ ในระหว่างที่เดินแห่จากจุฬามณีมาที่ศาลาสี่ไร่ มีคนนั่งเรียงแถวข้างทางเต็มไปหมด บางคนร้องไห้โฮว่า "ไม่ได้มาวัดเดือนเดียว หลวงพ่อตายตอนไหนก็ไม่รู้ ?!" ไม่ได้ดูเลยว่าหลวงพ่อนั่งรถเข็นตามโลงมา นั่นแหละ..คือการยึดตัวบุคคลจนเกินไป

เถรี 07-02-2011 13:17

พอทำการสวดอภิธรรมเสร็จ ต้องเคลื่อนโลงศพของหลวงพ่อท่านไปเผาที่ศาลา ๑๒ ไร่ แค่ข้ามฝั่งถนนเท่านั้น มีคนร้องไห้นับไม่ถ้วน

เราจะเห็นว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง จะมีเพียงธรรมสังเวช คือ เกิดสลดใจว่า แม้บุคคลที่ทรงความดีขนาดพระพุทธเจ้าก็ดี หรือหลวงพ่อก็ดี ไปนิพพานกันหมดแล้ว เราเองก็ต้องตายอย่างนั้นด้วยเช่นกัน จะเกิดความไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความหลุดพ้นของเรา

แต่นี่เราไปยึดในตัวบุคคล ในเมื่อยึดในตัวบุคคล แทนที่จะยึดในความดีของหลวงพ่อ พอเห็นโลงศพ ไม่ได้สนใจว่าโลงจริงหรือโลงปลอม หลวงพ่อถือสายสิญจน์นำโลงมาแท้ ๆ เขาก็ร้องไห้ไว้ก่อนแล้ว แสดงว่าไม่ได้ลืมตามาดูเลย ว่าใครเดินมาข้างหน้า

งานนั้นคนแน่นไปหมด จนอาตมาเดินไม่ได้ อาตมาที่เดินจูงสายสิญจน์อยู่ก็ต้องหยุด เพื่อรอคนเปิดทางให้ อยู่ ๆ ก็มีคนเตะก้น "ป้าบ..!" ก็หันไปดูว่าใครเตะกูวะ ? หันไปเจอหลวงพ่อ ท่านพยักหน้าบอกว่า "เดินสิโว้ย..หยุดทำไม ?" อ๋อ..หลวงพ่อเตะนี่เอง ก็คือถ้าอาตมาไม่เดินต่อ โยมเขาก็ไม่เปิดทางให้ อาตมาก็มัวแต่หยุดรอให้เขาเปิดทาง เลยไม่ต้องไปกันเสียที

เถรี 07-02-2011 17:16

ถาม : มีคณะจากเมืองจีน สาว ๆ แสดงเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ มีการร่ายรำกัน บางท่าของการรำเหมือนกับเต้นระบำ
ตอบ : ถ้าคุณได้ยินพระจีนสวดมนต์ คุณจะคิดว่าเขาร้องเพลงด้วย ฉะนั้น..แค่เต้นระบำ ถือว่าเรื่องเล็ก

มหายานเขาถือหลักธรรมเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือพระวินัยเป็นใหญ่ อย่างที่ภาษากำลังภายในเขาว่า "สุราผ่านลำไส้ พระพุทธองค์ประดับอยู่ที่ใจ" คนจะกินเสียอย่าง ก็หาข้ออ้างไปเรื่อย

ในเมื่อไม่มีพระวินัยที่เป็นรากแก้วของพระศาสนา จะเอาแต่แก่นธรรมอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเมื่อต้นไม้แห่งธรรมไม่มีราก ก็ตายก่อนเสียแล้ว ดังนั้น..ในส่วนของมหายานที่มีการปรับเปลี่ยน ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ปฏิบัติไปจนถึงจุดที่เข้าใจว่าธรรมะแท้จริงเป็นอย่างไร ก็จะหลงผิดทางไปเลย

แต่ท่านที่ปฏิบัติถึงระดับหนึ่ง จนเข้าใจว่าธรรมะแท้จริงเป็นอย่างไร ก็มีอยู่จำนวนน้อย แต่มีจำนวนน้อยไม่พอ ลูกศิษย์ดันไปยึดว่าท่านเป็นผู้วิเศษอีก ก็เจริญไปกันใหญ่..! ปัจจุบันนี้พวกเราเอาทั้งฮินดู ทั้งพุทธมหายาน ปนกันในเถรวาทให้มั่วไปหมด จนแยกกันไม่ออกแล้ว

เรายกหลวงปู่ หลวงพ่อ เป็นครูบาอาจารย์ เราให้ความเคารพท่านตามปกติ โดยที่เราเองไม่รู้หรอกว่า กลายเป็นการยึดตัวบุคคลไปแล้ว

เป็นนักปฏิบัติที่ดี ต้องระมัดระวัง อย่าเผลอ..! "ยึดผิดที่ เกาะผิดที่ แปลว่าหลุดพ้นไม่ได้ เพราะยังยึดยังเกาะอยู่"

เถรี 07-02-2011 17:47

ถาม : กรณีที่เขาสร้างภาพยนตร์ แล้วล้อเลียนพระ เพื่อทำให้ตลก เป็นการปรามาสพระไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาพจิต ถ้าจิตหยาบก็จะไม่รู้ว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย แต่จะรู้หรือไม่รู้ โทษก็เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคนที่จิตละเอียดก็จะรู้ว่าสมควรที่จะทำหรือไม่ นี่ยังดี..สมัยก่อนภาพยนตร์ประเภทปอบหยิบ พระในเรื่องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงก็มีมาแล้ว

เถรี 07-02-2011 18:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดงานตรุษจีนที่เยาวราช น่าชื่นชมสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งของประเทศไทยเรา ที่ยังมีองค์ในหลวง มีพระราชินี มีเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ที่ทุ่มเทให้กับประชาชน อย่างชนิดที่ว่า ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากของพระองค์เอง

ถ้าใครได้เห็นพระองค์ท่านใกล้ ๆ มองแล้วอยากจะบรรลุ พระพักตร์ดูเหนื่อยมาก เหนื่อยประเภทให้นอนเดี๋ยวนั้นก็หลับเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็หลับไม่ได้ เพราะต้องทรงงาน

ลองดูข่าวในพระราชสำนัก แล้วนับดูซิว่า แต่ละวันพระองค์ท่านต้องออกงานกี่ครั้ง"

เถรี 07-02-2011 18:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราจะตั้งครรภ์ได้ก็ต่อเมื่อ ๑. บิดามารดาอยู่ร่วมกัน ๒. มารดามีระดู (อยู่ในวัยเจริญพันธุ์) ๓. สัตว์ที่จะเกิดนั้นมีอยู่

สำคัญตรงข้อแรก..บิดามารดาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ว่าต้องมีเพศสัมพันธ์ถึงจะท้องได้นะ..ขอยืนยัน เพราะว่าพ่อแม่ของสุวรรณสามเป็นฤๅษี ถือศีลแปดทั้งคู่ ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กัน แต่ก็คลอดสุวรรณสามออกมา"

เถรี 08-02-2011 09:06

ถาม : จะเปิดร้านใหม่ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ เปิดร้านใหม่อย่าใช้ฤกษ์วันศุกร์เป็นอันขาด ฤกษ์ดีแค่ไหนก็เจ๊ง จำให้แม่น ๆ ไม่ใช่เห็นว่าวันศุกร์เป็นฤกษ์ดีแล้วไปเปิดร้าน วันศุกร์ทำได้ทุกเรื่อง ยกเว้นการเปิดร้านใหม่หรือเปิดบริษัทใหม่ ให้ไปเปิดวันอื่นแทน

เถรี 08-02-2011 09:09

ถาม : ถ้ามีแมวหรือหมามาคลอดลูกในบ้าน ดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : ดีแน่ ๆ จ้ะ โบราณบอกว่า แมวมาหา หมามาสู่ ถือเป็นมงคลใหญ่ ถ้าไม่ใช่สถานที่ซึ่งร่มเย็นพอ เขาจะไม่อยู่นะจ๊ะ พวกสัตว์เขามีสัญชาตญาณดีกว่าเราเยอะเลย เขารู้ว่าจะต้องเป็นที่ซึ่งเขาอยู่แล้วปลอดภัย เขาถึงมา

หมาที่ตึกของหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนแรก ๆ ก็มีพ่อนิลกับแม่นาก ๒ ตัวเท่านั้น หลังจากนั้นผ่านไป ๗-๘ ปี มีสองร้อยกว่าตัว เกิดจากพ่อแม่คู่เดียวนั่นแหละ พอโตก็มีลูกกันต่อ ๆ ไป พอเราหิ้วของสังฆทานจากบ้านสายลมเพื่อที่จะเอาเข้าไปเก็บ หมาเขาจะมาล้อมกรอบเราเลย ต้องบอกกับเขาว่า "หิ้วมาเก็บจ้ะ ไม่ได้หิ้วออกไปหรอก" เขาถึงจะเปิดทางให้

เถรี 08-02-2011 09:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "สัตว์เขาจะทำร้ายเราด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรก คือ เรากลัวเขา ถ้าเรากลัวเขา เขาจะไล่เราให้พ้นจากเขตหากินของเขา เพราะว่าถ้าเราอยู่ในเขตนั้น เราอาจจะไปแย่งอาหารเขา ทำให้เขาไม่มีกิน แล้วเขาอาจจะอดตาย

อย่างที่สอง คือ เขากลัวเรา เขาจะกัดหรือทำร้ายเราเพื่อป้องกันตัวเอง ถ้าเราเข้าไปหาโดยที่ไม่คิดกลัวเขา และไม่คิดที่จะทำอันตรายเขา เขาจะทำอะไรไม่ถูกเลย

อย่างงูจงอาง ตอนแรกเขาชูหัวขึ้นมาสูงเท่าหน้าเลย พอเขาเห็นเราไม่ถอย เขาก็ลดหัวลง เลื้อยหนีไปเอง พอเขาลดหัวลงเลื้อย เราก็จับกลางตัวเขาหิ้วไปได้เลย"

ถาม : งูไม่ตกใจแว้งมากัดหรือคะ ?
ตอบ : ยังไม่เคยโดน..ถ้าโดนเมื่อไรแล้วจะมาบอก..!

เถรี 08-02-2011 10:09

ถาม : ฤกษ์ออกรถ ก็คือ ออกวันพฤหัส ใช้วันอาทิตย์หรือคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า การออกรถหรือออกเรือใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นรถหรือเรือที่ใช้ทำมาหากิน ให้ออกวันพฤหัสบดี แล้วเอาไปประเดิมวันอาทิตย์ หรือจะออกวันอาทิตย์แล้วเอาไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดีก็ได้

แต่ส่วนใหญ่ที่อาตมาแนะนำให้ออกวันพฤหัสบดีแล้วเอาไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ เพราะเว้นแค่สองวัน คือ เว้นวันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น ถ้าออกวันอาทิตย์ไปใช้วันพฤหัสบดี เว้นตั้ง ๔-๕ วัน นานไปหน่อย

เถรี 08-02-2011 10:12

ถาม : ทำกรรมอะไรจึงทำให้สายตาสั้น ?
ตอบ : อาตมาก็สายตาสั้น กำลังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ความจริงก็คือ สายตาพอใช้ไปนาน ๆ ก็ชำรุด

โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ เกิดจากกรรมนอนเปิดไฟ สายตาจึงสั้น เพราะประสาทตาของเรารับแสงสว่างเร็วมาก เมื่อเรานอนเปิดไฟ ม่านตาของเราจะเปิด ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงไม่มีเวลาพัก เพราะฉะนั้น..ลูกคนไหนที่พ่อแม่เปิดไฟให้นอน ก็ถือว่าเป็นความซวยของตัวเองไปก็แล้วกัน

ถาม : เกี่ยวกับโกหกไว้เยอะไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ถ้าโกหกเขา เราก็จะโดนโกหกบ้าง

ถาม : แล้วคนโบราณมีไหมครับที่สายตาสั้น ?
ตอบ : น้อยคน..เพราะสมัยโบราณไม่ค่อยมีไฟใช้ มีแต่แก่แล้วสายตายาวมากกว่า

เถรี 08-02-2011 10:19

ถาม : ทุกวันนี้มีปัญหาถกเถียงกันว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา?
ตอบ : ไปห่าง ๆ เขาซะ..จะได้ไม่ต้องไปเถียงกับเขา

ถาม : ถ้าเขาไม่ได้มโนมยิทธิ เขาก็จะไม่รู้ ?
ตอบ : ต่อให้ได้แล้ว เขายังคิดว่าเป็นอัตตาเลย ก็เพราะว่าเขาไปเจอได้ด้วยตัวเอง

ถาม : เถียงไปก็ไม่ได้อะไร ?
ตอบ : นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังจะเกิดโทษกับตัวเสียด้วยซ้ำ คุณไปอ่านเก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ในเว็บวัดท่าขนุนของเดือนที่แล้ว มีพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนแล้ว

เถรี 08-02-2011 10:27

ถาม : ตอนถวายสังฆทาน ท่านให้พรเป็นภาษาบาลี แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : บอกมาว่าบทไหน จะแปลให้ฟัง อาตมาสวดตั้งหลายบท

ถาม : ยกตัวอย่างให้ฟังก็ได้ครับ
ตอบ : ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง ขอให้ประสบความสำเร็จ มีชัยชนะ มีลาภผลเงินทอง โสตถิ ภาคยัง พึงมีส่วนของความสุขสวัสดี สุขัง พะลัง ประกอบไปด้วยความสุขและกำลัง สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง ประกอบไปด้วยมิ่งขวัญ อายุ ชาติตระกูลและโภคสมบัติทั้งปวง วุฑฒี จะ ยะสะวา ขอให้เป็นผู้เจริญด้วยยศศักดิ์ สะตะวัสสา จะ อายู และมีอายุยืนนานประมาณหนึ่งร้อยปี จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต ฯ และขอให้ความสำเร็จเหล่านี้จงมีแก่ชีวิตนี้ของเธอ..รับไปเถอะ..คุณอยากรู้ อาตมาก็แปลให้ฟัง ฟังแล้วก็ไม่เอาอีก

ถาม : เอาครับ..แต่ร้อยปีไม่เอานะครับ..นานไป
ตอบ : บอกแล้ว..แปลให้ฟัง..คุณก็ไม่เอา..!

เถรี 08-02-2011 10:44

ถาม : ตั้งแต่หลวงตามหาบัวมรณภาพ ท่านได้ไปกราบหลวงตาหรือยังครับ ?
ตอบ : ยังเลย..เคยแต่ร่วมถวายทองช่วยชาติกับท่านไป พอท่านมรณภาพแล้วยังไม่ได้มีโอกาสไปถึงวัด ได้แต่ส่งใจไปอย่างเดียวจริง ๆ

อาตมารู้จักหลวงตาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังไม่โด่งดัง ที่น่าขำที่สุด ก็คือ ขอหวยแล้วท่านให้ ปกติสมัยนี้ใครไปถามท่านก็คงหัวแตกแทน..!

สมัยนั้นอาตมาเป็นเด็กวัยรุ่นและซน อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอภิญญาสมาบัติ อยากรู้ว่าพระที่ปฏิบัติมาสายวิสุทธิมรรคตรง ๆ แล้ว จะมีความรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่ ? ท่านก็บอกเลขให้ตรง ๆ เลย เพราะท่านรู้ว่าเราไม่ซื้อ และเลขนั้นก็ออกมาตรง ๆ เสียด้วย

สมัยนั้นมีโอกาสวิ่งรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นมากต่อมากด้วยกัน จนกระทั่งคนเขาเอารูปเก่า ๆ มา อาตมาบอกได้เลยว่า องค์ไหนเป็นองค์ไหน ตอนไปที่วัดห้วยน้ำขาว เขาติดรูปพระสายหลวงปู่มั่นไว้เต็ม บอกเขาเลยว่า องค์นี้คือใคร ไล่ไปเรื่อย ท่านมหาจรูญโรจน์บอกว่า "นี่หลวงพ่อรู้จักทุกองค์เลยหรือ ?" อาตมาจึงบอกว่า ส่วนใหญ่เคยวิ่งรับใช้ท่านมาก่อน

ตอนนั้นยังเด็ก อายุสิบกว่า ๆ โยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์สร้างพระเจดีย์ ต้องไปบวชปีละ ๑๐ วัน จริง ๆ แล้วอาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่นั่นแหละ พอหลวงปู่หลวงตาท่านเห็นเด็ก ๆ วิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ตลอด

คนอื่นเขาไปใส่บาตรท่าน ส่วนอาตมากลับไปขอข้าวท่านกิน ถือจานไปใบหนึ่ง "หลวงปู่ครับขอหน่อยครับ หลวงพ่อครับขอหน่อยครับ" โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำภูผาเหล็ก ช้อนท่านเกือบเท่าทัพพี..! จ้วงข้าวให้แต่ละทีเกือบค่อนจาน สรุปแล้วคนอื่นเขาไปใส่บาตรพระกรรมฐาน ส่วนอาตมาไปขอข้าวท่านกิน..!

เถรี 08-02-2011 15:00

ถาม : ฆราวาสอย่างเรา ถ้าจิตก่อนตายเกาะพระนิพพานได้ จะได้ไปนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : เกาะพระนิพพานได้ก็ไม่ไปที่อื่นแล้ว

ถาม : แล้วคนที่ไปนิพพานได้ บารมีต้องพอไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่พอจะไปได้อย่างไร ? จำไว้ว่า เกาะดีหรือเกาะชั่วก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น วาระสุดท้ายจริง ๆ แล้วจะไม่เกาะอะไรเลย แต่พระนิพพานเต็มอยู่ในใจของตัวเอง เคยบอกว่า เป็นนกอยู่บนฟ้าแล้วอธิบายให้ปลาในน้ำฟัง ว่านกบินข้างบนเป็นอย่างไร ปลาก็คงไม่รู้เรื่องหรอก..!

ให้รู้ไว้ว่า อันดับแรกให้เกาะความดีก่อน เพราะว่าความดีจะเป็นกำลังส่งให้เราหลุดพ้นไปพระนิพพานได้ แต่พอทำไป ๆ ท้ายสุดแม้แต่ดีก็ไม่เกาะ

ถามว่าในเมื่อไม่เกาะแล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร ? ก็เพราะว่าเวลานั้น วาระนั้น คำว่าพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงจุดไหนก็รู้ว่านี่คือพระนิพพาน ก้าวไปถึงตรงไหนก็รู้ว่าพระนิพพานอยู่ตรงนั้น

ถาม : คนประเภทนี้ผมเจอเยอะ คนที่ได้มโนมยิทธิ...
ตอบ : อาตมาก็เจอมาเยอะ ๙๙ เปอร์เซ็นต์เพี้ยนหมด..!

ถาม : ผมเลยไปถามหลวงปู่ท่อนว่า มโนมยิทธิเป็นอย่างไรครับ ? หลวงปู่ท่อนบอกว่า ให้จิตอยู่กับตัวเรา อย่าไปสนใจใคร เดี๋ยวจะเป็นนิมิตหลอกเสียเปล่า ๆ
ตอบ : ส่วนใหญ่จะโดนหลอกไปสัก ๙๙ เปอร์เซ็นต์..!

ถาม : จุดประสงค์จริง ๆ ก็คือให้เกาะพระนิพพานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ให้กิเลสกินใจเราไม่ได้ ในเมื่ออยู่กับความปราศจากกิเลสของพระนิพพานไปนาน ๆ ท้ายสุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะรับอารมณ์ชินนั้นมาเป็นของตนเอง

เถรี 08-02-2011 15:05

ถาม : ถ้าเราเกิดไปปรามาสพระอรหันต์ที่ล่วงลับไปแล้ว จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะล่วงลับหรือไม่ล่วงลับก็บาปสาหัสพอกัน

ถาม : แต่ถ้าปรามาสพระที่ปาราชิกไปแล้ว ยังใส่ผ้าเหลืองอยู่ และมรณภาพไปแล้ว ก็ถือว่าบาปน้อยกว่าปรามาสพระที่เป็นอรหันต์ไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่า ตอนนั้นสภาพจิตของเราประกอบไปด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าเราใส่อารมณ์โกรธไปเต็ม ๆ กับการที่เราทำไปด้วยความไม่รู้ โทษก็ต่างกัน

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ระหว่างการปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์จริง ๆ กับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์โทษจะหนักกว่า มีเรื่องของโยมคนหนึ่งที่ไปด่าพระ พระรูปนั้นท่านทำผิดจริง ๆ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสที่จะไปด่าพระ โยมก็เลยไปเกิดเป็นเปรต เสวยทุกข์โทษจนนับเวลาไม่ถ้วน

โยมท่านนั้น (ที่เป็นเปรตอยู่) สรุปว่า กรรมของคนอื่นแท้ ๆ แต่ไปรับมาเป็นของตนเอง เขาทำผิดก็เรื่องของเขา เราไปด่าเขา จิตของเราประกอบไปด้วยโทสะ จิตมีแต่ความเศร้าหมอง ตายไปก็เลยซวยไปด้วย

ถาม : แต่ถ้าเกิดพระรูปนั้นมรณภาพไปแล้ว หรือว่าพระรูปนั้นอยู่ที่นรก ?
ตอบ : ตามไปขอขมาท่านในนั้นก็แล้วกัน..!

เถรี 08-02-2011 15:19

ถาม : จิตมีความเบามาก เบาจนหนูตกใจมาก แทบจะเบาโหวงเหวง จับต้องไม่ได้เลย หนูพูดไม่ถูก..?
ตอบ : เบา บาง และนิวรณ์กินไม่ได้

ถาม : ใช่ค่ะ..เหมือนกับว่าไม่มี
ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าดี เชื่อเมื่อไรเดี๋ยวโดนกิเลสบีบคอตายอีก ตามดูไปสักระยะหนึ่ง กติกาอะไรที่เราทำแล้วเกิดสิ่งนี้ได้ เราต้องซักซ้อมทำไปทุกวัน โดยเฉพาะในส่วนของกาย วาจา ใจอะไรก็ตาม ที่จะกระทบกับผู้อื่น พยายามระมัดระวังให้สุดขีด เพราะว่าถ้ามาถึงระดับนี้จริง ๆ ก็จะเป็นโทษแก่เขามาก กลายเป็นว่าเราต้องปรับตัวขนานใหญ่

ถาม : อีกอย่างหนึ่งคือ เราก็ทรงสมาธิของเราในระดับปกติ แต่กลายเป็นว่าจิตเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ
ตอบ : จิตจะทำงานอัตโนมัติเองอยู่แล้ว

ถาม : เป็นอัตโนมัติใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำถึงตรงนั้นเมื่อไร ก็จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ จำไว้นะ..อย่าเชื่อเป็นอันขาด เชื่อว่าดีเมื่อไร ตายเมื่อนั้น เราไม่ใช่ไกรทอง ที่บอกว่าเราไม่ใช่ไกรทอง ก็คือ ไกรทองเขามั่นใจในครูบาอาจารย์ เขาเลยไม่กลัวชาละวัน กลอนเขาว่า

ไกรทองเข้าชิดติดชนัก...........จมน้ำสำลักไม่ยักหนี
ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีล์....... เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา


เชื่อดีก็คือ เชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ เชื่อในความสามารถของตัวเอง แต่ของเราอย่าไปเชื่อว่าดีอย่างนั้น เชื่อว่าดีเดี๋ยวจะแย่

ถาม : บางทีก็มีความเผลอ ปรุงแต่งไปว่าเราดี พอเผลอตัวสมาธิก็เข้ามาหยุดไว้ทันที กลายเป็นว่า ปรุงไปได้สักประมาณ ๑-๒ วินาที ทีนี้เราก็ใช้ปัญญามองเห็นว่า แม้กระทั่งการที่เรามองเห็นว่าเราดีหรือเราชั่ว ก็ยังเป็นอารมณ์ที่หนักอยู่ ถ้าอย่างนั้นเราไม่ดีเราไม่ชั่วก็แล้วกัน หนูว่าตรงนี้จะใช่มากกว่า
ตอบ : เราต้องไม่เกาะทั้งสองฝ่าย ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ กรรมฐานพวกนี้เขาจะขึ้นมาทำหน้าที่ของเขาโดยอัตโนมัติเอง อย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อเดือนก่อนว่า อยู่ ๆ ก็โดนอสุภกรรมฐานเข้ามาเล่นจนเกือบหงายท้อง ทำต่อไป..เรียนจบเมื่อไรค่อยเข้าวัด เป้าหมายสูงมากเลย เรียนจบแล้วเข้าวัด..!

ถาม : วันนั้นคุยกับเพื่อน เผลอพูดออกไปว่า แม้กระทั่งจิตก็ไม่ใช่เรา เพื่อนเขารู้สึกค้านในใจ เขาบอกว่าหลวงพ่อฤๅษีบอกไม่ใช่หรือ ว่าร่างกายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน ร่างกายไม่ใช่เรา ส่วนเราคือจิตที่แยกออกมา หนูก็บอกเพื่อนไปว่า ลองคิดดูสิ..ถ้าทำไปจนถึงระดับหนึ่ง จนท้ายสุดเห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่เรา แม้กระทั่งจิตซึ่งเป็นส่วนที่ละเอียดที่สุด จะเห็นว่าเป็นเราได้อย่างไร ? คือ มีสภาวะของความเป็นจิตอยู่ แต่เราไม่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าจิตนั่นคือเรา
ตอบ : สาธุ...อธิบายได้ชัดแล้ว แต่เพื่อนจะเข้าใจหรือเปล่า ?

เถรี 08-02-2011 15:22

ถาม : การที่เรารู้สึกว่า เรากินเหล้าได้ เป็นอารมณ์ที่กินก็ได้ ไม่กินก็ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่กินเพราะรู้ว่าไม่ดี เป็นอารมณ์วางหรือเป็นมิจฉาทิฐิคะ ?
ตอบ : เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ว่ายังมีปัญญาประกอบอยู่ จึงไม่ล่วงละเมิด ดังนั้น..เขาเรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ยังเป็นกิเลสที่กรุ่นอยู่ข้างในใจ ยังไม่ล่วงละเมิดออกมา ถ้าล่วงละเมิดออกมาก็จะเป็นวีติกกมกิเลส ถ้าขาดปัญญานิดเดียวก็ไปเลย

เถรี 08-02-2011 22:05

ถาม : ลูกชายเหมือนเป็นออทิสติก เป็นกฎของกรรม โยมเป็นแม่ จะช่วยเขาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ดูแลเขาให้ดีที่สุดจ้ะ บางทีคนออทิสติกก็มีอัจฉริยภาพบางอย่างเหนือกว่าคนทั่วไป เราดูว่าเขาถนัดทางด้านไหน แล้วให้เขาศึกษาทางด้านนั้น เขาจะทำได้ดีมากเลย ลองให้หมอลองทดสอบดูก่อนว่าเขาถนัดทางด้านไหน

ออทิสติกจะมีแค่การรับรู้หรือการอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ลำบากเท่านั้น แต่การเรียนของเขาบางด้านจะเป็นอัจฉริยะเลย

ถาม : ตัวนี้จะติดไปตลอดชีวิตหรือว่าจะเบาบางลง ?
ตอบ : จะมีพัฒนาการของเขาอยู่ ถ้าพัฒนาถูกทางก็จะเบาบางลงได้

ถาม : กรรมตัวนี้ เขาต้องรับไว้ทั้งชีวิตเลยหรือคะ ?
ตอบ : อาจจะหลายชาติด้วยซ้ำไป ถ้ามีโอกาสก็ให้เขาทำบุญ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ ขอให้อโหสิกรรมให้เขาด้วย

ถาม : แล้วเขาจะมีโอกาสที่เขาจะนิพพานในชาตินี้บ้างไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาจะมีความเข้าใจและตัดสินใจในการปฏิบัติได้หรือไม่ ? ถ้าหากสามารถที่จะเข้าใจธรรมะ ตัดสินใจได้ ก็มีโอกาสจ้ะ

ถาม : สอนลูกอย่างไรให้ได้สติทีละน้อย ?
ตอบ : ทำตัวเองให้เป็นตัวอย่าง อยากให้เขาทำสมาธิ เราก็ต้องนั่งสมาธิให้เขาดู อยากให้เขาทำบุญ เราก็ต้องพาไป สำคัญตรงพ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง

ลองให้หมอเขาทดสอบก่อนว่าเด็กเขาชำนาญทางด้านไหน แล้วให้เขาศึกษา ให้เขาทำในสิ่งที่เขาชอบ เขาก็จะมีความสุข

ถาม : โรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ บางทีเขาก็ไม่อยากเอา
ตอบ : เดี๋ยวนี้กฎหมายเขาบังคับแล้วจ้ะ บังคับว่าแต่ละโรงเรียนจะต้องรับเด็กด้อยโอกาสหรือเด็กพิการกี่คน

เถรี 08-02-2011 23:38

พระอาจารย์เล่าเรื่องการเลี้ยงลูกให้ฟังว่า "การเลี้ยงลูกต้องมีทั้งขนมทั้งไม้เรียว เราจะไปรักไปเมตตาเขาอย่างเดียวไม่ได้หรอก ถ้าเมตตาอย่างเดียว เดี๋ยวจะเหมือนในข่าว ที่ลูกไม่พอใจก็เลยขับรถเบนซ์ไล่ชนคนตายไปสามสี่ศพ..!

เด็กจะมีจิตสำนึกได้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของพ่อแม่ เพราะพ่อแม่จะเป็นคนที่อบรมสั่งสอนก่อน หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ สำคัญตรงพ่อแม่ ส่วนใหญ่จะตัดใจไม่ได้ ไม่กล้าตีลูก

บางทีอาตมาตีเด็กวัด พ่อแม่เขาก็ดูไปร้องไห้ไป เขาบอกว่าดีแล้วที่หลวงพ่อตี ถ้าผมตีก็ไม่กล้าตีขนาดนั้น แต่ก็แปลก..เราตีเท่าไรเขาก็อยู่กับเรา เพราะเขารู้ว่าที่เขาทำนั้นผิดจริง ๆ

เราจะมีข้อตกลงกันก่อน ตกลงกันว่า ทำผิดครั้งแรกโดนตี ๑ ที ครั้งที่สองโดนตี ๒ ที ครั้งที่สามโดนตี ๓ ที เพิ่มไปเรื่อย ๆ บางคนโดนเป็นโหล แต่เขาจะไม่ผิดเรื่องเดิม เขาจะไปผิดเรื่องใหม่

ถ้าเด็กเขารู้ว่าเราหวังดี เขาก็จะรับได้ โดยเฉพาะถ้าได้ตกลงกันไว้ก่อนว่า ทำผิดแล้วจะโดนลงโทษ เขาจะรู้ตัวเร็ว อย่างเราบอกเขาว่า จะทำผิดแค่ไหนก็ไม่ว่า ยกเว้น หนึ่ง...ถ้าเราเห็นเอง สอง...มีคนฟ้องแล้วยอมเป็นพยานให้ อย่างนี้จะโดน

เด็กพวกนี้เขารักกันมากเลย บางทีก็ไปตัดพ้อต่อว่ากัน "ทำไมมึงต้องไปฟ้องหลวงพ่อด้วย" เพราะถ้าอาตมาไม่เห็นเอง และไม่มีคนฟ้องเป็นพยาน ก็จะปล่อย ถือว่าไม่รู้ไม่ชี้ จะทำอะไรเรื่องของเอ็ง แต่ถ้าเห็นเอง หรือมีคนฟ้องเป็นพยานให้ โดนแน่นอน"

เถรี 08-02-2011 23:48

"บางทีญาติโยมเขาเห็นเด็กขาแตกเป็นแผล ลายไปหมด เขาก็ใส่บาตรไปน้ำตาไหลไป "นี่หลวงพ่อตีมันขนาดนั้นเลยหรือ ?" อาตมาก็บอกว่า "ให้มันเจ็บตัวแล้วจำ ดีกว่าให้มันไปเป็นโจร..!"

เวลาเราตี เราไม่ได้ตีเขาด้วยความโกรธ บางคนกว่าจะตีครบ ๑๒ ที ก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมง พอตีแล้ว เขาก็ลงไปม้วนกองกับพื้น เราก็สอนไปเรื่อย ๆ หายเจ็บก็ให้ลุกขึ้นมาตีใหม่ ตั้งแต่ต้นจนจบ เสียงไม่มีเปลี่ยน อารมณ์ทรงตัวดีมาก เขาก็จะรู้ว่า ที่แท้ตีเขาเพราะเขาผิดจริง ๆ

มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาไม่อยู่วัด พอกลับไปเด็กวัดหายเกลี้ยง ไปถามดูจึงรู้ว่าอาจารย์สมพงษ์ตีเด็ก ท่านตีแค่ ๖ ที แต่ตีในลักษณะระบายอารมณ์ ตอนแรกเขาก็ปล่อยเด็ก ไม่ทำโทษ แต่พอนาน ๆ เข้า เด็กทำผิดบ่อยจนตัวเองอดรนทนไม่ไหว ทีนี้ก็เลยตีระบายอารมณ์ ตีไปด่าไป เด็กเขารับไม่ได้จึงหนีกลับบ้านหมด อาจารย์สมพงษ์ก็แปลกใจ "ผมตีแค่ ๖ ทีเอง มันหนีกันหมดเลย หลวงพ่อตีเป็นโหล มันก็ยังอยู่""

ถาม : ก่อนตีควรมีคำตักเตือนเขาไหมคะ ?
ตอบ : ต้องมีจ้ะ บอกเขาว่าทำอย่างนี้ทำไม่ถูกนะ ถ้าคราวหน้าทำอีกก็จะโดนตี บอกเขาไปเลย ถ้าทำอีกจะโดนตีกี่ที พอคราวหน้าเขาทำอีก ให้บอกก่อนว่า "แม่บอกแล้วใช่ไหมว่า ถ้าทำอย่างนี้จะโดนตี เพราะฉะนั้น..มาให้ตีเสียดี ๆ"

เด็กสมัยนี้เขาฉลาด เขารู้ว่าจะจัดการพ่อแม่อย่างไร ถึงจะอยู่มือเขา แล้วเด็ก ๆ จะเรียนรู้เร็วมากเลย มีอย่างเดียวก็คือ ต้องวางใจเป็นอุเบกขาแล้วลงโทษเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไปจะไม่มีใครเอาอยู่

เถรี 09-02-2011 00:00

ถาม : โยมเรียนปริญญาเอก จะทำงานวิจัยร่วมกับทางต่างประเทศ อยากจะถามว่า ถ้าจะฝึกเด็กให้มีจิตสัมผัสที่ละเอียดขึ้น ภายในสองวัน หัวใจของการฝึกควรจะเริ่มต้นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ควรจะเอาสมาธิเป็นหลัก ระหว่างที่ฝึกสมาธิอยู่ ก็ต้องให้ศีลเขาทรงตัวด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ตอนที่เขาทำสมาธิ เขาไม่ได้ละเมิดศีลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าให้มั่นใจว่าศีลของเราช่วงนั้นบริสุทธิ์

คราวนี้การที่จะฝึกให้ได้ผลจริง ๆ นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าเราดูในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โยคีบุคคลผู้ตั้งใจปฏิบัติในอานาปานสตินับแสนคน จะทรงฌานได้สักคนก็แสนยาก บุคคลผู้ทรงฌานสักแสนคน จะได้ทิพจักขุญาณสักหนึ่งคนก็แสนยาก

คราวนี้สัมผัสต่าง ๆ ที่เราต้องการให้รับรู้ในสิ่งที่ละเอียด ที่นอกเหนือจากอายตนะสัมผัสทั้ง ๕ จะต้องเป็นส่วนของทิพจักขุญาณ กลายเป็นว่าระยะเวลาสองวันที่เราว่ามา ถ้าคนไม่มีพื้นฐาน สองชาติยังไม่ได้ไปไหนเลย..! สิ่งที่เราทำ ถ้าจะมีผลขึ้นมาได้ก็เกิดจากบุคคลที่มีของเก่ามาแล้วเท่านั้น

ถาม : แล้ววิธีการตรวจสอบว่า เด็ก ๆ ที่มีของเก่ามาแล้ว ควรตรวจสอบอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้โดยวิธีการปกติ เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องเป็นบุคคลที่มีทิพจักขุญาณด้วยกัน เขาจึงสามารถบอกได้ แต่ขณะเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็ยังมีอยู่ มีโอกาสผิดพลาดอยู่ที่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์

เอาเป็นว่า ถ้าเด็กคนนั้นมีความปรารถนาหรือความชอบที่จะทำในเรื่องอย่างนี้ ให้คาดไว้ก่อนว่าเขามีของเก่ามาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ชอบเรื่องอย่างนี้ ถ้าทำเป็นรูปธรรมได้ ถือว่าสุดยอดมาก

เถรี 09-02-2011 00:09

ถาม : ตรงนี้โยมได้ทำวิจัย และได้ผลออกมาขั้นหนึ่งแล้ว เนื่องจากว่าการเข้าสู่สมาธิ จริง ๆ เมื่อมองทางด้านสรีระร่างกาย เป็นเรื่องของการปรับคลื่นสมอง เพราะว่าพอปรับคลื่นสมองมาระดับหนึ่ง จากปกติที่ไม่มีสมาธิ จิตฟุ้งซ่านอยู่ พอเข้าสมาธิเป็นการรวมจิตเข้ามา คลื่นสมองเขาจะค่อย ๆ ลดลงมา ต่ำลง
ตอบ : นั่นเป็นขั้นแรก..จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์วัดได้

ถาม : ขั้นของสมาธิลงมาแต่ละขั้น เราก็มีเครื่องมือที่วัดได้ว่า เขาอยู่ในระดับไหนแล้ว จนกระทั่งตอนนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถเข้าไปตรวจสอบเรื่องฌาน

ฌานก็จะมีอยู่สองแบบ คือ แบบอลมณู ที่พิจารณาแบบสมถะ กับลักขณู ก็คือ พิจารณาแบบไตรลักษณ์ แบบสมถะจะเป็นแบบฌานนิ่ง แต่ถ้าเป็นลักขณู จะเป็นฌานระดับที่พิจารณา ซึ่งมีวิปัสสนาเข้ามาอยู่ ตรงนี้เทคโนโลยีเขาก็พัฒนาไปจนถึงขีดที่จะรู้ตรงนี้ได้

ตอบ : น่าจะยังไม่ทันนะ..เพราะว่าบุคคลที่มีความคล่องตัวมาก ๆ เขาสามารถทำไปจนถึงระดับฌานใช้งาน ฌานใช้งานอาการจะออกมาลักษณะเดียวกับวิปัสสนาที่เราใช้พิจารณาไตรลักษณ์

ถ้าถึงระดับนี้แม้ว่าจะทรงสมาธิอยู่ระดับไหนก็ตาม ก็สามารถที่จะเคลื่อนไหวทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ลักษณะเดียวกับบุคคลที่ไม่ได้ทรงสมาธิ

ถาม : แต่ภายในของเขาจะยังนิ่งอยู่ ?
ตอบ : จ้ะ..ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับน้ำก้นบ่อลึก ๆ น้ำปากบ่ออาจจะกระเพื่อมตามแรงลมบ้าง แต่ก้นบ่อจะนิ่งอยู่ตลอด ตรงนี้ถ้าเราวัดด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เป็นไปตามหลักวิชาการ จะได้นำไปใช้อ้างอิงได้ โอกาสที่ผลออกมาผิดพลาดก็ยังมีอยู่

ถาม : เพราะว่าสิ่งที่เขาสัมผัสจะจริงหรือไม่จริง ก็ต้องแยกออกมาอีกส่วนหนึ่ง ในจุดที่โยมจะแปลง ก็คือ จะสอนเด็กโดยประยุกต์ลักษณะนี้ให้ออกมาเป็นแนวสากล เพราะว่าเด็กยุคสมัยนี้ ถ้าบอกให้มาทำสมาธิ
ตอบ : ขาดใจตายแน่..!

เถรี 09-02-2011 00:17

ถาม : ใช่ค่ะ..จากการที่โยมศึกษาข้อมูลของทางต่างประเทศด้วยก็พบว่า จุดหนึ่ง ต้องสร้างให้เด็กมีความสนุก ทางพุทธศาสนาเรียกว่าปีติ
ปีติก็คือ ฮอร์โมนตัวหนึ่งที่ต่อมไพเนียลจะทำงาน พอทำงานก็จะมาเชื่อมกับต่อมพิทูอิทารี ซึ่งตรงนี้ ถ้าสองต่อมเชื่อมกันก็จะเรียกว่าเป็นลักษณะการสว่างวาบ จะสามารถหยั่งรู้บางสิ่งบางอย่างที่เหนือธรรมชาติขึ้นมา
ตอบ : จัดเป็นวิชาการมากเลย

ถาม : ก็คือ เอาวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนามาผสม โยมอยากจะทำในลักษณะที่เป็นสากล ที่เด็กทั่วไปจะเข้ามา เพราะจะเป็นจุดหนึ่งที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาอีกแง่มุมหนึ่งของเด็กสมัยใหม่
ตอบ : ได้ลองไปดูของแนวสัตยาไสของอาจารย์อาจองมาบ้างหรือยังจ๊ะ ? เขาจะออกมาแนวนี้เหมือนกัน แต่ด้านพุทธศาสนาก็ยังเอามาใช้น้อยอยู่

ถาม : ในเรื่องของสมาธิ ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้จะรู้ได้ แต่ถ้าเรามีตัววัด พอจะได้บ้างไหม ? คือ ค่าความคลาดเคลื่อนของตัววัดนั้นมีอยู่แน่นอน
ตอบ : ตามที่ว่ามานั้นใช่เลย เพราะในแต่ละระดับร่างกายของเรา จะมีปฏิกิริยาทางเคมีของฮอร์โมนหรืออวัยวะภายใน ที่แสดงออกอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าเครื่องมือเหล่านี้ที่วัดได้ เป็นที่ยอมรับกันก็จริง แต่ถ้าไปถึงระดับหนึ่งจริง ๆ ในระดับที่เขาทรงสมาธิกันได้ เครื่องมือจะวัดไม่ได้นะสิ.. เพราะร่างกายเราจะเหมือนกับคนตายไปเลย

เขาทดสอบกันมาแล้วจ้ะ พอถึงเวลาแล้วเครื่องมือวัดไม่ได้ เพราะสภาพจะละเอียดเกินกว่าเครื่องมือวัดได้ ทั้ง ๆ ที่เรานั่งคุยกัน แต่สภาพข้างในร่างกายเหมือนกับคนตาย ไม่มีอวัยวะส่วนไหนระบุว่ากำลังทำงานอยู่..! เอาเป็นว่า ส่วนที่เราทำยังอย่าเพิ่งให้ถึงตรงนี้ เพราะเครื่องมือยังไม่สามารถที่จะวัดได้

เถรี 09-02-2011 08:39

ถาม : ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ โยมจะค่อย ๆ สอนเด็ก อยากให้ท่านช่วยแนะนำค่ะ ตอนนี้โยมประยุกต์พุทธกับวิทย์ มาบูรณาการร่วมกันให้ทันสมัยขึ้น
ตอบ : ทางที่จะทำให้เด็กสนใจก็คือ ให้เขาสนุกก่อน การที่จะให้เขาสนุก อย่างเช่นใช้ดนตรี หรือไม่ก็อาจจะมีการออกกำลังควบกับสมาธิ อย่างคนจีนเขามีพวกไท้เก๊ก ชี่กง เรื่องพวกนี้อาจจะทำให้เด็กสนุกและเริ่มสร้างสมาธิขึ้นมาได้

ถาม : ถ้าเด็กเขามีจิตสัมผัสที่ละเอียดขึ้น อย่างขั้นที่ ๑ โยมไม่ค่อยเป็นห่วงในการสร้างให้เด็กมีสัมผัสที่ละเอียดขึ้น อันนี้โยมมีผลงานวิจัยรับรองผลแล้ว แต่พอมาถึงสภาวะหนึ่ง เด็กเขาจะเกิดการรับรู้ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ภาพที่เขาได้เห็นหรือได้ยินเข้ามา จะมีอยู่สองประเภท คือ เขาโดนหลอกกับเป็นของจริง ตรงนี้จะทำให้เขาแยกได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ผู้ใหญ่ยังแยกไม่ออกเลย..! คือ คนหลอกเขาเป็นสุดยอดฝีมือเลย เขาวางหมากกี่ชั้น เขาสามารถจะกินเราได้ทุกชั้นเลย ต้องยอมรับว่าแม้แต่ตัวอาตมาเองยังโดนหลอกอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น...เราจะทำให้เด็กเขาเข้าใจอย่างไรนั้น อย่าเพิ่งเอาผลตรงนั้นดีกว่า เราเอาผลตรงที่ว่า เมื่อเด็กมีจิตที่สงบลง ความเปลี่ยนแปลงอันดับแรก สมาธิดีขึ้น อาจจะมีผลการเรียนดีขึ้น และความประพฤติเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นด้วย

เราเลือกมาวัดทางด้านนี้จะดีกว่า ถ้าจะไปเอาตรงจุดนั้น แม้แต่อาตมาก็ยังโดนหลอกมาตลอดเลยจ้ะ

เถรี 09-02-2011 08:46

ถาม : ขั้นที่ ๑ ของโยม เด็กมีสมาธิ มีจิตที่ละเอียดขึ้น พฤติกรรมเปลี่ยน อันนี้ผลได้แล้ว แต่พอหลังจากนั้น การที่เด็กเขามีการฝึกอย่างต่อเนื่องไปอีก เพราะโยมก็ให้การบ้านไปฝึก จิตเขาจะมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ พอพัฒนามาจนถึงจุดหนึ่ง เขาจะเจอสภาวะนี้ค่ะ แม้กระทั่งลูกของโยมตอนนี้ก็เจอ
ตอบ : บอกเขาว่า สิ่งที่เรารู้เห็น เรารู้เห็นจริง แต่เรื่องที่เราเห็นไม่แน่ว่าจะจริง อาตมาเคยยกตัวอย่างอยู่เสมอว่า เห็นคนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราอาจจะไปแจ้งตำรวจหรือลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แต่จะโดนเขาเหยียบตายเพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่..!

สิ่งที่เราเห็น คือ เขาไล่ฆ่ากันมาจริง ๆ แต่เรื่องที่เห็นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะฉะนั้น..พวกนี้เขาสามารถที่จะปรุงแต่งหลอกเราได้ตลอดเวลา ก็เหลืออยู่คาถาเดียว ที่จะบอกเด็กก็คือ อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องที่เห็น จนกว่าจะพิสูจน์ได้

การพิสูจน์ก็ให้พิสูจน์ในสิ่งที่เห็นได้ในระยะสั้น ๆ อย่างเช่นว่า เราไปโรงเรียนพรุ่งนี้ คุณลองใช้จิตสัมผัสดูว่า คุณจะเจอเพื่อนคนไหนก่อน ? หรือไม่ก็ถ้ามีการแข่งกีฬาอยู่ ผลของฟุตบอลคู่นี้ออกมา ใครแพ้ ใครชนะหรือเสมอกัน ? ลองกำหนดใจดูซิ ก็จะสามารถพิสูจน์ในระยะเวลาสั้น ๆ ได้

ถ้าหากเขาทายผิด บอกเขาว่าไม่ต้องไปจำอารมณ์นั้นไว้ แต่ถ้าหากทายถูก เขาวางอารมณ์ได้ถูกอย่างไร ให้เขาจำอารมณ์นั้นไว้ ให้เขาฝึกซ้อมอย่างนี้บ่อย ๆ โอกาสที่จะโดนหลอกก็จะมีน้อย เพราะจะจำได้ว่าอารมณ์ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน เวลาที่ผิดพลาดโดนหลอก เราวางอารมณ์ผิดอย่างไร

แต่คราวนี้ไม่มั่นใจว่าเด็กที่เราเอาเป็นกลุ่มตัวอย่าง ช่วงอายุเท่าไร ?

ถาม : มีสองกลุ่ม ช่วงอายุ ๕-๑๐ ขวบ และ ๑๑-๑๔ ขวบ
ตอบ : กลุ่มที่สองยังพออธิบายให้เขาฟังได้จ้ะ ว่าความต่างของอารมณ์ใจที่ถูกกับผิดเป็นอย่างไร แต่กลุ่มแรกนี่ไม่มั่นใจแล้ว เพราะฉะนั้น..ให้เขาพยายามจำในส่วนที่ถูก ถ้าส่วนไหนผิด ไม่ต้องจำ ถ้าเขาจำในส่วนที่ถูกต้องได้ เรากำหนดอารมณ์นั้นได้เมื่อไร ความรู้สึกนั้นจะใช่ทุกครั้ง แต่ถ้ากำหนดผิดเมื่อไร ก็จะพลาดทันที

โดยเฉพาะในส่วนของก่อนการที่จะทำตรงนั้น ต้องพิจารณาในส่วนของไตรลักษณ์อย่างที่โยมว่า จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา จิตจะไม่เกาะร่างกายนี้ ความผ่องใสจะมีมากเป็นพิเศษ การรู้เห็นจะชัดเจนถูกต้องมากกว่า นี่เป็นคำแนะนำ แต่ไม่สามารถที่จะออกเป็นแบบสอบถามเพื่อการวิจัยได้

เถรี 09-02-2011 09:04

ถาม : ในส่วนของนิวรณ์ จะสอนเด็กอย่างไรให้เข้าใจได้ง่าย ?
ตอบ : ถ้าสมาธิทรงตัว นิวรณ์จะไม่มี เพราะฉะนั้น..บอกให้เขาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าลมหายใจผ่านจมูก...ผ่านอก..ไปสุดที่ท้อง ลมหายใจออกจากท้อง..ผ่านอก..ไปสุดที่จมูก ถ้าความรู้สึกอยู่แค่นี้นิวรณ์จะไม่มี

ทุกคนที่ความรู้สึกรู้ลมเข้าออกสามฐานนี้ได้ตลอดครบถ้วน คือ บุคคลที่ทรงปฐมฌานทั้งนั้น ขอยืนยัน แต่จะทรงได้นานเท่าไรแค่นั้นเอง อาตมากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะอาตมาตามดูเฉพาะเรื่องนี้อยู่สามปี เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาอยู่แค่นี้ได้ นิวรณ์ก็กินไม่ได้

ถาม : อย่างเวลาให้เขาทายอะไร ถ้ามีเครื่องล่อมาเป็นรางวัล..
ตอบ : โอกาสพลาดจะมาทันที เพราะจะเกิดรัก โลภ โกรธ หลง มาแทน จิตจะไม่สะอาด มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า ให้เขาทำในสิ่งที่เขาสนใจ ต้องการรู้อย่างไร กลับไปวันนี้จะเจอใครที่บ้านก่อน พรุ่งนี้จะเจอเพื่อนคนไหนก่อน เขาจะได้ตรวจสอบได้

ถาม : จากคำแนะนำ โยมประมวลได้ว่า สัมผัสแรกที่เข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเสียง ภาพ กลิ่น หรืออะไรก็ตามขึ้นมาก่อน อย่าเพิ่งตัดสินว่าจริงหรือไม่จริง
ตอบ : จ้ะ..จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องหรือไม่

ถาม : จนกว่าอาจจะมีสิ่งหนึ่ง ที่อาจจะเป็นภาพหรือเสียงอื่นเข้ามารับประกัน เข้ามากระทบอีก เพื่อประมวลภาพเสียง กลิ่น รส นั้นออกมาเป็นองค์รวม ว่าสอดคล้องกันไหม ? ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิต..?
ตอบ : ถ้าไม่มีความมั่นคง เอะใจสงสัยแม้แต่นิดเดียว ก็จะผิดเลย

ถาม : นี่คือวิจิกิจฉา ?
ตอบ : ใช่..ความสงสัยเกิดขึ้นนิดเดียว จะผิดเลย แต่อาตมาไม่มั่นใจในวุฒิภาวะของเด็ก ก็คือว่า แรก ๆ ของเขาเองอาจจะวางอารมณ์ใจได้ถูก แต่พอรู้มากขึ้น ๆ จะมีการเพริด ก็คือ อยากรู้อะไรมากกว่านั้นไป คราวนี้จะทำให้พลาดได้

พอตัวความอยากเข้ามา เท่ากับว่าเอากิเลสเข้ามาบวกแล้ว โอกาสที่เขาจะแทรกเข้ามาหลอกลวงก็มีมากขึ้น

ถาม : บางทีถูกหลาย ๆ ครั้ง ก็เริ่มมีมานะ
ตอบ : นั่นก็จะยิ่งไปกันใหญ่เลย

เถรี 09-02-2011 10:19

ถาม : ตอนนี้โยมเจอพวกนักข่าวโทรทัศน์เขาโจมตีว่า...?
ตอบ : ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิบากกรรม ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคุณมาเราพร้อมจะอธิบายให้ฟัง แต่ถ้าคุณเอาแต่โจมตีโดยไม่คิดหาความจริง ก็ถือว่าคุณกำลังขว้างลูกเทนนิสใส่ข้างฝา เดี๋ยวกรรมก็พาให้เด้งกลับใส่หน้าตัวเอง

ถาม : ตอนแรกโยมใช้คำว่าอภิญญา เลยโดนคุณส.พูดชื่อนามสกุลออกโทรทัศน์
ตอบ : รู้ไหมว่าคนอื่นต้องจ้างเขานาทีละเป็นแสนกว่าจะได้ลงโฆษณา เราไม่ต้องจ้างเขาก็ช่วยพูดให้ ถือว่าพลิกวิกฤตเป็นโอกาส

ถาม : แต่เขาพูดในทางลบค่ะ
ตอบ : ต้องถือว่าเขาช่วย สมัยก่อนหลวงพ่อฤๅษีอยู่ที่ซอยสายลม ท่านบอกว่า รับสังฆทานเดือนไหนได้ถึงสามหมื่นดีใจจนนอนไม่หลับเลย อยู่ ๆ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปโจมตีท่าน บอกว่ามีพระ แต่ไม่ยอมใช้ชื่อเป็นพระ ใช้ชื่อเป็นสัตว์เดรัจฉาน เที่ยวมาสอนคน ไม่รู้ว่าอวดอุตริมนุสธรรมหรือเปล่า

ปรากฏว่าคนอยากรู้อยากเห็น แห่ไปทำสังฆทานกันแน่นบ้านสายลมเลย เพราะฉะนั้น..บางอย่างวิกฤตก็เป็นโอกาสไปในตัวเหมือนกัน อย่างไรก็ขอเอาใจช่วยให้สำเร็จจ้ะ

เถรี 09-02-2011 10:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของปฏิสัมภิทาญาณ ท่านรอบรู้ในธรรม ในเมื่อท่านรอบรู้ธรรม สิ่งที่ท่านรู้ทุกอย่างก็ลงที่เดียวกัน ก็คือ รู้ในเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของร่างกายและทุกสรรพสิ่ง เท่ากับว่าท่านทรงพระไตรปิฎกไปเลย เพราะว่าพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็กล่าวถึงแต่เรื่องพวกนี้ทั้งนั้น

บุคคลที่จะสามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ครบ ๔๕ เล่ม มีจำนวนน้อยมาก น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย อาตมาเองโดนหลวงพ่อบังคับจึงยอมอ่าน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พอไปฝังอยู่ในจิต จะไม่ได้ฝังอยู่แค่ชาติเดียว แต่ว่าจะพาติดตัวข้ามชาติข้ามภพไปเรื่อย ๆ พอกระทบเข้าเมื่อไร ก็จะเกิดการตื่นรู้ขึ้นมาทันที ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเรารู้เพราะอะไร เพราะไม่ทราบว่าโดนเพาะฝังไว้ตั้งแต่แรกแล้ว"

เถรี 09-02-2011 10:26

ถาม : พระที่ไม่เดินบิณฑบาต แต่มาประจำอยู่ร้านค้าตอนเช้า ๆ อย่างนี้ผิดวินัยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านให้ไปโปรดสัตว์ อยู่กับที่จะไปโปรดใคร ? ถามว่าผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ ? ยังไม่นับว่าผิด แต่ถ้าหากว่าเป็นธุดงควัตรจะทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะธุดงควัตรท่านบอกไว้ชัดว่าต้องบิณฑบาตไปตามลำดับ

การที่พระไปยืนประจำอยู่ที่ร้านค้าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ผิดพระวินัยแต่ไม่เหมาะสม สมัยนี้พระวินยาธิการเขาเข้มงวดมาก มีกฎของเจ้าคณะกรุงเทพมหานครห้ามเวียนเทียนบิณฑบาต ถ้าทำแล้วมีคนแจ้งไป มีสิทธิ์โดนจับสึก..!

เถรี 09-02-2011 13:47

พระอาจารย์บอกว่า "มีอย่างหนึ่งที่อาตมาเคยบอกอยู่เสมอว่า มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการขวางเราไม่ให้ทำความดี เพราะฉะนั้น..ถ้าเกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้น ทำให้เราเสียกำลังใจในการปฏิบัติความดี ให้รู้ว่านั่นเป็นการพยายามขัดขวางของเขา

แต่ให้ดีใจว่า ถ้าเขาพยายามขวางเรา แสดงว่าเรามีคุณค่าพอที่เขาจะลงมือ ถ้าเรายังห่างเป้าหมาย เขาไม่เสียเวลามาขวางเราหรอก ถ้าเราไม่มีราคาพอ เขาไม่เสียเวลาลงมือหรอก ฉะนั้น..ยิ่งโดนหนัก ๆ ก็ยิ่งน่าปลื้มใจว่า เขาเห็นว่าเราสมควรที่จะลงมือได้

ต้องบอกว่าเขาเป็นสุดยอดแชมป์โลก เขาอาศัยยึดครองจิตใจของมนุษย์มาจนกระทั่งนับกัปไม่ถ้วน เราที่ปฏิบัติตามแบบของพระพุทธเจ้า เหมือนกับบุคคลผู้ท้าชิง ต้องขึ้นเวทีไปเอาชนะเขา เพื่อที่จะก้าวผ่านให้ได้

ถ้าหากเราไม่มีทางที่จะชนะเขาได้ เขาไม่มายุ่งกับเราหรอก จะว่าไปแล้ว มารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีมาก ๆ เพียงแต่ว่าครูคนนี้ขยันทดสอบมาก ข้อสอบจะมาทุกเวลาที่เราเผลอ"

เถรี 09-02-2011 13:50

ถาม : ผมปรารถนาพุทธภูมิครับ ขอคำแนะนำ
ตอบ : ไม่ต้องขอ ลุยไปเลย ทุกอย่างที่ทำเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลส่วนรวม ไม่ต้องกลัวความเหนื่อยยาก

เถรี 09-02-2011 13:51

ถาม : โหลดเพลงในอินเตอร์เน็ต ถือว่าผิดศีลข้อขโมยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาให้โหลดได้ แสดงว่าไม่มีลิขสิทธิ์ ไม่เข้าข่ายขโมยหรอก ของที่มีลิขสิทธิ์เขาไม่ให้โหลดง่าย ๆ หรอก ต้องให้เราสมัครสมาชิก ต้องจ่ายเงินก่อนสารพัด

เถรี 09-02-2011 13:57

ถาม : เร็ว ๆ นี้มีใครจะเข้าสมาบัติบ้างไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่มีจ้ะ อาตมาเองเคยเข้าแค่สามวัน พอไปคุยกับครูบาเหนือชัย อารมณ์ทุกอย่างที่ทำเหมือนกันหมดเลย มิน่าเล่า..คนที่ทำเหมือนกัน เดินทางเดียวกัน จะรู้เหมือน ๆ กัน พออาตมาเล่ามาครึ่งหนึ่ง ท่านก็ต่ออีกครึ่งหนึ่ง พอท่านพูดครึ่งหนึ่ง อาตมาก็พูดต่ออีกครึ่งหนึ่ง ต่างคนต่างรู้กัน

แสดงว่า ถ้าเราปฏิบัติไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่พบเห็นก็เหมือน ๆ กันหมด

ถาม : ครูบาท่านเข้ากี่วัน ?
ตอบ : ๗ วัน บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้ พอจะออกจากกรรมฐาน จะหาพระที่มั่นใจว่าดูแลรักษาท่านได้ ให้ไปรับท่านออกมา

ช่วงที่ท่านอดอาหาร ๗ วัน ร่างกายจะเพลียมาก ในเมื่อสภาพร่างกายแย่ สติสมาธิก็จะลดหย่อนไปด้วย อันตรายจะแทรกเข้ามาตอนนั้น ฉะนั้น..ท่านก็ต้องหาบุคคลที่มั่นใจว่าป้องกันรักษาได้ไปรับท่านออกมา ระยะหลังอาตมาต้องไปรับท่านหลายราย ถึงเวลาท่านจะระบุตัวเจาะจงมาเลย ปัจจุบันนี้ที่เป็นหลัก ๆ เลยก็ครูบาวิฑูรย์และครูบาเหนือชัย อย่างครูบาอริยชาติอาตมายังไม่มีโอกาสได้ไป เพราะท่านนิมนต์มาตอนติดสอนกรรมฐานต้นเดือนพอดี

เถรี 09-02-2011 14:19

ถาม : ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าว่า สมาบัติ ๘ ต้องมีกสิณเป็นพื้นฐาน ?
ตอบ : จำเป็นต้องได้กสิณกองใดกองหนึ่ง แล้วเพิกภาพกสิณนั้นมาจับอรูปฌานแทน แต่ต้องทำให้ครบอรูปฌาน ๔ นะ ถ้ายังไม่ครบก็ยังไม่เป็นสมาบัติ ๘ แปลว่า หลังจากฌาน ๔ ในกสิณแล้ว ก็ต้องมาเป็นอรูปฌาน ๑ , ๒ , ๓ , ๔ หลังจากนั้นก็ต้องเก็บรอไว้ก่อน เขาเรียกว่า ยังเป็นข้าวดิบ กินไม่ได้

จนกว่าความเป็นพระอนาคามีเข้าถึงเมื่อไร คุณจะเป็นปฏิสัมภิทาญาณทันที ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามี ตรงนี้จะเข้าถึงไม่ได้ เพราะอานุภาพที่สูงมาก ถ้ายังรัก โลภ โกรธ หลง แบบคนปกติอยู่ โลกนี้บรรลัยแน่

ถาม : อย่างนั้นวิธีการที่จะทำให้คาถาเงินล้านถึงสมาบัติแปด ทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้ เวลาคุณว่าคาถาเงินล้าน ให้คุณจับภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งเป็นหลัก จนกระทั่งภาพพระนั้นชัดเจนแจ่มใสเป็นประกายพรึกเต็มที่ แล้วคุณค่อยเพิกภาพนั้นมาจับอรูปฌานแทน

เถรี 09-02-2011 15:55

ถาม : พระนามจริงท่านปู่ คือ สักกเทวราช แล้วท่านย่าละครับ?
ตอบ : ตกลงนี่คุณไม่รู้จริง ๆ หรือ? คำว่า สักกะเทวราช แปลว่า ราชาของเทวดาแห่งสรวงสวรรค์ เป็นตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อ

แล้วเรื่องของผู้ใหญ่ ถ้าไม่จำเป็น เรียกปู่เรียกย่าได้ก็จะปลอดภัยที่สุด คนที่จะเรียกโดยออกชื่อได้ จะต้องอาวุโสมากกว่า

ปัจจุบันอาตมาได้ยินหลายคนเรียก "สมเด็จเกี่ยว" ได้ยินแล้วใจหายทุกที ตัวเขาเองยิ่งใหญ่ขนาดเรียกจิกหัวท่านได้เลยหรือ ? เพราะฉะนั้น..ถ้าใครรู้ตัวว่ายังเรียกลักษณะนั้นอยู่ ให้เลิกได้แล้ว อาตมาเองเรียกแบบเป็นที่เข้าใจว่า "หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ" นึกถึงคุณเต้ย (สุรจิตร) ของเรา เต้ยเขาโพสต์ในกระทู้ว่า "สมเด็จเกี่ยว" พอบอกให้เขาแก้ไข เขาก็แก้เป็น "หลวงตาเกี่ยว" อดสงสัยไม่ได้ว่า ตกลงเขาโง่หรือบ้ากันแน่

อะไรที่หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใช้ อย่าพยายามไปใช้ตาม เพราะบางทีสื่อมวลชนก็ไม่ได้ให้ความเคารพในพระรัตนตรัย ได้แต่เสนอข่าวเอามันอย่างเดียว"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:09


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว