กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5597)

เถรี 21-05-2017 20:45

พระอาจารย์กล่าวกับพระที่ยกพระพุทธรูปมาถวายสังฆทานว่า “คุณอย่าเอาพระพุทธรูปวางกับพื้นสิ พ่อของเราเอง เราต้องเคารพมากกว่าคนอื่นเขา”

เถรี 22-05-2017 08:57

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา อาตมาไข้จับไป ๒ วัน เหตุเพราะญาติโยมมีเมตตา เห็นว่าอากาศร้อนมากจึงราดด้วยน้ำแข็งเป็นถังเลย

การอุ้มพระสรงน้ำของทางด้านวัดท่าขนุน เป็น Unseen Thailand ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีนี้ Unseen มากกว่าปกติ เพราะว่าโยมอุ้มอาตมาผ่านไป เขาก็ราดด้วยน้ำแข็งทั้งถัง น้ำแข็งหลอดเต็มหน้าตักเลย

ต้องบอกว่าบางคนอยากจะได้บุญได้กุศลก็ทำจนสิ้นสติ ไม่ได้คิดว่าพระจะเป็นอย่างไรบ้าง อากาศร้อน ๆ พอโดนความเย็นขนาดนั้นเข้าก็เลยไข้จับ อย่าว่าแต่พระแก่อย่างอาตมาเลย ต่อให้เป็นพระหนุ่มเณรน้อยก็ไข้จับพอกัน"

เถรี 22-05-2017 09:23

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังอยู่ พวกเราส่วนหนึ่งยังเห็นว่า เมื่อพระองค์ท่านเสด็จ จะมีพสกนิกรจำนวนมากถวายเงิน ขอให้รู้ว่าการถวายเงินกับในหลวงนั้น มีที่มาจากวัดท่าซุงเป็นจุดแรกเริ่ม

ปี ๒๕๒๐ วันที่ ๒๐ เมษายน ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จงานปิดทองฝังลูกนิมิตวัดท่าซุง

ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงมีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือการถวายปัจจัยเพื่อร่วมบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุง เมื่อในหลวงเสด็จผ่าน ด้วยความเคยชินก็ควักเงินส่งให้ อาตมาเห็นแล้วก็ขำ ในหลวงท่านชะงักแล้วก็รับ ที่ชะงักเพราะว่าไม่เคยเจอมาก่อน ปรากฏว่ารับไปรับมา สองพระหัตถ์มีแต่ธนบัตรใบใหญ่บ้าง ใบเล็กบ้าง เต็มไปหมด ก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อประเภทที่ไม่สนใจฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ส่งถุงก๊อบแก๊บถวาย ๑ ใบ พระองค์ท่านก็เอาปัจจัยทั้งหมดใส่ในถุง แล้วก็กางถุงรับเลย

นั่นคือจุดเริ่มต้นในการถวายเงินกับในหลวงหรือว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์"

เถรี 22-05-2017 09:28

"เมื่อในหลวงเสด็จถึงในพิธี ทรงถวายเงินถุงนั้นกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ดูพระพักตร์แล้วพระองค์ท่านมีความสุขมาก ตรัสว่า "หลวงพ่อครับ...เต็มถุงเลย"

จากวันนั้นมาจนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย ถ้าสามารถออกงานได้ เสด็จไปท่ามกลางพสกนิกรได้ เราจะเห็นว่ามีคนถวายเงินเป็นปกติ เพราะว่าข่าวในพระราชสำนักช่วงนั้น ได้ถ่ายทำขณะที่พระองค์เดินรับเงินทอง ที่ชาวอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียงร่วมกันถวายในลักษณะเป็นกันเองที่สุด

ไม่อย่างนั้นสมัยก่อนจะถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ต้องแจ้งทางสำนักพระราชวังว่าเป็นใคร ? มาจำนวนกี่คน ? ถวายเงินเป็นจำนวนเท่าไร ? แล้วสำนักพระราชวังก็จะหาเวลาที่พระองค์ท่านว่าง นัดแนะให้เข้าไปถวายที่พระราชวังจิตรลดารโหฐาน

โปรดภูมิใจว่า การถวายเงินแด่ในหลวง หรือสมเด็จ
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น มีจุดแรกเริ่มจากวัดท่าซุงเลย ใครไม่ทราบก็โปรดทราบเอาไว้ด้วย เดี๋ยวอาตมาแก่แล้วไม่ได้เล่าเรื่องนี้ ก็จะลืมไปเสียก่อน"

เถรี 22-05-2017 09:34

"ครั้งนั้นในหลวงท่านต้องเสด็จไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านในตัวจังหวัดอุทัยธานี น่าจะเวลาบ่าย ๒ โมง ปรากฏว่าพระองค์ท่านเสด็จอยู่ท่ามกลางพสกนิกรที่วัดท่าซุง มีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ท่าน

เมื่อเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังฝ่ายพิธีการทูลเตือนว่า ถึงกำหนดการในตัวจังหวัดแล้ว สิ่งนี้อาตมาไม่ได้ยินด้วยตัวเอง แต่ได้ยินรุ่นพี่ที่อยู่ใกล้ท่านบอกว่า ในหลวงตอบว่า "ฉันจะมีความสุขอยู่กับประชาชนของฉันบ้างไม่ได้หรือ ?" สรุปว่างานนั้นในหลวงเสด็จไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านตอน ๔ โมงกว่า

ตั้งแต่นั้นมาในจังหวัดอุทัยธานีก็แอนตี้หลวงพ่อวัดท่าซุงไปหลายปี หาว่าหลวงพ่อล็อกตัวในหลวงเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้มา ทำอย่างกับว่าหลวงพ่อท่านเก่งกล้าสามารถขนาดนั้น เพราะว่าเป็นพระราชประสงค์เอง เนื่องจากว่าเสด็จไปที่ไหนก็ไม่ได้ใกล้ชิดประชาชนในลักษณะอย่างนี้มาก่อน

ปีนั้นแหละที่ตุ๊พ่อสิงห์บวช อาตมาเองก็ยังลอยละล่องมาอีก ๘ ปีถึงจะได้บวช ตอนช่วงนั้นชีวิตฆราวาสยังมีงานรับผิดชอบอยู่มาก ต้องดูแลแม่ที่ป่วย ต้องส่งน้องเรียน ต้องส่งหลานเรียน จึงทำหน้าที่ของตัวเองไปก่อน มาบวชทีหลังตุ๊พ่อท่านถึง ๘ ปี"

เถรี 22-05-2017 09:41

"มีอยู่สิ่งหนึ่งถ้าไม่ใช่คนอยู่ใกล้หลวงพ่อวัดท่าซุงจริง ๆ จะไม่ทราบเลยก็คือ เวลาในหลวงติดข้องในหัวข้อธรรมอะไร จะส่งเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมารับหลวงพ่อวัดท่าซุงไปเพื่อถวายวิสัชนา

โดยเฉพาะถ้าพระองค์ท่านเสด็จประทับที่พระราชวังสวนจิตรลดาหรือว่าพระราชวังภูพาน ไม่ทราบว่ารูปชุดนั้นอาตมายังเหลือไว้บ้างหรือเปล่า ? ด้วยความที่อยากลองดูว่านักบินพระที่นั่งฝีมือแน่สักแค่ไหน ? เมื่อทำลานเพื่อให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอด อาตมาก็ทำวงกลมแล้วก็ตัว H ซึ่งเล็กมาก น่าจะไม่ถึง ๒ เมตร แต่ต้องยอมรับว่านักบินพระที่นั่งนั้นสุดยอดฝีมือจริง ๆ พอได้รับคำยืนยันว่าที่จอดคือตรงนี้ ก็หย่อนลงมาตรงเป๊ะเลย แกล้งเขาไม่สำเร็จ

รูปชุดนั้นปกติแล้วจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ถ่าย แต่ช่วงนั้นอาตมาถือกล้องเล็ก ๆ ปกติไปไหนก็ถือติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านก็เลย "เฮ้ย...ไอ้หนู ถ่ายไว้ดูหน่อยสิวะ" อาตมาก็เลยถ่ายรูปชุดนั้นเอาไว้ ซึ่งปกติเรื่องพวกนี้เหมือนอย่างกับว่าเป็นความลับกลาย ๆ เนื่องจากบางอย่างพระองค์ท่านก็ขอให้หลวงพ่อไปถวายวิสัชนาในหัวข้อธรรมที่ขัดข้องอยู่ แต่บางครั้งก็เป็นการปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปอวดอ้างกับใครได้ เพราะว่าเป็นการส่วนพระองค์จริง ๆ"

เถรี 22-05-2017 09:46

"อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าฟิล์มชุดนั้นยังอยู่ไหม ? เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เอาไปให้เขาสแกน เพื่อที่จะได้เก็บในลักษณะของไฟล์รูปชุดใหม่ ปรากฏว่าฟิล์มเหลืองกรอบหมดแล้ว ถ้าสูญไปก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

พวกเราจะเคยชินว่า ถึงเวลาก็นิมนต์หลวงพ่อ
ให้ไปรอที่สนาม เครื่องจะมาถึงภายในเวลากี่นาที แล้วก็มาตรงเวลาเป๊ะ ๆ ต้องบอกว่าเขาเก่งมาก เสียดายว่าสมัยก่อนมีแต่เครื่องเบลล์ คือเฮลิคอปเตอร์แบบฐานสกี ไม่ใช่เครื่องพูม่าอย่างสมัยนี้ ถ้าเป็นเครื่องพูม่าอย่างสมัยนี้อาตมาไปด้วยนานแล้ว เพราะว่าพูม่านั่งได้ ๒๐ กว่าที่นั่ง

สมัยนั้นเป็นเครื่องเบลล์เล็ก ๆ ๔ ที่นั่ง ๖ ที่นั่ง เบียด ๆ กันไป อาตมาเองก็เลยไม่ได้เกาะเครื่องไป ถึงเกาะไปก็คงไปทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ชอบระเบียบวินัย แต่ไม่ฝืน คำว่า ไม่ชอบระเบียบวินัยก็คือ สถานที่ไหนที่เขามีระเบียบวินัยเป๊ะ ๆ จะรู้สึกอึดอัด สามารถทำตามเขาได้ แต่ดัดจริตได้ไม่นาน"

เถรี 22-05-2017 09:50

"เรื่องพวกนี้หลวงพ่อท่านก็ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เสด็จสวรรคต จะมีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ ขอให้ใช้คำให้ถูก เป็นงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ไม่ใช่งานพระราชทานเพลิง

งานพระราชทานเพลิงใช้สำหรับบุคคลที่มีอิสริยยศต่ำกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานถวายพระเพลิงพระบรมศพใช้กับบุคคลที่มีอิสริยยศสูงกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็หาได้ยากมาก

ถ้าหากว่าพระเมรุมาศเสร็จแล้ว คาดว่าหารูปจากอินเตอร์เน็ตน่าจะดีกว่า ก็คืออยากให้ทุกคนถ่ายภาพแห่งความทรงจำเอาไว้บ้าง ช่างทุกคนทุ่มเทฝีมือแบบสุดชีวิต แม้กระทั่งช่างประจำวัดท่าขนุน ไม่สามารถที่จะดำเนินงานในการออกแบบพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนได้ เพราะว่าทุกคนมีทั้งที่โดนเกณฑ์ มีทั้งที่ไปช่วยงานด้วยความเต็มใจ ในการสร้างพระเมรุมาศถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙"

เถรี 24-05-2017 15:47

"วันก่อนช่างที่ทำบุษบกให้กับทางวัดท่าขนุนบอกว่า "พระอาจารย์ครับ งานอาจจะช้าหน่อย เพราะว่าลูกน้องโดนเกณฑ์ไปหมดเลย" ก็เลยถามว่าแล้วตัวช่างเองล่ะ ? เขาบอกว่าสั่งงานลูกน้องเสร็จก็วิ่งมาดูงานทางด้านนี้ ดูงานเสร็จก็ต้องวิ่งกลับไปดูงานทางด้านโน้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น...ทุกอย่างที่ประกอบเป็นพระเมรุมาศ เกิดจากแรงกาย แรงใจของสุดยอดฝีมือทางด้านนี้ทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของช่างสิบหมู่ และบรรดาท่านที่เรียนวิจิตรศิลป์ มัณฑนศิลป์ ต่างคนต่างก็แสดงฝีมือออกมาอย่างชนิดมอบกายถวายชีวิต ก็คือสุดฝีมือเท่าที่จะทำได้

ในชีวิตนี้คาดว่าถ้าญาติโยมหลายคนที่เกิดทันและรู้ความทัน ก็จะได้เห็นพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในรัชกาลที่ ๗ เห็นพระเมรุมาศของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๙ แล้วเราจะมีโอกาสได้เห็นพระเมรุมาศที่อลังการสุด ๆ ก็ในงานนี้ สองครั้งที่แล้วคาดว่าไม่สามารถที่จะเทียบเคียงได้"

เถรี 24-05-2017 15:49

"อาตมาเห็นแบบร่างพระเมรุมาศแล้วเสียดายมาก ถามว่าเสียดายตรงไหน ? เสียดายว่าต้องรื้อ ยังคิด ๆ อยู่ว่า ถ้ามีเงินสัก ๓๐๐ ล้านบาท จะสร้างไว้ที่ทองผาภูมิ เพราะว่ามีที่ดินอยู่ตรงสามแยกไฟแดงใกล้ ๆ กับวัดท่าขนุน เขาจะขายที่ดิน ๖๐ ล้านบาท ถ้าได้ที่ดินตรงนั้นมาแล้ว ทำงานฝีมือลักษณะเดียวกับพระเมรุมาศรัชกาลที่ ๙ ก็คือ เป็นมณฑป ๙ ยอด แต่ก็คงเอาไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุ จะกลายเป็นงานศิลป์ของแผ่นดิน ให้คนเห็นสุดยอดฝีมือที่คนไทยเรารังสรรค์ขึ้นมา เหมือนอย่างกับที่เขาบอกว่า เหมือนชะลอสวรรค์ลงมาสู่ดิน

คงได้แต่คิด เพราะว่ามัวแต่ทำงานอื่นอยู่ เงินหมดเสียก่อน ยกเว้นว่ามีใครคิดแบบเดียวกัน แล้วมีกำลังพอก็ลองทำกันดู อาตมามีช่างที่มีฝีมือในระดับนี้อยู่แล้ว"

เถรี 24-05-2017 15:57

พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์กองทัพบก ท่านเคยสอนตั้งแต่ตอนอาตมาเรียน ป.บส. ปี ๒๕๔๘ ท่านเคารพพระเณรสุดชีวิต ในสายตาของท่านอาจารย์ พระเณรทุกรูปเป็นพระอริยเจ้าหมด..! ถ้าหากว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุสามเณร เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มีอะไรมาแผ้วพาน ท่านอาจารย์จะปกป้องด้วยชีวิต

ตอนท่านเป็นแค่ร้อยโท ยังกล้าเถียงผู้บัญชาการกองพล เพราะผู้บัญชาการกองพลใช้คำเรียกทหารเกณฑ์ว่า "ไอ้เณร" ท่านยกมือในท่ามกลางที่ประชุมเลยว่า "ขออภัยครับ...ขอให้ท่าน ผบ. ได้โปรดถอนคำพูดด้วย สามเณรเป็นเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่สมควรแก่การเคารพบูชา ไม่ควรใช้คำว่า "ไอ้" ครับ"

เถรี 24-05-2017 16:00

"ในการที่เรียนมาไม่ว่าจะระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก อาตมาปลื้มใจว่ามีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์ดี ๆ หลายท่าน แล้วก็ได้พบเพื่อนสหธรรมิกที่เป็นนักปฏิบัติแบบเสือซ่อนเล็บอยู่หลายท่าน ซึ่งในวันที่ ๑๒ สิงหาคม โยมก็จะเห็นว่ามีหลายท่านที่อาตมานิมนต์ไป ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แล้วได้รู้ว่าท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

อย่างพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง พระครูวิธานธรรมนาถ วัดทุ่งกระพังโหม พระครูปฐมจินดากร วัดไร่แตงทอง เป็นต้น คลุกคลีตีโมงอยู่ด้วยกัน เรียนกันตั้งแต่ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมา ความใกล้ชิดทำให้ได้เห็นในสิ่งที่ท่านทำ

บางคนก็ว่าไอ้กลุ่มนี้บ้า ถามว่าทำไมว่าไอ้กลุ่มนี้บ้า ? ปฏิบัติธรรม ๑๕ วัน อาตมากับท่านอาจารย์สายชล วัดไร่แตงทอง เดินจงกรมแข่งกัน เดินจงกรมแข่งกันอย่างไร ? เริ่มต้น ๘ โมงครึ่งไปเลิกเอา ๑๐ โมงครึ่ง เริ่มต้นบ่ายโมงไปเลิก ๔ โมงเย็น เริ่มต้น ๖ โมงครึ่งไปเลิก ๒ ทุ่มครึ่ง เหมือนอย่างกับคนเดินทางไปด้วยกัน แต่ว่าต่างคนต่างปฏิบัติของตนเอง จนกระทั่งรู้กำลังกันดีว่า ถ้าสมาธิไม่ดีจะทำอย่างนั้นไม่ได้"

เถรี 24-05-2017 16:03

"มีใครบ้างเดินจงกรมกันเป็นวัน ๆ ไม่ยอมเลิก ? ขณะที่คนอื่นก็ไปเข้าห้องน้ำบ้าง ไปสูบบุหรี่บ้าง ไปกินกาแฟบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่สู้กันตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ เข้าถึงความเป็นอริยเจ้าไม่ได้ กำลังของสมาธิสมาบัติของท่านก็เหลือเฟือ ลองมาด้วยตัวเองแล้ว ลากกันต่อเนื่องที ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน รู้สึกว่าเป็นเรื่องสบาย ๆ ของท่าน ขณะที่อาตมายังรู้สึกเหนื่อยเลย

ก็อยากให้พวกเราได้ทำบุญกับพระที่เป็นนักปฏิบัติจริง ๆ บ้าง แม้ว่าจะมาสายพระโพธิสัตว์ แต่สิ่งที่ท่านทำทุกอย่างก็เพื่อความเจริญในพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น...ในส่วนที่ไปศึกษาเล่าเรียนมาก เรื่องของปริญญากลายเป็นของแถม การได้เพื่อนฝูงที่เป็นนักปฏิบัติจริง ๆ ทำงานเพื่อประชาชน เพื่อพระพุทธศาสนาจริง ๆ กลับเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นกำไรหลัก ๆ ของอาตมาเลย"

เถรี 25-05-2017 14:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาษาไทยเป็นภาษาที่ยาก เหตุที่ยากเพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย เพราะบรรดาราชบัณฑิตไม่มีอะไรทำ..! ต้องหาผลงานด้วยวิธีแก้ไขภาษาไทยให้ยุ่ง ๆ เข้าไว้

สมัยเด็ก ๆ อาตมาเรียน อินทรีย์ มี ย์ ที่แปลว่าเป็นใหญ่ นกอินทรีย์ก็คือนกใหญ่ ปลาอินทรีย์คือปลาใหญ่ สมัยนี้ ย์ หายไป

สิงห์โต สิงห์คือราชสีห์ สมัยนี้ ห์ หายไป

อาตมาเคยนั่งเถียงกับท่านอาจารย์ปู่ ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต เถียงจนท่านอาจารย์ขอจับป้ายชื่อดูหน่อยว่าเป็นใคร ? ถามว่าทำไมท่านอาจารย์ต้องแก้ไขให้ยุ่งไปหมด ของเก่าก็ดีอยู่แล้ว

อย่างสมัยเด็ก ๆ ข้าวโพดใช้ ข้าวโภชน์ โภชนะ ที่แปลว่าอาหาร

นกพิลาป ที่แปลว่าคร่ำครวญ แปลว่าร้องไห้ เพราะว่านกชนิดนี้ครางฮือ ๆ เหมือนคนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา

ท่านอาจารย์จำนงค์มีไม้ตายประเภทกูถูกเสมอ ก็คือทำไมเราต้องลากไปบวชด้วย ? ในความรู้สึกของท่านอาจารย์ก็คือ อะไรที่เลี่ยงจากภาษาบาลีได้ควรที่จะเลี่ยง ก็เลยมาแก้ไข ตัดโน่น ตัดนี่ออกไปให้ยุ่งไปหมด คนรุ่นหลังมาเรียนก็ไม่มีอะไร เพราะเรียนที่แก้ไขแล้ว แต่รุ่นของอาตมาค่อนข้างจะเครียด เพราะว่าเรียนมาอย่างหนึ่ง แล้วต้องมาเจอกับอีกอย่างหนึ่ง"

เถรี 25-05-2017 14:32

"ที่เว็บวัดท่าขนุนเน้นในเรื่องการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เพราะว่าอัจฉริยะสมัยใหม่มีเยอะมาก สามารถใช้ภาษาอุบาทว์ ๆ ที่อาตมาอ่านไม่รู้เรื่อง แล้วเขาดันรู้เรื่องกันได้ ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เก่งมาก สามารถบัญญัติศัพท์ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ ทำให้ภาษาของเราวิปริตไปหมด

แม้กระทั่งทุกวันนี้เด็กก็พูด "จ. จาน" กันไม่เป็นแล้ว เด็กรุ่นใหม่ออกเสียง "จ. จาน" เหมือนอาตมาไม่ได้แล้ว "จ. จาน" ของเขาต้องออกเสียงกลางลิ้น ออกเสียงเป็น ch ของภาษาอังกฤษ

การเรียนในวิทยาลัยสงฆ์มีวิชาหนึ่งเรียกว่าธรรมนิเทศ ก็คือการแสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถาธรรม วิชานี้ท่านอาจารย์จะเน้นในเรื่องการใช้ภาษาให้ถูกต้อง อักขระฐานกรณ์ทุกอย่างให้ถูกต้อง เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นเหมือนอย่างกับบังคับให้ต้องเรียนภาษาไทยใหม่"

เถรี 25-05-2017 14:41

โยมเพิ่งไปผ่าตัดมา "สมัยนี้ส่วนแปลกปลอมในร่างกายมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากอาหารการกินของเรา สารพิษต่าง ๆ มีมากขึ้น บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา อย่างพวกที่เป็นโรคพังผืดยึด หรือว่าหินปูนเกาะกระดูก เกิดจากการทำอะไรท่าใดท่าหนึ่ง ซ้ำ ๆ กัน หรือว่านั่งโดยไม่ได้เคลื่อนไหวออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็จะเป็นโรคนี้

วันก่อนมีคุณยายชื่อ อำมาน เป็นแม่ชี แต่งตัวคล้าย ๆ กับแม่ชีพม่า น่าจะเป็นแม่ชีพม่า เพราะว่าห่มจีวรสีชมพู แต่คุณยายเป็นคนอินเดีย อายุ ๙๐ กว่าปีแล้วยังเล่นโยคะสอนเด็ก ๆ ได้สบาย คุณยายบอกว่าไม่เคยเจ็บป่วยถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลเลย เพราะอาศัยการออกกำลังด้วยการเล่นโยคะ

ถ้าถามว่าคุณยายเล่นโยคะแล้วมีผลเห็นขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าคุณยายนั่งเหยียดขาแล้วสามารถจับส้นเท้าต้วเองได้ ของพวกเรานี่ก้มยังไม่ถึงเลย"

เถรี 25-05-2017 14:48

พระอาจารย์เล่าว่า "ในอดีตอาตมาเคยเกิดที่ทิเบตเยอะมาก ทิเบตเป็นดินแดนของพุทธศาสนา โดยเฉพาะของมหายาน แล้วก็แปลงเป็นวัชรยาน ศาสนานี้พระภิกษุส่วนใหญ่มีแนวคิดในการเกิดใหม่เพื่อสร้างบารมี ซึ่งเรียกง่าย ๆ ก็คือมาสายพุทธภูมิ เพราะฉะนั้น...การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นเรื่องปกติ

ถ้าครอบครัวไหนมีลูกชาย ต้องส่งลูกชายไปบวชอย่างน้อย ๑ คน ถ้าครอบครัวนั้นไม่มีลูกชาย เมื่อลูกสาวแต่งงานแล้ว พ่อจะไปบวชเอง เพราะฉะนั้น...คนทิเบตก็เลยบวชพระเกือบทั้งประเทศ พอบวชเข้าไปครูบาอาจารย์ที่ท่านมีทิพจักขุญาณ ก็จะมาดูอดีตชาติให้ว่าเคยศึกษาเล่าเรียนมาถึงระดับไหน แล้วก็ส่งไปหาครูบาอาจารย์ระดับนั้น ทบทวนความรู้สักหน่อยหนึ่ง แล้วก็เรียนระดับสูงกว่าขึ้นไปได้เลย ก็แปลว่าของเขาไม่ต้องเรียนย้อนของเดิม มีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว"

เถรี 25-05-2017 14:51

"ปัจจุบันนี้ทิเบตมีอยู่ ๔ นิกายด้วยกัน ถ้าหากไม่นับลัทธิบอนที่เป็นการถือผี ถือเวทมนตร์คาถา และบรรดาเทพของเขา ก็มีนิกายใหญ่ ๆ อยู่ก็คือ เกลุกปะกับเนียงมาปะ ซึ่ง ๒ นิกายนี้ก็คือหมวกเหลืองกับหมวกแดง แล้วก็ยังมีนิกายกาจูปะ กับนิกายศากยะปะ

ดาไลลามะองค์ปัจจุบันมีกุศโลบายในการประสานสามัคคีระหว่างนิกายที่ยอดเยี่ยมมาก คือพระองค์ท่านบวชในนิกายเกลุกปะคือหมวกเหลือง แต่ทำสังฆกรรมแบบเนียงมาปะคือหมวกแดง"

เถรี 25-05-2017 14:54

"แผ่นดินทิเบต ฝรั่งเรียกว่าหลังคาโลก อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ๕ กิโลเมตรขึ้นไป การอยู่ในพื้นที่แบบนั้นมีสิ่งที่ดีหลายอย่าง อย่างแรกก็คืออากาศที่หนาวเย็นมาก ถามว่าเย็นขนาดไหน ? โดยมาตรฐานโลกเลย ความสูงเพิ่มขึ้น ๓๐๐ เมตร อากาศลดลง ๑ องศา ก็แปลว่า ๓ กิโลเมตร อากาศจะลดลง ๑๐ องศา ในเมื่อสูง ๕ กิโลเมตรเศษ อากาศก็ลดลงเกือบ ๒๐ องศา

สมมติว่าข้างล่างนี้อากาศ ๓๖ องศา ขึ้นไปข้างบน ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวก็จะเหลือประมาณ ๑๕ - ๑๖ องศาเท่านั้น แล้วถ้าเป็นฤดูหนาว เป็นเวลาลม เป็นเวลาฝน อากาศหนาวจนติดลบก็เป็นเรื่องปกติ จึงทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ยาก ในเมื่อเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ยาก การเจ็บไข้ได้ป่วยหลายโรคที่คนข้างล่างเป็นกัน คนข้างบนเขาไม่เป็นกันหรอก"

เถรี 25-05-2017 15:03

"เมื่อดาไลลามะ เทนซิน กยัตโซ อพยพหนีการยึดครองของจีนไปที่อินเดีย ข้าราชบริพาร ตลอดจนประชาชนที่อพยพตามไปป่วยตายไปเกือบ ๓๐,๐๐๐ คน เพราะว่าพอลงไปสู่พื้นล่าง เจออากาศร้อนชื้น เชื้อโรคที่รอเวลาอยู่ได้โอกาส ก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ร่างกายรับไม่ทัน กว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ก็ล้มตายไปเสียมากต่อมากด้วยกัน

ปัจจุบันนี้ที่ธรรมศาลาหรือที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเขาอ่านว่า ธรัมซาล่าเป็นเมืองทิเบตกลาย ๆ เขาเรียก Little Tibet เพราะว่าชาวทิเบตส่วนใหญ่อพยพลงไปอยู่ที่นั่น ศึกษาหาความรู้ แล้วก็ย้ายแยกกันไปทำงาน โดยมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถได้เอกราชของชาติบ้านเมืองตนเองคืนมา"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:41


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว