กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2314)

เถรี 21-12-2010 22:31

"เราจะเห็นว่า บรรพบุรุษของเราทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อประเทศชาติมาตลอด ถ้าเราดูพระราชปณิธานของพระเจ้าตากสินมหาราช

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม


พระองค์ท่านระบุไว้ชัดเลยว่า ถวายแผ่นดินเป็นพุทธบูชา พอสมัยรัชกาลที่ ๑ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ออกศึกที่ท่าดินแเดง พระองค์ท่านไปตั้งค่ายที่ด่านท่าขนุน ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในนิราศท่าดินแดงว่า

ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี

พระมหากษัตริย์ของเรา นอกจากจะเป็นพุทธมามกะมาโดยตลอดแล้ว ยังมีหลักธรรมที่ยึดถือและปฏิบัติอย่างชัดเจนที่สุดก็คือทศพิธราชธรรม ใครที่เป็นผู้ปกครองก็สามารถที่จะนำหลักการนี้ไปปฏิบัติได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วไปไม่รอด มักจะแพ้ใจตัวเอง

ถึงเวลาแทนที่จะยอมลำบากเพื่อคนหมู่มาก ปณิธานก็แปรเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นทำเพื่อประโยชน์สุขของตัวเอง หรือไม่ก็อย่างปัจจุบันที่สื่อมวลชนเขาใช้คำเจ็บ ๆ ว่า "เพื่อพวกพ้องและตัวกูเอง"

ดังนั้น..ในเรื่องของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา แม้ว่าจะดีเลิศขนาดไหนก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ด้วย ถ้าเขาไม่เอาไปใช้เสียอย่างก็ไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย"

เถรี 21-12-2010 22:58

"ในระบอบการปกครองต่าง ๆ นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ มีโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ และธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ ถ้าเป็นเราก็ต้องบอกว่าธรรมาธิปไตยเป็นของดี แต่จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้

อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ เช่น พวกเผด็จการ แต่เราลองมาดูว่า รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระปิยมหาราชของเรา พระองค์ท่านก็เผด็จการ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว แต่พระองค์ท่านทรงศีลทรงธรรม กลายเป็นว่าอัตตาธิปไตยเป็นของดี เพราะไม่ติดด้วยขั้นตอนใด ๆ สั่งเมื่อไรก็ต้องทำ บ้านเมืองยุคนั้นจึงเจริญมาก ประเทศญี่ปุ่นยังต้องขอคนของเราไปช่วยพัฒนาบ้านเขา

ปัจจุบันประเทศของเราเป็นโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากแล้วเป็นอย่างไร ? ประเทศชาติวุ่นวายแค่ไหน ? เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของหลักการปฏิบัติขึ้นอยู่กับคนว่ามีธรรมาธิปไตย คือ มีธรรมอยู่ในหัวใจสักเท่าไร ถ้าขาดธรรมาธิปไตยแล้วไปไม่รอดอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสสรรเสริญการปกครองระบอบใดทั้งสิ้น เพราะว่าดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่ระบบ แต่ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวบุคคล

พระองค์ท่านตรัสว่า ถ้าเป็นระบอบกษัตริย์จะต้องมีทศพิธราชธรรม ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิต้องมีจักรวรรดิวัตร แต่ถ้าเป็นคณะผู้ปกครองแบบสามัคคีธรรม ต้องมีอปริหานิยธรรม พระองค์ท่านมอบธรรมะที่เหมาะสมกับการปกครองนั้น ๆ ให้ไว้โดยสมบูรณ์อยู่แล้ว"

เถรี 23-12-2010 07:21

"ถ้ายึดหลักธรรมเหล่านี้ ประเทศชาติของเราก็จะสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ไพร่ฟ้าหน้าใส แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีธรรมเป็นใหญ่ ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายกันทั้งแผ่นดิน

ถ้าใครอ่านเวนิชวาณิช ที่รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า

อันว่าความกรุณาปรานี..............จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ..........จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ.........แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล
เป็นพลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น.............เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา

เพราะฉะนั้น..อย่างไรผู้นำประเทศก็ทิ้งหลักธรรมไม่ได้ ทิ้งธรรมเมื่อไรก็แย่ โดยเฉพาะหลักความยุติธรรม จะต้องมีจิตใจที่ปราศจากอคติโดยสิ้นเชิง คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก เห็นแก่พวกพ้อง ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ เกลียดว่าเขาไม่ใช่พวกตัวเอง ไม่ลำเอียงเพราะหลง เห็นผิดเป็นชอบ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว เห็นว่าเส้นใหญ่เลยกลัว

ถ้าปราศจากอคติ เราก็สามารถที่จะใช้คนทุกคนได้ เพราะคนเขาเห็นความยุติธรรม ตอนอาตมารับราชการ เจ้านายไม่ชอบขี้หน้าอาตมาเลย เพื่อน ๆ เขาบอกว่า "มึงรู้ไหมว่านายเขาไม่ชอบหน้า เขาบอกว่า มึงรู้แล้วทำไมต้องพูดด้วย" เพราะอาตมารู้แล้วหุบปากไม่เป็น

ถึงกระนั้นเจ้านายก็ยังเรียกใช้ ยังชมว่าเจ้านายเราใช้คนเป็น ท่านไม่ได้ชอบหน้าเราหรอก แต่ท่านเรียกใช้เพราะรู้ว่า ถ้าใช้เราแล้วงานจะเสร็จและออกมาดีด้วย ขนาดอาตมาทำเรื่องลาออก ท่านยังบอกว่า "มึงมาทำงานกับกู กินเงินเดือนของกูก็ได้"

อาตมาทะเลาะกับเจ้านายเป็นประจำ "มึงรู้หรือเปล่าว่า กูเกลียดขี้หน้ามึง_ิบหายเลย..!" อาตมาก็ตอบไปว่า "ผมก็ไม่ได้รักท่านนี่ครับ..!" ถ้าคนอื่นมีลูกน้องประเภทนี้ ยิงทิ้งได้ก็คงจะยิงทิ้งไปแล้ว..!"

เถรี 23-12-2010 07:36

"ในเรื่องของข้าราชการ ถ้าพวกเราไปบอกกับเจ้านายว่า "คุณไม่ชอบหน้าผม คุณก็ไล่ผมออกสิ..!" เจอลูกน้องแบบนี้เราจะไปทำอะไรได้ ขนาดไล่ออกมันก็ยังไม่กลัวเลย

วันนี้มีคนถามปัญหาเยอะในลักษณะที่ว่า "อารมณ์ใจเป็นอย่างนั้น ? เป็นอย่างนี้แล้วไปต่อไม่ได้ ?" อาตมาสรุปลงตรงที่ว่า ไปต่อไม่ได้เพราะว่ากลัว

สรุปลงมา ก็คือ ถ้าเราเลิกกลัวเสียอย่าง คิดเสียว่าเราทำความดีอยู่ ต่อให้ตายลงไปตรงนี้เราก็ยอม ถ้าตัดเป็นตัดตายขนาดนี้ได้ รับรองว่าได้ดีทุกคน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้า มักจะกลัว เมื่อวานมีโยมอยู่รายหนึ่ง เขามีลมตีแน่นขึ้นมา หายใจไม่ออกอยู่ตลอดเวลาที่ภาวนา จะขาดใจตาย อาตมาบอกว่า "โยมตัดสินใจไปเลยว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดสินใจได้ก็จะผ่านไปเลย เขาจะเลิกแกล้ง"

โยมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ คิดว่ายังอีกนาน เพราะว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามมีสิ่งที่เสมอกันอยู่ ก็คือ การกิน การนอน การเสพกาม การกลัวภัย โดยเฉพาะภัยจากความตาย บาลีท่านจึงได้บอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง

อาหาระ อาหาร นิททัง การนอน ภะยะ ความกลัวภัย เมถุนะ การเสพกาม สามัญญะ เสมอกัน ปะสุ สัตว์ทั้งหลาย นรานัง คนทั้งหลาย สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง เป็นสิ่งที่เสมอกันทั้งคนและสัตว์ทั้งหลาย

ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้ต่างกันได้ ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา ธรรมเท่านั้นแหละที่จะแยกคนออกจากสัตว์ได้

เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่มีความยุติธรรม ขาดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ชีวิตเราก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน อาจจะแย่กว่าด้วย เพราะไปเหมาว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ความประพฤติไม่ได้ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉาน กลายเป็นสิ่งที่ย่ำแย่ไปยิ่งกว่าสัตว์ทั่วไปเสียอีก..!"

เถรี 23-12-2010 12:40

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระครูแสงชัย ตอนเป็นฆราวาสไปทำงานอยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ๕ ปี มีโอกาสได้เฝ้ากษัตริย์ซาอุฯ อยู่หลายครั้ง

ท่านบอกว่า ไม่น่าเชื่อว่า บุคคลที่เราคิดว่าใช้ไม่ได้ในความรู้สึกของเรา จริง ๆ แล้วก็คือบุคคลที่มากด้วยบุญญาบารมี การที่จะได้ขึ้นไปเป็นผู้นำเหนือคนอื่นเป็นล้าน ๆ คน ถ้าไม่ได้สร้างบารมีมามากพอ ย่อมไม่สามารถที่จะเป็นได้

ท่านบอกว่า ประเทศซาอุฯ ทั้งร้อนทั้งแล้งขนาดนั้น แต่เวลากษัตริย์เสด็จกลับมีฝนตกได้ ทำให้ท่านอึ้ง เพราะในความรู้สึกของท่านเคยต่อต้านพวกเขาว่าเห็นแก่ตัว พอไปเจอเข้าแบบนั้นถึงได้ยอมลงให้"

เถรี 23-12-2010 12:46

ถาม : ช่วงนี้ผมต้องหลบหน้าเขาครับ
ตอบ : มีอะไรที่ต้องหลบ เขายังไม่กลัวเรา แล้วทำไมเราต้องหลบเขาด้วย

ถาม : หลบหน้าเพื่อหนีครับ
ตอบ : คุณต้องยอมรับว่า บางคนเราแค่เห็นหน้าก็จะมืออ่อนตีนอ่อนอย่างนี้ ให้คุณไปเร่งสมาธิให้ดีกว่านี้แล้วจะสู้ได้ ถ้าสมาธิต่ำไม่มีหวังที่จะสู้ไม่ได้หรอก เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วคุณไม่นิ่งพอ

ถาม : ทำไมแพ้อยู่ฝ่ายเดียว ?
ตอบ : ก็คุณพร้อมที่จะยอมแพ้เขา..!

ถาม : ในเมื่อมันเป็นวาระ ก็ควรที่จะต้องรู้สึกทั้งสองฝ่าย ?
ตอบ : บางทีกรรมนั้นเราก็ทำอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะรู้สึกนิดหนึ่ง แต่เราเต้นแร้งเต้นกาอยู่ฝ่ายเดียว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อท่านเทศน์อยู่บนธรรมาสน์แล้วเราเอาสไบไปถวาย เป็นต้น เรียกว่าเราถอดใจให้ไปเลย แต่ท่านเห็นแค่ว่าเราทำบุญ

เถรี 23-12-2010 12:53

ถาม : พระกรุณาธิคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและองค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอัปปมัญญาแท้แน่นอน พระองค์สงเคราะห์ทุกผู้คนโดยเสมอหน้ากัน ถึงไม่ไหวก็พยายามที่จะเข็นไป

พระปัจเจกพุทธเจ้าสงเคราะห์เฉพาะบุคคลประเภทเดียวกัน สำหรับคนทั่วไปพระองค์ท่านสงเคราะห์แค่ ศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้น จะไปว่าพระองค์ท่านไม่มีพระกรุณาธิคุณก็ไม่ใช่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ซึ่งพระองค์ท่านตั้งใจจะมาทำ ฉะนั้น..ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่ ช่วยขนาดนั้นถือว่าเยอะมากแล้ว

เถรี 23-12-2010 12:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าของเรานั้น เราควรจะสร้างรูปเคารพแทนพระองค์ท่าน ให้งดงามเต็มบุญเต็มบารมีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ไปสร้างท่านให้มีแปดหน้าเก้าหน้าเป็นทศกัณฐ์ ถ้าใครเอาพระพุทธรูปแบบนั้นมาถวาย อาตมาจะด่าให้กระจายเลย..!"

เถรี 29-12-2010 12:55

ถาม : ทำอย่างไรจะให้ลืมเรื่องที่ไม่ค่อยดี ?
ตอบ : เอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีใครลืมเรื่องที่ดีหรือไม่ดีได้ เพียงแต่อย่าไปคิดถึงก็พอแล้ว

เถรี 31-12-2010 09:39

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันนี้เช้ามืดมีเด็ก ๆ โทรมาอวยพรวันพ่อ นานไปเด็กรุ่นหลังก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงไกลไปเรื่อย อาตมาเคยบอกแล้วว่า เด็กอ่อนกว่าอวยพรให้ผู้ใหญ่ไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยที่จะจำกัน

สังเกตว่า ถ้าจำเป็นต้องอวยพรให้ผู้ใหญ่ ไม่ว่าผู้นั้นจะสูงกว่าด้วยยศ ด้วยอายุ หรือโดยฐานะ โบราณเขาจะใช้การอ้างคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะพระรัตนตรัย ไม่ใช่ไปอวยพรปาว ๆ เอง ความดีเราสู้ท่านไม่ได้สักอย่าง จะเอาอะไรไปอวยพรให้ท่าน


เด็กรุ่นใหม่จะเป็นอย่างนี้เยอะมาก พอไม่รู้ธรรมเนียมก็พาเสีย สมัยนี้เวลาไปรดน้ำผู้ใหญ่ช่วงสงกรานต์ จริง ๆ เขาไปรดน้ำขอพร แต่เดี๋ยวนี้ไปรดน้ำให้พรกัน เล่นผิดบทบาท กลายเป็นเด็กไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ ถ้าเป็นโบราณเขาเรียกว่าทะลึ่ง..!"

เถรี 31-12-2010 09:39

ถาม : อุปนิสัยที่ไม่ดีของเด็กควรแก้อย่างไร ?
ตอบ : แก้ที่ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่นิสัยดี เดี๋ยวเด็กทำตามเอง

เถรี 31-12-2010 09:41

ถาม : มีอารมณ์ที่ถอนออกจากกิเลสไหมคะ ?
ตอบ : มี มีทั้งชั่วคราวและถาวร

เถรี 31-12-2010 09:45

ถาม : ผมจะเริ่มต้นฝึกกสิณ มีคำแนะนำไหมครับว่ากองไหนดีหรือเหมาะกับผม ?
ตอบ : เลือกกองที่เราหาวัสดุได้สะดวก

ถาม : เผื่อว่าเคยทำกองใดมาก่อน ?
ตอบ : เราชอบกองไหน แสดงว่าเราเคยทำมาทั้งนั้น

ถาม : ผมไม่แน่ใจ
ตอบ : มั่นใจได้เลย ถ้าชอบกองไหนเราเคยทำกองนั้นได้แน่นอน ถ้าชอบหลาย ๆ กอง ให้เลือกกองที่หาวัสดุได้ง่ายที่สุด

ถาม : ถ้าผมจะเริ่มฝึก พอจะไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าทุ่มเทได้ทุกคน อย่าเสียเวลาถาม ลงมือได้เลย

ถ้าเป็นกสิณสีใช้กระดาษพ่นสีเอา ถ้าเป็นธาตุกสิณ อย่างกสิณน้ำก็ต้องใช้น้ำ เป็นกสิณดินก็ต้องใช้ดิน อย่างกสิณลมใช้พัดลมพัดใส่ตัว แล้วจับอาการกระเพื่อม ส่วนกสิณไฟใช้เทียน

แต่มีบางสำนัก กสิณสีเขาไปตีเป็นธาตุกสิณ เช่น เอาสีส้มตีเป็นธาตุดินซึ่งจะไม่ได้เป็นธาตุดิน ยกเว้นบุคคลที่มีของเก่าได้กสิณดินมาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นบุคคลทำใหม่ในชาติปัจจุบัน อย่างเก่งก็ได้กสิณประหลาด ๆ มา ได้ความสงบของใจ แต่ไม่ใช่ธาตุหรือวรรณะกสิณโดยตรง

เถรี 31-12-2010 09:47

ถาม : เวลาเราดูหนังแล้วพิจารณาธรรมไปด้วย อย่างนี้เราโดนมารหลอกหรือเปล่า ?
ตอบ : โดนหลอกสองชั้นเลย ประการแรก หลอกให้ดูหนัง ประการที่สอง หลอกให้เราคิดว่าพิจารณาได้ด้วย เพราะถ้าใจเราไม่ยินดีเราก็คงไม่ไปดู เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว ยินดีเป็นราคะ ยินร้ายเป็นโทสะ จำไว้ให้แม่น ๆ

เถรี 31-12-2010 09:50

ถาม : ถ้าศาลพระภูมิมีผลต่อคนในบ้าน ศาลพระภูมิบ้านพี่ชายหนูอยู่ทิศใต้ ศาลพระภูมิบ้านหนูอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ทำไมค้าขายเจริญรุ่งเรือง ?
ตอบ : อันดับแรก อยู่ที่การยอมรับนับถือ อันดับที่สอง ถ้าบริเวณนั้นมีอากาศเทวดาอยู่ จะมีผลมากเป็นพิเศษ อากาศเทวดาท่านจะมีอานุภาพมากกว่า อันดับที่สาม ถ้าอกุศลกรรมเข้าเมื่อไร จะมีรายการคิดบัญชีย้อนหลังตามมา ตอนนี้ดีไปก่อน

ถาม : แล้วทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ?
ตอบ : ตะวันตกเฉียงเหนือไม่ร้ายเท่ากับทิศใต้หรอก ทิศใต้กับทิศตะวันตกจะชัดมาก เพราะฉะนั้น..ทำความดีให้ต่อเนื่อง ห้ามพลาดเด็ดขาด เปิดช่องโหว่เมื่อไรโดนแน่

ถาม : ศาลพระภูมิบ้านหนูแต่เดิมไม่มีทิศอื่นจะวาง เลยวางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตอนนี้ขยายพื้นที่ สามารถที่จะวางได้แล้ว ควรจะย้ายหรือไม่คะ ?
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวว่าขอย้ายศาลไปตั้งในที่ใหม่

เถรี 03-01-2011 09:37

หลังจากที่คนในบ้านอนุสาวรีย์ได้ร่วมกันขอขมาพระอาจารย์ในวาระสิ้นปี ๒๕๕๓ พระอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องกรรมให้ฟังว่า

"ในเรื่องของกรรมนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ๓ หมวด ๑๒ ประเภทด้วยกัน

อโหสิกรรม เป็นตัวกรรมที่ตัดได้ง่ายที่สุด และถ้าไม่ได้บุคคลที่รู้จริงขนาดพระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะบอกเราให้ถูกต้องอย่างนี้ได้

การอโหสิกรรมนั้นมีสองประการ ประการที่หนึ่ง บุคคลที่เป็นโจทก์และจำเลยตั้งใจกล่าวขอขมา ขออดโทษในกรรมนั้นซึ่งกันและกัน ประการที่สอง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำตนจนบริสุทธิ์ หลุดพ้นไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นอโหสิกรรมไปโดยอัตโนมัติ แปลว่าเงินต้นไม่ต้องจ่าย ถ้าสังขารยังอยู่ อย่างดีก็เป็นแค่เศษกรรมเท่านั้นที่จะสนองท่านได้ แต่ถ้าพ้นจากสังขารร่างกายนี้ไปแล้ว ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงเข้านิพพานไปแล้ว กรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะตามสนองต่อไปได้อีกแล้ว

ลองไปค้นดูข้อมูลเรื่องกรรม มีตั้งแต่ทิฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม อโหสิกรรม ฯลฯ

กรรมที่ให้ผลตามความหนักเบา จะมีครุกรรม กรรมหนัก พหุลกรรมหรืออาจิณกรรม กรรมที่กระทำบ่อย ๆ อาสันนกรรม กรรมที่ยึดมั่นไว้ก่อนตาย แวบเดียวสามารถเปลี่ยนจากฟ้าเป็นดินได้เลย คือ ไปนึกถึงความเลวหน่อยเดียวก่อนตายก็ลงนรกเสียแล้ว

ลองไปศึกษาดูแล้วจะเห็นความเป็นเลิศของพระพุทธเจ้า ที่สามารถอธิบายเรื่องของกรรมได้ละเอียดที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำของที่ซับซ้อนมากสุด ให้กลายเป็นของที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด"

เถรี 03-01-2011 09:43

"กรรมส่วนหนึ่งที่เป็นการหนุนเสริม บีบคั้น ตัดรอน อย่างชนกกรรม กรรมที่พาไปเกิด อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่คอยหนุนเสริม อุปปีฬกกรรม กรรมที่คอยบีบคั้น อุปฆาตกรรม กรรมที่คอยตัดรอน

อุปฆาตกรรมก็ถือว่ามหัศจรรย์ ตรงที่มีทั้งที่ฝ่ายเป็นกุศลและอกุศล อุปฆาตกรรมกุศลเกิดขึ้น จะตัดอกุศลทิ้งหมดเกลี้ยงเลย ตัวอย่างคือพระองคุลีมาล ฆ่าคนมาเป็นพัน พออุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลเข้ามา ตัดอกุศลความชั่วทิ้งหมด หันหน้าเข้ามาบวชกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย

ตัวอุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล ตัวอย่างก็คือพระเทวทัต บวชเข้ามาได้อภิญญาสมาบัติ พออุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามา ตัดความดีหมด เห็นผิดเป็นชอบ อยากบริหารการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้ายสุดถึงขนาดลอบทำร้าย จ้างคนฆ่าและลงมือฆ่าพระพุทธเจ้าเอง ในที่สุดก็กลายเป็นทำครุกรรมฝ่ายอกุศล โดนธรณีสูบ

ครุกรรม คือ กรรมอันหนัก จะได้ผลในชาติปัจจุบัน มีทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลเหมือนกัน ครุกรรมฝ่ายกุศลอย่างเช่น เราสามารถสร้างฌานสี่หรือสมาบัติแปดให้เกิดกับตนได้ จัดว่าเป็นกรรมที่เราทำเอง หรือเราได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ จัดว่าผู้อื่นทำ ส่วนเราอาศัยท่านเป็นเนื้อนาบุญ

ทั้งสองอย่างนี้จะส่งผลในชาติปัจจุบัน อย่างเช่นว่าเราสร้างรูปฌานได้คล่องตัวมาก จะเป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ส่งผลให้ไปเกิดเป็นรูปพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง ตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ถ้าหากเราสร้างอรูปฌานได้คล่องตัวก็จะเป็นอรูปพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง ตั้งแต่อากาสานัญจายตนะ ไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะอรูปพรหม"

เถรี 03-01-2011 09:50

"แต่ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล อย่างเช่นการทำอนันตริยกรรม ๕ คือ การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท (คอยยุสงฆ์ให้แตกกัน) จะเป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล ตัดมรรคตัดผลทั้งหมดทุกอย่าง อย่างไรก็ต้องลงอเวจีไปก่อน ถ้าทำมากก็ลงโลกันต์ไปเลย

มีหนังสือชื่อกรรมทีปนี ของ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ได้อธิบายไว้ละเอียดมากในเรื่องกรรม ลองไปหาอ่านดู สนุกมาก ท่านทำของยากให้ง่าย จะมีตัวอย่างเล่าให้ฟังเป็นระยะไป ทั้งดึงมาจากในพระสูตรบ้าง ธรรมบทบ้าง

ถ้าขี้เกียจอ่านก็ไปหาเสียงอ่านของคุณอาคม ทันนิเทศ คุณอาคมเขาบันทึกเอาไว้ ก่อนหน้านั้นออกอากาศวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ

หนังสือที่ท่านเจ้าคุณวิลาศเขียนที่ถือว่ายอดเยี่ยมมาก อ่านแล้วรู้สึกว่าท่านค้นคว้าได้ละเอียดลึกซึ้ง จะมี วิมุตติรัตนมาลี ภูมิวิลาสินี กรรมทีปนี ๓ เล่มนี้ถือว่าเป็นผลงานชั้นสุดยอดของท่าน

ภูมิวิลาสินี กล่าวตั้งแต่ภพภูมิต่ำสุดถึงสูงสุด วิมุตติรัตนมาลี กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คุณอาคมเขามาสงสัยว่า วิมุตติรัตนมาลี แปลว่าอะไร ?

วิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น , รัตนะ แปลว่า แก้ว , มาลี แปลว่า ดอกไม้ , วิมุตติรัตนมาลี แปลว่า ร้อยแก้วแห่งความหลุดพ้น เพราะว่า มาลีในที่นี้หมายถึงการร้อยเรียง"

เถรี 04-01-2011 00:29

"กตัตตากรรม เป็นกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา จะมีกำลังในการให้ผลที่น้อยที่สุด ถ้ากรรมอื่นไม่แสดงผลเมื่อไร กตักตตากรรมนี้ถึงจะโผล่มา ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากปาวาลเจดีย์ไปเมืองกุสินารา เดินได้ระยะทาง ๖๐ โยชน์ หมดพระกำลัง กระหายน้ำ จึงขอให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาให้ ปรากฏว่าขบวนเกวียน ๕๐๐ เล่ม เพิ่งลุยผ่านไป น้ำขุ่นเป็นโคลนเลย พระอานนท์กลับมารายงานว่าไม่มีน้ำ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ไปดูใหม่เถอะ น้ำนั้นมีอยู่ "

ทั้ง ๆ ที่พระอานนท์เห็นกับตาตัวเอง แต่ด้วยความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเดินย้อนกลับไป ปรากฏว่าน้ำที่ขุ่นอยู่กลายเป็นน้ำใสไปได้ จึงจัดการกรองน้ำมาถวายพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยแล้วก็ตรัสถึงบุรพกรรม ที่พระองค์ท่านได้ทำเอาไว้

ตรัสถึงชาติที่พระองค์เกิดมาเป็นลูกชาวนา ไปช่วยพ่อไถนาทั้งวัน ปลดวัวออกจากแอกได้ก็พาวัวไปกินน้ำ เนื่องจากวัวหิวน้ำมาทั้งวัน พอเจอน้ำก็รี่เข้าใส่ ท่านเห็นว่าน้ำตรงที่วัวจะกินนั้นขุ่น จึงรั้งวัวให้มากินน้ำด้านที่ใส เป็นกรรมที่ทำโดยเจตนาดี แต่ก็จัดเป็นกตัตตากรรมตรงที่ทำให้วัวได้กินน้ำช้า

ขณะพระองค์ท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใกล้จะปรินิพพานแล้วกรรมก็ยังตามมาทัน พระองค์ท่านจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า อย่าไปประมาทว่ากรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปกระทำ ขณะเดียวกันอย่าไปประมาทว่ากรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ กรรมนั้นจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้าถึงวาระถึงเวลาก็ต้องส่งผลให้ผู้กระทำนั้นเสมอ อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า"

เถรี 04-01-2011 00:33

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ถ้าคนที่รู้จักกันเมื่อสมัยก่อนมาเห็นอาตมาตอนนี้ จะไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะก่อนอายุ ๒๕ อาตมาพูดแทบจะนับคำได้ โดยเฉพาะช่วงอายุ ๑๖-๒๕ ปีที่ตั้งหน้าปฏิบัติกรรมฐาน อาตมาจะเอาแต่ปฏิบัติไม่สนใจใครเลย

ปฐมเหตุที่จะต้องมาพูดน้ำลายแตกฟอง เกิดจากฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว หลวงพ่อท่านให้เป็นครูฝึกที่สายลม ถึงเวลาลูกศิษย์เขาเกิดปัญหา เราไปฟังคนอื่นเขาอธิบายแล้วไม่เข้าเป้าเสียที รู้สึกรำคาญ ก็เลยคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องพูดเสียแล้ว

จึงเดินลุยเข้าไปในวง ยกมือไหว้พี่ป้าน้าอา บอกว่า "ขอผมคุยด้วยนะครับ" ทำเขาตะลึงกันหมด โดยเฉพาะป้าน้อย (กานดา) "ไอ้หนู..ข้าคิดว่าชาตินี้แกจะไม่พูดกับใครแล้ว"

บางอย่างเรามั่นใจว่าถูกแน่นอน เพราะปฏิบัติมา ผ่านมาแล้ว แต่คนอื่นเขาอธิบายเลียบ ๆ เคียง ๆ ขี่ม้าอ้อมเมืองไม่เข้าเป้าเสียที ฟังไปฟังมาทนไม่ได้ ขอลงไปลุยเอง ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น

คนเก่า ๆ ถ้าคบหากันมาตั้งแต่บ้านสายลมระยะแรก ถ้ามาเจอตอนนี้เขาคงไม่เชื่อ คิดว่าเป็นคนละคน จากเด็กที่ไม่ยอมพูดกับใครเลย เอาแต่รักษาอารมณ์ภาวนา กลายเป็นพูดไม่ยอมหยุด รู้จักเจ้าหนูจำไมหรือเปล่า ? เขาเป็นเจ้าของคำว่าทำไม ๆ แต่พูดไม่ชัดนั่นแหละ แต่พูดไม่หยุด"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:28


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว