กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=673)

เถรี 23-07-2009 07:33

ถาม : พอเราเห็นอะไร แล้วมีอารมณ์ปล่อย มันก็เป็นธรรมดา เมื่อมันเป็นธรรมดา ก็เห็นว่ามันไปลงตรงกฎแห่งกรรมตลอดค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : จริง ๆ ท้ายสุดแล้ว เราทำไปก็ไปลงตรงจุดที่ว่า เราทำแล้วเราได้ ในเมื่อเราทำเองทำไมเราจะรับมันไม่ได้ จะว่าเป็นกฎของกรรม ก็คือกรรมของเรานั่นแหละ เราทำเอง

คำว่าธรรมดา มีอยู่ในทุกระดับ ปุถุชนมีคำว่าธรรมดาของปุถุชน กัลยาณชนมีคำว่าธรรมดาของกัลยาณชน อริยชนมีคำว่าธรรมดาของอริยชน แต่ละขั้นตอนของธรรมดามันไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับแต่ละระดับกำลังใจของแต่ละคน

แต่ว่าคำว่าธรรมดานี้มันหากินได้ตั้งแต่ต้นยันปลาย เพราะท้ายสุดของธรรมดาก็คือ ไม่มีอะไรเป็นของเรา ก็ธรรมดามันเป็นอย่างนั้นเอง จะเอาให้ได้ดั่งใจมันก็ไม่ได้ ในเมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ช่างมัน

เถรี 23-07-2009 07:40

ถาม : การคิดเป็นมโนกรรมได้อย่างไร?
ตอบ : ทันทีที่เราคิดมันสร้างเหตุแน่ ๆ แล้ว เมื่อสร้างเหตุ ผลมันจะมา มามากมาน้อยก็แล้วแต่

เถรี 23-07-2009 09:35

ถาม : เกี่ยวกับเรื่องทาน ?
ตอบ : ในส่วนของสาธารณประโยชน์ ทำแล้วเกิดประโยชน์แก่คนอื่นมากก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่าเนื้อนาบุญก็สำคัญ ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนกับอังกุรเทพบุตร ตั้งโรงทานเพื่อสาธารณะ ๘๐ โรง ตลอดสองหมื่นปี ไปเกิดเป็นเทวดาที่อานุภาพน้อยที่สุด เพราะว่าไปทำบุญในช่วงที่โลกว่างจากศาสนา คนไม่มีศีลไม่มีธรรม

แต่ว่าให้ทำไปเถอะ จะมากจะน้อยก็ทำไป มีโอกาสแล้วเราทำ ไม่ละ...ไม่เว้น บุญใหญ่ก็เอา บุญเล็กก็เอา กวาดให้หมด ใครจะว่างกก็ช่าง..!

ถาม : การเลือกเนื้อนาบุญ ?
ตอบ : การเลือกนั้นมีปัญญาบารมีคุมอยู่ ก็คือในเมื่อทำแล้วก็ควรจะให้ได้ผลมากที่สุด แต่ว่าขณะเดียวกันถ้ามีโอกาสทำ แม้ทำแล้วผลน้อยกว่าปกติ ก็ยังทำอยู่ ทำเพราะรู้ว่าสิ่งนั้นดีเราจึงทำ ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาจะเอาบุญอย่างเดียว ถ้าตั้งหน้าตั้งตาจะเอาบุญอย่างเดียว ในอภิธรรมเขาบอกว่า เป็นโลภเจตนา จะไปลดส่วนบุญลง

ถาม :
ทำบุญให้ได้อานิสงส์เต็ม ?
ตอบ : ให้ดูว่าบริสุทธิ์โดยสี่ส่วนหรือเปล่า ถ้าบริสุทธิ์โดยสี่ส่วน เจตนาบริสุทธิ์ ทำเพื่อหวังตัดสละออกในความโลภนั้นหรือเปล่า
วัตถุทานบริสุทธิ์ ได้มาโดยถูกต้องตามศีลธรรมและกฎหมาย ไม่ได้ลักขโมยหรือช่วงชิงหลอกลวงใครมา
ผู้ให้บริสุทธิ์ มีศีลตามเพศภาวะของตน ตั้งใจให้เพื่อเป็นการตัดความโลภจริง ๆ ไม่ได้ให้เพราะอยากอวดคนอื่นเขา ไม่ได้ให้เพราะอยากให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราเป็นคนดี
และท้ายสุดผู้รับบริสุทธิ์

ถ้าบริสุทธิ์โดยสี่ส่วนก็แปลว่าอานิสงส์เต็มสมบูรณ์ จะประกอบด้วยโลภเจตนาหรือไม่ ไปว่ากันในส่วนละเอียดเอาทีหลัง

เถรี 23-07-2009 10:33

ถาม : หลวงพ่อคะ..เวลาอยู่ของอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ตอนนี้หดสั้นกว่าเมื่อก่อนค่ะ ?
ตอบ : กิเลสเศร้าหมองเสียแล้ว..!

ถาม : เมื่อก่อนเราอยู่กับตรงนั้นได้นาน ตอนนี้จะไปต่อก็ไปไม่ได้ เพราะว่าชินกับอารมณ์ไม่เข้าไปยึด ?
ตอบ : ต่อไปจะแย่กว่านี้ คือ พยายามจะช่วยคิดก็ไม่ยอมขึ้น

ถาม : ใช่เลยค่ะ คิดแล้วไม่ขึ้น หนูก็พยายาม ?
ตอบ : เมื่อแย่ขนาดนั้นแล้ว ต่อไปจะแย่กว่านั้นอีก แค่คิดยังไม่คิดเลย ค่อย ๆ ทำไป อันนั้นแย่ในลักษณะของโลกียบุคคลทั่ว ๆ ไป แต่สำหรับนักปฏิบัติแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าเราทำมาทั้งชีวิตก็หวังตรงนี้ แต่ว่าอย่าไปทดสอบเพราะว่ากิเลสอาจจะกำเริบได้ ถ้าเราทดสอบแปลว่าเราประมาท

ถาม : พยายามจะสร้างอารมณ์ ให้กลับ ๆ ๆ ไปหากิเลส ?
ตอบ : กิเลสตื่นขึ้นมา เดี๋ยวก็โดนงับตาย..!

ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ถ้ามาเมื่อไร เท่ากับข้อสอบมาแล้ว ?
ตอบ : ไม่ใช่ เราต้องไม่หวังว่ากิเลสจะมา พยายามหลบเลี่ยงทุกวิถีทาง เพราะว่าคนที่จะรบในการศึก จะต้องมีความรู้และแน่ใจว่าในการศึกครั้งนั้นเราจะชนะ ไม่อย่างนั้นรบไปเราก็แพ้ จะไปบอกว่าเราแพ้ศึกครั้งนี้แต่ยังไม่ได้แพ้สงคราม อย่าไปเอา วิธีนั้นปล่อยให้นักการเมืองเขาใช้กัน

แพ้ศึกแต่ไม่ได้แพ้สงคราม เข้าใจความหมายไหม แพ้เฉพาะครั้งนี้ แต่ภาพรวมทั้งหมดยังไม่ได้แพ้ แต่ในสายตาชาวบ้านเราแพ้ราบอย่างเห็น ๆ เลย

ถาม : แล้วบางครั้งเวลาที่เราเจอคนอื่น บางทีไม่ได้อยากคุย อยากอยู่กับสมาธิของตนเองมากกว่า แต่ที่ต้องคุยเพราะอยากรักษาน้ำใจเขา ?
ตอบ : อันนั้นดูตัวเราในส่วนที่ว่า เราสามารถรักษากำลังใจไม่ไหลตามสิ่งที่เป็นในปัจจุบันได้ไหม

เถรี 23-07-2009 21:22

ปกติเวลาหลวงพ่อท่านเทศน์หรือเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง ก็จะมีคุณสุรจิตรที่คอยเวียนถวายค่ากัณฑ์เทศน์ให้หลวงพ่อตลอด เงินที่ถวายหลวงพ่อแต่ละครั้ง ก็ ๑ บาทบ้าง ๒ บาทบ้าง เห็นดังนี้แล้ว หลวงพ่อท่านก็เลยเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า

"ที่เมืองจีนเขามีการเรี่ยไรเพื่อหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระท่านก็ไปประกาศเรี่ยไร มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาชีพกวาดถนน เกิดศรัทธาอยากจะถวาย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินอยู่อีแปะเดียว ตัดสินใจถวายร่วมด้วย พระที่เรี่ยไรนั้นอยู่ในอารมณ์ไหนไม่รู้ เห็นว่าเงินมันน้อยเหลือเกินก็เลยโยนคืนให้

'จะเอาไปทำอะไร...ก็เอาไป บริจาคมาแค่นี้ พระองค์ใหญ่ตั้งหลายวา' ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเก็บอีแปะนั้นไว้

เมื่อพระท่านเรี่ยไร ได้ทองแดงทองเหลืองจำนวนมากพอที่จะหล่อพระแล้ว ก็ปรากฏว่าหล่อไม่ติด ครั้งแรกพอทุบเบ้าออกมาเนื้อทองแล่นไม่ทั่ว ต้องเริ่มต้นทำแบบใหม่ ครั้งที่สองก็เป็นแบบนั้นอีก ครั้งที่สามก็เป็นแบบนั้นอีก หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านประสบการณ์สูง เรียกพวกลูกวัดและบรรดากรรมการวัดทั้งหมดมาสอบถาม ว่าในช่วงที่ออกไปเรี่ยไรขอทองแดง ทองเหลืองจากชาวบ้าน มีเหตุอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า

ท่านก็ไล่สอบถามพระไปทีละสาย ๆ จนไปเจอพระสายนี้ บอกว่ามีหญิงคนหนึ่งที่เขากวาดถนนอยู่ เขาบริจาคมาหนึ่งอีแปะเห็นว่ามันน้อยไปก็เลยโยนคืนให้ ปรากฏว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสพาพระทั้งวัดไปขอขมาแล้วขอเหรียญอีแปะนั้นคืน

เมื่อได้เหรียญอีแปะนั้นแล้ว ก็เอาใส่ลงไปเพื่อหล่อพระ ทุบแบบออกมา ปรากฏว่าเป็นองค์พระบริบูรณ์ สมบูรณ์ทุกประการ และที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ อีแปะเหรียญนั้นไม่ละลาย แต่ไปติดอยู่ตรงหน้าอกพระ ตรงหัวใจพอดี

หลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงขอรายละเอียด ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นเขามีอาชีพกวาดถนน เงินเดือนแทบไม่พอยาไส้ อีแปะเหรียญนั้นเขาซื้อข้าวต้มเปล่าได้ถ้วยเดียว และเป็นอาหารประจำวันของเขา มันเป็นทานตัดชีวิตเลย เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าแค่บาทเดียวนะจ๊ะ มากพอที่พระจะปาราชิกเลย"

เถรี 24-07-2009 14:07

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "สมัยที่ไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ เขาก็ถวายอาหารที่ดีที่สุดกับพระ......ผัดเผ็ดคุณวรนัส (เหี้ย)..!

ถ้าหากว่าหน้าฝนใหม่ ๆ พวกนี้จะออกหากินกันเยอะ เพราะว่าหน้าแล้งแล้วส่วนใหญ่อาหารไม่ค่อยมี พวกนี้ก็จะโดนล่าประจำ

ตอนแรกอาตมาก็ตักมาดู ปลาอะไรวะ กระดูกเป็นสามเหลี่ยมสามแฉก พอนึกว่าอะไรวะ เล่นโผล่มาเลย ตัวเบ้อเร่อ ต่อหน้าต่อตา แถมทวงส่วนกุศลด้วยว่า 'กินผมต้องให้บุญผมด้วย'

ตั้งแต่นั้นมาเลยติดนิสัย ติดนิสัยตรงที่ว่าเวลาจะฉันอาหารจะอุทิศส่วนกุศล ตั้งใจว่าเธอทั้งหลายที่สละเลือดเนื้อร่างกายเพื่อเป็นอาหารอยู่ในขณะนี้ บุญตั้งแต่ต้นที่เราทำมาจนถึงบัดนี้ มีประโยชน์ความสุขแก่เราเท่าไหร่ ขอให้เธอทั้งหลายโมทนาได้รับประโยชน์ความสุขนั้นด้วยเถิด

ก็เลยชิน โดนทวง จึงให้เขาบ่อย"

เถรี 24-07-2009 17:02

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยเขียนกลอนให้หลวงตาค่ะ ใช้เวลา ๒ นาทีเท่านั้น

วัชชีสามัคคีพร้อม เพรียงกัน
เยศผู้รุกราน ถ้วนหน้า
ระบือก้องสถาน ชมพูทวีปเฮย
ชัยชนะที่งามพร้อม เพียบด้วย ความดี
อินทราบ่งบอกชี้ วานวงศ์
ทะยานเยี่ยมยรรยง ยิ่งฟ้า
วังเวียงเพียงผจง ฉุดรั้งอยู่ฤๅ
โสฬสยังมิข้อง หมายมุ่งนฤพาน


สังเกตคำหน้าของแต่ละวรรคค่ะ :4672615:

เถรี 24-07-2009 23:16

ถาม : เวลาไปหล่อพระ เราต้องขออนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือคะ?
ตอบ : ควรจะทำการบวงสรวงบอกกล่าว เรามานึกถึงในหลวง เราจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่านต้องกราบขอบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต หรือแม้กระทั่งในหลวงยังเคารพพระพุทธเจ้าเลย บุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเราจะทำอะไรส่งเดชได้ ถ้าหากว่าทำส่งเดชก็แปลว่ากำลังใจของเรายังไม่เคารพท่านจริง ๆ ในเมื่อไม่เคารพท่านจริง ๆ มันก็มีการปรามาสพระรัตนตรัยเป็นปกติอยู่แล้ว คือ ไม่เห็นความสำคัญ ถ้าอย่างนั้นก็เจริญยาก

เวลาบวงสรวงกราบขออนุญาต ถ้าอนุญาตก็ขอให้มีนิมิตหมายอย่างชัดเจนเลยว่าอนุญาตให้ทำ หรือได้มโนมยิทธิขึ้นไปกราบทูลขอด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง

ถาม : ถ้าหากมีนิมิตมาบอกก่อนล่ะคะ?
ตอบ : ถ้ามีนิมิตมาบอกก่อน ให้ขอซ้ำ ขออีกครั้ง ไม่อย่างนั้นไม่เชื่อ ถ้าหากว่าสองครั้งแล้ว ขออีกครั้งก็ได้ จะได้มั่นใจจริง ๆ

ถาม : ตอนนี้ยังหาที่หล่อพระไม่ได้ หาได้ยาก
ตอบ : เพราะว่าข้ามขั้นตอน ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก็คือ กราบขออนุญาต

เถรี 24-07-2009 23:21

ถาม : ในกรณีที่เราทำบูชาโดยส่วนตัว อย่างทำเป็นรูปพระออกมา?
ตอบ : แม้กระทั่งจะเอารูปเพื่อนไปใส่เสื้อ ยังต้องบอกมันเลย นี่แค่ปุถุชน แล้วเรื่องของพระท่าน สมควรที่จะมีความละเอียดลออให้มากเข้าไว้

เถรี 26-07-2009 12:21

หลวงพ่อกล่าวว่า "ต้องบอกว่าคนก็คือคน ถ้าหากว่าเป็นคนแล้วมันไม่ยุ่งก็ไม่ใช่คน วันก่อนชอบใจอาจารย์บรรเจิด ท่านอาจารย์บรรเจิด เทวธมฺโม เป็นเจ้าอาวาสวัดประจำไม้ เป็นญาติของพระครูปลัดปรีชา เขาไปสวดมนต์ฉลองพระใหม่ นัดแนะไว้ว่าหกโมงครึ่งอาหารต้องพร้อม

ปรากฏว่าแปดโมงแล้วอาหารยังไม่เสร็จ พระครูก็บ่นตั้งแต่หกโมงครึ่งยันแปดโมง บ่นไปบ่นมาอาจารย์บรรเจิดก็พูดประโยคหนึ่ง เราได้ยินแล้วชอบใจ 'จะเอาอะไรกับมันนักหนา ก็มันเป็นคน ถ้าหากมันพร้อมสมบูรณ์ก็เป็นเทวดาไปแล้วสิ' ท่านเข้าใจปลง

ต่อไปใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็แสดงว่ามันยังเป็นคน ดีพร้อมสมบูรณ์เป็นเทวดาไปแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยได้ เราจะได้ไม่ต้องไปปรี๊ดแตก "

เถรี 26-07-2009 14:53

ถาม : ถามถึงพระโลสกะ ที่บิณฑบาตแต่กลับไม่ได้ข้าวฉันสักมื้อเลย

ตอบ : ได้ฉันก่อนตายครั้งหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านอยู่ได้ ต้องบอกว่าอยู่ด้วยแรงกรรม เพราะท่านขาดทานบารมีอย่างแรงเลย ไม่ทราบว่าความดีอย่างไรทำให้ท่านเกิดเป็นคนและมีวาสนาได้บวชพระ

เขาบอกว่าท่านบวชพระ เป็นพระใหม่ ถึงเวลาเดินบิณฑบาตก็อยู่ท้ายแถว ชาวบ้านใส่ข้าวไม่ถึงตำแหน่งท่าน ข้าวก็หมดเสียก่อน ท่านไม่ได้ข้าวสักเม็ดเดียว

พระอุปัชฌาย์ก็เลยให้ท่านอยู่หัวแถวในวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านก็คิดว่าเมื่อวานนี้เราใส่จากหัวแถวไปท้ายแถวทำให้ตรงท้ายแถวไม่ได้ วันนี้จะใส่จากท้ายแถวมาหัวแถวบ้าง ปรากฏว่าท่านก็อดอีก

พระอุปัชฌาย์ก็บอกว่าถ้าเช่นนั้นคุณอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านก็คิดอีกว่าเมื่อวานเราใส่จากท้ายแถว วันก่อนเราใส่จากหัวแถว แล้วท่านไม่ได้ วันนี้จะแบ่งเป็นสองพวก ใส่จากหัวแถวและท้ายแถว พอถึงตรงกลางก็หมดอีก

พระสารีบุตรเห็นดังนั้นก็เลยรู้ว่าเป็นกรรมของเขาจริง ๆ พยายามช่วยแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ บอกเอาอย่างนี้แล้วกัน คุณอยู่เฉย ๆ เดี๋ยวผมจะบิณฑบาตมาเลี้ยงเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็เลยได้ฉันอาหารเต็มที่ครั้งเดียวในชีวิต พอร่างกายสบายก็มาพิจารณาธรรมแล้วเห็นทุกข์ ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้อยู่มาได้อย่างไร ไม่ได้กิน ต้องบอกว่ากรรมรักษา พอท่านสลดใจจิตก็เลยปลดออกจากร่างกาย กลายเป็นพระอรหันต์ แล้วขอนิพพานตอนนั้นเลย เห็นโทษจริง ๆ ไม่อยากอยู่อีกแล้ว"

เถรี 26-07-2009 14:57

แล้วหลวงพ่อท่านก็เล่าอีกว่า "มีสามเณรอยู่รูปหนึ่ง บุญดีเกินเหตุ เวลาบิณฑบาตท่านเกิดอารมณ์กรรมฐานขึ้นมา ก็เลยบอกพระอุปัชฌาย์ น่าจะเป็นพระสารีบุตร

สามเณรบอกว่า ท่านผู้เจริญกระผมจะเข้าปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากว่าท่านออกบิณฑบาต ช่วยเหลืออาหารไว้ให้กระผมด้วย พระสารีบุตรท่านก็เมตตา แล้วถามสามเณรว่าอยากกินอะไร สามเณรบอกว่าอยากกินต้มปลาตะเพียน (สั่งได้ด้วยนะ) พระสารีบุตรก็บอกว่าไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่า สามเณรบอกว่า มั่นใจว่าถ้าไม่ได้ด้วยบุญของพระอาจารย์ก็จะได้ด้วยบุญของผมเอง มั่นใจขนาดนั้น แล้วท่านก็ไปเจริญกรรมฐานเป็นพระอรหันต์ตอนนั้น พระสารีบุตรไปบิณฑบาตได้ต้มปลาตะเพียนมาจริง ๆ

เป็นประเภทบุญดีจนเมนูสั่งได้ก็มี ประเภทบุญไม่ได้เรื่อง จนกระทั่งในชีวิตได้กินเพียงครั้งเดียวก็มี ถ้ามีโอกาสจะรวบรวมมาเป็นเนื้อหาสั้น ๆ เอาไว้ให้อ่านเล่น ไม่รู้จะมีเวลาทำหรือเปล่า เพราะว่าต้องไปค้นพระไตรปิฎก รายละเอียดบางอย่างอ่านมานานแล้วนึกไม่ออก"

เถรี 26-07-2009 19:06

ถาม : ตอนนี้พบกับวิบาก เกี่ยวกับพ่อแม่และบริวาร ตรงนี้วางกำลังใจไม่ถูกค่ะ ต้องใช้กรรมฐานกองไหนคะ ?
ตอบ : พรหมวิหาร ๔ ข้ออุเบกขา

ถาม : ตอนนี้ทะเลาะกับลูก แล้วเรางอนเขา ตรงนี้จะเป็นกรรมหรือไม่ ?
ตอบ : เป็น..เดี๋ยวลูกเขาก็งอนเราบ้าง มีโอกาสก็ไปขอโทษเขา

ถาม : แต่ตัวเราไม่ผิด ?
ตอบ : ถ้าไม่ผิดก็ยอมรับว่าผิดเสียก็หมดเรื่อง ที่ทะเลาะกันก็เพราะคิดว่าเราไม่ผิด ความจริงเราผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว ถ้าไม่ผิดก็คงไม่เกิดมาเจอเรื่องแบบนี้

ถาม : ตอนนี้วางกำลังอย่างไร ?
ตอบ : บอกแล้วว่าช่างมัน อุเบกขาเอาไว้

ถาม : กำลังใจตกมาก ขอคำสอนยาว ๆ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : นี่ก็ยาวมากแล้ว

เถรี 26-07-2009 22:02

หลวงพ่อกล่าวว่า "เคยสังเกตหรือเปล่าว่าอย่าไปตั้งความหวังกับคนอื่น จนป่านนี้เราก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ คนอยู่ที่ไหนมันก็เป็นคนไปเรื่อย ให้มันเป็น มนุสสะ มนุสโส มนุสสภูโต หรือ มนุสสเทโว มันก็ไม่ค่อยเป็น ในเมื่อมันไม่ค่อยเป็น ทีนี้เราไปหวังว่าเขาจะเป็น ทีนี้คนผิดหวังก็เราเอง เอวัง ก็มีด้วยประการละฉะนี้"

เถรี 26-07-2009 23:43

มีคนถามเรื่องการเรี่ยไรเงินทำบุญต่าง ๆ ว่าสมควรหรือไม่อย่างไร

หลวงพ่อท่านตอบว่า "เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไร ถ้าเขาทำบุญด้วยก็เสมอตัว ถ้าเขาไม่ทำด้วยเราจะขาดทุน ดีไม่ดีเราจะโกรธเขาด้วย แล้วถ้าเขาไม่ทำด้วยไม่พอ ยังด่าเราด้วยนี่ยิ่งไปกันใหญ่

ถ้าหากจะทำ พึงใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ ว่าบุคคลใดเป็นผู้มีศรัทธา บุคคลใดเป็นผู้ไม่มีศรัทธา แล้วก็เลือกบอกบุญ บอกเขาแค่ว่าจะทำอะไร ส่วนเขาจะช่วยหรือไม่ช่วยเรื่องของเขา"

เถรี 27-07-2009 12:10

ถาม : (ไม่ได้ยิน)

ตอบ : ไม่ต้องไปหามันหรอก มันเกิดจากใจที่ปรุงแต่ง คราวนี้การปรุงแต่งของฝ่ายชั่วมันปรุงแต่งไปในด้านของรักโลภโกรธหลง เพราะฉะนั้นตัวเราเองเป็นได้ทั้งสัตว์นรกและเทวดา มันอยู่ที่ว่าเราจะปรุงแต่งใจไปทางไหน

ถ้าหากว่าเราปรุงดี ๆ ระดับเชลล์ชวนชิมก็อาจจะเป็นระดับวิสุทธิเทพไปนิพพานเลย ฉะนั้นปรุงให้ดี ๆ นะจ๊ะ อุตส่าห์ล้างไห ล้างหม้อมาตั้งนานแล้ว เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือให้ดี ๆ ตอนนี้อยู่ที่ฝีมือปรุง ส่วนผสมทุกอย่างมีครบแล้ว ครูบาอาจารย์เขามีหน้าที่บอกสูตรนี้ทำอย่างไรบ้าง คนทำคือตัวเรา คนอื่นไม่สามารถจะทำแทนเราได้

เถรี 27-07-2009 15:52

หลวงพ่อบอกว่า "พอก้าวไปอีกจุด ๆ หนึ่งมันจะมีตัวอุเบกขา คือ ความไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์กระทบต่าง ๆ เจ้าตัวนี้ก็คือ ช่างมัน เรื่องของเขา เราก็อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา"

เถรี 27-07-2009 16:59

มีคนถามว่า "ยันต์เกราะเพชรนี่กันโรคไข้หวัด ๒๐๐๙ ได้ด้วยใช่หรือไม่ครับ"

หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าเรามั่นใจ สำคัญอยู่ตรงความมั่นใจของเรา สมัยโรคเอดส์ระบาดใหม่ ๆ อาตมาฟันธงเลย เราไม่เป็นแน่นอนเพราะเรามียันต์เกราะเพชร ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่ากันได้ ท่านบอกว่าไสยศาสตร์ซึ่งเป็นของละเอียดยังกันได้ นับประสาอะไรกับของหยาบอย่างพวกโรคภัย ทำไมจะกันไม่ได้"

เถรี 27-07-2009 17:54

มีคนถามถึงการโหลดคลิปต่าง ๆ ในเว็บ ว่าเป็นการผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่

หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าเขาอนุญาตให้โหลดก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่อนุญาตแล้วยังหาวิธีไปโหลดจนได้ก็ผิด"

เถรี 27-07-2009 18:14

ถาม : การบวงสรวง ที่มีไก่หรือหัวหมูอยู่ในพิธีด้วย ตรงนั้นมีความหมายว่าอย่างไรคะ?
ตอบ : ไม่มีอะไร ท่านท้าวมหาราชท่านขอไว้เป็นสัญลักษณ์"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:56


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว