กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4433)

เถรี 16-05-2015 14:40

ถาม : เรื่องแผ่นดินไหวที่เนปาล เกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเหตุ..พระพุทธเจ้าบอกชัดเลยว่าลมกำเริบ คือใต้โลกของเราเป็นหินเดือด พอเดือดมาก ๆ เข้าไอร้อนก็ไปอัดแน่นอยู่ไม่มีทางไป ถึงเวลาเคลื่อนตัวทีก็ดันแผ่นโลกไปด้วย ฉะนั้น..ถามว่าอะไรเป็นเหตุ ตอบว่าลมกำเริบ

ถาม : แล้วบ้านเรามีโอกาสเจออย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องตื่นเต้น ถึงเวลาก็รู้เอง แต่บ้านเราน่าจะตายง่ายกว่าบ้านเขาเยอะ เพราะบ้านเราตึกสูงมาก บ้านเขาตึกเตี้ย ๆ ถึงเวลาถล่มทับก็ไม่หนักเท่าไร บ้านเราตึกสูง ส่วนใหญ่ก็เกิดจากกรรมที่ไปปล้นบ้านตีเมืองเขาเอาไว้นั่นแหละ ทำให้บ้านเรือนเขาเสียหาย ทำให้ทรัพย์สินเขาเสียหาย ทำให้ชีวิตเขาดับสิ้นไป ถึงเวลาก็ต้องรับคืน

เถรี 16-05-2015 15:04

พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหวไว้ ๘ ประการ มีลมกำเริบ ๑ ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๑ พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์พระมารดา ๑ พระโพธิสัตว์ประสูติ ๑ พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ๑ พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ๑ พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ๑ และพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๑ มี ๘ สาเหตุด้วยกัน เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าไป ๖ สาเหตุ

ถาม : แผ่นดินไหวที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าจะมีอันตรายกับคนไหมคะ ?
ตอบ : พวกนั้นไม่มีอันตราย เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากการแซ่ซ้องสรรเสริญของพรหมเทวดาท่าน แต่ว่าแผ่นดินไหวเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาลก็ต้องดูว่าท่านทำเพื่ออะไร ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะใช้อภิญญาสมาบัติในการทำลายทำร้ายคนอื่นก็อันตราย

ส่วนเรื่องของลมกำเริบนี่ว่าไม่ได้ แล้วแต่กรรมใครกรรมมัน ภูเขาหิมาลัยเกิดจากแผ่นดินเคลื่อน อนุทวีปอินเดียวิ่งมาชนกับชายฝั่ง ดันสูงไปเรื่อย ๆ ปีหนึ่ง ๓-๕ เซนติเมตร ก็ยังสูงไปเรื่อย ฉะนั้น..ถ้าเกิดแผ่นดินไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องไปศึกษาภูมิศาสตร์โบราณ สมัยโลกเรายังเป็นมหาทวีปกอนด์วานา มหาทวีปแพนเจียโน่น

เถรี 17-05-2015 09:04

ถาม : สัตว์ทุกชนิดที่มีดวงจิต ถือว่าเป็นสัตว์มีชีวิต สัตว์อย่างแบคทีเรีย ไวรัส จัดว่าเป็นสัตว์มีชีวิตไหมครับ ?
ตอบ : พวกแบคทีเรียพวกไวรัสเป็นเหมือนกับพืช มีแต่วิญญาณ ไม่มีจิต สัตว์ที่มีดวงจิตขนาดเล็กสุดก็คือพวกเล็นพวกไร มองเกือบไม่เห็น สมัยเด็กอาตมาปีนขึ้นไปล้วงเอาลูกนกฮูกมาเลี้ยง แม่นกพ่นลมใส่หน้า มีแต่ไรเต็มหน้าเลย ต้องเผ่นลงมาอาบน้ำ ด้วยความบ้าดีเดือดเดี๋ยวก็ขึ้นไปใหม่ อยากได้ลูกนกฮูกมาเลี้ยง ปรากฏว่านกก็สู้ คว้าคอปุ๊บก็ถูกขยุ้ม กรงเล็บ ๔ นิ้วนี่ฝังเข้าเนื้อหมดเลย แต่อาตมาไม่ปล่อยหรอก จะเอาลูกนกให้ได้ แต่ว่าเลี้ยงแล้วแม่มันมาเอาคืนหรืออย่างไรไม่รู้ เพราะว่ากลางคืนหายไปจากกรงเฉย ๆ

ถาม : แมวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เพราะว่าที่บ้านไม่ได้เลี้ยงแมว น่าจะเป็นแม่นกเขามาเอาคืน เพราะว่านกฮูกหรือเหยี่ยวนี่สามารถที่จะโฉบไปได้ สมัยอยู่เกาะพระฤๅษีอาตมาปีนต้นไม้ขึ้นไปไล่พวกตะกวด ที่จะขึ้นไปกินไข่นกเหยี่ยวบนรัง พอแม่เหยี่ยวเห็นว่าเรารู้ว่ารังอยู่ที่ไหน อีก ๒ วันขึ้นไปดูใหม่ เหลือแต่ดอกไม้อยู่ ๒ ดอก แม่นกย้ายไข่ไปเรียบร้อยแล้ว ย้ายรังไปแล้ว ถ้าเป็นนกอื่นจะย้ายไม่ได้ แต่พวกเหยี่ยวพวกอินทรีนี่เขาขยุ้มไปสบาย ๆ เลย

ถาม : เคยเลี้ยงลูกค้างคาว ?
ตอบ : ลูกค้างคาวตัวเล็กนิดเดียว ถ้าจะเลี้ยงต้องเอาหลอดฉีดยาค่อย ๆ หยอดนมให้ กลิ่นตัวเหมือนเทียนเลย เลี้ยงมาเยอะแล้ว อาตมาเลี้ยงจนกระทั่งใหญ่แล้วไม่มีอะไรก็กินค้างคาวนั่นแหละ..!

พูดถึงค้างคาวก็นึกถึงลูกศิษย์พระสารีบุตร ที่เคยเกิดเป็นค้างคาวอยู่ในถ้ำ ฟังพระสาธยายพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์จนเพลิน ตกลงมาตาย ไปเป็นเทวดานานเลย พอมาพุทธกาลนี้ก็มาเกิดเป็นลูกชาวประมง มีโอกาสบวชพร้อมกัน

เถรี 17-05-2015 09:12

ถาม : คนที่เคยเกิดเป็นพญานาคมาก่อนจะมีนิสัยอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เอาแต่นอนอย่างเดียว แล้วห้ามปลุกนะ จะขี้โมโหมาก ถ้าใครเคยเกิดเป็นนาคนี่จะถนัดในการนอน ที่อัศจรรย์ที่สุดก็ในธรรมบท พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่ยังนอนได้ พระอานนท์สงสัยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์แสดงธรรมประดุจมหาเมฆบันลือขึ้น ไฉนจึงมีคนนอนหลับได้ ? พระพุทธเจ้าบอกว่าอุบาสกผู้นั้นเกิดเป็นพญานาคต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ มีความเคยชินกับการพาดหัวบนขนดตนเองแล้วก็หลับ นั่งฟังเทศน์อยู่แท้ ๆ ยังหลับได้ โดยเฉพาะองค์เทศน์คือพระพุทธเจ้า

อีกรายหนึ่งนั่งเขย่าต้นเสา พระพุทธเจ้าบอกว่ารายนี้เกิดเป็นลิงมา ๕๐๐ ชาติ อีกรายหนึ่งเอานิ้วเขี่ยพื้น ไม่ได้สนใจฟัง เขี่ยไปเรื่อย รายนี้เกิดเป็นไก่มา ๕๐๐ ชาติ อีกรายก็เหม่อ จ้องแต่เพดานศาลา ท่านบอกมาเป็นพราหมณ์ มีอาชีพดูดาวมา ๕๐๐ ชาติ ใครเคยเป็นอย่างไรติดต่อกันก็เป็นอย่างนั้น แบบนกุลปิตา นกุลมาตา ๒ อุบาสกอุบาสิกา เจอหน้าพระพุทธเจ้าก็ร้องว่า “ลูกไปไหนมา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” เคยเกิดเป็นบิดามารดาพระพุทธเจ้าต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ

เถรี 17-05-2015 09:12

ถาม : คนที่สิ้นชีวิตถ้าอยู่ในฌานจะไปพรหมโลก แต่ถ้าอยู่ในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิจะไปไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็อยู่ชั้นดาวดึงส์กับยามา

เถรี 17-05-2015 14:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "ยาหอมยาลมถือว่าเป็นภูมิปัญญาไทยที่ตกทอดกันมา ถึงเวลาธาตุลมกำเริบ ถ้าไม่มีพวกยาหอมยาลมก็จะลำบาก ฟื้นตัวยาก ในเรื่องของส่วนผสมต่าง ๆ ในปัจจุบันก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ สมัยอยู่วัดท่ามะขาม ยายทองเหมาะซึ่งเป็นน้องสาวของหลวงพ่อพระเทพเมธากร พอว่างจากงานอื่นก็กวาดใต้ต้นพิกุล กวาดมาเป็นเข่งแล้วก็นั่งคัดเอาเฉพาะดอก ชั่งกิโลขายตามร้านขายยาโบราณ

ดอกพิกุลเป็นหนึ่งในเกสรห้าอย่างที่เป็นส่วนผสมของยาหอม เกสรห้าอย่างเป็นตัวยาพื้นฐานของยาไทย ที่เป็นส่วนผสมของยาหอม จะมีเกสรบัวหลวง สารภี มะลิ พิกุล บุนนาค ดอกไม้พวกนี้ขายได้ในราคาแพงด้วย เดี๋ยวนี้ต้นพิกุลก็ปลูกน้อยลง ๆ สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบเก็บดอกพิกุลมาร้อยทำเป็นสร้อยคอ"

เถรี 17-05-2015 14:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเห็นในกระทู้ว่าเขาแปลกันแบบผิด ๆ เขาลงกระทู้ว่า "สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางเดียวที่จะทำให้บรรลุมรรคผล" แล้วก็เข้าไปเถียงกันกระจายอยู่ตรงนั้น

เขาแปลจากคำว่า ‘เอกายโน’ เอกะ คือ หนึ่ง , อายนะ คือ หนทาง เขาบอกว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ ในเมื่อแปลอย่างนั้นก็ต้องทะเลาะกับชาวบ้านเขา ต้องแปลว่า ‘นี่เป็นหนทางหนึ่งซึ่งนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์’ จะได้รู้ว่าที่เหลืออีกเป็นหมื่นเป็นพันสายยังมีอยู่

ปัจจุบันนี้บรรดาท่านที่เรียนมาสายปริยัติ โดยเฉพาะเรียนในส่วนของวิปัสสนาภาวนา ก็มักจะแปลว่าเป็นทางสายเดียว ถ้าเป็นทางสายเดียวแล้วพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เอาไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทำไม ? แต่เขาก็จะแปลว่าทางสายเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ

อาตมาอยากจะบอกว่ามหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วไป ท่านสอนชาวกุรุซึ่งชาวกุรุเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่มาสืบเชื้อสายบนโลกมนุษย์ทำให้ฉลาดเกินมนุษย์ทั่วไป มีความละเอียดของจิตมาก มีความชอบใจในมหาสติปัฏฐานสูตรเพราะว่ามีรายละเอียดมาก ในเมื่อไม่ใช่สำหรับคนทั่วไป พวกเราก็จะรู้สึกว่าถ้าเป็นส่วนของกายในกายเราก็จะพอเข้าใจไปได้ พอเป็นเวทนาในเวทนาก็ชักจะไปไม่เป็น พอเป็นจิตในจิต หรือธรรมในธรรม บางทีก็เข้าไม่ถึงเลย เพราะว่าความละเอียดของใจของเราไม่เท่ากับเขา

ต้องบอกว่าธรรมะหลายต่อหลายส่วนเหมาะเฉพาะสถานที่ บุคคล หรือกาลเวลานั้น ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้จำนวนมากต่อมากด้วยกัน แต่เขาก็มาสรุปว่ามีอย่างเดียวนี่แหละ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ยกไปได้เลย เหลือแค่มหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียวที่ทำให้บรรลุมรรคผล ต้องบอกว่าเรียนอย่างเดียวไม่ได้ทำ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาทำกันอย่างไร"

เถรี 17-05-2015 14:34

"ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาถกเถียงกัน ถ้าเราเถียงกันเมื่อไรก็กลายเป็นเอากิเลสมาชนกัน ก็แปลว่าเสียท่ากิเลสตั้งแต่ต้นเลย หลักการปฏิบัติมีไว้ทำ ไม่ได้มีไว้เถียงกัน ถ้าใครมาถามชนิดไม่ได้ง้างปากกันจริง ๆ ก็ไม่บอกกันง่าย ๆ หรอก เพราะว่าแต่ละคนจะมีทิฐิของตนอยู่ ในเมื่อมีทิฐิของตนอยู่ ถ้าเห็นไม่ตรงกันเมื่อไรก็ทะเลาะกันเมื่อนั้น

ในส่วนของหลักการปฏิบัติ ในปัจจุบันนี้ในทางศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมแห่งประเทศไทยได้สรุปเอาไว้ใหญ่ ๆ ๕ สายด้วยกันคือ สายพุทโธ สายสัมมาอะระหัง สายพองยุบ สายรูปนาม แล้วก็สายสติปัฏฐานแบบท่านพุทธทาส อาตมาเองพยายามผลักดันจนกระทั่งทางมหาจุฬาฯ เอามโนมยิทธิไปบรรจุไว้ในหลักสูตรวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นธรรมะภาคปฏิบัติ ๗ ก็คือธรรมะภาคปฏิบัติสุดท้ายของปริญญาตรี แต่เขาไม่ให้อาตมาเป็นคนเขียน เขาไปหาข้อมูลมาเขียนกันเอง เลยออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชื่อว่ามโนมยิทธิ แต่อาตมาไม่คุ้นเคยเลย ไว้มีโอกาสค่อยไปปรับใหม่ เพราะว่าคนเขียนไม่ได้ปฏิบัติมาเองก็เลยไม่เข้าใจ จึงตีความผิด

จะว่าไปแล้วหลักการปฏิบัติไม่ได้ต้องการยอมรับจากนักวิชาการ แต่อยู่ที่ว่าญาติโยมยอมรับและปฏิบัติตามหรือเปล่า ? ถ้ายอมรับและปฏิบัติตามเป็นจำนวนหนึ่งและเหนียวแน่นพอ ก็จะเป็นสายการปฏิบัติขึ้นมาเอง แต่สายการปฏิบัติทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ท่านชำนาญอย่างไร ท่านก็เอาอย่างนั้นมาสอน เราก็ไปเถียงกันว่าของเธอสู้ฉันไม่ได้ ของฉันดีกว่าเธอ สายการปฏิบัติอะไรก็ตามถ้ามาในส่วนของศีล สมาธิ ปัญญา ช่วยให้รัก โลภ โกรธ หลงบรรเทาเบาบางลง หรือสามารถที่จะละรัก โลภ โกรธ หลงได้ ก็ถือว่าเป็นสายการปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาแล้วทิฐิขึ้นหน้า ก็เลยไม่ค่อยจะยอมรับสายอื่นกัน"

เถรี 17-05-2015 14:39

"หลักการปฏิบัติทั้งหมด ถ้าไม่มีอิทธิบาทซึ่งเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ ก็ยากที่จะทำแล้วเกิดผล อิทธิบาท ๔ ต้องถือว่าเป็นหญ้าปากคอก อยู่ใกล้หูใกล้ตามากจนกระทั่งลืม

ฉันทะ
ต้องมีความยินดี มีความพอใจเราถึงมาปฏิบัติ วิริยะ มีความพากเพียรบากบั่น การปฏิบัติจึงจะสำเร็จได้ จิตตะ คือกำลังใจจดจ่อจับมั่นอยู่ไม่แปรผันเป็นอื่น วิมังสาคือไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหน ? เหลืออีกเท่าไร ? เป็นต้น

นักเทศน์เขาแต่งเป็นกลอนเอาไว้ว่า “พอใจพอใจใฝ่ความรู้ เพียรอยู่เพียรอยู่ไม่ท้อถอย จดจ่อจดจ่อเฝ้ารอคอย ทวนบ่อยทวนบ่อยไม่หลงลืม” ก็คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสานั่นแหละ ส่วนใหญ่พวกเรามีฉันทะแบบไฟไหม้ฟาง คือมาวูบเดียว ถ้าไก่ไม่สุกก็อดกิน ในเมื่อมีฉันทะแค่ไฟไหม้ฟาง วิริยะคือความเพียรก็พลอยน้อย ความแน่วแน่ของกำลังใจไม่มี ใครว่าอะไรดีที่ไหนก็ไปกับเขาหมด แล้วก็ลืมเป้าหมายของตัวเองว่าจะทำอะไร จะโดนกิเลสหลอกลักษณะอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่โดนเท่าไรก็ไม่รู้จักเข็ดเหมือนกัน"

เถรี 18-05-2015 14:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้หวยออกแล้ว อาตมาก็ไม่รู้หรอกว่าหวยออก พอดีเปิดดูหนังสือพิมพ์ เป็นหนังสือพิมพ์ออนไลน์ เขาแจ้งว่าหวยออกแล้ว จะไปดูข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาล กลายเป็นข่าวหวยออก แสดงว่าเรื่องของหวย บ้านเราให้ความสำคัญมาก

สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงบวชใหม่ ๆ หวยคู่ละ ๑ บาท ถ้าครึ่งหนึ่งก็ ๕๐ สตางค์ สมัยอาตมาเป็นเด็กยังมีขายเป็นเสี้ยวอีก รู้สึกว่าปกติคู่หนึ่งแบ่งครึ่งก็อย่างละใบ นี่เขาฉีกครึ่งได้อีก อุตส่าห์ขายกันได้

สมัยหลวงพ่อท่าน ที่เขาเรียกสลากกินแบ่งนั้นเพราะเขาแบ่งจริง ๆ ก็คือถ้าขายไม่หมดก็คิดเฉลี่ยตามจำนวนที่ขายได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีรางวัลตายตัวไปเลย สมัยนั้นรางวัลเขาเฉลี่ยจากยอดที่ขายได้ เวลาซื้อสลากแล้วต้องเขียนชื่อที่ต้นขั้วเอาไว้ด้วย ถ้าเราเอาสลากไปขึ้นเงินแล้วบอกชื่อที่ต้นขั้วไม่ถูก เขาจะไม่จ่ายให้ ชื่อส่วนใหญ่ก็จะเป็นนามแฝง ประเภทกุมารทองคะนองฤทธิ์อะไรแบบนั้น เพราะกลัวคนจะรู้ว่าถูกหวย

มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฝันว่าตกส้วม สมัยก่อนเป็นส้วมหลุม ท่านบอกว่าตกส้วมจมมิดหัวเลย ตะกายเกือบตายกว่าจะขึ้นมาได้ พอไปเล่าถวายหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานบอกว่า “ถ้าฝันว่าโดนเขาตัดหัว หรือฝันว่าตกส้วมมิดหัว จะถูกรางวัลที่หนึ่ง” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็สงสัยว่าจะจริงหรือ ? แล้วท่านก็ไม่เล่นหวยเสียด้วย แต่ครูบาอาจารย์บอกอย่างนี้ก็ขอลองหน่อยเถอะ"

เถรี 18-05-2015 14:28

"หลังจากบิณฑบาตฉันเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านก็ขอลาหลวงปู่ปานนั่งเรือเขียวเรือแดงจากอยุธยาเข้ากรุงเทพฯ มาซื้อหวย ก็คู่ละบาทนั่นแหละ ท่านบอกว่าท่านจะมีเงิน ๒๐๐ บาทอยู่ในย่ามเป็นประจำ เผื่อไว้ฉุกเฉิน ปุบปับจะไปไหนจะได้มีเงินใช้

อาตมามาลองคูณดูแล้วใจหายวาบ..! สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ หลวงพ่อพกเงิน ๒๐๐ บาท ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ถ้าเป็น ๒๐ ชามก็ ๕๐ สตางค์ พอเป็น ๔๐ ชามก็ ๑ บาท ถ้า ๑ บาทเท่ากับก๋วยเตี๋ยว ๔๐ ชาม ตีเสียว่าชามละ ๒๐ บาทก็พอ เท่ากับว่า ๑ บาทสมัยนั้นเท่ากับ ๘๐๐ บาท ในปัจจุบัน ๑๐ บาทก็เท่ากับ ๘,๐๐๐ ถ้าเป็น ๑๐๐ บาทก็เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ แปลว่าหลวงพ่อพกเงินตั้ง ๑๖๐,๐๐๐ บาท..!

ท่านบอกว่า ท่านเข้ามาซื้อหวยที่กองสลาก ได้แล้วก็เดินทางกลับ จนกระทั่งวันหวยออก ขุนบาลหรือเจ้ามือก็ประกาศตัวเลข หลวงพ่อท่านจำได้ว่าตัวเองซื้อหวย ก็เอามาตรวจดู ปรากฏว่าถูกจริง ๆ งวดนั้นเฉลี่ยแล้ว ให้ ๘,๐๐๐ บาท หลวงพ่อก็ส่งให้เด็กวัดไปเบิกเงิน พอเด็กวัดก็ไปเบิกเงินเอามาให้ หลวงพ่อก็ท่านบอกว่า “เอ็งจะเอาไปทำอะไรก็ไปเถอะ เงินระยำอย่างนี้ข้าไม่เอาหรอก ข้าแค่อยากพิสูจน์ว่าหลวงพ่อปานท่านบอกแล้วจะถูกหวยจริงหรือเปล่า ” อย่าลืมว่า ๑๐๐ บาทสมัยนั้น เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ บาทสมัยนี้ สมัยนั้นหลวงพ่อท่านถูกตั้งหกล้านกว่า สมัยนี้รางวัลที่หนึ่งคู่ละเท่าไร ?"

เถรี 18-05-2015 14:32

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปตรวจตาหลังจากที่บาดเจ็บเพราะว่าโดนเครื่องตัดหญ้าดีดหินเข้าตา ทนจนกระทั่งเรียนจบ ก็ไปให้หมอตรวจเพื่อจะโดนผ่าตัด หมอตรวจเสร็จก็บอกว่า "เป็นต้อหินครับ อย่าไปผ่าให้เสียเวลาเลย อย่างไรก็บอด ท่านไม่ต้องเครียดนะครับ ให้ผมเครียดคนเดียวก็พอ"

อาตมาฟังแล้วขำ ๆ ปกติก็หลับตาเดินบ่อย ๆ อยากทดสอบดูว่ารู้จริงหรือเปล่า ? ถ้าตานอกใช้ไม่ได้ ก็ใช้ตาใน จึงไม่ได้เครียด แต่ปรากฏว่าโยมหวังดี ไปซื้อยาแก้มาให้ จะลองกินดู ถ้ากินจนกระทั่งร้อนจนทนไม่ไหวแล้วค่อยว่ากัน ยาเขาแพง

หมอเขาบอกว่าจอประสาทตาเหลืออยู่หน่อยเดียว บางนิดเดียว แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่าทำไมความดันลูกตาไม่ขึ้น หมอจึงจับหยอดยาให้ไปตรวจซ้ำอีกรอบหนึ่ง อาตมาก็เลยต้องเดินโซซัดโซเซไปให้เขาตรวจอีกรอบหนึ่ง เพราะว่าเวลาหมอเขาหยอดยาขยายม่านตา จะมองอะไรไม่เห็นเลย หมอเขาบอกว่า "นิมนต์ครับทางห้องเบอร์ ๑" อาตมาก็นั่งเฉยอยู่ "นิมนต์ครับท่าน" ไปไม่ได้เว้ย..มองอะไรไม่รู้เรื่องเลย จะไปอย่างไร พอขยายม่านตาแล้วม่านตาจะรับแสงมากกว่าปกติหลายเท่า กลายเป็นว่าสว่างจนมองไปทางไหนก็เห็นเขียวไปหมด ดูไม่รู้เรื่อง ก็เลยสรุปว่าช่างมันเถอะ รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลาก็หลับตาคุยกับโยมเอา..!"

เถรี 18-05-2015 18:04

ถาม : (คนคริสต์ถาม) มีผีตามผมมา ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้ แล้วแผ่เมตตา ไปดูในมนต์พิธีก็ได้ ท่องบทกรณียเมตตาสูตรก่อนนอนเอาไว้ แล้วพวกนี้ก็จะไม่กวน

ถาม : เขาจะอยู่อีกนานไหม ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นเวลาของเขา ต่ำ ๆ วันหนึ่งก็ ๕๐ ปีของเรา ถ้าเขาอยู่สัก ๒ วัน เราก็ตายไปนานแล้ว ...(หัวเราะ)... ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนั้นหรอก ถึงเวลากลางคืนภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้แล้วสวดกรณียเมตตาสูตร นึกถึงลมหายใจเข้าออก กรรมฐานเป็นเรื่องสากล ไม่ใช่เรื่องศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แบบเดียวกับที่เราร้องเพลงสวด ถ้าร้องแล้วสมาธิดี ๆ ก็เท่ากับภาวนา

เถรี 18-05-2015 18:10

ถาม : ศรีลังกาไม่โดนแผ่นดินไหวใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนศรีลังกาเขามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่า ตราบใดที่พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วยังอยู่ เขาจะไม่ประสบอุบัติภัยอย่างนี้เด็ดขาด อาตมาส่งแม่ชีพิมพ์วราไปเรียนอยู่ที่นั่น แม่ชีเล่าว่า ตอนพายุเข้าคนศรีลังกานั่งสวดมนต์สบายใจเฉิบ

ถาม : เขาว่าทางเชียงใหม่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กลัวค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวจ้ะ ถ้าโดนก็โดนด้วยกันทั้งนั้นแหละ

เถรี 19-05-2015 15:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนเที่ยวนี้พระท่านให้อย่างอื่นด้วย ลองเอาไปใช้ ๆ ดูก็แล้วกัน เอาไปใช้เดี๋ยวก็รู้เองแหละ"

เถรี 19-05-2015 15:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อไปภายหน้าคนที่รู้เรื่องบายศรีสายวัดท่าซุงจริง ๆ จะเหลือน้อย เดี๋ยวนี้ชุดบายศรีมีส่วนเกินเยอะมาก อย่างพวกขนมจีนน้ำยา ทองหยิบฝอยทอง พวกเห็นเขาทำ ก็เลยทำด้วย ขนมจีนน้ำยาเอาไว้ในวัดท่าซุงอย่างเดียว สำหรับหลวงปู่ขนมจีนท่าน ส่วนทองหยิบฝอยทอง เอาไว้บวงสรวงเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เขาเห็นใส่อะไรก็ใส่มั่วไปเรื่อย ถือว่าเกินดีกว่าขาด แต่อย่าขาดก็แล้วกัน เกินไปไม่เป็นไร"

เถรี 19-05-2015 15:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนไปงานศพที่วัดเสมียนนารี อากาศร้อนเหมือนอยู่ในเตา ไอร้อนพัดพรึ่บ ๆ หลวงตาวัชรชัยบอก "ไม่ไหวแล้วเว้ย..!" ทำท่าจะตาย ส่วนอาตมากำลังพอดีเลย คนเป็นมาลาเรียกลัวหนาวไม่กลัวร้อน คนอื่นจะตายส่วนอาตมากำลังพอดี ๓๙ – ๔๐ องศา แต่ถ้าอยู่ห้องปรับอากาศเมื่อไรก็คันบรรลัยทุกที หลังแตกหมด ต้องทาครีมอยู่เรื่อย

หลังจากโดนเขายำครั้งนั้น ที่เอาผ้าชุบน้ำร้อนโปะแล้วถูจนอาตมาแสบไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดนอะไรไม่ได้เลย จะรู้สึกคัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่าคนที่เข้าสมาธิจะมีอาการอย่างไร เขาก็พยายามจะปลุกให้ได้

ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเข้าห้องปุ๊บก็ล็อกปั๊บ อาตมากราบเรียนหลวงพ่อว่า "อย่าล็อกสิครับ เป็นอะไรไปผมก็เข้าลำบาก" ท่านบอกว่า "ไม่ล็อกได้หรือ ? เปิดเข้ามาเขาคิดว่าข้าตาย ก็จะหามไปเผาแล้ว"

หมอเคยขออนุญาตเอาเครื่องวัดคลื่นหัวใจ ติดให้หลวงพ่อวันหนึ่งคืนหนึ่งเพื่อเช็คสภาพหัวใจ ปรากฏว่าหมออ่านค่าแล้วมึนมากเลย หัวใจหยุดเต้น ๓๐๐ กว่าครั้ง ไม่ใช่หยุดเต้นหรอก พอเข้าสมาธิแล้วหัวใจไม่ทำงาน หมอก็สงสัยว่าทำไมหัวใจหยุดเต้นแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ ? หัวใจหยุดเต้นคืนละ ๓๐๐ กว่าครั้ง"

เถรี 19-05-2015 15:54

ถาม : ถ้าคนที่ทำอนันตริยกรรม บวชไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่ปาราชิกนี่ อนันตริยกรรมคนละเรื่องกัน ถ้าฆ่าพระอรหันต์หรือทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงห้ามบวช ที่เหลือรีบ ๆ ไปบวชใช้หนี้ได้ยิ่งดี

ถาม : ก็คือไม่เจตนาก็เป็น ?
ตอบ : เป็น..แบบเดียวกับนายพราน พระอรหันต์ท่านเดินมา ก็คิดว่าถ้าหากว่านายพรานเห็นเราจะถือว่าโชคร้าย..ล่าสัตว์ไม่ได้ คิดไม่ดีจะเป็นโทษแก่เขา ท่านก็เลยไปซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ พรานผ่านไปก็คิดว่าเป็นเก้งเป็นกวาง เพราะจีวรสีคล้าย ๆ เอาหอกพุ่งไปพระอรหันต์ตายคาที่เลย ไม่ได้เจตนาแต่เป็นอนันตริยกรรม ของบางอย่างถึงไม่ได้เจตนาแต่ก็เป็นกรรม

เถรี 19-05-2015 16:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วโยมมักจะลืม ลืมว่าพระฉันเพล กำลังฉันอยู่ก็มักจะโทรศัพท์มา ถ้าหากว่าเป็นโยม อาตมายังพอให้อภัย รับเสร็จแล้วก็จะบอกว่า "คราวหน้าอย่าโทรเวลานี้ เพราะพระกำลังฉันอยู่" แล้วก็จะมีเสียงตกอกตกใจ แต่ถ้าเป็นพระอาตมาจะด่าเลย "ถ้ามึงไม่แดกก็อย่าโทรมาเวลานี้ กูกำลังฉันอยู่..!"

เถรี 19-05-2015 16:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ทวด จนป่านนี้บารมีท่านยังตามรักษาอยู่ เอาไว้อาตมาสร้างลูกแก้วดีกว่า สร้างรูปท่านก็ไปแข่งกับชาวบ้านเสียเปล่า ๆ อยากได้ประเภทเนื้อแก้วที่ใสจริง ๆ เลย ถึงลงทุนแพงหน่อยก็เอา"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว