กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5552)

เถรี 28-04-2017 16:08

พระอาจารย์กล่าวว่า “ยุคสมัยรัชกาลที่ ๔ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม กลางวันแสก ๆ หลวงพ่อท่านจุดไต้เข้าวัง พอรัชกาลที่ ๔ เห็นก็ตรัสว่า “ขรัวโต...โยมเข้าใจแล้ว” หลวงพ่อโตท่านก็เอาไต้ทิ่มกับกำแพงวังเพื่อดับ

ยุคต่อมาบ้านเรามี ส.ส. ก็มีส.ส.ขี่ควายถือตะเกียงเจ้าพายุกลางวันแสก ๆ เข้าสภา ไปถามเหตุผล ท่านบอกว่า “ยุคมืด” กลางวันก็เลยต้องถือตะเกียงเจ้าพายุไปด้วย อาตมาก็เลยสงสัยว่ายุคนี้จะมีใครกล้าที่จะจุดตะเกียงหรือถือไฟฉายตอนกลางวันไปบ้าง ม.๔๔ ใช้ส่งเดชไม่ได้เพราะว่ามีรัฐธรรมนูญแล้ว ถ้าขัดรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียวนี่ซวยเองเลย

คราวนี้ในเรื่องของยุคมืด สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีที่พึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการพึ่งตัวเอง ความจริงเราใช้คำว่าพึ่งตัวเอง คือ ทำให้ตัวเองมีเกาะ มีฝั่ง ก็คือ ที่ยึดที่พัก โดยเฉพาะการพักกำลังใจตัวเอง การทำตัวให้เป็นเกาะ เป็นฝั่ง คือ พึ่งตัวเองได้ในท่ามกลางกระแสทุกข์

ท่านบอกว่าต้องมีศรัทธา มีศีล มีพาหุสัจจะ มีวิริยะ มีสติ มีปัญญา โห...มีเยอะมาก ความจริงมีข้อเดียวก็พอแล้ว พระพุทธเจ้าให้มาตั้ง ๕-๖ ข้อ

ข้อแรก ศรัทธา คือความเชื่อมั่น อรรถกถาจารย์ท่านขยายความเชื่อมั่น ว่ามีเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ เห็นว่าคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัยได้จริง ก่อประโยชน์ให้กับผู้ที่ยึดถือจริง ๆ

ข้อที่ ๒ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือสิ่งที่เรายึดถือด้วยความเชื่อว่า สามารถคุ้มครองป้องกันรักษาชีวิตของเราให้ปลอดภัยได้จริง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงเป็นวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ประมาณนั้น

ข้อที่ ๓ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในผู้นำ ช่วงก่อนนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต คนทั้งประเทศรู้สึกว้าเหว่มาก พอมีในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ขึ้นมาเราก็รู้สึกมั่นใจขึ้น รู้สึกชีวิตมีทิศทางที่มั่นคงขึ้น อันนี้คือเชื่อมั่นในผู้นำ"

เถรี 28-04-2017 16:10

"ข้อสุดท้ายท่านบอกว่า เชื่อมั่นในตนเอง บุคคลที่จะเชื่อมั่นในตนเองได้ ต้องประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ระดับหนึ่ง ในระดับที่เห็นว่าเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง กำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา จะคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรมจริง ๆ ไปไหนก็ไม่ต้องเก้อเขินกับใคร ไม่ต้องหวั่นเกรงใคร เพราะมั่นใจในความดีที่ตัวเองทรงตัว ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตถาคตนั่งอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหมก็ดี อยู่ในหมู่ท้าวมหาราชก็ดี อยู่ในหมู่พระมหากษัตริย์ก็ดี อยู่ในหมู่พราหมณ์มหาศาลก็ดี ตถาคตไม่มีความเก้อเขินใด ๆ เพราะว่ามั่นใจด้วยฐานะทั้ง ๔”

ฐานะทั้ง ๔ คือ ตถาคตปฏิญาณว่าหมดกิเลสแล้วก็หมดกิเลสจริง ๆ ตถาคตปฏิญาณว่าตรัสรู้เองโดยชอบก็ตรัสรู้เองโดยชอบจริง ๆ ตถาคตกล่าวสอนธรรมเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากก็เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากจริง ๆ ไม่ได้เพื่อตัวเอง แบบนี้เป็นต้น

ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้หากว่าเรายึดมั่นในคุณความดี มีความมั่นใจจริง ๆ ต่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นยุคมืดขนาดไหนก็ตาม เราสามารถที่จะยืนหยัดและฝ่าฟันผ่านไปได้โดยง่าย ไม่ต้องไปอาศัยหลักธรรม ๕-๖ หมวด เอาศรัทธาข้อเดียวก็พอแล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำจริง ๆ พอเกิดผลแล้วจะเกิดความมั่นใจขึ้นกับตนเอง พอมั่นใจก็ “เอหิปัสสิโก” ก็คือสามารถท้าพิสูจน์ เรียกให้คนอื่นมาดู มาดูเพราะว่าเราทำได้จริง ไม่ต้องอายใคร"

เถรี 28-04-2017 16:12

"เห็นรัฐบาลว่าเศรษฐกิจดี ดีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะว่าพระอยู่แต่ในวัด อาตมาต้องคอยเตือนพระอยู่เรื่อย ๆ บิณฑบาตมาอย่าเลือกอาหาร เพราะอาหารที่ใส่บาตรมาญาติโยมได้มาโดยยาก เดี๋ยวนี้อาหารใส่บาตรมีข้าวถุงหนึ่ง กับถุงหนึ่ง น้ำอีกถ้วยหนึ่งราคา ๖๐ บาทเป็นอย่างต่ำ ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาทซื้อ ๕ ถุงก็หมดแล้ว ก็แปลว่านอกจากเขาต้องเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังแบ่งปันมาทำบุญถวายพระอีก ตัวเองไม่รู้ว่าจะมีกินหรือเปล่า ? แต่ขอถวายพระไว้ก่อน กำลังใจที่ถวายมาขนาดนั้น ของทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของสำคัญทั้งสิ้น

ส่วนใหญ่พออยู่วัดนาน ๆ แล้วลืมไปว่า ญาติโยมลำบากแค่ไหน แทนที่จะทำเพื่อส่วนรวม บางคนก็เผลอทำเพื่อความสุขส่วนตัว สร้างกุฏิสวย ๆ ติดเครื่องปรับอากาศ หารถยี่ห้อดี ๆ มาขี่ บางท่านมีเครื่องเสียงโฮมเธียร์เตอร์ชุดใหญ่อยู่ในกุฏิ

อาตมาเองดุเพื่อนมาหลายคนตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีปริญญาโทอยู่ ดุไปดุมาบางคนเริ่มเห็นดีเห็นงามก็ทำตาม กลายเป็นแปลกแยกจากหมู่พวกเขาอีก ที่ดุเขาก็คือว่าเพิ่งทอดกฐินเสร็จแล้วทะลึ่งไปซื้อรถ..! ต่อให้คุณซื้อด้วยเงินส่วนตัวคนเขาก็คิดว่าเอาเงินกฐินไปซื้อ สมมุติว่าเขาทอดกฐิน ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างโบสถ์ ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างศาลา ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างเมรุ แต่อยู่ ๆ คุณเอาไปซื้อรถ แล้วชาวบ้านเขาจะคิดอย่างไร ?

อดใจเอาไว้หน่อยสัก ๖ เดือน ๘ เดือนแล้วค่อยไปซื้อ ต่อให้คุณเอาเงินกฐินไปซื้อชาวบ้านเขาก็ไม่ว่าแล้ว ไม่ใช่ว่าทอดกฐินวันนี้พรุ่งนี้ออกรถป้ายแดง นั่นสมควรตาย...!"

เถรี 28-04-2017 16:14

"อาตมาเป็นคนปากเสียมาแต่ไหนแต่ไร ว่าเพื่อนเสีย ๆ หาย ๆ รับกฐินปุ๊บไปเที่ยวอินเดียปั๊บ น่าตายไหมล่ะ ? ชาวบ้านเขาก็คิดว่าเอาเงินกฐินไปซื้อตั๋วเครื่องบิน เอาเงินกฐินไปซื้อทัวร์ น่าทุบสักพลั่ก...! พระเราอยู่ในสายตาชาวบ้านเขาตลอดเวลา ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังรักษาศรัทธาของเขา นอกจากตัวเราจะทำให้เขาเสื่อมศรัทธาแล้ว อาจจะทำให้เกิดในสภาพที่ว่าเขาพลอยเสื่อมศรัทธาในพระอื่น ๆ ไปหมด คราวนี้ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากการกระทำของเราเอง"

เถรี 28-04-2017 16:16

"พระวัดท่าขนุนไปเรียนบาลีที่สำนักใหญ่ ไปก็ยังคงยึดระเบียบวัดท่าขนุน คือสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น เจริญกรรมฐานเช้าเย็น ออกบิณฑบาตตามปกติ ปรากฏว่าไปสุมรวมกันอยู่คณะหนึ่งก็คือคณะ ๒ ของท่านอาจารย์มหาสมคิด เปรียญธรรม ๙ ประโยค เขาก็เลยไปลือกันว่าคณะ ๒ นั้นเคร่ง

ถามว่าทำไมคณะนั้นเคร่ง ? เพราะว่าคณะอื่นไม่สวดมนต์ ไม่ทำวัตร ไม่เจริญกรรมฐาน ไม่บิณฑบาต ไม่ทุกอย่างที่พระควรทำ เอาแต่ท่องหนังสืออย่างเดียว แต่คราวนี้เขาว่าเคร่งก็โจมตีอย่างอื่นไม่ได้ เพราะว่าพระของเราไปถึงก็ได้ที่ ๑ ที่ ๒ ของสำนักหรือของสนามใหญ่อยู่เสมอ ๆ

อาตมาเองในฐานะผู้บังคับบัญชาอบรมสั่งสอนเขาไป แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความใฝ่ดีของพระท่านเอง แต่ก็ภูมิใจว่าท่านสามารถรักษาความดีเอาไว้ได้ ไม่ไหลตามกระแสเขาไป ในสำนักเรียนใหญ่ ๆ เดินแค่ ๒ เสาไฟฟ้าอาหารก็ล้นบาตรแล้ว ยังต้องไปรบกวนญาติด้วยการให้เขาเอามาถวายถึงกุฏิทำไม ? อาตมาเคยลองไปเดินเอง ๒ เสาไฟฟ้าจริง ๆ ทั้งหอบทั้งหิ้วล้นบาตรมาเลย

ปีนี้วัดท่าขนุนได้มหาเปรียญเพิ่มมา ๒ รูป แล้วก็มีพระอีก ๒ รูปขออนุญาตไปเรียนเพิ่ม ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะว่าช่วงหลังนี้เขาไม่ค่อยเรียน
บาลีกัน เพราะว่ายาก"

เถรี 30-04-2017 18:10

"ความจริงบาลีมาจากคำว่า “ปาละ” ที่คนไทยว่าบาล แปลว่ารักษา คือรักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ ถ้าเรียนแล้วสามารถแปลได้ถูก แปลได้ตรง จะได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เพราะระยะหลังมีการแปลผิดกันในหลายส่วน แต่ว่าเขาก็ปล่อยกันเลยตามเลย เพราะว่าผิดแล้วดีกับตัวเอง

ในเมื่อเป็นลักษณะนั้น ถ้าเรียนบาลีได้ก็จะดี แต่ส่วนใหญ่แล้วทนความยากลำบากของบาลีไม่ไหว อาตมายืนยันได้เพราะว่าจบปริญญาเอกมา ถ้าใครจบประโยค ๙ นี่จบปริญญาเอกได้ ๓ ใบเลย บาลียากกว่ามาก แต่จบบาลีประโยค ๙ เขาเทียบวุฒิให้เท่าปริญญาตรีเท่านั้น

บาลีประโยคที่ ๑ ถึง ๘ พอเรียนจบมาจะได้ประกาศนียบัตร แต่บาลีประโยค ๙ จบมาจะได้ปริญญาบัตร เพราะว่า ก.พ.ยอมรับว่าเป็นปริญญาตรี เสียเวลาเรียนนานมาก เพราะสอบไม่ตกเลยแบบสุดยอดอัจฉริยะก็ ๘ ปีจบ เนื่องจากประโยค ๑ กับ ๒ เรียนควบกัน

ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพปริยัติมุนี หรือท่านเจ้าคุณมีชัย วัดหงส์รัตนาราม สมัยที่ยังเป็นพระมหามีชัย วีรปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นอาจารย์สอนบาลีอาตมาด้วย สอนกฎหมายคณะสงฆ์ด้วย ท่านบอกว่าผมสอบ ๘ ปีได้ ๙ ประโยคก็จริง แต่ไม่ใช่อัจฉริยะนะครับ ผมท่องหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมง สูบบุหรี่วันหนึ่ง ๒ ซอง ๓ ซอง เพราะว่าเครียดมาก ทั้งผอมทั้งดำจนเพื่อนคิดว่ามะเร็งรับประทานแล้ว มาเลิกบุหรี่ตอนที่จบประโยค ๙ แล้ว ไม่เครียดแล้ว

แต่ก็ต้องบอกว่าท่านเก่งนะ ระดับสูบบุหรี่ ๒-๓ ซองต่อวัน ท่านเลิกได้นี่สุดยอดกำลังใจจริง ๆ พอท่านสอนอาตมาผ่านปริญญาโทไปเรียนปริญญาเอก ปรากฏว่าท่านก็ย่องตามไปเรียนปริญญาเอกบ้าง ...(หัวเราะ)... อาจารย์ไล่ตามลูกศิษย์ แต่ตอนนี้ท่านจบแล้ว เจอหน้าก็นั่งหัวเราะกันว่า เออ...ดร.หน้าตาเป็นอย่างนี้เองนะ"

เถรี 30-04-2017 18:13

"เรียนมาแล้วอาตมารู้สึกว่าตัวเองรู้นิดเดียว เพราะว่าปริญญาเอกเขาให้เลือกเอาเรื่องเดียว เพียงแต่ว่าจะรู้ลึกในเรื่องนั้นมากกว่าคนอื่น แล้วคนอื่นไม่สามารถเรียนซ้ำในจุดของเราได้ อาศัยได้แค่อ้างอิงเท่านั้น ใครคิดว่าจบปริญญาเอกแล้วรู้ทุกเรื่องนี่ไม่ใช่นะ รู้ทุกเรื่องมีองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า จบปริญญาเอกแล้วรู้เรื่องเดียว...น่าสงสารมากเลย สู้เรียนปริญญาตรีไม่ได้ เรียนทีเป็นสิบ ๆ วิชา

ปีนี้พระวัดท่าขนุนเรียนระดับประกาศนียบัตรเพิ่ม ปริญญาตรีก็น่าจะเพิ่ม ปริญญาโท ๖ รูปกับ ๑ คน คือ เรียนอยู่ ๗ ส่วนปริญญาเอกเรียนอยู่ ๓ แต่ละเดือนอาตมาจ่ายค่าเรียนแสนกว่าบาท อย่างที่วันนี้มาแล้วโยมเห็นนั่นแหละ เบิกกันคนหนึ่ง ๕,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ บาท วัดท่าขนุนปัจจุบันก็เลยแบ่งเป็น ๒ สาย คือ สายเรียนกับสายปฏิบัติ แต่ว่าทั้ง ๒ สายพอถึงเวลาวัดมีงานต้องมาทำงานร่วมกัน จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน เพราะว่าเจ้าอาวาสเผด็จการ ไม่ยอมให้ขัดแย้ง ใครทะเลาะกันไล่ออกจากวัดทั้งคู่ โดนไปหน่อยเดียวก็เลยเข็ดไปตาม ๆ กัน"

เถรี 30-04-2017 18:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ก็ไม่กี่วันที่ผ่านมา งานวันเกิดอายุ ๗๒ ปี ของหลวงพ่อพระครูสุชาตกาญจนโกศลหรือหลวงพ่อมณฑล วัดทุ่งสมอ จริง ๆ วัดท่านชื่อ วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส หลวงพ่อมณฑลประกาศสละตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดทุ่งสมอ ยกพื้นที่ ๖,๐๐๐ ไร่ให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปบริหารแทน

ท่านประกาศท่ามกลางสงฆ์และพระเณรทั้งหมดที่ไปร่วมงานเป็นพัน ๆ คนบอกว่า “ดูหมดทั้งจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว เห็นจะมีแต่ท่านอาจารย์เล็กเท่านั้นแหละที่จะบริหารวัดนี้ได้” เพราะว่าคนส่วนใหญ่แล้วไปอาศัยวัด ส่วนอาตมามีนิสัยว่าถ้าไปที่ไหนต้องให้ที่นั่นอาศัยเรา ก็คืออย่าไปอยู่เฉย ๆ ให้สร้างประโยชน์กับสถานที่ให้มากที่สุด

ตอนนี้กำลังเฟ้นหาเจ้าอาวาส ท้ายสุดก็ขอตัวลูกศิษย์ท่านหนึ่งคือ พระครูกาญจนปริยัติคุณ (พระครูบ่าว) เจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท บอกว่า "คุณย้ายวัดทีเถอะ ไปช่วยเป็นเจ้าอาวาสดูแล ๖,๐๐๐ ไร่นี้ให้ผมก่อน เดี๋ยวผมจะหาเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทใหม่เอง"

แล้วก็เอาบรรดาพระครูฐานานุกรมของเรามาจับสลากกัน ปรากฏว่าสมุห์ชาย (พระสมุห์ธนกฤต ขนฺติพโล) จับสลากได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท เดี๋ยวหลังสงกรานต์อาตมาจะไปเดินเรื่องให้ เพราะฉะนั้น...ถ้าใครบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสเพราะจับสลากได้ก็อย่าไปเถียงเขานะ เพราะว่าต้องจับสลากจริง ๆ ที่อื่นเขาแย่งกันเป็นเจ้าอาวาส ของเรานี่เกี่ยงกันดีนัก จึงต้องให้จับสลาก

สรุปแล้วถ้าหากว่าพระวัดท่าขนุนมารวมกันจริง ๆ นี่มีเป็นร้อยเลย เพียงว่าไปเป็นเจ้าอาวาสที่โน่นที่นี่บ้าง พอบอกว่าจะเอาเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทไปอยู่ที่โน่น เจ้าคณะอำเภอโวยเลย "แล้วใครจะช่วยงานผม ?" บอกท่านว่า "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมสนับสนุนยานพาหนะ" เพราะว่าที่โน่นต้องใช้รถขับเคลื่อน ๔ ล้อ ให้ท่านเข้าออกมาช่วยงานเจ้าคณะอำเภอได้ เดินทางเข้าป่าค่อนข้างจะลึก หน้าฝนถ้าไม่มีขับเคลื่อน ๔ ล้อนี่ออกไม่ได้ บางช่วงนี่ ๔ ล้อยังจมเลย แต่คนอื่นไปท่านก็ไม่ค่อยจะอดทนพอ"

เถรี 30-04-2017 18:26

"ถ้าถามว่าต้องอดทนแค่ไหน ? ท่านอยู่วัดพุทธบริษัทมาจนบัดนี้ ๑๖-๑๗ ปี มีกิจนิมนต์ไม่ถึง ๑๐ ครั้ง ระยะแรกอาตมาต้องตั้งเงินเดือนให้ ตอนหลังหากฐินให้ทุกปีท่านถึงได้อยู่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นก็เตลิดเปิดเปิงไปนานแล้ว อย่างพระวินัยธรกอล์ฟของเราไปอยู่ ๓ ปี มีกิจนิมนต์ ๑ ครั้งได้มา ๑๐๐ บาท ๓ ปีใช้เงิน ๑๐๐ บาทจะอยู่ไหวไหม ? อาตมาต้องตั้งเงินเดือนให้ บอกว่า ไปอยู่เถอะ...เดี๋ยวให้คนละ ๓,๐๐๐ บาท

บางครั้งการเป็นผู้บังคับบัญชาเขาก็จำเป็นต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ ถ้าท่านยืนได้ด้วยตัวเองเมื่อไรแล้วจะแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากว่าประคับประคอง ถึงเวลาลำบากก็ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้ โบราณท่านบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะว่าไปที่ไหนก็ไม่ลำบากไปกว่านั้นอีก

ตอนนี้วัดท่าขนุนจึงจะมีพระอยู่ ๔๐ รูป แต่แทบจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าเหลือนิดเดียว ตรงโน้นขออาทิตย์ละ ๓ รูป ตรงนี้ขออาทิตย์ละ ๒ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปบิณฑบาตให้ชาวบ้านเขา เพราะว่าคนในพื้นที่บวชไม่กี่วันก็สึก ก็ต้องเอาพระวัดท่าขนุนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เดินบิณฑบาตจนจะจำได้ทั้งจังหวัดอยู่แล้ว

เดี๋ยวพอชุดที่เรียนปริญญาโททั้ง ๗ กลับมาแล้ว กำลังพลค่อยอยู่ตัวหน่อย ตอนนี้กำลังพลหลัก ๆ ส่วนใหญ่ไปเรียนทั้งนั้น จะให้ต่อปริญญาเอกก็คงไม่เอาแล้วละ รับสมัครว่าที่เจ้าอาวาสนะ ใครคิดว่าภาระในชีวิตน้อยไปก็ไปบวชได้ รับรองว่าได้เป็นทุกคน ถ้าประเภทพระในวัดว่านอนสอนง่ายก็ดี แต่เดี๋ยวนี้จะไปหาเด็กที่ไหนว่านอนสอนง่าย ?"

เถรี 30-04-2017 18:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าตามคำทำนายของพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ท่านบอกว่าหลังกึ่งพุทธกาลแล้วยักษ์นอกพุทธศาสนา จะลุกขึ้นมารบราฆ่าฟันกัน ตายไปอย่างละครึ่งถึงจะยุติ บวกกับที่วันเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่พระท่านบอกว่าภาวะสงครามจะแผ่กว้างออกไป โดยเฉพาะสงครามก่อการร้าย"

เถรี 30-04-2017 18:36

(สอนลูกศิษย์ดูวัตถุมงคล) "ต้องดูว่ารักเก่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็รักจีนจะเป็นสีแดง ส่วนรักไทยเป็นสีดำ รุ่นเก่า ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรักจีน ของหลวงปู่เพิ่มเบี้ยแก้รุ่นหลัง ๆ ถึงจะเป็นรักไทย

ในวงการเครื่องรางของขลัง เขาจัดเบี้ยแก้ ๕ อันดับแรกเอาไว้ เบี้ยแก้อันดับ ๑ ไม่มีใครเทียมแน่นอน คือ หลวงปู่รอด วัดนายโรง ถามว่าทำไมเป็นเบี้ยแก้อันดับหนึ่ง ? ตอบว่าหายากที่สุด อาตมาเล่นเครื่องรางมาทั้งชีวิต ได้เห็นของจริงแค่ ๒-๓ ตัว

อันดับ ๒ คือ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ความจริงต้องบอกว่าเป็นสหธรรมิกกัน แต่ของหลวงปู่บุญนี่ท่านทำอย่างอื่นดังมากด้วย หลวงปู่รอดแล้วส่วนใหญ่จะดังเบี้ยแก้กับตะกรุด แต่หลวงปู่บุญทำอะไรดังไปหมดทุกอย่าง เบี้ยแก้ของท่านก็เลยมีชื่อเสียงเป็นรองหลวงปู่รอด วัดนายโรง

อันดับสามเป็นของเบี้ยแก้หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ หลวงพ่อภักตร์จริง ๆ แล้วดังเรื่องตะโพนมากกว่า บรรดาศิลปินนักร้องนักแสดงนี่แสวงหากันสุดชีวิต เพราะว่าเป็นเมตตามหานิยม ใครจะสมัคร ส.ส. จังหวัดอ่างทอง ถ้าไม่มีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ไม่ต้องไปสมัครหรอก ไม่ได้รับประทานแน่ เพราะผู้สมัครท่านอื่นพกตะโพนกันนั้น เมตตามหานิยมขนาดไหน ? ขนาดให้คนเลือกเป็น ส.ส. ได้ แต่ปรากฏว่าท่านมาดังเรื่องเบี้ยแก้ด้วย

อันดับสี่ก็ลูกศิษย์หลวงปู่บุญ คือ เบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่มช่วยหลวงปู่บุญทำเบี้ยแก้มาตั้งแต่ยังเป็นสามเณร พอมาทำเองก็ขลังไม่แพ้อาจารย์ เพราะว่าใช้วิธีเรียกปรอทเข้าเบี้ย ไม่ได้เทเข้าไป

อันดับห้า คือ เบี้ยแก้หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อคำก็เรียกปรอทเข้าเบี้ยเหมือนกัน ถ้าใครจะไปเสาะเบี้ยแก้ในตำนานทั้ง ๕ อย่างนี้ มีทั้งราคาราคาเรือนแสนแถึงหลายแสน ถ้าหากว่ามีราคาต่ำ ๆ หน่อยให้รีบตะครุบเอาไว้เลย"

เถรี 30-04-2017 18:39

"ส่วนเบี้ยแก้อื่น ๆ ที่อาตมาเห็นว่าท่านเก่งจริง แต่เนื่องจากว่าทำน้อย แล้วอีกอย่างคือของอย่างอื่นท่านดังกว่า อย่างเช่น ของหลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี อันนี้เบี้ยแก้สายเหนียว ลูกศิษย์ไปขอเบี้ยแก้เมื่อไร สมัยก่อนต้องเดินเข้าสวนไป เดินกลับออกมาปากซอย เจอทั้งตี ทั้งฟัน ทั้งแทงเลย เขาอยากรู้ว่าหลวงพ่อเขายังเก่งอย่างเดิมหรือเปล่า ? แต่เขาไม่ได้คิดว่าคนโดนจะตายหรือเปล่า ? สรุปว่าใครไปขอเบี้ยแก้หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี ต้องเตรียมตัว เตรียมหัว เตรียมทุกอย่างที่จะโดนไปด้วย

เบี้ยแก้หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง ๓ ท่านนี้อยู่สายอ่างทอง สายอ่างทองกับสายวัดนายโรงเป็นคนละสายกัน ถ้าหากว่าสายวัดนายโรงนี่เป็นสายเดียวกับวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดีก็เป็นลูกศิษย์วัดนายโรง

เบี้ยแก้อื่นที่มีชื่อเสียงอีกก็เช่น หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เป็นเบี้ยแก้พอกครั่ง หายากมาก ๆ ที่หายากเกิดจาก ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกคือทำน้อย สาเหตุที่ ๒ คือลูกศิษย์หวงมาก เพราะว่ามีประสบการณ์เพียบ เป็นเบี้ยแก้สายเหนียวเหมือนกัน นอกจากล้างอาถรรพ์แล้ว ยังอยู่ยงคงกระพันอีกด้วย

แล้วก็มีเบี้ยแก้หลวงตากา วัดแค นครชัยศรี หลวงตากานี่ก็มาสายเหนียว เรียนเบี้ยแก้ไปจากวัดกลางบางแก้ว แต่เน้นเหนียวอย่างเดียว อย่างของหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่มท่านจะมีคาถากำกับอยู่ว่าทำอย่างไรจะเป็นเมตตา ทำอย่างไรจะล้างอาถรรพ์ ทำอย่างไรจะอยู่ยงคงกระพัน หลวงตากานิสัยชอบคงกระพันก็เอาตัวท้ายตัวเดียว แล้วยังมีเบี้ยแก้สายแม่กลอง สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่ก็สืบทอดไปจากวัดกลางบางแก้วทั้งนั้น"

เถรี 30-04-2017 19:01

"ในเรื่องของเบี้ยแก้แล้วเน้นในเรื่องของการล้างอาถรรพ์ โดยเฉพาะพวกผีจะกลัวมากเป็นพิเศษ ที่ไหนผีดุ ๆ พกเบี้ยแก้ไปนอนได้สบายเลย เบี้ยแก้รุ่นหลังที่มีประสบการณ์ก็มีหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งตอนนี้ท่านก็สิ้นไปแล้ว หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน

แต่ของหลวงปู่เจือเล่นยากเพราะว่าของปลอมมีมาก คนทำปลอมก็คือคนที่ทำให้หลวงปู่เจือนั้นแหละ หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ ลูกศิษย์ทำขายหน้ากุฏิ หลวงพ่อท่านก็มอบให้โยมในกุฏิ ของหลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน ท่านก็เพิ่งจะมรณภาพไม่นาน ราคายังไม่สูง ยังพอหาได้ แต่ว่าท่านที่มีประสบการณ์ก็จะหวง

เบี้ยแก้จริง ๆ เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ เพราะว่าเราใช้เบี้ยเป็นเงิน ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน แล้วทางด้านฮินดูถือว่าเป็นภควจั่น เป็นหอยที่ได้รับพรจากพระนารายณ์ เขาก็ให้ความเคารพนับถือ คราวนี้วิชาการทำเบี้ยแก้นั้นสืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

ถ้าถามว่าสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วเป็นใคร ? มาจากไหน ? บอกว่าเป็นมหาเถระชาวมอญที่สมเด็จพระนเรศวรให้ความเคารพนับถือมาก แล้วถามว่าไปอย่างไร มาอย่างไร ถึงมาเป็นพระสังฆราชในกรุงศรีอยุธยา ? เพราะว่าท่านนำชาวมอญอพยพตามสมเด็จพระนเรศวรเข้ามา ชื่อเดิมของท่านที่เรารู้จัก คือ พระมหาเถรคันถ่อง พอมาอยู่เมืองไทยกลายเป็นพระสังฆราชเลยไม่รู้จัก วิชาการที่มากับท่านมีเยอะแยะไปหมด เบี้ยแก้ก็ใช่ ตะกรุดหนังหน้าผากเสือก็ใช่ ปรอทสำเร็จก็มาจากสายท่านเหมือนกัน"

เถรี 02-05-2017 19:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตรัสชาดกหลายเรื่อง ที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นพระราชา ตรัสบอกช่างตัดผม สมัยนั้นเรียกว่ากัลบก ว่าถ้าเห็นว่ามีผมหงอกเมื่อไรให้รีบบอก ถึงเวลาช่างตัดผมเห็น ก็ทูลเตือนว่ามีผมหงอกเกิดขึ้นแล้ว พระองค์ท่านจึงสละราชสมบัติออกบวช ปฏิบัติธรรมได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ตายแล้วไปอยู่พรหมโลก ที่พูดเรื่องนี้เพื่อเตือนให้รู้ว่า พวกเราก็แก่พอควรแล้ว"

เถรี 02-05-2017 19:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดซุงท่านถามว่า "เล็ก...ไปอเมริกาด้วยกันไหม ?" อาตมาตอบว่า "ไม่ไปครับหลวงพ่อ" ท่านถามว่า "ทำไมวะ ?" กราบเรียนว่า "ค่าเครื่องบินตั้ง ๔ หมื่นกว่าบาท ผมกลัวไปแล้วทำงานไม่คุ้มครับ"

หลวงพ่อกลับจากอเมริกา อาตมาก็มารับท่าน คณะที่ไปกับหลวงพ่อ ๓๒ คน ก็แปลว่าหลวงพ่อต้องจ่ายค่าเครื่องบินทั้งคณะล้านกว่าบาท กราบเรียนหลวงพ่อด้วยความคับข้องใจมากว่า "หลวงพ่อครับ จ่ายเงินทีเป็นล้านคุ้มแบบนี้หรือครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าแนะนำให้คนรู้จักพระนิพพานได้แม้แต่คนเดียวถือว่าคุ้ม เพราะว่าเงินล้านซื้อพระนิพพานไม่ได้..!" จริงของท่าน แต่ตอนนั้นอาตมามองไม่ถึง มองไม่เห็น กลัวว่าไปแล้วทำประโยชน์ไม่สมกับค่าของเงิน

เหมือนอย่างทุกวันนี้ไปเหนือไปใต้ บางทีพระในวัดก็ อูย...เป็นพระอาจารย์นี่ดีจังเลย ได้ไปเที่ยวอีกแล้ว เขารู้ไหมว่าตูไปเชียงใหม่ ๓ วัน นั่งจนตูดด้านทั้ง ๓ วัน มีแต่โยมที่ออกไปตะลอน ๆ เที่ยวอยู่ข้างนอก เพราะว่าพอโยมเขารู้ว่ามา เขาก็แห่กันมาทั้งวัน ไม่เป็นเวลา แล้วจะไปไหนได้ ?

ไปหาดใหญ่ ๕ วัน โอ๊ย...พระอาจารย์เล็กไปเที่ยวอีกแล้ว ตูนั่งตูดด้านทั้ง ๕ วัน พูดง่าย ๆ คือ ถ้าไม่เห็นท่ารถก็เห็นสนามบิน นอกจากนั้นไม่ต้องไปไหนหรอก เขาจับไปตั้งไว้ที่ไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ได้เวลาเขานิมนต์ไปฉัน หลังจากนั้นก็มากวนต่อ จะโทษโยมก็ไม่ได้ เขาอยู่ไกลเรามายาก นาน ๆ ไปที เขาก็นั่งเฝ้ากันไม่เลิก

ตอนนี้คนที่ภูเก็ตทนไม่ได้ อาตมาไม่ได้ไปตั้ง ๒ ปีแล้ว เขานั่งเครื่องบินมาหากันเอง"

เถรี 02-05-2017 19:45

"ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลมา งานในมือมีมากขึ้น โดยเฉพาะบังคับรายงานการตรวจการณ์คณะสงฆ์ ไปแล้วเจอใคร ให้คำแนะนำว่าอะไร ครั้งต่อไปต้องตามงานนั้นด้วย

เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านดุเดือดมาก เร่งรัดทุกอย่างแทบไม่มีเวลาหายใจ ตอนนี้คำสั่งวิ่งตรงจากภาคถึงวัดเลย ไม่ผ่านจังหวัด ไม่ผ่านอำเภอ อาตมาเจอหลวงพ่อพรหมดิลก ท่านถาม "เป็นอย่างไรบ้างวะเล็ก ?" กราบเรียนว่า "ขออภัยครับหลวงพ่อ เหนื่อยฉิบหา...เลย สมัยหลวงพ่อเป็นเจ้าคณะภาค ผมไม่เห็นจะเหนื่อยเท่านี้ ตอนนี้ท่านเรียกใช้หัวไม่วางหางไม่เว้น" ท่านบอกว่า "ดี...ผู้บังคับบัญชาเรียกใช้ แสดงว่าท่านเห็นความสามารถ" เลยกราบเรียนท่านแบบขำ ๆ ว่า "ผมยอมเป็นคนไม่มีความสามารถจะดีกว่า"

แต่ว่าชอบใจท่านเจ้าคณะภาคอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถวายอะไรท่านไม่รับหรอก ท่านบอกว่าท่านมีแล้ว มีเยอะกว่าด้วย ถ้าคุณขาดบอกผมแล้วกัน จัดโครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ท่านถามว่าขาดอะไรบ้าง ? ผ้าไตรขาดไหม ? วิทยากรขาดไหม ? เงินขาดไหม ? ขาดอะไรให้บอก ไปขอสนับสนุนจากท่านได้

เพิ่งเจอเจ้านายแบบนี้ ประเภทสนับสนุนแม้กระทั่งเงิน ที่ผ่านมาเจอสนับสนุนแค่สิ่งของ หรือไม่ก็ออกนโยบายให้พวกเราไปดิ้นรนทำกันเอง ไปวัดนิมนต์ไปถวายปัจจัยไทยธรรมก็ไม่รับ ท่านบอกว่าผมมีมากแล้ว แล้วนิมนต์ก็ไม่เคยไป นิมนต์มา ๕ ครั้ง ท่านไม่เคยไปวัดท่าขนุน เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นงานทำบุญครบรอบปีบ้าง งานฉลองบ้าง ท่านบอกว่างานแบบนั้นได้ประโยชน์น้อย ท่านไปที่อื่นดีกว่า

แต่ที่ไปท่านไปเองนะ ไม่ได้นิมนต์ ผ่านไปเมื่อไรก็แวะตรวจ ไปไม่เป็นเวล่ำเวลา นึกอยากจะไปเมื่อไรก็ไป ไปวัดไหนท่านก็เดินเข้าไปดูว่า ทำงานตามที่ท่านสั่งหรือเปล่า ?"

เถรี 02-05-2017 19:50

"ท่านบอกว่า ท่านตั้งปณิธานไว้ว่า ก่อนที่จะหมดอายุราชการของการเป็นเจ้าคณะภาค ท่านจะต้องไปให้ได้ครบทุกวัด โอ้...พระเจ้า บางวัดอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวเลย อาตมายังยุเจ้าคณะอำเภอว่า ปีหน้าเราจัดอบรมพระนวกะที่วัดคลิตี้ล่างกันเถอะ

ถามว่าวัดคลิตี้ล่างไกลแค่ไหน ? ไกลจากวัดท่าขนุนเข้าป่าไป ๘๗ กิโลเมตร อยู่ในเขตตำบลชะแล เขต ๒ ตอนอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ ไม่มีโอกาสใช้เครื่องทุ่นแรง เพราะโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ พื้นที่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่อุทยานก็เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาไม่ยอมให้ตั้งเสาโทรศัพท์อยู่แล้ว มีงานอะไรมีวิธีเดียวคือวิ่งส่งหนังสือถึงวัด ปรากฏว่าในนั้นมีอยู่ ๕ วัดและ ๗ สำนักสงฆ์ ไม่ใช่เยอะนะ พื้นที่ใหญ่มหึมาเลย

อำเภอทองผาภูมิใหญ่เท่าสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ๓ จังหวัดรวมกัน แล้วตำบลชะแล เขต ๒ ใหญ่ครึ่งอำเภอ..! อาตมาวิ่งส่งหนังสือวัดแรก ถึงวัดสุดท้าย ๑๔๒ กิโลเมตร..! เข้าไปทุกเดือน บางเดือนก็ ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง บรรดาเจ้าอาวาสเขาบอกว่า ตั้งแต่มีเจ้าคณะตำบลมา เห็นหน้าพระอาจารย์คนเดียว คนอื่นเขาไม่เข้าไปหรอก เขาเป็นเจ้าคณะตำบลแค่โก้ ๆ เฉย ๆ"

เถรี 02-05-2017 19:51

"ทางราชการสนับสนุนนิตยภัต ตอนนั้นอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบล ไม่ได้เป็นพระครูสัญญาบัตร ได้เดือนละ ๑,๘๐๐ บาท วิ่งรถเที่ยวเดียวก็หมดแล้ว แล้วพวกปัญญามากหรือปัญญานิ่มก็ไม่รู้ ? ยังจะออกกฎหมายมายึดเงินพระอีก ตูละเซ็ง...! ที่มีอยู่ก็ไม่พอใช้ยังจะมายึดอีก จะออกกฎหมายยึดธรรมกายวัดเดียวก็ออกให้ชัด ๆ ไปเลย ไม่ต้องมาเหวี่ยงแห...!"

เถรี 02-05-2017 20:08

ถาม : พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ก่อนกินต้องเอาไปฝนก่อนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็ว่าจะให้ฝนนะ แต่เห็นเขากินไปทั้งองค์เลยก็มี

ถาม : ต้องกินนานเท่าไร หรือกี่เม็ดคะ ?
ตอบ : จนกว่าจะหายแล้วกัน ตากแห้งก่อนนะ ที่ได้ไปยังไม่แห้ง ไปฝนตอนนั้นก็แหลกหมดทั้งองค์ ตากลมนะ ยาจินดามณีตากแดดไม่ได้ เพราะว่าส่วนผสมหลักอย่างหนึ่งคือน้ำผึ้ง โดดแดดแล้วเยิ้มละลายจนเนื้อนิ่มใหม่ แต่ถ้าหากความชื้นหมด แห้งจริง ๆ จะแกร่งเป็นหินเลย อย่างที่โบราณเรียกว่าเป็นพระธาตุ

อาตมายังสงสัยว่าถ้าแข็งขนาดนั้นแล้วไปฝน ที่ออกมาจะเป็นตัวยาหรือเป็นฝาละมี ฝนไปฝนมา แทนที่ยาจะสึก กลายเป็นฝาละมีสึกมากกว่า..!

เถรี 02-05-2017 20:15

พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมอายุมาก ที่มีลูกหลานประคองมาว่า "ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้เป็นภาระยิ่งหนอ

นึกถึงตอนสมัยหนุ่ม ๆ อายุ ๓๐ กว่า นั่งที่บ้านอนุสาวรีย์ตั้งแต่ ๗ โมงครึ่งยัน ๓ ทุ่มทุกวัน มีเวลาลุกไปฉันอาหารกับเข้าห้องน้ำเท่านั้น ก็นั่งอยู่ได้ สมัยนี้เปลี่ยนจาก ๓๔ ปี เป็น ๕๘ ปี ไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ได้พักจะนั่งคอพับไปเลย

วันก่อนเจอโยมที่รู้จักกันตั้งแต่ฆราวาส ไปหาหลวงพ่อบ๊ะด้วยกัน โยมเจอก็ดีใจ มายกมือไหว้ ถามว่าจำได้ไหม ? อาตมาเลยบอกชื่อบอกนามสกุลไป ถามว่าสุขภาพโยมเป็นอย่างไรบ้าง ? โยมบอกว่า "เต็มทีครับ ๘๐ แล้ว" ยังถามกลับว่า "หลวงพี่เป็นอย่างไรบ้างครับ ?" "ก็มาหาหมอ...โยมเห็นว่าเป็นอย่างไรล่ะ ?"

ญาติโยมบางคนพออายุมากหน่อยก็เริ่มถอดใจ อาตมายืนยันว่า ถ้าอยู่ได้มีแก่กว่านั้นอีก ตอนอาตมาบวชใหม่ ๆ อายุ ๒๐ กว่า เฝ้าหน้าห้องให้หลวงพ่อวัดท่าซุง หน้าหนาวใส่อังสะตัวเดียว จีวรยังไม่ห่มเลย หลวงพ่อท่านเดินเข้าตึกมาถามว่า "แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?" กราบเรียนท่านว่า "ยังไม่หนาวครับ" เพราะว่าหลวงพ่อท่านใส่ทั้งอังสะไหมพรม ทั้งถุงเท้า ทั้งหมวกไหมพรม"

เถรี 02-05-2017 20:18

"พอหลังอายุ ๓๐ ปี ไม่ต้องให้ท่านถามแล้ว ไปวิ่งหามาใส่เอง พอหลัง ๔๐ ปี ทำอะไรก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย หลัง ๕๐ ปีนี่แย่แล้ว ก่อนหน้านี้บอกเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ยังตื๊อต่อได้เป็นวัน ๆ สมัยนี้ถ้าบอกไม่ไหวแล้วคือต้องหยุดเลย หมดก๊อกจริง ๆ พลังงานสำรองไม่มีแล้ว โบราณถึงได้บอกว่า "อายุ ๕๐ ปี ไปบ่ถึงมาทอดหุ่ย" เดินทางได้ไม่ไกลเท่าเดิม กลับมาก็ต้องพักกันนาน พออายุ ๖๐ ปี บอกว่า "เป่าขลุ่ยบ่ดัง" ไม่มีลมหายใจเป่าขลุ่ย แค่หายใจเองก็ลำบากแล้ว

ไปนึกถึงหลวงปู่องค์หนึ่ง คือ หลวงปู่พากุละ เป็นพระที่อายุยืนที่สุดในพระไตรปิฎก อายุ ๑๕๐ ปี ท่านเบื่อเพราะว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่มี รุ่นน้องก็ไม่มี รุ่นลูกก็ไม่มี ที่เหลือก็เหลือแต่หลานกับเหลน ท้ายสุดท่านก็เทศน์สั่งสอนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเข้าห้องนั่งสมาธิไปพระนิพพานเลย

ไม่ได้ตายเพราะหมดอายุ แต่ว่าเบื่อร่างกายเต็มที จึงทิ้งร่างกายไปเลย ในอดีตชาติท่านสร้างส้วมถวายวัด เกิดมาชาตินี้เป็นผู้ที่เลิศในทางมีโรคน้อย นอกจากความหิวแล้วไม่เคยเป็นอะไรเลย เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนก็ไม่เป็น อายุยืนที่สุดที่ปรากฏในพระไตรปิฎก คือ ๑๕๐ ปี"

เถรี 02-05-2017 20:20

"ขออย่าให้ต้องอยู่อย่างท่านเลย อาตมาอยู่ถึง ๖๐ ปี ถือว่าเก็บตกได้แล้ว เพราะในอดีตเป็นทหารมาทุกชาติ อาตมาไม่ต้องดูเอง หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าเป็นทหารมาทุกชาติ ปาณาติบาตที่ทำไว้มาก จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าอย่างน้อยเดือนละตัวสองตัว จะช่วยบรรเทากรรมตรงนี้ได้ อาตมาเริ่มปล่อยตามที่ท่านสั่ง คือวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ มาจนทุกวันนี้ แต่ไม่เคยปล่อยเดือนละตัวสองตัว ไปเจอก็เหมาหมดตลาด

ญาติโยมไปวัดท่าซุงแล้วตื่นเต้นกับวังมัจฉาว่าปลาเยอะเหลือเกิน ขอบอกว่าอาตมาปล่อยไว้เอง ซื้อทุกเดือนปล่อยทุกเดือน ตอนแรกปล่อยที่บ่อข้างร้านอาหารป้ากิมกี ปล่อยไปปล่อยมา หลวงพ่อท่านบอกว่า "เฮ้ย..แกแหกตาดูบ้างหรือเปล่า ? ปลาจะหายใจไม่ได้อยู่แล้ว" ท้ายสุดลองเอาอาหารเม็ดโยนไป โอ้พระเจ้า...ขึ้นมาแน่นยิ่งกว่าหนอนอีก ครั้งต่อไปจึงต้องปล่อยลงแม่น้ำ

ขอบอกว่าไม่มากไม่มาย ๓๒ ปี ที่ปล่อยต่อเนื่องกัน แต่ละเดือนไม่ต้องนับจำนวน อาการป่วยไข้ถึงได้เบาลง ไม่อย่างนั้นนี่หัวอาทิตย์ท้ายอาทิตย์จะต้องเป็น ก็แปลว่าถ้าเราทำสม่ำเสมอ ก็จะเห็นผลในชาตินี้เหมือนกัน แต่เนื่องจากว่าสร้างกรรมไว้หนัก ๒๕ ปีผ่านไปเริ่มมาได้หมอดียาดี ตอน พ.ศ. ๒๕๕๕ น้ำหนักขึ้นมา ๔ กิโลกรัม"

เถรี 02-05-2017 22:23

พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนี่อนาถมาก อนาถตรงไหน ? ตรงที่สร้างวัตถุมงคลแล้วต้องรอโยมถวายถึงจะมีกับเขา ส่วนใหญ่ออกมาโยมก็แย่งบูชากันหมด พอโยมเอามาถวายถึงได้มีกับเขาบ้าง”

เถรี 02-05-2017 23:05

ถาม : อยู่คนเดียวเหมือนอยู่หลายคน อยู่หลายคนเหมือนอยู่คนเดียว ไม่เข้าใจความหมายครับ ?
ตอบ : ต้องมีสติระมัดระวังตัวอยู่เสมอเหมือนกับอยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ใช่ว่าลับหลังเขาแล้วทำตัวตามสบาย ขาดสติ กิเลสก็กินตายห่...สิครับ..!

ถาม : อ๋อ..ทำเหมือนกัน ?
ตอบ : เออ...ต่อหน้าหรือลับหลังทำเหมือนกัน ไม่ใช่ว่า ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก

เถรี 02-05-2017 23:05

ถาม : เรื่องศีลข้อสามล่ะครับ ถ้าผู้หญิงมีผู้ปกครอง ?
ตอบ : ไม่มีคำว่าถ้า...ไม่มีการยกเว้นทุกรูปแบบ สรุปแล้วตูยังไม่เห็นช่องทางจะฝ่าฝืนได้เลย

ถาม : ไม่มีผู้ปกครอง หมายถึงว่ามีพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ?
ตอบ : ไม่ใช่...ไอ้นี่ของเอ็ง ต้องเอาของพระพุทธเจ้าสิวะ..!

ถาม : แม้ว่าจะอายุ ๕๐ ปี ?
ตอบ : ต่อให้อายุ ๕๐ ก็มี เพราะท่านบอกแล้ว มีพ่อ มีแม่ มีพี่ชาย มีน้องชาย มีพี่สาว มีน้องสาว มีเพื่อน มีกฎหมาย มีผู้จองแล้ว มีพระราชาปกครองก็คือกฎหมายคุ้มครอง คนอายุ ๕๐ ก็ยังอยู่ใต้กฎหมายอยู่ดี

อาตมาพยายามจะฝ่าฝืนแล้วไม่สำเร็จ ก็เลยต้องมาบวช..! ไม่มีช่องให้ฝืนเลย ท้ายสุดท่านบอกว่า “มีธรรมปกครอง” บรรลัยเลย ไม่มีใครเหลือเลยสักคน อยู่คนเดียวยังมีธรรมปกครอง

เถรี 02-05-2017 23:08

ถาม : อุเบกขากับอภัย ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันเยอะ อภัยก็คือยอมปล่อยวาง อุเบกขาแค่กดเอาไว้เหมือนกับหินทับหญ้า ถ้าหินเคลื่อนเมื่อไรหญ้าก็งอกงามใหม่ แต่อภัยนั้นคือปล่อยวางไปเลย ไม่เก็บมาใส่ใจอีก จึงไม่เดือดร้อนด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย

เถรี 02-05-2017 23:12

ถาม : พุทธานุสติสามารถที่จะทรงฌานได้หรือไม่ครับ หรือเป็นแค่อุปจารสมาธิครับ ?
ตอบ : เป็นได้ ตามที่เขาบอกว่าพุทธานุสติเต็มที่ได้ไม่เกินอุปจารสมาธิ...ใช่ไหม ? พอถึงเวลาเราคิดจนอารมณ์ใจทรงตัวในคุณพระรัตนตรัยแล้ว ก็ใช้อานาปานสติควบไป จะเป็นฌานในพุทธานุสติเอง คนทำไม่เป็นก็บอกว่าทำได้แค่นั้น ท่านพูดความจริงว่าทำได้แค่นั้น แต่ท่านพูดไม่หมดว่าสามารถพลิกแพลงเพื่อทำได้มากกว่านั้น

ถาม : จะให้ทรงฌานตลอดเวลา ?
ตอบ : เอ็งไม่คิดจะทำอย่างอื่นบ้างเลยหรือ ? ทรงฌานตลอดเวลา ถ้าตัดกิเลสไม่ได้ ถึงเวลาฌานหลุดกิเลสก็ตีตาย หัดขยับออกมาพิจารณาบ้างสิ

เถรี 02-05-2017 23:17

ถาม : (การพูดกับผู้อื่น)
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า วาจาที่ไม่มีประโยชน์ พูดไปแล้วคนอื่นไม่ชอบใจ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
วาจาที่ไม่มีประโยชน์ พูดไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
วาจาใดที่มีประโยชน์ พูดไปแล้วคนอื่นไม่ชอบใจ ตถาคตเลือกเวลาที่จะกล่าววาจานั้น
วาจาใดที่เป็นประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนอื่นชอบใจ ตถาคตมักกล่าววาจานั้น

ไปเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะทำอย่างไร แปลว่าต้องดูกาลเทศะที่เหมาะสมด้วย

เถรี 02-05-2017 23:17

:4672615: เก็บตกเดือนเมษายน ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:19


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว