กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3952)

เถรี 28-12-2013 20:53

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เวลาทำบุญอย่างอน เดี๋ยวจะกลายเป็นอสูร อสูรที่ว่าไม่ใช่อสุรกาย เป็นเทวอสุรกาย คืออสุรกายจำพวกเทพ ท่านทำบุญผสมความโกรธ ฉะนั้น..ถ้างอนแบบนี้ก็เสร็จหมด"

ถาม : พวกเล่นการพนัน เขาว่ามีผีพนันสิง จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นประเภทแพ้ใจตัวเอง ผีพนันมีจริง ๆ แต่ถ้าผีกิเลสจะห้ามยาก ผีกิเลสอยู่ในใจตัวเอง ต้องถามพระครูแสง สมัยก่อนไปอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย พวกคนไทยที่ไปอยู่ซาอุฯ กว่าจะได้กลับบ้านเป็นปี ๆ เหล้ายาก็ไม่มีกินเพราะเขาห้าม ก็เลยหาทางเล่นการพนันกัน พระครูแสงไม่ชอบเล่นการพนัน แกก็ไปแค่ดู ๆ แต่วันนั้นคันอะไรขึ้นมาไม่รู้ เลยลองหยอดดู ปรากฏว่าพอกลับมาถึงที่พักแล้ว นอนแล้วอยากไปเล่นอีก แกก็แปลกใจว่าทำไม เพราะไม่เคยเป็นอย่างนี้ ก็เลยนั่งกรรมฐาน

ด้วยความที่เคยฝึกมโนมยิทธิมา พอนั่งกรรมฐานก็เห็นผียืดออกมาจากผนังครึ่งตัว มาลากแกไปเล่นต่อ แกเลยถามว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ผีก็เลยเล่าให้ฟังว่าเจ้ามือผูกแกไว้ใช้งาน ถ้าใครไปเล่นแล้วต้องมาลากไปเล่นใหม่ ทางด้านมาเก๊า ฮ่องกง บ่อนต่าง ๆ จะจ้างพวกหมอผี พอถึงเวลามีคนเสียพนันจนหาทางออกไม่ได้ แล้วฆ่าตัวตาย เขาจะไปขอญาติว่าขอจัดงานศพให้ ญาติเห็นว่าเป็นประเภทผีพนันเขาไม่รักอยู่แล้ว พอมีคนจัดงานศพให้ ตัวเองไม่เสียเงิน ก็รีบอนุญาตให้เขา

ปรากฏว่าเขาเอาหมอผีไปผูกวิญญาณไว้ เพื่อเอาไว้พาคนเข้าบ่อน จัดงานศพให้ก็จริง แต่คนตายคงทุกข์ทรมานอีกนาน ต้องทำงานให้เขาจนกว่าจะพอใจ ฉะนั้น..ใครเข้าบ่อนแล้วมีปัญหา โปรดทราบ เขาเล่นกันอย่างนี้ทั้งนั้น เมื่ออาทิตย์ก่อน สามีของวรรณอยากเข้าบ่อนเขมรไปดู ศึกษาว่าเป็นอย่างไร คราวนี้ตัวเองไม่มีพาสปอร์ต แต่วรรณเดินทางเข้าออกไทยเขมรเป็นปกติ เพราะเป็นหลานพี่วิไล วรรณก็เลยต้องเข้าไปเพื่อบรรยายให้สามีฟังว่าบ่อนหน้าตาเป็นอย่างไร ปรากฏว่าเข้าไปแล้วรู้สึกทันทีว่ามึนไปหมด แล้วก็อยากจะเล่นแต่การพนัน ก็เลยอาราธนายันต์เกราะเพชร ...(หัวเราะ)... เออ..สติยังดีอยู่

คราวนี้พอเข้าไปแล้วไม่มีอาการผิดปกติ พวกที่ดูแลบ่อนอยู่คงจะดูออก เลยมาเดินวนอยู่ ๓ รอบ ๔ รอบ ๕ รอบ ว่าคนนี้มีอะไรดี เขาถึงทำอะไรไม่ได้ ปรากฏว่าวรรณใส่เสื้อยืดของสามีไป มีหนังสือ Rayal Thai Army พวกนั้นเลยไม่กล้ายุ่ง สามีของวรรณเป็นทหารอยู่กรมสรรพาวุธ พวกนั้นเห็นตราทหารไทยก็เลยถอย

อบายมุขแปลว่าปากทางแห่งความเสื่อม ปากทางแห่งอบายภูมิ
ถ้าเศร้าหมองมาก ๆ ก็ลงอบายภูมิเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เป็นนักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง แม้กระทั่งขี้เกียจทำงาน ก็เป็นอบายมุขทั้งหมด ขี้เกียจทำงานประเภทเกาะเขากินไปวัน ๆ จะมีคนเลี้ยงสักกี่คน เดี๋ยวก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน กำลังใจก็ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ

อบายเป็นทางเสื่อม ทางต่ำ สมัยก่อนมีหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่เกี่ยวกับการพนันโดยเฉพาะเลย พวกนั้นเล่นกันด้วยฝีมือ แต่ส่วนใหญ่แล้วใช้วิธีไสยศาสตร์ดึงคนเข้าไป สมัยเขาทรายไปต่อยมวยที่อินโดนิเซียก็โดนไสยศาสตร์ เขาบอกว่าต่อยไปแล้วเห็นคู่ต่อสู้เป็น ๓ คน ๔ คน แล้วจะต่อยคนไหนล่ะ ? พอหมดยกบอกพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงตะโกนบอกผู้จัดการ คุณแชแม้ (นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์) รีบเอาพระสมเด็จวัดระฆังที่แขวนคออยู่ ทำน้ำมนต์ราดหัวให้ ถึงได้สติคืนมา

เถรี 28-12-2013 20:57

ไสยศาสตร์มีมาแต่ดั้งแต่เดิม คนเราก่อนที่จะรู้จักศาสนา ต้องพัวพันกับไสยศาสตร์มาก่อนทั้งนั้น เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าเผ่าไหนพันธุ์ไหนก็ตาม ท้ายสุดก็จะมีผู้นำทางจิตวิญญาณอยู่คนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือหมอผี พวกนี้ต้องบอกว่า born to be เกิดมาแล้วก็รู้เห็นพวกนี้ อย่างที่อาตมาไปลองของกับหมอผีกะเหรี่ยง แค่อยากรู้ว่าเวลาผีมาแล้วจะเป็นอย่างไร พอไปอยู่ในพิธีผีไม่เข้ามา ไปยืนหัวค้ำภูเขาอยู่ข้างนอก หมอผีกะเหรี่ยงเขาไม่เริ่มพิธีสักที เพราะผียังไม่เข้ามา ก็แสดงว่าพวกเขารู้เห็นกันทุกคน

ในเมื่อรู้เห็นกันทุกคน ก็เหมือนคนปกติทั่วไป พอผีไม่เข้ามาก็ทำพิธีไม่ได้ ท้ายสุดอาตมาต้องถอนสมอ ปรากฏว่าพอถอยออกไป ผีลงแล้วอาละวาด เมื่อก่อนผีไม่เคยอาละวาด เพราะปกติมาก็ลงได้เลย พอผีมาอาละวาด เจดีย์ไม้ไผ่ที่ปัก ๆ ไว้ ร่างทรงเอาแขนกวาดหักหมดเลย ไม้ไผ่นะ เอาแขนเปล่า ๆ กวาดหักหมดเลย อาตมาก็ว่าไอ้ห่..นี่ซ่ามาก ต้องเล่นสักหน่อย แอบเล่นไม่ให้หมอผีรู้ ว่าคาถาสะกด เอาหัวแม่เท้าจิกดินไว้ เขามีเคล็ดลับที่ตรงนั้น

ผีอาละวาดสุดชีวิตเลย จะออกก็ออกไม่ได้ ปรากฏว่าเกือบชั่วโมง อาตมาเองก็เหงื่อไหลท่วมตัวเลย กูจะเสร็จมันไหมนี่ ? ปรากฏว่าผีหมดสภาพก่อน..ยอมกราบ ท้ายสุดก็ลงมากราบ ถ้าต่อได้อีก ๑๕ นาที อาตมาเสร็จก่อนแน่ ลองกับพวกนี้ไม่ได้หรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเสมอว่า อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ เพราะเขาไม่ต้องพัก แต่พวกเราต้องพัก ตอนพักนี่แหละที่จะเสร็จเขา

อาตมาตั้งใจแกล้งเฉย ๆ ไม่ได้จะไปเฉ่งใครโดยตรง ใครจะไปนึกว่าสะกดแทบไม่อยู่ กลั้นใจว่าแล้วเอาหัวแม่เท้าจิกดินไว้ อย่ายกขาขึ้นจนกว่าเราคิดจะปล่อย ถ้ายกหัวแม่เท้าขึ้นเมื่อไรก็หลุด เท่าที่ศึกษามาที่ขำที่สุดคือคาถาไสยศาสตร์ เป็นหัวใจพระธรรมทั้งนั้น ส่วนใหญ่เอาจากพระไตรปิฎก แปลกดีนะ...เอาศาสนาพุทธไปเล่นเรื่องผีได้

เถรี 28-12-2013 21:03

พวกเจ้าพ่อเจ้าปู่ทั้งหลายส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่มหิทธิกาเปรต ก็จะเป็นกาลกัญจิกอสุรกาย แล้วก็จะมีพวกกระจิ๊บกระจ๊อยเป็นบริวาร อาตมาไปที่หาดใหญ่ พอดีตรงกับช่วงกินเจ เขาก็มีแห่เจ้า น่าจะชื่อหมู่บ้านจันทร์วิโรจน์กระมัง ? เขามีศาลเจ้าแม่กวนอิมอยู่ ปรากฏว่านอกจากแห่เจ้าแม่กวนอิมแล้ว ยังมีเจ้าพ่อเสือ มีกวนอู มีนาจา ขบวนรถเป็น ๑๐ คัน อาตมาก็ไปยืนดูว่าเขาจะลงทรงอย่างไร ยืนดูอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงก็ไม่ทรงสักที อาตมาก็คิดว่า "เมื่อไรจะทรงวะ ? ร้อนจะตายชัก จะ ๑๐ โมงอยู่แล้ว ตูไม่รอแล้ว.."

ท้ายสุดก็เลยตั้งใจกำหนดใจดู ปรากฏว่าเห็นเจ้าที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็ถามว่าเมื่อไรจะลงทรงสักที ? เจ้าที่ก็บอกว่า "พวกเขาเกรงใจท่านครับ" เลยบอกเจ้าที่ว่า "ช่วยบอกเขาว่าลง ๆ สักทีอยากดู.." โอ้โห..คราวนี้ลงกันเป็นสิบเลย ลงกันใหญ่ ปรากฏว่าดันไปลงเจ้าของหมู่บ้านเองด้วย พออนุญาตให้ลง เลยลงกันฉิบหายวายป่วง คราวนี้ร่างทรงเจ้าแม่กวนอิมรู้เข้าว่าคนนี้คุมขบวน ไปลงเข้าแล้วใครจะคุม ? ก็เลยไปขอร้องให้ออกแล้วลงคนอื่นแทน แต่เขาแทงปากไปแล้ว เหล็กตั้ง ๓ - ๔ อัน ร่างทรงแกดึงออก เอาผ้ายันต์จีนรูดปื๊ดเดียวแผลหายหมดเลย ไม่มีเหลืออะไรเลย เออ..เข้าท่าดี ไม่ต้องเสียเวลาเย็บ ไม่ต้องเสียค่าทำแผล

เลยตั้งใจถามเทวดาว่าทำไมมีแต่พวกนี้ ? ส่วนใหญ่เป็นผีทั่ว ๆ ไป ท่านบอกว่า จริง ๆ แล้วมีท่านคุมขบวนคนเดียวก็พอ ลักษณะมาโดยถือรับสั่ง คือเจ้าแม่ท่านอนุญาต ก็มาโดยถือรับสั่ง มาแล้วพวกนี้แสดงให้คนเห็นแล้วศรัทธา จัดเป็นอนุสติอย่างหนึ่ง ก็เลยอนุญาตให้ลงได้ ไม่อย่างนั้นไม่ได้ลงหรอก เพราะเทวดาก็อยู่ตรงนั้น อาตมาถึงได้เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้เอง ปรากฏว่าไปดู ๆ ในขบวนแห่แล้วก็ขำ มีเจ้าแม่กวนอิมไม่พอ มีตั่วเหล่าเอี้ย
(เจ้าพ่อเสือ) ด้วย ตั่วเหล่าเอี้ยคือพระอินทร์ เวรแล้วกู มิน่าล่ะ..ถึงไม่กล้าลง อาตมาเป็นเด็กเส้นใหญ่ เป็นลูกเป็นหลานท่าน ไปแล้วใครจะไปกล้าลง

ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกสัมภเวสี เปรต อสุรกาย พวกนี้ก็อาศัยบารมี อย่างบางทีเจ้าพ่อเจ้าแม่ท่านไม่ได้ทำอะไรเราหรอก ท่านเป็นเทวดา แต่ว่าพวกบริวารโกรธ จึงเล่นแทน อย่างบางคนไปดูถูกเหยียดหยามไม่ให้ความเคารพท่าน พวกนี้ลงมือแทน ศาลไหนที่เซ่นด้วยเหล้า พวกนี้จัดการแทนหมด เทวดาเขาไม่ยุ่งกับเหล้าหรอก แต่นี่เจ้าที่มาคุมขบวนไม่ให้แตกแถว เวลาไปเจอพวกนี้ บางทีของบางอย่างที่เราไม่รู้ก็จะได้รู้

เถรี 28-12-2013 21:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนดีจริง ๆ ยังไม่มีอำนาจ ถ้าคนดีจริงมีอำนาจ ผู้นำไม่เอาเสียอย่าง หัวไม่ส่าย หางก็กระดิกไม่ได้ ดูอย่างตำรวจยุคปัจจุบัน ผบ.อดุลย์แกเฉ่งจริง ๆ ประเภทย้ายยกโรงพัก ถ้าเป็นอาตมาโดนหนักกว่านั้นอีก ตูให้ออกไว้ก่อน แต่แกก็ให้ออกเป็นชุดเลยนะ ถ้าโดนอย่างนั้นเขาจะกลัวกัน อีกอย่างหนึ่งที่อยากได้คือเรื่องของตำรวจ ขอให้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง อย่างเช่นว่าให้สิทธิ์ผู้บังคับการณ์จังหวัดแต่ละจังหวัด รับสมัครตำรวจเลย เอาเฉพาะคนในจังหวัดนั้น ถ้าผิดพลาดอะไรก็ปลดออกไปเลย แล้วก็ฝึกคนใหม่ ปลดออกไปแล้วฝึกคนใหม่ เอาพวกจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ก็ได้ เอามาแล้วมาฝึกแบบธรรมเนียมของตำรวจ แล้วบรรจุเข้าไป เขาเป็นคนพื้นที่ รู้ทางหนีทีไล่ดี โจรขโมยที่ไหนก็เล่นยาก โดยเฉพาะว่าอยู่ในพื้นที่ตัวเองนาน ๆ ไปก็รู้ซอกรู้มุมทะลุปรุโปร่งหมด

ประเภทอยู่ ๓ เดือน ๖ เดือน ยังไม่ทันจะเดินทั่วเลย โดนย้ายอีกแล้ว งานก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในลักษณะป้องปรามได้ ป้องปรามคือกันไม่ให้เรื่องเกิด เคยได้ยินเซียนพระท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าแขวนสมเด็จวัดระฆังมา ๔๐ ปี ไม่เคยเจอปาฏิหาริย์อะไรเลย นี่แหละคือสุดยอดปาฏิหาริย์ คือแขวนแล้วไม่เจอเหตุร้ายอะไรให้ตัวเองต้องรู้ว่าบารมีพระเป็นอย่างไร บอกว่านี่แหละคือสุดยอดปาฏิหาริย์แล้ว ก็ลักษณะเดียวกับป้องปราม ก็คือกันไม่ให้เหตุเกิด เก่งกว่าไปปราบ

แต่คราวนี้บ้านเราคงอีกนาน แต่ถ้าได้หัวก้าวหน้าอย่าง ผบ.เพรียวพันธ์ ผบ.อดุลย์ ต่อไปตำรวจจะดีขึ้นเยอะ อย่าง ผบ.เพรียวพันธ์ ก่อนที่จะเกษียณครึ่งปี ท่านยกงานให้ ผบ.อดุลย์ทำไปเลย จะจัดคนย้ายคนอย่างไร ทำไปเลย ท่านมีหน้าที่เซ็นรับทราบอย่างเดียว ที่นี้พอลูกน้องมาเห็น อ้าว..คนนี้แน่นอนแล้วว่าจะเป็น ผบ.ตร. คนก็แห่ไปทางด้านโน้น ไม่ต้องมากั๊ก กลัวว่าเจ้านายเก่าจะเหม็นขี้หน้า ท่านยกให้ทำงานก่อนครึ่งปีเลย ก่อนเกษียณ

ก็ถือว่าเป็นความคิดของอาตมา ที่ว่าอยากให้คนในพื้นที่ได้รับใช้คนในพื้นที่ของตัวเอง ให้เขาค่อย ๆ โตในพื้นที่ตัวเอง โดยเฉพาะว่าถ้าผิดเองก็
ให้ออก ไล่ออก ปลดออกไปเลย เขาก็จะกลัว ไม่กล้าทำผิดเอง เพราะว่าหมดอนาคต ถ้าชื่อติดตัวแดงก็เรียบร้อย ไม่ต้องทำมาหากินเลย"

เถรี 29-12-2013 21:09

ถาม : พระในภาคตะวันออก เช่น ระยอง ชลบุรี ที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : มีที่จันทบุรีเลย ก็คือ หลวงพ่อมนัส ตอนนี้ท่านย้ายไปสำนักฝึกกรรมฐานฟื้นฟูจิตเขาแหลม ก่อนหน้านี้ท่านอยู่ที่ทุ่งจันดำ แล้วย้ายไปคลองเกวียนลอย เพราะคนไปรบกวนเยอะ ท่านก็หนีลึกเข้าไปเรื่อย ๆ คนก็ตามยันเตเลย ส่วนแถว ๆ ระยอง ชลบุรี ไม่ได้ยินว่ามี

ถาม : วัดทรงเมตตาวนาราม ?
ตอบ : หลวงพ่อบุญส่งก็ไม่ได้ถือว่ามาจากสายหลวงพ่อหรอก ท่านมีความเคารพในด้านของหลวงพ่ออยู่ ส่วนครูบาสันยาสี อาตมาไม่เคยเจอหน้าเลย แต่เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน

ถาม : เจอครูบาบุญชุ่มตั้งแต่เมื่อไร ?
ตอบ : เจอมาตั้งแต่ก่อนบวช เจอตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร เจอหน้ากันทีไรท่านเรียกหลวงพี่จ่อย คำว่าจ่อยภาคเหนือแปลว่าเล็ก ท่านบวชอยู่กับหลวงปู่ครูบาชุ่ม พอสิ้นหลวงปู่ครูบาชุ่มก็มาอยู่กับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย คราวนี้ทางด้านเหนือจะเคารพพระที่บวชตั้งแต่เป็นเณรเพราะถือว่าบริสุทธิ์ ท่านเองปฏิปทาการปฏิบัติเคร่งครัดอยู่แล้ว คนก็นับถือศรัทธามาก คนขึ้นมากขึ้นทุกที ๆ จนเป็นพันเป็นหมื่น ทหารพม่าก็เลยไล่ท่านออกมา ไม่ให้อยู่ที่เมืองพง เพราะพวกพม่ากลัวว่าจะพาคนไปประท้วงรัฐบาล ถ้าพระรูปไหนมีลูกศิษย์ลูกหามาก โดนพวกทหารพม่าเล่นงานหมด เขาระแวงว่าจะพาไปประท้วงรัฐบาล ก็น่าระแวงอยู่หรอก บ้านเราพระยังไปนำม็อบเลย..!

เถรี 29-12-2013 21:20

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ที่วัดมีกระรอกบินพิการอยู่หนึ่งตัว อาทิตย์ก่อนทำวัตรเย็นเสร็จ จะไปทำวัตรรอบที่สอง แม่ชีบอกว่ากระรอกตกจากต้นไม้ลงมา สงสัยจะกัดกันเอง คงโดนกัดที่หลังจนเป็นอัมพาต เลยไปเก็บเอาไว้ ทิ้งอาหารให้เขากิน รุ่งเช้าเขามาเกาะขอบลัง พยายามตะกายออกมา ใช้ ๒ ขาหน้าลากไป อาตมาสงสารเลยช่วยจับ ปรากฏว่าโดนเขากัดซะนี่ คือเขาบาดเจ็บเลยหงุดหงิด เลยกัดเอา ตอนนี้แม่ชีเคิ่ลเลี้ยงอยู่ เขากัดขาตัวเองทิ้ง เพราะพิการใช้งานไม่ได้ คงคิดว่าติดกับอะไรสักอย่าง เลยกัดทิ้ง..!

พวกสัตว์เขาตัดสินใจเด็ดขาดมาก อย่างพวกเสือเวลาติดกับจะกัดขาตัวเองทิ้งเลย จะได้ไปต่อได้ ถ้าใจคอเราเด็ดขาดแบบนั้น ปฏิบัติธรรมได้ผลแน่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเด็ดขาดไม่พอ"

เถรี 29-12-2013 21:38

ถาม : พระอรหันต์โดนหลอก แล้วท่านไม่รู้ว่าโดนหลอก สามารถเป็นไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : แล้วใครไปยืนยันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ?

ถาม : มีอาจารย์รูปหนึ่งท่านยืนยัน ?
ตอบ : จำไว้ว่าการพยากรณ์บุคคลเป็นพระอรหันต์ เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เอาเป็นว่าถ้าใครหลอกพระอรหันต์ กรรมก็เป็นของคนนั้น

ถาม : อย่างกรณีท่านเอาจุด ๆ นั้นมาบอกต่อ ?
ตอบ : สำหรับพระอรหันต์ในเรื่องของการรู้ธรรมจะไม่มีพลาด เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครหลอกท่านได้ในเรื่องนี้ เรื่องธรรมะไม่มีใครหลอกท่านได้ ท่านรู้จบแล้ว มีแต่ท่านจะหลอกเรา ...(หัวเราะ)...

อ่านในพระไตรปิฎกแล้วชอบใจอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือว่าสมัยนั้นคนที่มีความสามารถ เขาก็มักจะว่าเป็นพระอรหันต์ คราวนี้พระพุทธเจ้าก็ถามว่า "ใคร ๆ ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านรู้หรือเปล่าว่าปฏิปทาของการเป็นพระอรหันต์คืออะไร ?" ท่านก็ตอบไม่ได้ "วิธีการที่จะทำให้รัก โลภ โกรธ หลง หมดไปทำอย่างไร ?" ท่านก็ตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า "แล้วท่านพยากรณ์ตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?" คราวนี้ยิ่งใบ้รับประทานกันไปใหญ่

ในเรื่องนี้ต้องให้ผู้ที่หน้าที่พยากรณ์ คือพระพุทธเจ้าบอกเท่านั้น ถ้าใครว่าอย่างไร เราก็แค่รับฟังไว้ด้วยความเคารพ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนหลอก


ถาม : อย่างที่ท่านพูด ท่านโดนคนรอบข้างหลอก ?
ตอบ :เราก็อย่าไปเอาเรื่องทางโลกสิ เราก็เอาเรื่องทางธรรม ท่านสอนให้เราปฏิบัติอย่างไร เราก็เอาอย่างนั้น เรื่องทางโลกท่านอาจจะพลาดได้ เพราะว่าพระไม่ได้ข้องกับโลกอยู่แล้ว เอาหลักธรรมของท่านมาปฏิบัติก็พอ อย่างอื่นทิ้ง ๆ ไปบ้าง อย่าแบกโลกไว้ แบกแล้วก็หนัก

เถรี 29-12-2013 21:45

ถาม : บนสวรรค์มีการบวชหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่เคยเจอ

ถาม : ผมคิดว่า พระอรหันต์....
ตอบ :คุณจะบวชพระให้เป็นพระแบบไหน ? ถามหน่อย..ถ้าท่านที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ใครจะไปบวชท่านได้ บวชหรือไม่บวช ท่านเป็นอยู่แล้ว

ถาม : ผมคิดว่าท่านที่เป็นเทวดา แล้วใครเป็นอุปัชฌาย์
ตอบ : เทวดาเขาไม่เสียเวลามาบวชหรอก ท่านเป็นเทวดาอยู่ ศีล ๒๒๗ ข้อ ถ้าท่านคิดจะรักษา ท่านรักษาได้ยิ่งกว่าเราอีก เพราะว่าจิตที่เกลือกกลั้วกับรัก โลภ โกรธ หลงมีน้อยกว่าเรา ท่านก็ปฏิบัติตามกติกาไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาบวช ต้องบอกว่าเทวดา ความดีท่านสูงกว่าเราเยอะ และจำนวนมากมหาศาลเลยที่ความดีสูงกว่าอาตมาด้วย จนบัดนี้ก็อาศัยความดีท่านสงเคราะห์ให้ ถ้าลำพังอาตมาเองก็เจ๊งไปนานแล้ว

เถรี 04-01-2014 13:09

ถาม : ปกติพระจะมีการปลงอาบัติตลอด ถ้าเกิดวันนั้นท่านผิดอาบัติ แล้วไม่ทันปลงอาบัติแต่มรณภาพไปก่อน เศษกรรมจะมีผลต่อท่านไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าใจท่านก่อนมรณภาพเกาะอะไร ถ้าใจเกาะความดี และไม่ใช่อาบัติหนักจริง ๆ กรรมนั้นก็เอาท่านไม่อยู่ แต่กรณีของเอรกปัตตนาคราช เกิดจากใจท่านเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ว่าท่านไม่ได้ปลงอาบัติ เพราะไปจำพรรษาอยู่คนเดียว

ตอนนั้นเอรกปัตตนาคราชไปเล่นน้ำแล้วไปถอนต้นตะไคร้น้ำ ตะไคร้น้ำเป็นต้นหญ้าสูงท่วมหัว ลักษณะเหมือนกอกก พอไปทำต้นตะไคร้น้ำหลุด ไม่ได้ปลงอาบัติเพราะอยู่คนเดียว ในใจก็มัวแต่กังวลอยู่ ตอนตายใจอยู่ในสภาพที่กังวลอยู่ ถือศีลภาวนามา ๒ หมื่นปีกลายเป็นพญานาค ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยก็น่าจะไปเป็นเทวดาหรือพรหม

เถรี 04-01-2014 13:11

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานโยมมาขอให้ลงแผ่นทอง ว่าจะไปสร้างหลวงพ่อพระมหามุนี ไปสร้างที่พม่าแล้วก็ยกกลับมาเมืองไทย ทำเรื่องให้ยุ่งอีก ถามท่านว่าทำไมต้องไปสร้างที่พม่าแล้วยกกลับไทย ? ไม่สร้างที่ไทยเลยจะได้ไม่ยุ่งยาก ท่านให้เหตุผลว่า อยากให้คนไทยที่ไปตายอยู่ที่นั่นได้โมทนา แหม..ผีที่ตายไม่ได้อยู่ตรงนั้น อยู่ที่ไหนนึกถึงเขาก็รีบโมทนา ในเมื่อท่านทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากได้ก็เอา ไม่ว่ากัน ถ้าทำได้ก็สร้างคุณมหาศาลกับพุทธศาสนา"

เถรี 04-01-2014 13:14

ถาม : พระเจ้าอโศกฯ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงท่านหรอก ท่านไปพระนิพพานแล้ว เหลือแต่พวกเรานี่แหละ มีพระเจ้าอชาติศัตรูที่ลงข้างล่าง โทษที่ฆ่าพ่อทำให้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ เพราะอนันตริยกรรมปิดหมด แต่ว่าท่านเองช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนพระศาสนา ถึงขนาดอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก ท่านก็เลยลงแค่สัญชีพนรก ไม่ต้องลงอเวจี แต่..แค่นั้นก็สาหัสแล้ว

เถรี 04-01-2014 13:15

ถาม : ถ้าพระอยู่องค์เดียว โดนอาบัติแล้วจะแก้อย่างไร ?
ตอบ : วิธีแก้คืออย่าให้โดน

ถาม : บอกบริสุทธิ์ใช้ตอนไหนครับ ?
ตอบ : ลงโบสถ์ อยู่ไม่ถึง ๔ รูป ไม่สามารถสวดปาฏิโมกข์ได้ ให้บอกบริสุทธิ์ ถ้าอยู่รูปเดียวให้อธิษฐานอุโบสถ

เถรี 04-01-2014 13:29

ถาม : การรู้ทุกข์ เราต้องรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ทำไมเราถึงไม่สำเร็จเป็นพระอริยเจ้า แสดงว่ารู้ของเรากับรู้ของพระอริยเจ้าต่างกันหรือครับ ?
ตอบ : คุณรู้แค่สัญญา แล้วคุณรู้ไหมว่าทุกข์เกิดจากอะไร ? เราต้องรู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไร แล้วยังไม่พอ ยังต้องไม่สร้างเหตุนั้นด้วย คราวนี้สติเรายังไม่สมบูรณ์ พอถึงเวลาเราไปสร้างเหตุอีกก็จะทุกข์ไปเรื่อย ๆ ท่านบอกว่าทุกข์ เมื่อปริญญาคือกำหนดรู้รอบแล้ว ก็ให้ปหานะ คือละเสียหรือว่าฆ่าให้ตาย ของเราตอนนี้ปริญญายังรู้ไม่รอบเลย ไม่ต้องไปพูดถึงปหานะ เลยกลายเป็นว่าเรารู้แล้วแต่ทำไมยังทุกข์อยู่

ถาม : รู้รอบนี่พระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคามี รู้เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : รู้เหมือนกันแต่ความละเอียดไม่เท่ากัน แต่ว่าท่านสามารถละได้ตามกำลังของตน ละได้มากหน่อยก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงกว่า ละได้น้อยก็เป็นขั้นต่ำกว่า

เถรี 04-01-2014 15:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "ให้ทุกคนจำไว้ขึ้นใจเลยว่า อารยะขัดขืนอะไรก็ตามเขาไม่ทำผิดกฎหมายหรอก ถ้าทำผิดกฏหมายไป อารยะขัดขืนอย่างไรก็หาเรื่องซวย ฉะนั้น..การบุกรุกสถานที่ราชการ ขัดขวางการปฏิบัติงานของเขา ซวยจริง ๆ นะ..จะบอกให้ เพราะข้าราชการเขาจัดเป็นเจ้าหน้าที่พนักงาน ถือว่าขัดขวางการทำหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่สักกรมหนึ่ง นับคดีรายหัวนี่ตายเลยนะ"

เถรี 04-01-2014 15:55

ถาม : เรารู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการเกิด เราต้องการไปพระนิพพาน ถือว่าเป็นการรู้ที่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : เป็นแค่การอธิษฐานคือความตั้งใจเท่านั้น ยกเว้นอย่างเดียวว่าเห็นโทษของการเกิดจริง ๆ จนกระทั่งหมดความอยากไปเลย พอหมดความอยากก็แค่รู้เฉย ๆ

ถาม : จะเป็นหมดความอยากตามแต่ละเหตุการณ์ไปครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ห่างไกล ต้องหมดอยากทุกเรื่อง คราวนี้เรายังแค่รู้เฉย ๆ ทุกข์ยังอยู่เป็นปกติ ก็อยู่ที่ว่าเรามีปัญญาพอไหมที่จะทิ้งเหตุของทุกข์นั้นเสีย ?

ถาม : แล้วพระโสดาบันรู้เหตุของทุกข์ทุกอย่างเลยไหมครับ ?
ตอบ : ของท่านต่อให้รู้ กำลังก็ละได้แค่นั้น เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญา มี ๓ ระดับ ของพระโสดาบันส่วนใหญ่เน้นที่ศีล พระอนาคามีเน้นที่สมาธิ ทุกส่วนจะมีศีล สมาธิ ปัญญา อยู่แล้ว แต่เน้นหนักที่ตรงไหน ถ้าสมาธิน้อย ปัญญาน้อย กำลังในการตัดได้น้อย ก็เป็นพระโสดาบันเพราะท่านเน้นที่ศีล ศีลดี สมาธิดี ปัญญายังไม่เพียงพอก็เป็นพระอนาคามี ถ้าศีลดี สมาธิดี ปัญญาในการตัดดี ละได้หมดจริง ๆ ก็จบเลย

เถรี 05-01-2014 19:53

ถาม : วันก่อนไปตลาดแล้วมีปลาดิ้นมาลงข้างล่าง ก็เลยขอซื้อปลาไปปล่อย แต่แม่ค้าบอกว่าไม่ต้องซื้อไปปล่อย เพราะอย่างไรมันก็ตาย สรุปว่าหนูไม่ได้ซื้อไปปล่อย จริง ๆ แล้วหนูควรจะต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ซื้อไปปล่อย ปลาจะรอดหรือตายเป็นเรื่องของเขา เราได้ปล่อยแล้ว

เถรี 05-01-2014 19:59

พระอาจารย์กล่าวกับพระรูปหนึ่งว่า "ถ้าคุณมีโอกาสให้ไปหาหมอนะ มาลาเรียมาแล้ว บางทีตอนไข้ขึ้นเราอาจจะทำอะไรไปแบบไม่รู้ตัว ผมเป็นจนชำนาญ มองหน้าก็รู้แล้วว่ามาลาเรียรับประทาน ขนาดใส่อังสะกันหนาวยังไม่รู้ตัวอีก ลองสังเกตดูช่วงเช้า ๆ เย็น ๆ ไข้จะขึ้น ต้องบอกว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นมา ๓๐ กว่าปี เป็นตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ พอเวลาไข้ลดก็เป็นคนปกติ ๆ นั่นแหละ แต่ตอนไข้ขึ้นบางทีทำอะไรไม่ถูก ขนาดทรงสมาธิเป๊ะ ๆ เลยนะ เดินจงกรมอยู่รู้ว่าถ้าไข้ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะขาดสติเลย บังเอิญว่าไม่ถึงระดับนั้นสักที จึงยังคุมสติตัวเองได้ ตรงจุดนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ปรับอาบัติกับภิกษุที่เวทนากำเริบ เพราะบางทีอาจจะมีสติสุดท้ายลงไปช่วยทำให้ไข้ลด

หลวงพ่อชาก็เหมือนกัน หลวงพ่อชาท่านเป็นมาลาเรีย ลูกศิษย์ก็ต้มน้ำบอระเพ็ดให้ฉัน วันนั้นท่านยกขึ้นมา ใคร ๆ ก็คิดว่าจะยกขึ้นฉัน แต่ท่านราดหัว เปียกทั้งตัวเลย ปรากฏว่าไข้ลด เพราะโดนน้ำเลยไข้ลด ปกติแล้วมาลาเรียจะกลัวน้ำ ไม่ค่อยกล้าโดนน้ำ ท่านเล่นเอาน้ำบอระเพ็ดเทรดตัวเอง ปกติเขากินแก้มาลาเรีย แต่ท่านเล่นเทราดตัวเองแก้ไข้

เฮ้อ..! ๓๐ ปีเต็ม ๆ บางทีมีสติอยู่แล้วเวทนากำเริบ สุดยอดทรมานเลย ให้หมดสติสลบไสลไปเลยเสียจะดีกว่า"

เถรี 05-01-2014 20:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาที่เด็ก ๆ ซน เป็นเวลาที่เขาศึกษาและพัฒนาตัวเอง เพราะฉะนั้น..อย่าไปห้ามเขา คอยดู ถ้าอะไรจะเกิดอันตรายก็บอกเขา ถ้าเขายังอยากทำอยู่ก็ปล่อยให้ทำไปเลย พอเจ็บตัวแล้วเขาจะจำ เพราะได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตนเองจริง ๆ"

เถรี 05-01-2014 20:07

ถาม : ก่อนที่จะฝึกมโนมยิทธิควรจะฝึกอานาปานสติให้คล่องหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากจะฝึกมโนมยิทธิ อย่าพยายามฝึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวได้ยิ่งดี เพราะถ้าคุณฝึกจะอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตอนที่คุณอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะไม่เห็นอะไร

ถาม : กสิณก็ต้องเอาอานาปานสตินี่ครับ ?
ตอบ : ถ้ากสิณจะทิ้งอานาปานสติไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าคำภาวนาจะควบลมหายใจเข้าออก ส่วนใหญ่คนที่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาบ้าง จะฝึกมโนมยิทธิได้ยากที่สุด คือกำลังเกินไปแต่ไม่พอ เกินอุปจารสมาธิแต่ไม่ถึงฌาน ๔

เถรี 05-01-2014 20:09

ถาม : มโนมยิทธิถ้าเห็นถือว่าฌานสี่หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าแค่เห็นภาพเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าไปถึงที่นั่นได้เป็นฌาน ๔

ถาม : ผมเคยได้ยินว่าฌานสี่ใช้งาน
ตอบ : อันเดียวกันแหละ เพียงแต่ว่าอย่างหนึ่งอยู่ที่เราฝึก อีกอย่างหนึ่งเราใช้ออกด้วยความคล่องตัวแล้ว กำลังเท่ากันนั่นแหละ ฌาน ๔ ทั่ว ๆ ไปเป็นเหมือนมวยซ้อม แต่ฌาน ๔ ที่ใช้ในมโนมยิทธิเหมือนขึ้นเวทีจริงแล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:17


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว