กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1954)

เถรี 17-07-2010 15:37

ถาม : จะรักษาใจให้ใสสบายไปอย่างนี้เรื่อย ๆ รู้สึกว่าตนเองไม่มีงานอะไรจะทำ
ตอบ : งานสำคัญก็คือ ระวังอย่าให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาก็แล้วกัน

ถาม : มันไม่ค่อยมา มันเหงาค่ะ
ตอบ : ระวังตอนที่มา แล้วเอาไม่อยู่ จะรู้ว่างานเยอะกว่าที่เราคิด..!

ถาม : ระหว่างรอมันทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ทำไมต้องรอ แทนที่จะรอ..เราก็ดาหน้าบุกเข้าไปบี้มันให้ตายไปเลย..!

ถาม : หามันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ศีล สมาธิ ปัญญา ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างที่พระสารีบุตรท่านบอกกับพระลูกศิษย์ว่า แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังต้องพิจารณาอยู่ เพื่อความอยู่สุขของตน อย่าเผลอมั่นใจว่าความดีจะไม่เสื่อม

ถาม : เป็นลักษณะที่ว่า ยิ่งว่าง..งานยิ่งเยอะ อะไร ๆ ก็จับมาพิจารณาได้ แบบนี้ใช่หรือเปล่า?
ตอบ : จะเรียกว่างานเยอะก็ไม่ใช่เยอะ เพราะระวังใจตัวเอง แต่การระวังใจตัวเดียวนี่เป็นสุดยอดของความยากเลย

ต้องมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ว่าเราอยู่ในกองทุกข์ ไฟราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เผาเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องดิ้นรนหนีไปให้เร็วที่สุด ไม่ใช่นอนสบายใจเฉิบว่าไม่มีงาน จะนอนเฉย ๆ ก็ได้ ไฟไหม้ถึงตัวเมื่อไรก็เดือดร้อนเมื่อนั้น..!


ถาม : รู้สึกว่าทุกข์อะไรที่จะเข้ามา ก็เข้ามาได้แค่ร่างกาย ไม่ได้มาถึงเรา
ตอบ : แค่ระวังไม่ให้มาถึงเราก็แย่แล้ว สภาพจิตที่ละเอียดพอ แม้กระทั่งความสุขในธรรมที่เขาเห็นอยู่ เขาก็เห็นว่ามีทุกข์แฝงอยู่ เพราะว่าเราต้องคอยระมัดระวังประคับประคองไว้อยู่เสมอ ไม่อย่างนั้น..เกรงว่าอารมณ์นั้นจะสูญสลายไป ถ้าสภาพจิตไม่ละเอียดพอก็กินไปเรื่อย ต้นทุนหมดเมื่อไรก็สาหัสเมื่อนั้น..!

ถาม : ทำอย่างไรเราจะไม่ต้องระมัดระวังต่อไป ?
ตอบ : หลวงตาบัวท่านเคยเปรียบเทียบว่า อย่าทำตัวเป็นหมูพาดเขียง หมูเดินมาเจอเขียงอยู่ ก็หนุนนอน ใครเอามาให้เรารองหัวพอดี สบายจังเลย หารู้ไม่ว่ากำลังนอนรอความตายอยู่ชัด ๆ..!

เถรี 17-07-2010 15:39

พระอาจารย์ถามพระว่า "ถ้าสมมติว่าคุณขึ้นธรรมาสน์เทศน์ แล้วเห็นโยมนั่งอยู่ข้างหน้าไม่กี่คน จะทำใจอย่างไร ?

จริง ๆ แล้ว ถ้าจะคิดปลอบใจตัวเองต้องคิดว่า พระพุทธเจ้าเทศน์กัณฑ์แรก ยังมีคนฟังแค่ ๕ คน ส่วนเราถ้าได้น้อยกว่าไม่ถือว่าแปลก ถ้าได้เยอะกว่าถือว่าเป็นความสามารถ ถ้า ๕ คนถือว่าเสมอตัว

เพียงแต่ว่าเราจะหาบุคลากรได้มีคุณภาพเท่ากับที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ได้อย่างไร ? เพราะว่า ๕ คนที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์กลายเป็นพระอรหันต์ ๕ องค์ ของเราต่อให้ ๕๐๐ คน เทศน์แทบตายยังไม่ได้อะไรสักคน..!

ในเรื่องของการปฏิบัติ พอทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ละทิ้ง เราจะมีความคล่องตัวและพลิกแพลงไปได้เรื่อย วิธีการพลิกแพลงนั้นส่วนใหญ่เอาไว้รักษากำลังใจตนเอง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการจิตตก จนกระทั่งซมซาน นั่งทุกข์นั่งกลุ้มใจอยู่คนเดียว

ทำอย่างไรที่จะไม่เป็นอย่างนั้น ก็ต้องค่อย ๆ พลิกแพลงแก้ไขไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดพอกำลังใจทรงตัว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำอย่างนั้นอีก"

เถรี 18-07-2010 01:30

ถาม : เพื่อนเขาโดนตะปูฝาโลงค่ะ..!
ตอบ : ยุคนี้ยุคไหนแล้วจ๊ะ ? ทำไมไม่ทันสมัยเลย เล่นส่งแต่ตะปู เปลี่ยนเป็นส่งลูกปืนหรือขีปนาวุธบ้างก็ได้

รอเป่ายันต์เกราะเพชรนะจ๊ะ ถ้ามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรก็พาเขาไปเข้าพิธีด้วย

ของพวกนี้เป็นเรื่องประมาทไม่ได้ เพราะเราสร้างกุศลกรรมและอกุศลกรรมมาไม่ต่อเนื่องกัน ทำดีก็มี ทำชั่วก็มี แต่คราวนี้ดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ถึงเวลาที่อกุศลกรรมเข้า ของพวกนี้ก็จะแทรกเข้ามาได้

เถรี 18-07-2010 01:31

ถาม : ที่บ้านเลี้ยงกุมาร ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : ยังเลี้ยงเขาอยู่หรือเปล่าละจ๊ะ ? ถ้ายังเลี้ยงเขาก็อยู่ แต่ถ้าเขาอด ๆ อยาก ๆ นาน ๆ เขาก็ไป

เถรี 18-07-2010 01:33

ถาม : บางทีก็ได้รอบของมันแล้ว โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจทำ พอเต็มเรียบร้อยแล้ว เราไปย้อนทวนหาว่า ที่เกิดขึ้นมันเกิดเพราะอะไร แต่ว่าการปฏิบัติจริง ๆ ตัวที่ได้ ก็ไม่ได้เท่ากับตัวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : เป็นเพราะคนละวาระ คนละเหตุการณ์ คนละสถานที่กัน

ถาม : อย่างนี้ต้องรอรอบตลอดเลยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องรอหรอก เพียงแต่รักษาเอาไว้ก็พอ ถ้ารักษาไม่ได้ก็จงรอต่อไป..!

ถาม : แสดงว่าวาระเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ
ตอบ : นั่นเขาเป็นของเขาเอง บางทีก็เหมือนกับบังเอิญ บางทีก็ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายาม แต่ว่าทั้งหมดเกิดจากบุญเก่าที่เราสั่งสมมาด้วย คือมีความพยายามทำมาตลอด ฉะนั้น..อะไรที่ได้ควรจะประคับประคองไว้ให้ดี ปล่อยหลุดมือไปที กว่าจะได้ใหม่ก็น้ำตาเล็ด..!

เถรี 18-07-2010 01:36

ถาม : ถ้ากรรมฐานที่เหมือนว่าบังเอิญได้บ่อย ๆ จะถือว่าเป็นบุญเก่า หรือว่าเป็นเพราะวิริยะของเรากันแน่ครับ ?
ตอบ : มีบุญเก่าด้วย แล้วทำไมต้องไปบังเอิญด้วย ? ทำไมไม่เอาให้เป็นจริงเป็นจังไปเลย ?

ถาม : พอจะทำไปย้อนเหตุปัจจัยตามเดิม ก็ทำไม่ขึ้นครับ
ตอบ : พอไปตั้งความหวังอยากจะได้ กิเลสคือนิวรณ์ก็ขวางไว้หมด

ถาม : อีกบทพอสบาย ๆ ก็ขึ้นมาได้เอง
ตอบ : ถ้าอยากเราจะไม่ได้ ต้องทำใจสบาย ๆ ปฏิบัติไปเรื่อยแล้วจะได้เอง

เถรี 18-07-2010 01:37

ถาม : ช่วงว่าง ๆ ก่อนวันงานสืบชะตาสักสองอาทิตย์ ตอนนั้นไม่มีความกังวลเลย มีอะไรให้ทำก็ทำ ใครจะด่าก็ไม่เป็นไร
ตอบ : ก็เพราะเราวางภาระแล้ว ว่านั่นไม่ใช่งานของเรา ทีนี้เราจะทำอย่างไรที่จะวางให้ได้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราอย่างนั้นบ้าง

ถาม : ตอนนั้นสบาย ใครจะว่าอะไรเราก็ช่าง มีก็ทำ ไม่มีก็ไม่ได้ว่าอะไร
ตอบ : ก็เราจะไม่อยู่แล้ว เราจะตายอยู่วันนี้พรุ่งนี้อยู่แล้ว ใครจะว่าอะไรก็ช่างหัวมัน..!

เถรี 18-07-2010 10:51

ถาม : พระธาตุนี้ควรบูชาอย่างไร ?
ตอบ : อันดับแรก บรรจุเอาไว้ในสถานที่ที่สมควร อันดับสอง ถวายเครื่องบูชา จะเป็นดอกไม้ หรือ เครื่องหอม ของหอม อันดับที่สาม หมั่นสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน

ถาม : สามารถบูชาไว้ที่บ้านได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้ สำคัญว่าคิดถึงหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้คิดถึงเลย มีก็เหมือนไม่มี

เถรี 18-07-2010 10:51

ถาม : กำลังใจของฌานสี่ โดยปกติจะดับเงียบไปเลย เราจะสามารถบังคับมันได้ไหมครับ ?
ตอบ : เอาสติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ซักซ้อมบ่อย ๆ ถ้าหากสติแหลมคมมากขึ้น ก็จะติดตามรู้อาการทั้งหมดได้ พูดง่าย ๆ ว่าสมาธิจะต้องละเอียดขึ้นกว่านี้

เถรี 18-07-2010 10:53

ถาม : บางทีท่องคาถาเงินล้าน แล้วยังขายของไม่คล่อง
ตอบ : ยังทำไม่พอ ทำบ่อย ๆ สิ

ถาม : ในกรณีที่เราใส่บาตร เวลากรวดน้ำ ต้องลงกระถางต้นไม้หรือต้นไม้ใหญ่ ?
ตอบ : อุทิศปากเปล่าก็ได้ การกรวดน้ำเป็นแค่รูปแบบเท่านั้น จะกรวดลงไปที่ไหนก็กรวดไปเถอะ

เถรี 18-07-2010 18:31

ถาม : มีเรื่องกลุ้มใจเกี่ยวกับอุปสรรคเรื่องงาน ถ้าจะบนพระวิสุทธิเทพ ?
ตอบ : จุดธูปกลางแจ้ง ๕ ดอกบนกับท่าน ถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานท่านจะช่วยได้ แต่ว่าเราต้องรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมกับเจริญกรรมฐาน ๗ วันเป็นการแก้บน

เถรี 18-07-2010 18:32

ถาม : ทำไมชอบปวดหัว ?
ตอบ : ในเมื่อชอบก็เป็นต่อไป (หัวเราะ) การปวดหัวเป็นเศษกรรมจากการดื่มสุราเมรัยในชาติก่อน จำเอาไว้ ชาตินี้อย่าไปกินอีกเป็นอันขาด เดี๋ยวจะซ้ำหนัก

เถรี 18-07-2010 18:38

ถาม : กราบขออุบายธรรมในการปฏิบัติ
ตอบ : คุณคงรู้จักเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จในกรมหลวงชุมพร จริง ๆ แล้วตำแหน่งท่านเป็นแค่กรมหลวง ยังมีเสด็จในกรมพระฯ กรมพระยาฯ อีกเยอะมาก แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นชื่อกลับไม่เป็นที่ติดหูชาวบ้าน เท่ากับเสด็จในกรมหลวงชุมพร

เพราะว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพร พระองค์ท่านเป็นคนเอาจริงเอาจัง ทำอะไรก็ทุ่มเทชนิดแลกด้วยชีวิต ท่านจึงประสบความสำเร็จ แค่เดินเรื่องวิชาการศึกษาแพทย์ พระองค์ยังสามารถเอาไปช่วยชีวิตคน จนคนเรียกท่านว่าเป็นหมอได้ ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านถนัดเลย เป็นแค่ส่วนเดียวที่ท่านเรียนมา

แต่ว่าพระองค์ท่านเป็นคนเอาจริง ในเมื่อจริงจัง สิ่งที่ทำก็ได้ผลจริงด้วย ตราประจำตระกูลท่านก็คือ พระอาทิตย์ทรงรถ ตราพระอาทิตย์ทรงรถมาจากชื่อของท่าน คือ อาภากร (ผู้กระทำแสงสว่าง)

ท่านจะมีภาษาบาลีอยู่ที่ตราประจำตระกูลว่า กยิรา เจ กยิราเถนํ แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ทำอะไรทำให้จริง เพราะฉะนั้น..ที่คุณขออุบายธรรม ก็มีแค่นี้ ทำอะไรทำให้จริง ถ้าทำจริงจะประสบความสำเร็จทุกเรื่อง

เถรี 19-07-2010 00:37

ในขณะที่กำลังแต่งกลอนอยู่ พระอาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าสมัยที่ยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ท่านเสวยพระชาติเป็นพ่อค้ากองเกวียน เดินทางเข้าไปในทะเลทรายซึ่งแห้งแล้งขาดน้ำ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะหาน้ำเพิ่มได้

ท่านเป็นหัวหน้าพ่อค้า ต้องรับผิดชอบชีวิตคนจำนวนมาก จึงต้องคิดค้นหาทาง เพราะว่าถ้าไม่มีน้ำ คนในรับผิดชอบต้องตายหมดแน่นอน พอดีท่านเห็นกอหญ้าอยู่กอหนึ่ง ท่านทราบว่ากอหญ้าจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความชื้น จึงคิดว่าบริเวณนั้นน่าจะมีน้ำ

ท่านสั่งให้บริวารช่วยกันขุด ขุดจนหมดเรี่ยวหมดแรง แต่กลับไปเจอแผ่นหิน ที่เขาเรียกว่า หินดาน ลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ขวางอยู่ พวกบริวารก็กำลังใจตก ขุดมาเหนื่อยจะแย่แทนที่จะพบน้ำ กลับพบแผ่นหินแทน คิดว่าอย่างไรคงอดน้ำตายแน่

หัวหน้าพ่อค้าพระโพธิสัตว์เอาหูแนบกับแผ่นหิน ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างใต้ จึงปลอบใจบริวารให้ช่วยกันทุบแผ่นหินให้แตก พอทุบแผ่นหินแตก น้ำก็ทะลักขึ้นมา ทุกคนได้อาศัยดื่มกินและใช้ทำอาหาร เอาชีวิตรอดมาได้

พระพุทธเจ้าองค์ทรงสรุปลงตรงที่ว่า ถ้าปราศจากความเพียร ย่อมไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเราอดน้ำแทบตายอยู่กลางทะเลทราย ขุดไปเจอก้อนหินแผ่นเบ้อเริ่ม ก็คงมืออ่อนตีนอ่อน ยอมอดตายไปแล้ว แต่ท่านยังพยายามทุบหินออก

ลักษณะแบบเดียวกับพระมหาชนกที่เรือแตก ต้องว่ายน้ำอยู่ ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลามาพบเข้าก็แปลกใจ ถามว่า "ในเมื่อมองไม่เห็นฝั่ง ว่ายหรือไม่ว่ายก็ตาย จะว่ายไปทำไม ?" ท่านบอกว่า "ถ้าได้ทำเต็มที่แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ยังสามารถตอบต่อตัวเองได้ว่า ทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าหากยังไม่ได้ลงมือทำ แล้วไปท้อถอยเสียก่อน ก็ไม่สามารถจะตอบตัวเองได้ว่าใช้ความพยายามเต็มที่แล้วหรือยัง"

นางเมขลาได้ยินแล้วชอบใจ จึงอุ้มไปส่ง ฉะนั้น..แต่งกลอน ๒ วันแล้วยังไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งท้อ เพราะยังไม่ถึง ๗ วัน ๗ คืน..!"

เถรี 19-07-2010 17:41

ถาม : ไปอเมริกา กลัวระเบิดค่ะ..!
ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่สิ้นบุญสิ้นกรรม ใครก็ทำให้เราตายไม่ได้ ที่ใช้คำว่าสิ้นบุญสิ้นกรรม เพราะว่าบางทีวาระกรรมจะต้องมาสนองเรา ถ้าเรายังไม่ได้รับการสนองตรงนั้น อย่างไรเราก็ยังตายไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าวาระบุญยังรักษาอยู่ อย่างไรเสียก็ไม่ตายเช่นกัน

เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกลัวหรอกเรื่องตาย ไม่ได้ตายง่าย ๆ หรอก วิ่งเข้าไปหายังไม่ตายเลย หลวงพ่อฤๅษีท่านเล่าให้ฟังว่า คนจะฆ่าตัวตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย เขาอุตส่าห์ขึ้นต้นไม้ เอาเชือกผูกคอ เอาน้ำมันราดตัวเอง จุดไฟกระโดดลงไป แล้วเหนี่ยวไกปืนยิงตัวเอง กะว่าต้องตายแน่

ปรากฏว่าเขากระโดดเร็วเกินไปหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ลูกปืนไปโดนเชือกจนขาด เขาตกลงไปในน้ำ ไฟก็เลยดับ..! อย่างไรก็ไม่ตาย เพราะฉะนั้น..ไปเถอะ ไม่ต้องกลัวตายหรอก

เถรี 19-07-2010 17:44

ถาม : ไปหาสำนักทรงบางแห่ง แล้วถูกเขาทำคุณไสยมา..!
ตอบ : เรื่องพวกนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า พวกสำนักที่ทำคุณไสยต่าง ๆ เขาไม่ได้มีคุณธรรมเลย ถึงเวลาเขาต้องการเงิน เขาก็คุมเราเอาไว้ บางคนรู้สึกว่าตัวเองโดนคุณโดนของ ก็ไปให้เขาถอนให้ จ่ายเงินไปทีละมาก ๆ พอถึงเวลาเขาต้องการเงินอีก ก็ใส่ของกลับเข้าไปใหม่ เราก็ต้องไปหาเขาอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น..ถ้าไม่มั่นใจว่าเขามีคุณธรรมพอ ก็อย่าไปหาเขาเลย...

เถรี 19-07-2010 17:47

มีโยมบางท่านเวลายกพระมาถวายสังฆทาน ด้วยความไม่รู้เขาก็วางพระไว้กับพื้น พระอาจารย์ท่านมักจะเตือนว่า "ของสูงอย่าเอาไว้ต่ำ ถ้าเอาไว้ต่ำเดี๋ยวตัวเราเองจะตกต่ำไปด้วย"

เถรี 19-07-2010 22:36

ถาม : ที่ทำงานมีคนที่หน้าตารูปร่างคล้ายตัวผมเอง ตอนเดินไปกินกาแฟ พนักงานแถวนั้นคิดว่าตาคนนี้เดินมาบ่อยจัง ?

ตอบ : นั่นเป็นประเภทที่ฝรั่งเขาเรียกว่า "แฝดเทียม" เกิดจากการสร้างบุญสร้างกรรมมาคล้ายคลึงกันในอดีต

เหมือนอย่างพระมหากัจจายนะ ท่านเป็นพุทธภูมิเก่า บารมีเข้ม ท่านจึงมีมหาปุริสสลักษณะหลายอย่าง ก็แปลว่าเหมือนพระพุทธเจ้าไปโดยปริยาย

คราวนี้ถ้ามีแค่ท่านก็ไม่มีปัญหา แต่ปรากฏว่ามีพระอานนท์และพระนันทะด้วย พระอานนท์ท่านเป็นลูกอา พระนันทะเป็นลูกน้าและพ่อเดียวกับพระพุทธเจ้า หน้าตาจึงเหมือนกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

พอเวลาไปบิณฑบาต คนก็เลยตำหนิว่า "สมณะรูปนี้ทำไมมักมากแท้ บิณฑบาตหลายรอบเหลือเกิน" เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องบัญญัติว่า ไม่ให้พระภิกษุทำจีวรเท่ากับจีวรพระสุคต คือ อย่างน้อย ๆ พอให้มีที่สังเกตได้บ้าง พระมหากัจจายนะท่านตัดปัญหาด้วยสละตัวเอง อธิษฐานขอให้อ้วนเสียเลย

เถรี 19-07-2010 22:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องทางโลกก็เป็นไปอย่างโลก เรื่องทางธรรมก็เป็นไปอย่างธรรม ความจริงเรื่องทั้งสองนี้ไปด้วยกันเสมอ

แต่ถ้าหากว่ากำลังใจเรายังไม่ถึง ก็จะเห็นว่าแยกกันโดยเด็ดขาด ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำเลย

แต่ถ้ากำลังใจเราถึง ทั้งหมดก็เหมือนกัน คือ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนกำลังเป็นไปตามกรรม"

เถรี 20-07-2010 00:25

ตอนรับสังฆทานพอดีฝนตก พระอาจารย์จึงกล่าวให้ฟังว่า "พวกเรามักจะเข้าใจว่า หน้าที่ในการทำฝนเป็นของพระพิรุณอย่างเดียว...นั่นไม่ใช่นะ จริง ๆ แล้วมีทั้งวายุเทพบุตร วลาหกเทพบุตร สีตเทพบุตร ปชุนเทพบุตร วิรุณเทพบุตร "

ถาม : ถ้าคนทั่วไปด่าเทวดาเวลาฝนตกหนักอย่างนี้ บาปไหมครับ ?
ตอบ : เขากำลังสร้างวจีกรรม ในเมื่อเป็นกรรม จะมากจะน้อยก็ต้องมีโทษ

ถาม : แล้วถ้าเทวดาที่ท่านทำหน้าที่เป็นพระอริยเจ้า เท่ากับว่าเราปรามาสพระรัตนตรัย?
ตอบ : เจตนาในการปรามาสไม่มี เพราะเขาตั้งใจแค่ด่าคนทำฝน ในเมื่อไม่ได้เจตนาด่า ถึงมีโทษก็ไม่หนักเท่าด่าพระอริยเจ้าโดยตรง

พูดถึงตอนนี้นึกถึงยายของเจ้าแตงนวล บ้านของยายอยู่เลยโรงเรียนประถมบ้านท่าซุงไปประมาณ ๔๐๐ เมตร ยายเขาใส่บาตรทุกวัน แต่ยายใส่บาตรตอนพระท่านกลับ เราเดินสายใต้ ขากลับผ่านบ้านยาย ยายก็จะมาใส่บาตรทุกวัน

ทีนี้มีหมาอยู่ตัวหนึ่ง ถึงเวลาเห็นพระก็วิ่งตาม เพราะคนแก่เวลาใส่บาตร มือสั่น ข้าวหก หมาก็จะเก็บกิน พอได้กินบ่อย ๆ มันจำว่า ถ้าพระมาได้กินแน่ มันก็ตามพระ ตามไปตามมา มันจำได้ว่าบ้านไหนบ้างที่ใส่บาตร มันก็เดินนำหน้าไปเลย

เดินนำมาหลายทีก็ไม่มีปัญหาอะไร วันนั้นยายเขาอารมณ์เสียอะไรมาก็ไม่รู้ พอเดินมาจะใส่บาตร แกเห็นหมาเท่านั้นแหละ ด่าลั่นเลย "อีห่..นี่ มึงเดินนำหน้าหมาเชียวนะ..!"

ด่าเสร็จเรียบร้อยยายก็ยืนงงอยู่พักหนึ่ง "อุ๊ยตาย..ขอโทษเจ้าค่ะ ดิฉันตั้งใจด่าพระ ไม่ได้ตั้งใจด่าหมาค่ะ..!"

ฉะนั้น..ประเภทเดียวกันกับยาย นั่นเขาตั้งใจด่าเทวดา ไม่ได้ด่าพระอริยเจ้า ถ้าจะเอาโทษปรามาสพระอริยเจ้าก็คงจะเบาหน่อย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว