กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ (เดือนสุดท้าย) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2524)

เถรี 27-03-2011 13:51

ถาม : ถ้าจะขอสมบัติจากท่านท้าวมหาราช ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไปหาท่านสิ..!

ถาม : สงสัยต้องไปถ้ำมรกตค่ะ
ตอบ : ตอนนี้พระครูแสงจะรับอาสาโยมหรือตามโยมไปก็ไม่รู้ ไปที่ภูเขาทอง เขากำลังจินตนาการบรรเจิดว่าจะเช่าช้างของชาวบ้านขี่เข้าไป


ถาม : หลวงพี่แสงท่านรู้ทางหรือครับ ?
ตอบ : บอกท่านไปนานเนกาเลแล้ว มีโยมอยู่คนหนึ่ง เขาอยากได้ทองมาก อาตมาบอกว่าไปเอาได้เลย บอกทางให้เขาไป ปรากฏว่าพอไปแล้วต้องถอยกลับมาไม่เป็นขบวน เพราะว่าเจอทาก มีทากชนิดหนึ่งเรียกว่า ทากตอง อยู่บนต้นไม้ พอเราเดินผ่านก็จะพุ่งลงมาใส่

เจออย่างนั้นก็ถอยกลับมาไม่เป็นขบวนเลย ตามสำนวนของลิลิตตะเลงพ่ายว่า "หนีญะญ่าย พ่ายจะแจ" พอเขารวบรวมความกล้าได้อีก ก็จะไปใหม่ เขาคิดว่าในเมื่อไม่ได้หลวงพี่ไป ก็เอาหลวงน้องไปแล้วกัน หารู้ไม่หลวงน้องนั่นแหละเป็นสายล่อฟ้าเลย ไปที่ไหนจะต้องมีเรื่อง ถ้าไม่มีเรื่องกับคน ก็ต้องมีเรื่องกับผี คาดว่าไม่น่าจะรอดกลับมา..!

ตรงนั้นสิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ผีและเทวดา แต่เป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักอยู่ ๒ ตัว บอกไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไร อาตมาไปนอนที่นั่น เอาจีวรคลุมโปงอยู่ข้าง ๆ กองไฟ พอดึก ๆ เขามา ความจริงอาตมานอนอยู่ข้างลำธาร เสียงน้ำในลำธารไหลน่าจะกลบเสียงอื่นหมด แต่เขามาแล้วทำให้เรารู้สึกตัวตื่น เพราะเวลาเขาเดินแผ่นดินจะสะเทือน น้ำหนักตัวเขามาก

พอมองลอดจีวรออกมาก็คือผ้าจีวรบาง พอที่จะมองผ่านผ้าไปได้ เห็นว่าเขายืน ๒ ขาอยู่ แต่ความสูงน่าจะถึง ๓-๔ เมตร ขอยืนยันว่าเป็นสัตว์แน่นอน เพราะติดต่อด้วยกำลังใจแล้วเขารับไม่ได้ แสดงว่าไม่ใช่พวกในเขตทิพย์ คราวนี้การที่เขายืน ๒ ขาเลยไม่รู้ว่าเป็นคน ? เป็นหมี ? หรือเป็นลิง ? เขาก็มาจิ้ม ๆ ชี้ ๆ ว่า ตัวเล็ก ๆ อะไรสองตัวมานอนเกะกะอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วสักพักหนึ่งเขาก็เดินขึ้นไปทางภูเขาทอง

เกรงว่าถ้าไปเจอเจ้าสองตัวนี้ขึ้นมา เกิดเขาอารมณ์ร้ายแล้วเดี๋ยวจะซวย เพราะเรื่องผีเรื่องเทวดาเราเจรจากันได้ แต่กับสัตว์นั้นเจรจายาก โชคดีที่ว่าวันนั้นตั้งใจสร้างกำแพงกั้นเอาไว้ก่อน ใช้คาถาอิติปิโส ๘ ทิศ เสกหิน ๘ ก้อน โยนไป ๘ ทิศ แต่ต้องอธิษฐานว่า เมื่อได้อรุณแล้ว ขอให้เสื่อมอานุภาพ ไม่อย่างนั้นแล้ว เขตนั้นจะไม่มีใครสามารถเข้าออกได้

เถรี 27-03-2011 14:05

ถาม : ประวัติศาสตร์พม่ากับประวัติศาสตร์ไทย ตรงกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยตรงกัน อย่างทางพม่าเขาระบุว่า พระนเรศวรมหาราชโดนทางพม่าทำไสยศาสตร์ถึงแก่ความตาย คือทางพม่าเขาจะเชื่อเรื่องเคล็ดลางไสยศาสตร์มาก แต่ของไทยบอกว่าพระนเรศวรเป็นฝีลักษณะติดเชื้อเหมือนเป็นบาดทะยัก

แปลกตรงที่ว่า ประวัติศาสตร์อาจจะสูญหายไป ช่วงเสียกรุงครั้งที่ ๒ เลยไม่มีเนื้อหาที่ระบุชัดเจนว่า มีการอัญเชิญพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาที่เมืองไทย หรือว่าทำการปลงพระศพกันที่พม่า ? ก็เลยมีคนพยายามที่จะโยงประวัติศาสตร์

โดยเฉพาะที่เมืองหางนั้น มีพระเจดีย์องค์หนึ่งชื่อเจดีย์พระนเรศวร เขาเชื่อว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิของท่าน ทีนี้เราลองมาคิดดูว่า ทหารไทยไปเป็นหมื่นเป็นแสน จะเอาศพเจ้านายคนเดียวกลับมาไม่ได้หรืออย่างไร ? ยิ่งเจ้านายที่เป็นศูนย์รวมจิตรวมใจของคนทั้งประเทศ เราลองคิดดูว่า ถ้าเป็นเราไปกันขนาดนั้นจะเผาศพเจ้านายที่ต่างประเทศหรือ ?

ถาม : ใครเป็นคนสร้างเจดีย์พระนเรศวร?
ตอบ : สมัยนั้นเวลาไปที่ไหน ส่วนใหญ่เขามักจะสร้างสิ่งที่ระลึกเอาไว้ แบบเดียวกับพระนางเจ้าจามเทวี ท่านไปถึงที่ไหนก็สร้างวัดไว้ตรงนั้น เดินทางจากลพบุรีกว่าจะถึงหริภุญชัย ก็สร้างวัดไว้เป็นร้อยวัด

ทางพม่าเขานิยมสร้างเจดีย์ ทหารไปกันตั้งเยอะตั้งแยะ ก่ออิฐกันคนละก้อน ก็เสร็จแล้ว

เถรี 27-03-2011 14:15

1 Attachment(s)
ที่อัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือ พระมหาธาตุมุเตา (มุเตา แปลว่าจมูกร้อน) พม่าเรียก ชุยมอดอ เป็นเจดีย์องค์เดียวในพม่า ที่มียอดฉัตรแบบไทย เพราะว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยกยอดฉัตรถวายเอาไว้ตอนที่ไปตีหงสาวดี

ได้ถามทางด้านฝั่งพม่าเขาว่า ทำไมถึงไม่เปลี่ยนยอดฉัตรกลับไปเป็นแบบพม่า ? เพราะถ้าปล่อยเอาไว้ เท่ากับว่าเป็นการตอกย้ำว่าคนไทยเคยมายึดแผ่นดินนี้ และแสดงพระราชอำนาจไว้โดยการยกฉัตรเจดีย์เสียใหม่ ทางด้านพม่าเขาให้เหตุผลซึ่งค่อนข้างจะเป็นไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์

เขาบอกว่าสิ่งที่บุคคลซึ่งทรงกฤษฎาอภินิหารระดับนั้นได้ตั้งเอาไว้ ส่วนใหญ่ท่านจะอธิษฐานขอบางอย่างไว้ ถ้าอยู่ ๆ ไปรื้อ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดโทษอะไรบ้าง กลายเป็นว่า พระมหาธาตุมุเตาเป็นเจดีย์องค์เดียวที่ประกาศความเป็นไทยชัดที่สุด เพราะยอดฉัตรเป็นไทย และเป็นหนึ่งในสิบสองสถานที่สำคัญที่พม่าเขาจะต้องไปให้ได้ในชีวิต

ฉัตรแบบพม่าจะมีลักษณะเป็นคล้าย ๆ พระมงกุฏครอบลงมา แต่ฉัตรแบบไทยเป็นแบบร่มเป็นชั้น ๆ ลงมา



ตอนนี้วัดหนองบัวที่สร้างไว้ ทหารเขาสกัดตัวหนังสือไทยออกหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า เดี๋ยวจะเป็นข้ออ้างให้ทางรัฐบาลไทยมายึดพื้นที่ว่าเป็นเขตของคนไทย เขาฟุ้งซ่านได้ดีมากเลย..! ตกลงว่าตัวหนังสือที่เราอุตส่าห์ใช้ภาษาพม่าอยู่ด้านบน แล้วยอมให้ภาษาไทยอยู่ล่าง ปรากฏว่าเขาสกัดภาษาไทยทิ้งหมดแล้ว

เถรี 27-03-2011 14:23

1 Attachment(s)


มีอยู่อย่างหนึ่งที่พม่าทำไว้ที่เชียงใหม่ เป็นความเชื่อถือของเขา คือ กาแล ลักษณะไม้กากะบาด เป็นไม้สะกดผีของพม่าเขา พอฝังศพเสร็จแล้วก็จะปักไม้กากบาดไขว้ไว้บนหลุมศพ

ถาม : ไม่ให้วิญญาณออกมาอาละวาดหรือครับ ?
ตอบ : ใช่..คราวนี้ที่พม่าบังคับให้คนทางเหนือใส่กาแลเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีบุญมาเกิด ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้ามีผู้มีบุญมาเกิด เดี๋ยวจะนำคนไปแข็งเมืองและยึดบ้านยึดเมืองคืนจากพม่าได้ ปัจจุบันนี้เราเห็นว่ากาแลเป็นของสวย ก็เลยทำกันใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วโบราณเขาถือว่าเป็นของอาถรรพ์

ถาม : พม่ามองว่ากาแลเป็นอาถรรพ์ ?
ตอบ : ไม่ใช่มองว่า แต่เป็นสิ่งที่เขาเจตนาเลย

ถาม : ถ้าเป็นอาถรรพ์ ตอนนี้จะยังส่งผลอยู่หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสิ่งที่เขาเชื่อเป็นจริง ก็คงจะส่งผลแน่

ถาม : เห็นตำหนักของสมเด็จย่าก็มีกาแล
ตอบ : ที่เกาะพระฤๅษีมีเยอะแยะ

ถ้าตามความเชื่อของเขา จะเป็นการสะกดทุกอย่าง แต่จุดมุ่งหมายจริง ๆ คือป้องกันคนมีบุญมาเกิด ถามว่าป้องกันได้หรือไม่ ? ไม่ได้หรอก ภาคเหนือพระอรหันต์มีเพียบเลย

เถรี 27-03-2011 14:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการเมืองการปกครอง เราจะเห็นได้ว่า ระบอบต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับคน ต่อให้ระบอบดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าคนมีความดีไม่เพียงพอ ระบอบก็เละจนได้ พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้สรรเสริญเลยว่าระบอบการปกครองแบบไหนดี แต่พระองค์ท่านมอบหลักธรรมให้สำหรับแต่ละระบอบว่า ถ้าปกครองในลักษณะไหน ต้องใช้ธรรมอย่างไรไปกำกับถึงจะดี

ถ้าเป็นระบอบกษัตริย์ต้องมีทศพิศราชธรรม ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องมีจักรวรรดิวัตร ถ้าเป็นสามัคคีธรรมหรือสมัยนี้เรียกว่าประชาธิปไตย ต้องมีอปริหานิยธรรม เพราะฉะนั้น..ในการปกครองต่าง ๆ ถ้าขาดธรรมาธิปไตย ก็ไปไม่รอดสักราย แต่เราจะบอกว่าอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ไม่ดีได้ไหม ? ไม่ได้หรอก

อย่างสมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองเราเจริญอย่างมาก นั่นเผด็จการเต็มขั้นเลยนะ อัตตาธิปไตยชัด ๆ แล้วโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ หรือประชาธิปไตยอย่างในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ก็แค่พวกมากลากไป ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบไหน ถ้าไม่มีหลักธรรมกำกับ ของดี ๆ ก็พาให้เละจนได้

พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกหรอกว่าระบอบการปกครองไหนดีล้วน ๆ ควรให้ปฏิบัติตาม เพราะรู้อยู่ว่าขึ้นอยู่กับคน"

เถรี 27-03-2011 15:13

ถาม : ทำธุรกิจ เปิดมา ๔-๕ ปีแล้ว มีแต่ปัญหา ไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิดหรือเปล่า ? ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับเรื่องตั้งศาล ? เห็นมีคนเคยบอกว่าเป็นที่สงฆ์ค่ะ
ตอบ : ถ้าเป็นที่สงฆ์แก้ง่ายจะตายไป จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่แถวนั้น ว่าแต่ละปีเราจะชำระหนี้สงฆ์ให้ เราก็เอาเงินใส่ซองสัก ๓๐๐ - ๕๐๐ บาท ถือว่าเป็นการเช่าที่สงฆ์ในปีนั้น เอาไปถวายพระ บอกพระท่านว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์

ถาม : เรื่องการตั้งศาลล่ะคะ ?
ตอบ : เรื่องการตั้งศาลสำคัญตรงทิศ เอาตัวสถานที่เป็นหลักให้ศาลอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของที่ ศาลของเราอยู่ทิศไหน ?

ถาม : ทิศใต้
ตอบ : เป็นศาลอะไร ?

ถาม : ศาลพระพรหม
ตอบ : ศาลพระพรหมอยู่ทิศนั้นได้ แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวกับศาล

ถาม : แล้วต้องมีศาลพระภูมิทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือด้วยอีกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีพระพรหมแล้วจะมีพระภูมิไปทำซากอะไร..!

เถรี 27-03-2011 20:33

ถาม : อยากให้ช่วยอธิบายเรื่องที่หลวงพ่อบอกว่า อย่าคิดว่าเราดีกว่าเขา เลวกว่าเขา
ตอบ : ตรงตามนั้นเลย ยังจะต้องอธิบายอะไรอีก ?

ถาม : ควรคิดว่าอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : เลิกคิดเท่านั้นเอง เห็นว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครจะดีใครจะเลวก็ตายเหมือนกันหมด ในเมื่อตายเหมือนกันทั้งหมด จะมีใครดีกว่าใครเลวกว่าเล่า ?

เถรี 28-03-2011 00:18

พระอาจารย์เล่าว่า "ปี ๒๕๔๙ ทหารปฏิวัติและยึดอำนาจ มีโยมมาถามอาตมาว่า บ้านเมืองเราจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม ? อาตมาบอกว่า บ้านเราถ้าไม่ถึงปี ๒๕๕๖ แล้วดียาก

ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ แต่ปัจจุบันนี้ยืนยันได้แล้ว ถึงปี ๒๕๕๔ แล้วยังเอาดีไม่ได้เลย แต่ปี ๒๕๕๖ ก็ไม่ใช่ดีพรวดพราดขึ้นไปนะ ดีในลักษณะเข็นครกขึ้นภูเขา เข็นกันหลายปีทีเดียวกว่าจะดีจริง

ของบางอย่างบอกไป ก็เหมือนกับบ้าอยู่คนเดียว เพราะสถานการณ์ตอนนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด ตอนนั้นประชาชนดีใจ สนับสนุนการปฏิวัติ ถึงขนาดเอาดอกไม้ไปไล่แจกทหาร คิดว่าบ้านเมืองน่าจะดีขึ้น

เรื่องลักษณะอย่างนี้เคยมีอยู่ ๒-๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งก็คือ คุณบังเอิญ อ่องคล้าย ภรรยาของจ่าปัญญาที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ช่วงที่กิจการท่านดี ท่านก็ไล่กว้านซื้อที่ดิน ซื้อไปสามร้อยกว่าแปลง แปลงใหญ่ ๆ ขนาด ๓๐๐-๕๐๐ ไร่ ก็มี

พอปี ๒๕๔๐ เศรษฐกิจตก คุณบังเอิญก็มาถามว่า กว่าจะดีขึ้นอีกนานไหม ? เพราะตอนนี้เงินสดในมือไม่มีเลย อาตมาก็บอกไปว่า อย่างของคุณบังเอิญต้องอีกประมาณ ๘ ปี คุณบังเอิญจากไปด้วยความไม่เชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะนานอย่างนั้น เพราะถ้าเขาสามารถขายที่ดินได้สักผืนเดียว เขาก็ยืนได้สบายแล้ว

หลังจากนั้น ๘ ปีผ่านไป คุณบังเอิญก็มาใหม่ มาขอขมาที่คราวนั้นไม่เชื่อ อาตมาบอกว่า สิ่งที่อาตมาพูดเป็นเรื่องที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว ไม่ต้องขอขมาก็ได้"

เถรี 28-03-2011 00:41

"ส่วนอีกรายหนึ่งตายไปแล้ว เป็นผู้มีอิทธิพลขาใหญ่ของทองผาภูมิ ท่านลงทุนกู้เงินธนาคารมา ๗๐๐ ล้านบาท เพื่อสร้างเมืองใหม่ที่ทองผาภูมิ เนื่องจากหลักทรัพย์ของท่านพอค้ำประกัน ธนาคารจึงให้กู้

ท่านตั้งใจจะขยายตัวเมืองทองผาภูมิออกมา เพราะว่าตัวเมืองทองผาภูมินั้น บ้านมาก่อนถนน ที่ไหนก็ตามถ้าบ้านมาก่อนถนน จะขยายถนนไม่ได้ ที่ทางจะคับแคบ ทำอะไรก็ไม่สะดวก

ช่วงนั้นเศรษฐกิจรุ่งมาก เพราะเป็นช่วงปลายรัฐบาลน้าชาติ ทองผาภูมิสมัยนั้น ที่ไร่หนึ่งราคาถึง ๑ ล้านบาทก็ยังไม่ค่อยมีคนอยากจะขายเลย ปัจจุบันนี้ที่ไร่หนึ่งราคา ๓ - ๔ หมื่นบาทก็ขายได้แล้ว

ก่อนจะกู้เงิน ท่านมาถามอาตมาว่า จะทำกิจการอย่างนี้จะดีหรือไม่ ? อาตมาเตือนไปว่าอย่าทำเลย เพราะอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจะแย่ แต่เขาดูจากเหตุการณ์แล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจรุ่งจริง ๆ ปั่นราคาที่ดินจนกระทั่งใครจับก็ได้กำไรเดี๋ยวนั้นเลย สรุปว่าท่านไม่เชื่อ ไปกู้เงินธนาคารมาทำ ทำไปได้แค่ประมาณสองปีเศษ โครงการยังไม่เสร็จเรียบร้อย เปิดให้จองยังไม่ทันจะเท่าไร เศรษฐกิจก็ตก

ท่านสบายใจมาก วัน ๆ มีแต่ธนาคารคอยไปประคับประคอง เจ็บไข้ได้ป่วยธนาคารก็ต้องไปช่วย หาหมอหายาไปให้ เพราะลูกค้าคนนี้ห้ามตายเป็นอันขาด..! จนถึงทุกวันนี้ ๑๕-๑๖ ปีผ่านไป โครงการของท่านยังขายได้ไม่ถึงครึ่งเลย

เพราะฉะนั้น..บางอย่างพูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากว่าค้านจากเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนั้น แต่วันนี้ที่พูดขึ้นมา เพื่อให้พวกเราทราบว่า บ้านเราสถานการณ์ยังจะอึมครึมและเลวร้ายไปอีกพักใหญ่ ส่วนพักใหญ่ของอาตมานานแค่ไหน ? บอกแล้วเดี๋ยวโยมจะเป็นลม เพราะฉะนั้น..อดทนอดกลั้น สู้ต่อไป โบราณบอกว่า ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ให้ดิ้นกันต่อไป"

เถรี 28-03-2011 00:50

"นึกถึงปลาที่ติดแห้งอยู่บนบก ก็ต้องตะเกียกตะกายไปเรื่อยแหละ พอหมดแรงก็นอนอ้าปากพะงาบ ๆ มีแรงก็ตะกายต่อ ตัวไหนดวงดีไปถึงแหล่งน้ำทันก็รอดไป ตัวไหนดวงไม่ดี ไปไม่ถึงแหล่งน้ำ ก็กลายเป็นอาหารของสัตว์ต่าง ๆ ไป

ความจริงเรื่องอย่างนี้ไม่สมควรที่จะบอก แต่ที่บอกให้รู้ก็เฉพาะในส่วนที่พอจะพูดได้ เผื่อพวกเราจะได้ทำใจล่วงหน้าไว้บ้าง..!"

เถรี 28-03-2011 11:19

ถาม : ไปหาหมอแล้ว หมอวินิจฉัยโรคไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะหายครับ ?
ตอบ : หาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงมาดีกว่า อธิษฐานกินรักษาโรค ถ้าไม่เกินกฎของกรรมจะรักษาได้ทุกโรคจ้ะ

เถรี 28-03-2011 11:43

ถาม : ...ระหว่างทางเสียชีวิตลงกะทันหันค่ะ
ตอบ : ไม่กะทันหันหรอกจ้ะ เพียงแต่เราทำใจไม่ทันเท่านั้นเอง

มีนิทานเล่าว่า คนหัวหมอคนหนึ่ง ตายแล้วไปต่อว่าพระยายม ว่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้เอาชีวิตเขามา ไม่มีการตักเตือนกันล่วงหน้าก่อน ทำอย่างนี้ถือว่าผิดระเบียบ..!

พระยายายมบอกว่า "ข้าส่งจดหมายไปให้เอ็งตั้งหลายฉบับเป็นการเตือน เอ็งไม่ได้รับเลยหรือ ?"
"ไม่เคยได้รับเลย ท่านส่งไปจริงหรือ ?"

"ส่งไปจริง"
"ส่งไปแบบไหน ?"
"ครั้งแรกที่ข้าส่งไป คือให้เอ็งเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เอ็งไม่เคยรู้ตัวใช่ไหมว่าจะตาย ? ครั้งต่อไปก็ผมหงอก ครั้งต่อไปก็ฟันหัก ครั้งต่อไปหูก็เริ่มหนวก ทำไมเอ็งถึงไม่ฟังคำเตือนของข้าบ้างเลย ?"

สรุปว่าพระยายมท่านส่งจดหมายเตือนมาโดยตลอด เพียงแต่เราไม่พยายามรับรู้เอง เรื่องนี้เป็นนิทานนะจ๊ะ ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นนิทานอิงธรรมะ

เถรี 28-03-2011 12:51

พระอาจารย์เตือนโยมคนหนึ่งว่า "รู้จักคำว่า "อบายมุข" ไหม ? คำนี้ถ้าแปลตรง ๆ แปลว่า ปากทางแห่งความฉิบหาย เพราะฉะนั้น..ถ้าเลี่ยงได้ก็จะดี อยากประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ให้ทุ่มเททำงาน ไม่มีหรอกทางที่รวยง่าย ๆ ถ้ามีเขาก็รวยกันหมดแล้ว

เขาทำวิจัยแล้วพบว่า การพนันทุกประเภท เจ้ามือมีโอกาสชนะ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ คนแทงมีโอกาสแค่ ๒ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น..คนเล่นมีโอกาสหมดตัว โดยเฉพาะได้เงินมาง่าย ก็จ่ายง่ายไม่มีเหลือ โบราณเขาเรียกว่าเงินร้อน ในชีวิตอาตมายังไม่เคยเห็นใครรวยเพราะเรื่องนี้เลย

แต่มีกำลังใจอยู่ส่วนหนึ่งของนักเล่นการพนัน ถ้าปรับเปลี่ยนได้ จะเป็นนักปฏิบัติที่สุดยอดมากเลย สมัยอาตมายังวัยรุ่นอยู่ ทางบ้านมีรุ่นพี่คนหนึ่งนั่งตีป๊อกเด้งไม่ลุกไปกินอะไรเลย นั่นถือว่าระดับนิโรธสมาบัติเลยนะ..! ไม่กินไม่ถ่าย นั่งอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน..!

อาตมาลองไปนั่งดูอยู่สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น พอหลับตาเห็นแต่โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด บินให้ว่อนเลย แสดงว่าเพ่งเป็นกสิณแทน

แต่ถ้าเรื่องไฮโลต้องจ่าวิโรจน์ (จ.ส.อ.วิโรจน์ ย่านงูเหลือม) น่าจะเกษียณอายุไปแล้ว จ่าวิโรจน์นั่งกินเหล้าอยู่ใกล้ ๆ วงไฮโล เวลาเขาแทงกัน จ่าวิโรจน์ก็กินเหล้าไปฟังไป พอเขาเล่นไปได้สักพัก จ่าวิโรจน์ก็ขอเล่นบ้าง "น้อง ๆ ขอพี่ตาแทงตาเดียว พี่จะแทงอวดสาว"

พอเจ้ามือเขย่าลูกเต๋าเสร็จ จ่าวิโรจน์แทงคนเดียวสิบกว่าตัวถูกรวดเลย เขาเซียนขนาดนั้น ฟังเสียงรู้ว่าออกอะไรบ้าง นั่นระดับทิพจักขุญาณเลยนะ แต่เขามีสัจจะ เล่นแค่ตาเดียวก็เลิก ไม่อย่างนั้นมือระดับนั้นลงไปเล่นเจ้ามือหมดตูดแน่..!"

เถรี 28-03-2011 14:23

"พวกเราต้องเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของอัจฉริยมนุษย์ อะไรที่ท่านบอกว่าไม่ดี ย่อมจะดีไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น..อบายมุข ก็แปลตรง ๆ แล้วว่า ปากทางแห่งความฉิบหาย

โบราณบอกว่า โจรปล้นสิบครั้ง ดีกว่าไฟไหม้ครั้งเดียว เพราะโจรปล้นข้าวของ แต่บ้านยังอยู่ ไฟไหม้สิบครั้ง สู้การพนันครั้งเดียวก็ไม่ได้ การพนันนี่ทั้งบ้านและที่ดินก็ไปหมด มีบางคนแม้กระทั่งเมียก็เอาไปเป็นสินพนัน..!"

ถาม : ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน
ตอบ : มีจริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นเวรกรรมที่ไปมีครอบครัวอย่างนั้น

เถรี 28-03-2011 16:15

ถาม : อารมณ์ช่วงที่ฝึกกรรมฐาน จิตมารวมตัวกัน ผมพิจารณาถึงอุปกิเลส ๑๖ นรกสวรรค์อยู่ในใจเรา พอมารวมตัวก็เกิดใจสั่นหวั่นไหว มีเสียงอะไรโผล่ขึ้นมามากมายเหมือนเราใกล้จะตาย ทำให้เราอยากจะตะโกนออกมา
ตอบ : แล้วคุณไปพิจารณาอย่างนั้นทำซากอะไร..! มีประโยชน์อะไร ? แทนที่จะพิจารณาวิปัสสนาญาณ ดันไปดูเรื่องไม่เป็นเรื่อง

อาการที่ว่ามาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของขันธมาร เขาแค่อยากมาทดสอบว่าเราไม่กลัวตายจริงหรือเปล่า ?

ถาม : มีเสียงใครไม่รู้ว่าเป็นร้อยเป็นพัน ใจเราเต้นตุ๊บ ๆ
ตอบ : ตอนนั้นเรากลัวไหมเล่า ?

ถาม : ตอนนั้นก็กลัว แต่ก็สู้อยู่
ตอบ : แค่นั้นแหละ..เสร็จเขาไปแล้ว

ถาม : จะทำให้เราเป็นบ้าไหม ?
ตอบ : ถ้าสติมั่นคงอยู่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าต่อไปถ้าจะพิจารณาอะไร ให้ดูเข้าหาไตรลักษณ์ อริยสัจ ๔ หรือไม่ก็วิปัสสนาญาณ ๙ ไม่ใช่ไปคิดเรื่องบ้า ๆ อื่น ๆ เรื่องพวกนั้นไม่มีประโยชน์์ที่จะไปคิด แค่เราไม่ทำก็จบแล้ว อุปกิเลส ๑๖ เราก็แค่เว้นไม่ทำ ยังจะต้องไปพิจารณาอะไร

ถาม : พอดีเรียนนักธรรมโท มีอุปกิเลส ๑๖ ผมเอามาอ่าน จึงลองพิจารณาดู
ตอบ : คุณไปพิจารณาของที่ทำแล้วไม่ได้อะไร ยังดีที่คุมสติได้ ไม่บ้าไปเสียก่อน..!

เถรี 28-03-2011 16:18

ถาม : ตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยตั้งมั่น หวั่นไหวง่าย
ตอบ : กำลังในการภาวนายังไม่พอ แสดงว่าสมาธิยังไม่ทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัวอยู่ กำลังใจจะมั่นคง ไม่หวั่นไหวในเรื่องอะไรทั้งสิ้น

เถรี 28-03-2011 17:23

ถาม : ไปซื้อบ้านแถวบางกะปิไว้ แต่พอตกกลางคืนจะเห็นเงา ประมาณเที่ยงคืน
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวเขาว่า ถ้าจะอยู่ด้วยกันก็ไม่ว่า เราทำบุญอะไรก็อนุญาตให้โมทนา แต่ขอให้ช่วยเฝ้าบ้านและดูแลรักษาความปลอดภัยให้ด้วย ขอเขาอย่างนี้
บ้านอย่างนั้นอย่าไปกลัว เมื่อเขามาในลักษณะอย่างนั้นได้ ถ้าเขาช่วยเราก็จะช่วยได้มากกว่าปกติ แต่ให้เราทำบุญและอุทิศให้เขาบ่อย ๆ

ถาม : แล้วเวลาอุทิศจะอุทิศอย่างไร ?
ตอบ : ตั้งใจว่าใครก็ตามที่เราเห็น ขอให้เขามาโมทนาบุญที่เราทำ

เถรี 29-03-2011 00:13

ถาม : เวลาผมนั่งสมาธิ ผมจะทำใจว่า ไปสวดมนต์ทำวัตรอยู่บนพระนิพพาน วิธีทำอารมณ์ให้ถูกต้องโดยไม่เป็นสักกายทิฏฐิต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไปนิพพานได้จริง ๆ จะเป็นการตัดกิเลสทุกอย่างหมดอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนที่เรากลับมา ให้จำเอาอารมณ์นั้นมาใช้งานด้วย

การที่เราขึ้นไปสวดมนต์ทำวัตรได้ถือว่าเป็นเรื่องดี ถ้าทำถูก การอยู่ตรงที่ซึ่งไม่มีกิเลส ไม่มีความรัก โลภ โกรธ หลงไปนาน ๆ ถ้าเราจำอารมณ์นั้นมาซักซ้อมใช้งานได้บ่อย ๆ ต่อไปก็จะเป็นอารมณ์จริงของเรา ฉะนั้น..ให้พยายามซ้อมทุกวัน สร้างความคล่องตัวให้เกิดขึ้น

เถรี 29-03-2011 00:16

ถาม : มีไหมครับ อารมณ์ที่เราไม่ได้ยกจิตขึ้นนิพพาน แต่อารมณ์เท่ากับอยู่บนพระนิพพาน ?
ตอบ : ทำถึงจริง ๆ อยู่ตรงไหนก็ใช่ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นตรงไหนก็คือพระนิพพาน

ถาม : เป็นฌานกับอุปสมานุสติหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าถึงตอนนั้นไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าจะเป็นก็เป็นพระนิพพาน..!

ถาม : เป็นกรณีนิพพานแบบถาวร แล้วแบบชั่วคราวละครับ ?
ตอบ : ถ้ากรณีชั่วคราวก็เป็นส่วนหนึ่งของอุปสมานุสติ

ถาม : ทำไมถึงเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมดละครับ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าชั่วคราว ถ้าเต็มระดับถึงจะเป็นอุปสมานุสติอย่างแท้จริง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าไม่ถึงพระนิพพานก็จะไม่ปราศจากกิเลส เกาะเทวดาก็ยังรัก โลภ โกรธ หลงเต็ม ๆ เกาะพรหมก็ยังเป็นรูปราคะอยู่ ถ้ายังเกาะอยู่ก็ยังไม่ใช่ ถ้าใช่เขาต้องปล่อยกันจนเป็นปกติ

เถรี 29-03-2011 00:39

ถาม : ในอดีตมีการจัดงานศพของพระที่ใหญ่โตขนาดหลวงตาบัวหรือไม่ ?
ตอบ : ในอดีตน่าจะเป็นสมัยหลวงปู่มั่น ถัดมาก็หลวงปู่ฝั้น สมัยหลวงปู่ฝั้นในหลวงเสด็จเองเลย

ถาม : สมัยหลวงปู่ชอบก็งานใหญ่
ตอบ : งานใหญ่ก็จริง แต่ก็ไม่ดังขนาดนี้

ถาม : งานของหลวงตาบัวดังกว่างานหลวงพ่อวัดท่าซุง
ตอบ : ดังกว่าเยอะ

ถาม : งานหลวงพ่อไม่ดังเท่าไร
ตอบ :
ไม่ดังเท่าไรหรอก แค่หนังสือพิมพ์ลงข่าวให้เป็นเดือน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับไปตั้งกองหาข่าวในวัดเลย เขาลงพาดหัวให้สามวันและลงเนื้อหาข้างในอีก ๗ วัน

มติชนรายสัปดาห์ลงให้สองเล่ม เหตุที่ทำอย่างนั้นเพราะเป็นครั้งแรกที่มติชนขายหมดตลาด ไม่มีเหลือส่งกลับ ไม่มีการส่งคืนโรงพิมพ์ เขาแปลกใจ จึงส่งนักข่าวไปตั้งกองอยู่ที่วัด อาตมามีหน้าที่ดูแลพวกนี้จึงรู้ ต้องพาเขาไปสัมภาษณ์ท่านนั้นท่านนี้ ต้องพาเขาไปถ่ายรูปในกุฏิหลวงพ่อ แต่งานศพของหลวงพ่อท่านไม่ได้เผา จะเอาให้ดังเหมือนงานที่เผาจึงไม่ได้

ถาม : เดี๋ยวนี้เห็นมีร่างทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำด้วย
ตอบ : มีมาตั้งแต่สมัยก่อนท่านจะมรณภาพแล้ว ท่านบอกว่า "เล็กเว้ย..ข้ายังไม่ทันจะตายเลย มีสำนักทรงฤๅษีลิงดำไป ๖๐ กว่าสำนักแล้ว"

นึกถึงสญชัยปริพาชก พออุปติสสะมาณพและโกลิตะมาณพได้เป็นพระโสดาบัน เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีความดีอย่างไร ก็ไปชวนสญชัยปริพาชกซึ่งเป็นอาจารย์ของตัวเอง ให้ไปหาพระพุทธเจ้าด้วยกัน สญชัยปริพาชกไม่ยอมไป ท่านย้อนถามกลับมาว่า "โลกนี้คนโง่หรือคนฉลาดมากกว่า ?"

อุปติสสะมาณพและโกลิตะมาณพตอบว่า "คนโง่ย่อมมากกว่าเป็นปกติอยู่แล้ว" สญชัยปริพาชกจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นคนฉลาดอย่างพวกเธอจงไปหาพระสมณโคดม ส่วนคนโง่จะมาหาเราเอง" ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็มีคนเชื่อและไปหาเขาอยู่แล้ว

เถรี 29-03-2011 00:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพวกเรายังไม่โดนตีกรอบ ก็จะไม่รู้ว่าสภาพจิตของเราดิ้นรนขนาดไหน เพราะว่าเวลาต้องการอะไร เราก็สนองให้ทุกอย่าง แต่ศีลพระ ๒๒๗ ข้อ ทำให้สิ่งที่เราเคยได้ทำ กลายทำไม่ได้ทั้งนั้นเลย

ในเมื่อโดนตีกรอบ กิเลสก็ดิ้นตายชักเลย อย่างที่เขาเล่ากันขำ ๆ ว่า มีหนุ่มอยากจะบวช ถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อบวชดีไหม ?" หลวงพ่อตอบว่า "ดี..บุญเยอะดี" พอถึงเวลาบวชเข้าไป "หลวงพ่อผมทำนี่ได้ไหม ?" "ไม่ได้..บาปตายเลย"

"ผมทำนั่นได้ไหมหลวงพ่อ ?"
"ไม่ได้..บาปตายเลย"
"หลวงพ่อบอกว่าผมบวชแล้วได้บุญเยอะ แต่ทำไมบวชเข้ามามีแต่บาปทั้งนั้น ?"

คราวนี้สภาพจิตที่ดิ้นรนแล้วได้รับการสนองตอบ อาการดิ้นรนก็ไม่หนัก แต่เมื่อไม่ได้รับการสนองตอบ แค่อดข้าวเย็นอย่างเดียวก็แย่แล้ว"

เถรี 29-03-2011 00:45

ถาม : แล้วการไม่ได้กินข้าวเย็น ทำให้มีอาการกรดไหลย้อน ?
ตอบ : เขาบอกว่า ตัวตายดีกว่าศีลขาด จะไปกลัวอะไรกับกรดไหลย้อน

ถาม : อดไปเรื่อย ๆ อาการจะหนักไปเรื่อย ๆ
ตอบ : เขายังมีเภสัชฉันได้เยอะแยะ น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น

ถาม : เนยแข็งมีไหมคะ ?
ตอบ : เนยแข็งนั่นแหละ เขาเรียกว่าเนยข้น

เถรี 29-03-2011 00:55

พระอาจารย์เล่าว่า "ทิดหนุ่ม ตอนที่เขาบวชอยู่ก็ไปยกแท่งปูนสำหรับทำขอบลานธรรมด้วยกัน แท่งปูนแท่งหนึ่งหนัก ๑๐๖ กิโลกรัม สองคนช่วยกันยกแท่งหนึ่ง อาตมาเห็นเขายกแบบยักแย่ยักยัน รู้สึกรำคาญ ก็ยกพรวดไปเลย ทิดหนุ่มเขาจับแท่งปูนแน่นไปหน่อย ก็เลยลอยตามแท่งปูนไปด้วย

เขาก็ไปนั่งบ่นว่า "หลวงพ่อทำไมน่ากลัวอย่างนี้ ?" นอกจากแท่งปูน ๑๐๖ กิโลกรัมแล้ว คนยังโดนยกลอยตามไปอีก อยากจะบอกเขาว่า "ที่คุณเห็นว่าน่ากลัวนั้น เหลือแค่ ๑ ใน ๑๐ ของสมัยก่อน ตอนนี้ผมแก่จนหมดสภาพแล้วว่ะ..!"

เถรี 29-03-2011 00:59

ถาม : พระอริยเจ้าอย่างพระอรหันต์ยังสึกหรือไม่..?
ตอบ : บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ต้องถึงพระอรหันต์หรอก แค่พระโสดาปัตติมรรคก็ไม่คิดจะสึกแล้ว ท่านเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยแล้ว จิตที่ปรามาสพระรัตนตรัยแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะฉะนั้น..ท่านก็ไม่รู้จะสึกไปทำเกลืออะไร..!

ถาม : แสดงว่า..
ตอบ : ถ้าหากบุคคลที่จิตละเอียดพอแล้ว ตนเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย แล้วทำตัวเองให้หลุดออกมา ถ้าสำหรับคนทั่วไปจะสึกก็สึกไปเถอะ ในส่วนที่คนทั่วไปทำแล้วไม่เห็นโทษ พระระดับนั้นท่านเห็นว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย

เถรี 29-03-2011 01:28

ถาม : คืนก่อนที่หลวงตามหาบัวท่านจะไป ก่อนนอนก็ภาวนาเป็นปกติ แล้วเห็นหลวงตาแก่ ๆ ท่านไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจได้ยินว่า วันนี้ท่านจะไปแล้ว คิดว่าตัวเองฝันไป ก็เลยถอนจิตออกมา คิดว่าข่าวนั้นโกหก
ตอบ : ไม่เป็นไร พอโดนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง ลักษณะที่ว่ามาเป็นทิพจักขุญาณในอนาคตังสญาณ ถ้าเป็นตอนนั้นรู้เดี๋ยวนั้น จะเป็นปัจจุปันนังสญาณ ถ้าผ่านไปแล้วนึกย้อนกลับได้ จะเป็นอตีตังสญาณ

ถาม : อย่างนี้จัดว่าเป็นท่านบอกเรา หรือจิตเราไปเอง ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตเราถึง ก็เหมือนกับเราตั้งเสาอากาศไว้ ใครส่งข่าวมาก็รู้เอง

ถาม : อย่างนี้ท่านก็ส่งไปทั่ว
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน วันนั้นอาตมาเที่ยวไล่บอกเขาตอนเช้ามืดว่าท่านไปแล้ว ไม่มีใครเชื่อสักคน มีแต่คนเถียงว่า ได้ยินว่าอาการดีขึ้นแล้ว

เถรี 29-03-2011 01:34

ถาม : เวลารถมาเราจะจับดูทะเบียนใช่ไหมคะ ? ส่วนหนูจับภาพค่ะ มันเหมือนเห็นภาพ ๓๖๐ องศาเป็นสามมิติค่ะ ถ้าใจปรับโฟกัสผิด ก็เห็นภาพผิดค่ะ
ตอบ : ต้องเห็น ๓๖๐ องศาเพราะทิพจักขุญาณไม่ถูกจำกัดด้วยทิศทางหรือสถานที่ มีประเภทหนึ่งก็คือ ถ้าเขามาในทิศที่ผิดปกติแล้วเราเห็นได้ ให้รู้ไว้ก่อนว่านั่นผีหรือเทวดา แต่ถ้าอยู่ตรงหน้าแล้วถึงจะเห็นได้ นั่นยังไม่แน่ ยังต้องพิจารณากันอีกที

ตอนที่อาตมาไปงานฉลองเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ไปพักอยู่ที่เฮือนศิลารีสอร์ท มีผีมา ๒-๓ ชุดด้วยกัน ชุดแรกเขามาขอส่วนกุศลแล้วก็ไป ชุดที่สองมาขบวนใหญ่ ขอส่วนกุศลแล้วก็ไป ชุดที่สามมาคนเดียว เลือดท่วมตัวมาเลย ถามว่าเป็นอะไร ? เขาบอกว่าโดนรถชนตาย ไม่รู้จะไปไหน พอดีมีรถคันหนึ่งผ่านมา เขาก็เลยเกาะรถคันนั้น แล้วรถคันนั้นเข้ามาที่รีสอร์ท เขาก็เลยเปะปะอยู่ในนี้

พอเห็นว่าอาตมาอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นอยู่ เขาก็เลยมาขอบ้าง แล้วเขาก็ไป เสร็จแล้วก็มีเสียงเคาะประตูก๊อก ๆ อาตมาก็คิดว่า เออ..ผีชุดนี้มารยาทดีจริง ๆ พอมองออกไปเห็นแต่ประตูอย่างเดียว แสดงว่าไม่ใช่ผีแล้ว ลุกไปเปิดประตูพบว่าเป็นทิดตู่ คือถ้ามองแล้วเห็นทันทีเลยน่ะผี แต่นี่มองออกไปไม่เห็น ก็เลยไปเปิดประตูดู

ทิดตู่เขามาชวนไปเที่ยวผาหำหด ก็เลยบอกว่า "เอ็งไปกันเถอะ ข้าไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว" คือตรงนั้นเป็นหน้าผาตัดดิ่งลงไป คนมองก็ใจหวิว เขาเลยเรียกว่า ผาหำหด

เถรี 29-03-2011 01:53

เขาทำวิจัยกันแล้วว่า ความสูง ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามอย่างน้อยต้องมีความกลัว เพียงแต่ว่ากลัวแล้วตั้งสติได้หรือไม่ได้ อย่างสมัยก่อนทหารเขาฝึกโดดร่มกัน เพื่อนบางคนครูฝึกต้องถีบลงไป เพราะเขาเห็นความสูงแล้วไม่กล้า ด่าว่าอย่างไรก็ไม่ยอมโดด

ถาม : ตอนที่ขึ้นไปบนเขาที่วัดท่าขนุน หนูก็ภาวนาไป กลัวว่าจะหลุดจากการภาวนา อยู่ดี ๆ เกิดกลัวความสูงขึ้นมา
ตอบ : จะได้รู้ไว้ว่า จริง ๆ แล้วเรายังกลัวตายอยู่ ขอบอกว่า ความกลัวทุกชนิดมีพื้นฐานจากความกลัวตายทั้งสิ้น อาตมาตามดูอยู่เป็นปี ๆ เลยนะ กว่าจะรู้ว่าความกลัวทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากความกลัวตาย บางอย่างก็อ้อมโลกไปไกลมากเลย แต่ตอนสรุปก็จะมาสรุปลงที่ตรงกลัวตาย

ถาม : ถ้าเห็นเลือด อย่างอ่านข่าวฆาตกรรม จิตไปเชื่อมแล้วไม่กลัว
ตอบ : ตอนนั้นที่ไม่กลัวเพราะสภาพจิตทรงสมาธิอยู่ ถ้าหลุดออกมาก็เจ๊ง

ถาม : ไปโรงพยาบาล แค่เห็นเขาตรวจเลือดในวอร์ดก็หน้ามืดจะเป็นลม
ตอบ : วันก่อนพาพระไปเจาะเลือด อยากจะบอกพวกเราทุกคนว่า เราสามารถที่จะตั้งระดับสภาพร่างกายของเราเองได้ สมัยเด็ก ๆ อาตมาโดนหมอเสนารักษ์ (หมอทหาร) ฉีดยา เขามือหนักมาก ฉีดยาแล้วเราต้องเดินเป๋ เจ็บตูดไปเป็นอาทิตย์ จึงทำให้เกลียดเข็มมาก พอคราวหลังโดนฉีดยาจะเป็นลมทุกครั้ง แค่เห็นเข็มก็เป็นลม

ตอนที่สมัครไปเป็นทหาร ต้องเจาะเลือดตรวจเพื่อดูกรุ๊ปเลือด แล้วก็ต้องฉีดยากันบาดทะยัก เพื่อเวลารบขึ้นมาถ้าบาดเจ็บ จะได้ไม่ตายเพราะเชื้อบาดทะยัก แต่อาตมาที่เห็นเข็มเข้าแล้วเป็นลม พอไปเจออย่างนั้นเข้าจะทำอย่างไร ? เนื่องจากว่าภาวนามาหลายปีแล้ว ก็เลยคิดว่า "กูจะไม่เป็นลม..กูจะไม่เป็นลม"

ร่างกายของเรามีระบบป้องกันตัวอัตโนมัติ ถ้าได้รับบาดเจ็บก็จะตัดให้เป็นลมหรือช็อก เพื่อให้ระบบร่างกายทำงานน้อยลง เป็นการสงวนพลังงานเอาไว้เพื่อรักษาตัวเอง พออาตมาไปทำอย่างนั้น กลายเป็นว่าไปตั้งระบบของร่างกายใหม่ ตั้งแต่นั้นมาโดนฉีดยาเท่าไรก็ไม่เป็นอะไร แสดงว่าเราสามารถตั้งระบบร่างกายของเราได้ ครั้งแรก ๆ ที่ร่างกายตัดให้เป็นลม เป็นการป้องกันตัวเร็วเกินไป เหมือนกับว่าไฟอ่อนนิดเดียวก็ตัดแล้ว เราก็ไปเพิ่มหน่อย คราวนี้ไฟแรงแค่ไหนก็ไม่ตัด


ถาม : ตั้งโปรแกรมใหม่ได้
ตอบ : ตั้งได้ อยู่ที่ใจของเรา

เถรี 29-03-2011 02:18

ถาม : พอจิตเรารู้ว่าทำได้ เราก็ทำได้ขึ้นมาใช่ไหมคะ ? อย่างเราถักเปียตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ พอโตขึ้นมาคิดว่าน่าจะทำได้ ก็ทำได้เลย
ตอบ : ถ้ามีของเก่าอยู่ ถึงเวลาเราจะเป็นเอง สมัยก่อนบวชอาตมาก็ถักเปียให้เพื่อนผู้หญิงได้ ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน

ถาม : ก็เลยสับสนว่าบางครั้งเราทำไม่ได้ หรือว่าเราทำได้จริง ๆ กันแน่ แยกไม่ออกค่ะ ?
ตอบ : ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ก็ต้องสะสมกันนานทีเดียว

เถรี 29-03-2011 02:23

ถาม : พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่พิจารณาให้เห็นว่า อาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก พืชก็สกปรก สัตว์ก็สกปรก สัตว์ก็ไม่แปลกใช่ไหม ? เราเห็นว่ามีเลือด มีอุจจาระปัสสาวะเป็นปกติ โดยเฉพาะถ้าหากเราไปดูในฟาร์มเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว จะเห็นว่าเละเทะไปหมดเลย

แต่ในเรื่องของพืช เราต้องเห็นว่ามีพื้นฐานมาจากความสกปรก ก็คือปุ๋ยทุกอย่าง เช่น ซากพืช ซากสัตว์ อุจจาระ ปัสสาวะ ที่พืชดึงเอาเป็นอาหาร ถ้าหากเป็นผลไม้เราก็ดูไปว่า จริง ๆ แล้ว เรากินสิ่งที่เน่า เพียงแต่ว่าเราเอามากินก่อนที่จะเน่าหมดสภาพนั่นเอง ผลไม้ที่กำลังเน่าได้ระดับพอดีเราเอามากินเสียก่อน

แล้วหลังจากนั้นสิ่งที่เรากินเข้าไปออกมาเป็นอะไร ? ก็กลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะทั้งหมด แล้วลองดูสิว่า ตอนที่ถ่ายออกมา เราทนดูโดยไม่รังเกียจได้ไหม ?

ถาม : ไม่ได้
ตอบ : นั่นแหละ..พิจารณาอย่างนั้น ให้เห็นว่า อาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก แล้วเรากินสิ่งที่สกปรกเข้าไป ร่างกายนี้ก็เลยสกปรกไปด้วย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่มีความสกปรกอย่างนี้เราไม่ต้องการอีก พอกำลังใจทรงตัวมั่นคงแล้ว เราก็เอากำลังใจช่วงสุดท้ายไปเกาะพระนิพพานแทน

เถรี 29-03-2011 02:42

ถาม : ถ้าเกิดฝันเห็นงานศพครูบาอาจารย์ที่เป็นที่รักที่เคารพของตัวเอง โดยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แปลความหมายได้อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : เอาเป็นหลักธรรมจริง ๆ ก็คือ ทุกคนต้องตายหมด แม้กระทั่งเรา เพราะฉะนั้น..โปรดระวังเอาไว้ว่า เราก็จะตายอย่างนั้นด้วย

เถรี 29-03-2011 10:02

พระอาจารย์เล่าว่า "ด้วยความเคยชิน อาตมาจะทดสอบไมโครโฟนด้วยการเป่า เพราะสมัยก่อนใครเคาะไมโครโฟน หลวงพ่อก็จะเคาะกบาลตามไปด้วยทันที ท่านบอกว่าข้างในไมโครโฟนจะมีฟิวส์บาง ๆ อยู่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าไปทดสอบด้วยการเคาะ ฟิวส์จะขาด ไมโครโฟนก็จะเสีย ท่านจึงให้ทดสอบด้วยการเป่าแทน

หลวงพ่อท่านใช้ทุกอย่างประหยัดมาก และรักษาทุกอย่างพอ ๆ กับชีวิต ท่านบอกว่า ของทุกอย่างได้มาก็เพราะบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราไม่ได้อาศัยบารมีท่าน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เรา ถึงจะมีมาก ก็ใช้ฟุ่มเฟือยไม่ได้ เพราะว่าของที่ได้มาด้วยศรัทธา ราคาน้ำใจเขาประเมินเป็นตัวเงินไม่ได้ จึงต้องรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด

สมัยก่อนหลวงพ่อซื้อเครื่องเสียงที่ยังเป็นหลอดทรานซิสเตอร์อยู่ จะต้องอุ่นเครื่องประมาณ ๕ นาทีจึงจะทำงานได้ ท่านซื้อใช้ที่วัดท่าซุง ๑ เครื่อง และซื้อถวายวัดยางที่อยู่คนละฝั่งคลองอีก ๑ เครื่อง วัดยางเปลี่ยนไปสามเครื่องแล้ว ของวัดท่าซุงยังใช้เครื่องเดิมอยู่เลย

เวลาเสียบปลั๊กหรือถอดปลั๊ก ท่านให้ดึงตรง ๆ เสียบตรง ๆ ท่านบอกว่าดึงหมุน ๆ แล้วทำให้ปลั๊กหลวม เสียง่าย เพราะฉะนั้น..ท่านรู้จริงทั้งหมดและรักษาข้าวของดีมาก ก็เลยทำให้ของที่ท่านใช้อยู่ทนนานกว่าคนอื่นเขา

มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ท่านเดินจากที่พักทางตึกอินทราพงษ์ริมน้ำ คือฝั่งวัดเก่า ข้ามมาที่ทางฝั่งโบสถ์ คือ ทางฝั่งวัดใหม่ ตรงไปที่ร้านอาหารป้ากิมกี พอพระเห็นหลวงพ่อเดินมาก็ตาลีตาเหลือกวิ่งไล่ตาม ว่าหลวงพ่อมาทำไม ท่านมาเดินดูและชี้ให้พระดู

เนื่องจากว่า พระท่านสั่งอาหารที่ร้านค้ามาฉัน หลวงพ่อท่านห้ามพระนั่งในร้าน ท่านบอกว่าพระนั่งร้านค้าแล้วน่าเกลียด ถ้าพระนั่งแล้วโยมเขาไม่กล้าเข้า ทางร้านเขาก็จะเสียรายได้ไป"

เถรี 29-03-2011 10:07

"พระจึงสั่งอาหารเข้ามาฉันในห้องใต้หอระฆัง ซึ่งเป็นห้องยาม พอฉันเสร็จพระก็เอาถ้วยชามพร้อมกับแก้วน้ำมากองไว้ตรงตีนบันได เพื่อรอเขามาเก็บเอาไปล้าง

หลวงพ่อท่านบอกว่า พระท่านมาบอกว่า "..ไปดูความมักง่ายของลูกแกซิ..เอาไปวางกองไว้อย่างนั้น ถ้าหมาวิ่งมาสะดุดแล้วของตกแตก หรือคนเดินเหยียบของแตกขึ้นมา ถ้าพระไม่ไปใช้หนี้ จะเจออาบัติปาราชิกไม่รู้ตัว เพราะตนเองเป็นต้นเหตุทำให้เขาสูญเสียของสิ่งนั้น ๆ"

ปาราชิกนี่ขาดจากความเป็นพระเลยนะ แก้วน้ำใบหนึ่งราคาเกินหนึ่งบาทอยู่แล้ว ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านทำเป็นแบบอย่างให้ ถ้าพระเณรที่อยู่กับท่านถอดแบบไปใช้ ไม่ต้องมากหรอก ได้สัก ๑ ใน ๑๐๐ ของหลวงพ่อท่านก็พอ สามารถไปได้ทั่วประเทศเลย

บรรดาบุคคลที่เคยวิ่งรับใช้หลวงพ่ออยู่ ปฏิปทาก็จะกลายเป็นแบบหลวงพ่อโดยไม่รู้ตัว เพราะโดนหล่อหลอมจากแม่พิมพ์นั้น ๆ มา บรรดาผู้ชายที่อยู่รับใช้หลวงพ่อมักจะอยู่ไม่นาน ในที่สุดก็บวชกันหมด มีหลวงตาวัชรชัยอยู่นานกว่าเพื่อน หลวงตาอยู่ ๘ ปี อาตมาอยู่ ๔ ปี ที่หลวงตาอยู่ถึง ๘ ปี เพราะหลวงตามีครอบครัว รอการตัดสินใจอยู่จึงช้า ส่วนคนอื่นเขาไม่มีครอบครัว หรือตัดใจจากครอบครัวได้ก็บวชกันเลย

เป็นผู้หญิงไม่ต้องเสียดายนะว่าไม่ได้บวช อย่างวันก่อนที่เขาว่า เป็นผู้ชายบวชแล้วได้กุศล เกิดเป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ผู้หญิงควรจะทำอย่างไร ? ก็ทำตนให้เป็นพระอริยเจ้าไปเลย..! ดีกว่าบวชไปเสี่ยงนรกตั้งเยอะ..!"

เถรี 29-03-2011 10:17

1 Attachment(s)


พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธรูปศิลปะล้านช้างสังเกตได้ง่าย ๆ ว่า หน้าตักจะกว้างเป็นพิเศษจนเหมือนผิดส่วน ดังนั้น..หลวงพ่อโสธรจึงเป็นศิลปะล้านช้าง สังเกตได้ว่าหน้าตักท่านกว้างกว่าพระพุทธรูปทั่วไป"

เถรี 29-03-2011 10:21

ถาม : สงสัยมานานแล้ว หลวงพ่อสร้างพระคำข้าวซึ่งเป็นทางมหาลาภ เป็นรูปพระพุทธชินราช แต่พอพระหางหมาก ซึ่งเป็นในทางป้องกันแคล้วคลาด กลับเป็นหลวงพ่อโสธร สลับกันหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ได้สลับกัน แล้วแต่ช่างเขาทำให้ ท่านมอบผงให้ช่างไปผลิตเอาเองตามใจเลย เพียงแต่ให้ใส่คำว่าวัดท่าซุงไว้ ตอนที่ทำหลวงพ่อไม่ได้เจตนาทำไว้บู๊ อาตมาเองก็ติดนิสัยหลวงพ่อมา หลวงพ่อบอกว่า ทำทางมหาลาภดีกว่า ถ้าชาวบ้านเขารวยก็ช่วยวัดได้ อาตมาก็ว่าเป็นนโยบายที่ดี

ปรากฏว่าพอพุทธาภิเษกแล้ว พระท่านสงเคราะห์ให้ พระท่านสงเคราะห์พิเศษขนาดนั้น พวกเราน่าจะระแวงว่าเป็นรุ่นท้าย ๆ แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ระแวงกัน

เถรี 29-03-2011 10:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยโบราณเขานิยมผู้หญิงท้วมกัน ท้วมก็คือเกือบอ้วน หรืออวบระยะสุดท้าย ถ้าใครได้ดูรูปนู้ดของฝรั่ง เราจะเห็นว่ามีแต่ผู้หญิงอ้วน ๆ ทั้งนั้นเลย เพราะเขาถือว่ารูปร่างลักษณะอย่างนั้นจึงจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดี ไม่ใช่เป็นแม่ที่ดีนะ

ยิ่งในยุคสมัยที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ จำเป็นต้องสร้างกำลังพลขึ้นใหม่ ต้องอาศัยการมีลูกมาก ๆ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง มีลูกได้ ๑-๒ คน คนเป็นแม่ก็ไม่ไหวแล้ว"

เถรี 29-03-2011 10:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการปฏิบัติ เราต้องได้สร้างบุญร่วมกันมาก่อน ถึงจะตามกัน ถ้าไม่ได้สร้างบุญร่วมกันมาจะไม่เลื่อมใสกันหรอก เขาก็จะไปเลื่อมใสบุคคลที่เคยสร้างบุญร่วมกันมา"

เถรี 29-03-2011 11:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติต้องระวังการทดสอบให้ดี ตั้งหลักไม่ทันนี่เสียท่าเขาแน่ โดยเฉพาะท่านที่กำลังใจยังไม่มั่นคง ถึงเวลาเสียแล้วจะเสียนาน"

เถรี 29-03-2011 11:34

ถาม : อนุเสาวรีย์ หรือ อนุสาวรีย์ จึงจะถูก ?
ตอบ : อนุสาวรีย์ ความจริงมาจากคำว่า อนุสรณีย์ แปลว่าเครื่องอันเป็นที่ระลึกถึง แต่คนเขียนท่านเขียนหวัดไปหน่อย คนอ่านจึงอ่านเป็นอนุสาวรีย์ และก็ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ แต่จริง ๆ คือ อนุสรณ์ หรือ อนุสรณีย์

เถรี 29-03-2011 11:42

ถาม : เมตตาในอุเบกขาเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เมตตาในอุเบกขา ก็คือ เมื่อช่วยเขาไม่ได้ก็วางเฉย แต่ไม่ได้เฉยอย่างเดียว ถ้ามีโอกาสเมื่อไรก็พร้อมที่จะช่วยอีก

ถาม : แล้วอุเบกขาในเมตตา ?
ตอบ : อุเบกขาในเมตตาก็แค่กลับข้างกันเท่านั้น

ถาม : เฉยก่อนแล้วค่อยช่วย ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้าหากว่าสงเคราะห์เกินประมาณ พวกคนพาลจะได้ใจ จึงต้องรู้จักการสงเคราะห์คนในระดับที่พอเพียงด้วย จึงจะเป็นอุเบกขาในเมตตา

ถาม : คนที่เป็นพุทธภูมิ เขามักจะห่วงคนอื่นมากกว่าห่วงตนเอง อันนี้ไม่ใช่ทางสายกลาง จะวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : วางกำลังใจอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ห่วงคนอื่นมากกว่าตนเอง ก็ไม่ใช่พุทธภูมิ..!

กำลังใจของพุทธภูมิ เราจะเอาในเรื่องของหลักธรรมไปวัดไม่ได้ ส่วนที่เราเห็นว่าเป็นอัตกิลมถานุโยค ก็คือเกินกำลัง แต่สำหรับท่าน ท่านทำได้ เราแบกข้าวสารได้กระสอบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นช้าง ๗-๘ กระสอบ โยนใส่หลังก็ยังเฉย เราจะไปวัดด้วยเหตุผลธรรมดาไม่ได้ เพราะกำลังใจท่านมากกว่า

เถรี 30-03-2011 14:02

ถาม : ถ้าเมตตาสูงแล้วคนรับเขารับไม่ได้ จะกลายเป็นโทษแก่เขาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เมตตาจะต้องมีปัญญาประกอบด้วย อย่างที่ว่ามาแสดงว่าคุณมีเมตตาอย่างเดียว ในเรื่องบารมี ๑๐ นี้ ถ้าหากว่าเราทำตัวใดตัวหนึ่ง อีก ๙ ตัวก็จะมาด้วย โดยเฉพาะสำคัญที่สุดก็คือ ปัญญาบารมี ต้องดูวาระ ดูโอกาส ว่าควรที่จะปฏิบัติอย่างไร

ถ้าหากว่าเป็นในสัปปุริสธรรม ก็คือ กาลัญญุตา รู้กาลเทศะ เวลาไหนเหมาะ เวลาไหนควร รู้ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้ว่าแต่ละบุคคลมีความต้องการอย่างไร

ถาม : พูดง่าย ๆ ก็คือ โดยพื้นฐานของกำลังใจควรมีเมตตา คิดว่าจะให้อยู่ ส่วนจะเป็นเวลาไหนอย่างไร ต้องใช้ปัญญาประกอบเข้าไป ?
ตอบ : มีปัญญารู้ว่าเวลาไหนควรจะอุเบกขา ไม่ใช่มีแต่เมตตาอย่างเดียว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:47


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว