กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1235)

เทวคันธี 06-01-2010 10:47

ตอนลงปากบึงที่ชันนี่ ถือว่ามันสุด ๆ แล้ว ผมเอาก้นไถลไปตามพื้น เอาเท้าไว้คอยเบรก มันจริง ๆ แต่ต้องคอยหลบโขดหินกับต้นไม้หน่อย อ่านไปก็นึกถึงโฆษณาของสวนสยามเอานะครับ (พื้นดินต้องเปียกนิดหน่อย) ไม่อยากจินตนาการ นี่ถ้ามีหิมะหน่อยคงได้เล่นสกีกัน เห็นว่ามีข่าวโหรท่านหนึ่งทำนายว่าเมืองไทยจะมีหิมะตก อยากให้ไปตกแถวเมืองกาญจน์หน่อยก็แล้วกัน จะได้ไปเล่นที่บึงลับแล...

ยายนุ้ย 06-01-2010 19:06

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 29031)
หลังจากผ่านพ้นปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ๒๕๕๓ กระผมเองพักการเขียนเรื่องราวในกระทู้ไประยะสั้น ๆ (แต่ก็นานเหมือนกันนะครับ) ไม่ได้ขี้เกียจหรือว่าจะหลบหนีหายไปไหน ช่วงของชีวิตบางครั้งมันมีหลาย ๆ เรื่องราวเข้ามาพร้อม ๆ กัน ชนิดที่เรียกว่า ๒๔ ชั่วโมงต่อวันมันดูเหมือนจะมีเวลาไม่พอ
หลวงพ่อเองท่านมักจะบ่นลอย ๆ มาให้ฟังเสมอ ๆ ใครไม่คิดอะไรมันก็ไม่มีอะไร แต่ไอ้คนคิดมากอย่างผม มีหรือจะไม่คิด นั่งคิดนอนคิด ตอนเป็นพระก็คิด สึกออกมาแล้วก็ยังคิดแถมเจอกับตัวเองด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า "ดูเหมือนเวลาของผมในแต่ละวันมันจะไม่พอ ทั้ง ๆ ที่ผมและพวกคุณมีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน"
เวลามันคือชีวิตจริง ๆ ถ้าเราไปเต้นกับมันไม่คุมสติให้ดี ๆ รับรองมีหวัง......ด้วยบุญของการปฏิบัติหรือคุณงามความดีหรือความมีสติ บางครั้งมันแย้งขึ้นมาว่า ผมกำลังวิ่งตามอะไร...อะไรคือเป้าหมายทั้งทางโลกและทางธรรม พออารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น มันเบรกตัวกระผมอย่างชนิดที่เรียกว่า "รถจอดแล้วแต่คนยังกระเด็นทะลุกระจกออกไป" จึงต้องพยายามดึงเอาความสงบกลับเข้ามาให้เร็วที่สุด และแล้วกระผมก็เห็นว่า กระแสโลกมันหมุนชนิดที่เรียกว่า "อย่าได้เผลอสติ" เผลอเมื่อไหร่มีเบลอเสียศูนย์ถ่วงของตัวเองเมื่อนั้น

งานนี้ผมเลยบอกว่าผมกลับมาแล้วพร้อมฟันปลอมหนึ่งคู่ ลองใส่ดูมันก็เท่ห์ดี ๕๕๕๕๕ ว่าแล้วก็จะได้เตรียมข้อมูลในการเขียนกระทู้ต่อไป สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกทุกท่านในปีใหม่นี้ก็คือ "เวลาคือชีวิต"

http://i113.photobucket.com/albums/n...nd/kenshin.jpg

สักวา แปลงร่าง อย่างกับม้า
ถลึงตา ปากกว้าง ช่างน่าขัน
จมูกบาน อย่างกับหมู ดูมันทำ
โอ้..เวรกรรม ทำไปได้ ไม่อายคน! :onion_no:

คิดดีแล้วหรือคะที่ทำแบบนี้ (อิอิ..ล้อเล่นนะคะพี่ทิดสุดหล่อ) ภาพแรกก็หล่อดีอยู่หรอกค่ะ :onion_wink:

วาโยรัตนะ 06-01-2010 21:04

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ยายนุ้ย (โพสต์ 29374)
สักวา แปลงร่าง อย่างกับม้า
ถลึงตา ปากกว้าง ช่างน่าขัน
จมูกบาน อย่างกับหมู ดูมันทำ
โอ้..เวรกรรม ทำไปได้ ไม่อายคน! :onion_no:

คิดดีแล้วหรือคะที่ทำแบบนี้ (อิอิ..ล้อเล่นนะคะพี่ทิดสุดหล่อ) ภาพแรกก็หล่อดีอยู่หรอกค่ะ :onion_wink:

"ยายนุ้ย" Who are you ?:onion_emoticons-17:

วาโยรัตนะ 06-01-2010 21:38

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w47.jpg

ภาพของบึงลับแลค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ บึงน้ำสีเขียว แต่งานนี้พระครูหน่อยท่านบอกว่า น้ำยังเยอะอยู่มาก ตอนท่านมาน้ำน้อยกว่านี้
โยม ๆ ทั้งหลายพอเดินทางลงมาถึง ไม่ได้ทันจะหายเหนื่อย เสียงทิดก็ร้องบอกว่า "เดี๋ยวเราจะเดินตัดขึ้นไปทางเดิมแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายมือเพื่อไปยังจุดที่หลวงพ่อท่านพักกางกลดในสมัยที่ท่านและคณะมาบำเพ็ญภาวนาที่บึงลับแลแห่งนี้" เราเดินเกาะกลุ่มต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกไต่ระดับขึ้นตามเส้นทางเดิม หันไปมองอีกทีโยม ๆ ทั้งหลายคงจะสู้ไม่ไหว กระผมจึงนิมนต์พระครูหน่อยท่าน หยุดพักกันตรงแคร่ไม้ไผ่ทางลงสู่บึงลับแล เพื่อรอคณะคุณโยมทุก ๆ ท่านให้พร้อมเพรียงกันอีกครั้งก่อนออกเดินทางต่อไป

เสียงคนขับเท้าช้างคร่ำครวญมาเป็นระยะ ๆ "โอ๊ย....ไม่ไหวแล้ว รู้แบบนี้รอที่รถดีกว่า" คุณ ญ.ผู้หญิง ก็ปลอบขวัญให้กำลังใจไปหลายชุด เร็ว ๆ "อวบ" , สู้หน่อยนะ "อวบ" , "อวบ" สู้ ๆ ทุกคนต่างก็ให้กำลังใจ

มาโยม! ถ้าไม่ไหวก็มานั่งตรงนี้กับหลวงพี่ก่อนก็ได้...โยมตัวใหญ่นั่งยอง ๆ คงจะไม่สะดวก (แต่ระวังแคร่หักนะ) กระผมร้องเรียกก็เพราะเห็นว่าน้ำหนักของคุณโยมคนขับเท้าช้าง คงจะมีปัญหามากกับการต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก งานนี้น้ำหนักคงหายไปอย่างน้อยสองถึงสามกิโลกรัม ดีแล้วจะได้ฟิต "วันหลังไปบวชที่วัดท่าขนุนนะโยม รับรองสุขภาพดีขึ้นแน่นอน หลวงพี่รับประกัน" กระผมแถมไปอีกชุด:70bff581:

วาโยรัตนะ 07-01-2010 20:09

เมื่อทีมงานทุกท่านพร้อม เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ คราวนี้เราเลี้ยวไปทางซ้าย พระครูหน่อยท่านเคยพูดว่า "การเดินเท้าที่บึงลับแลนี้ ทางไหนที่เรารู้สึกหรือว่ามองดูแล้วเหมือนจะใช่ทางที่ถูกต้อง มักจะเป็นทางที่ผิดเสมอ" ผมเองพยายามสังเกตอยู่เสมอ ๆ จากสภาพป่าที่คล้ายกันไปหมด แน่นอน..ถ้าไม่มีความจำที่ดีเลิศหรือไม่มีความชำนาญในเส้นทางแล้ว....มีสิทธิ์ได้กินข้าวลิงแน่นอนครับ ดูไปดูมาเหมือน "ค่ายกลดอกท้อ" ในหนังกำลังภายในเลยครับ

และแล้วเราก็มาถึงทางลงบึงลับแล ซึ่งทางนี้จะลงไปยังจุดที่หลวงพ่อท่านและคณะมาปฏิบัติธรรม หลวงพี่แอ๋วเคยเล่าให้ฟังว่า คราวก่อนที่ท่านมากับคณะเมื่อปีที่แล้ว มาลุยทำเส้นทางให้คณะญาติโยมก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน ตอนนั้นมันหน้าแล้ง เวลาเดินลงต้องคอยหาต้นไม้เป็นจุดเบรกตัวเอง เพราะน้ำหนักตัวขณะเดินลงไป เมื่อบวกกับแรงโน้มถ่วงของโลกแล้วนั้น กลายเป็นคูณสองทันที ใครเบรกไม่เป็นหรือคำนวณระยะผิด งานนั้นมีเจ็บตัว ซึ่งตอนนั้นกระผมเองก็ยังนึกภาพไม่ออก ว่ามันจะชันขนาดไหน

งานนี้พอเจอกับตัวเอง ด้วยสภาพดินที่ลื่นและชื้นแบบนี้ เล่นเอาเลิกเป็นห่วงคณะโยมไปเลย ห่วงตัวเองเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า งานนี้ทำให้ผมท้อใจอยู่ไม่น้อย จะลงทางซ้ายหรือทางขวาดี ถ้าพลาด...มีเจ็บตัวทั้งนั้น และคาดการณ์ได้ว่าไม่ใช่เป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยสิครับ โยมหลาย ๆ ท่าน ไถลก้นลงไปช้า ๆ โดยเฉพาะโยมผู้หญิงทั้งหลาย งานนี้น่าสงสารมาก กางเกงที่สวมใส่กันมามันไม่มีสภาพของสีเดิม ๆ ให้เห็นเลยครับ บางท่านพอกลับถึงวัดถอดชุดลุยป่าชุดนั้นทิ้งถังขยะไปเลย

หลายต่อหลายจุดที่ผมเองแทบจะหมดปัญญา เพราะมันอ่านทางไม่ออกว่าจะลงไปแบบไหน..กลัวพลาด แต่จริง ๆ ก็ต้องขอบอกว่ากลัวตายด้วยครับ จนแล้วจนรอดค่อย ๆ ใช้ปัญญา ใช้มือ ใช้เท้า ดีนะครับที่ไม่มีอะไรให้คาบเอาไว้เพื่อยึดตัวเองให้มั่นคง ไม่อย่างนั้นคงจะได้ ใช้ปาก ใช้ฟันด้วยครับ.....ใครยังไม่เคยไปต้องบอกว่า ขอเชิญไปพิสูจน์กับตัวท่านเองครับ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w48.jpg

กระผมพยายามถ่ายภาพย้อนขึ้นไปให้ดูกันครับ ว่าพื้นที่มีความลาดชันขนาดไหน

วาโยรัตนะ 07-01-2010 20:17

ในที่สุด...ทุกท่านก็เดินทางมาจนถึงเป้าหมาย คือบึงลับแลฝั่งที่หลวงพ่อและคณะมาปฏิบัติธรรม ไม่น่าเชื่อเราใช้เวลารวมทั้งหมดตอนขาลงมานี้ร่วม ๆ สองชั่วโมง อย่างที่กระผมบอกครับ โยมแต่ละท่านอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลย แม้แต่กระผมเองยังลื่นล้มไปสองครั้ง แต่รักษาสภาพเอาไว้ได้จนญาติโยมบอกว่า "หลวงพี่ทั้งสองท่านยังดูสง่างามเหมือนเดิมนะขอรับ หากกระผมเอาเสื้อผ้าชุดนี้ไปให้ภรรยาซักมีหวังโดน......แน่ ๆ ขอรับ"

ระดับน้ำของบึงในช่วงนั้นสูงมาก สูงจนท่วมลานดินที่พระครูหน่อยพยายามชี้ให้ดูว่า คือจุดที่หลวงพ่อท่านเดินจงกรม น้ำสีเขียวเข้มในบึงก็ดูน่าพิศวง ดูน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย ใครจ้างกระผมให้ลงไปว่ายน้ำ ต่อให้เอาเงินมากองก่อนสักล้าน ผมเอาแต่เงินครับ คงไม่กล้าลงไปว่ายแน่นอน
"กลัวอวัยวะบางอย่างจะหายไปครับ" :55318906: ถ้ามันหายไป กระผมคงเสียสมดุลในบางเรื่องไปเลยครับ......

เมื่อพักผ่อนจนพอจะหายเหนื่อยแล้ว เราก็เดินเลี้ยวซ้ายไปยังเพิงผาด้านหน้า เห็นร่องรอยของการปรับระดับหน้าดินให้เรียบเพื่อสะดวกในการปฏิบัติและกางกลด ตลอดจนข้าวของต่าง ๆ พวกเครื่องอำนวยความสะดวกในการหุงหาอาหารที่จัดเก็บเอาไว้อย่างเรียบร้อย

เราอยู่จุดนี้ไม่นาน กระผมนำคณะญาติโยมอุทิศส่วนกุศลแล้ว เราก็เดินทางกลับออกมาทันที เพราะเราต้องแข่งขันกับเวลา และกลุ่มเฆมฝนกลุ่มใหญ่ ที่มีทีท่าว่าจะตกในไม่ช้านี้ ถ้าฝนตกการเดินทางก็คงต้องยากลำบากขึ้นแน่นอน เพราะคราวนี้เราต้องเดินไต่ระดับขึ้นไป

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w49.jpg

ตอนที่กระผมเอามือแตะต้นไผ่ ท่านเทวดาท่านก็แสดงตัวเหมือนเดิมครับ ในอาการแบบที่กระผมรับรู้ได้ ที่เขียนเล่าไว้แล้วก่อนหน้านี้ครับ หากจะดูขนาดของลำไม้ไผ่ ในภาพเมื่อเปรียบเทียบกับมือของกระผมแล้ว โอ้..ไผ่แต่ละลำที่บึงลับแลนี้มีขนาดใหญ่จริง ๆ ครับ

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งจริง ๆ แล้ว ก็ต้องขอบอกให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณพิจารณากันก็คือ ตอนที่กระผมพยายามปีนขึ้นไปบนก้อนหิน ซึ่งตอนนั้นกระผมพยายามหาเส้นทางอื่นแล้ว แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด มองไปด้านไหนมันก็มีความลาดชันมาก จึงพยายามปีนขึ้นไป แต่บังเอิญกระผมพลาด ตอนนั้นคิดว่างานนี้เจ็บตัวแน่ ๆ แค่คิดเท่านั้นเอง ก็มีแสงกระพริบ ๆ พร้อมเสียงคล้าย ๆ เสียงไฟแฟลชกล้องถ่ายรูปดังมาในอากาศ พร้อม ๆ กับรู้สึกเหมือนมีคนมาดันข้างหลัง ให้ประคองตัวขึ้นไปได้ ไม่เสียหลักลื่นล้มแล้วร่วงลงไปครับ กระผมเองเชื่อว่าได้รับความสงเคราะห์จากเทวดาบริเวณนั้นครับ นี่เป็นประสบการณ์หนึ่งที่กระผมยังจำได้อย่างเด่นชัด....สาธุ ขอโมทนาบุญและขอกราบขอบพระคุณที่ช่วยอนุเคราะห์

วาโยรัตนะ 10-01-2010 22:40

เรื่องราวในช่วงชีวิตหนึ่งของกระผม ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดและกระผมมีความสุขที่สุด นับตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบัน "สุขใดเล่าจะสู้ความสุขในรสพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้"
สิ่งละอันพันละน้อยที่กระผมเองเอาตัวเข้าแลกมา มันหลอมรวมเป็นสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ๆ ในทุกขณะจิต สว่างขึ้น สงบขึ้น ถึงแม้ว่าวันเวลามันจะหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว......การดำเนินชีวิตที่มีเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน มันคือเส้นทางเอกและกระผมกำลังเดินก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

วาโยรัตนะ 13-01-2010 19:45

http://en.tackfilm.se/?id=1263483103078RA85

ดูให้รู้ว่ามันคือ "มายา" ครับ

ต้อมบางพูน 13-01-2010 20:03

ผมเคยนั่งคุยกับพี่ทิดตู่คุณหม่อมและคุณนรินทร์ ว่าทำไมพี่รัตน์ถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เปรียบได้เหมือนน้ำที่ล้นออกมาจากแก้ว:onion_emoticons-18:

ชินเชาวน์ 13-01-2010 20:14

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 29943)
http://en.tackfilm.se/?id=1263483103078ra85

ดูให้รู้ว่ามันคือ "มายา" ครับ

โถ...ทำไปได้...
อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ต้อมบางพูน (โพสต์ 29945)
ผมเคยนั่งคุยกับพี่ทิดตู่คุณหม่อมและคุณนรินทร์ ว่าทำไมพี่รัตน์ถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เปรียบได้เหมือนน้ำที่ล้นออกมาจากแก้ว:onion_emoticons-18:

ค่อนข้างจะเชื่อแล้ว...

วาโยรัตนะ 13-01-2010 21:34

สำหรับหลาย ๆ ท่าน คนที่เปิดลิงค์ไปดูแรก ๆ จิตก็คิดไปว่ากระผมจะเล่นอะไรให้หัวใจวายหรือเปล่า ทั้งภาพและเสียงช่วงแรก จิตมันปรุงแต่งไปแล้วว่าน่าจะเป็นหนังสยองขวัญประเภทที่อยู่ ๆ ก็มีอะไรน่ากลัว ๆ มาโผล่ที่หน้าจอ จิตมันปรุงแต่งไปโน่น ไปนี้ ไปนั้น ตามแต่ภาพและเสียงจะนำไป......เท่าที่ทราบบางท่านมีการภาวนาไปด้วยในขณะนั้น
สุดท้าย....พอดูไปเรื่อย ๆ จิตมันก็ค่อย ๆ รับรู้ว่าคือเรื่องราวอะไร มันต่างจากจิตที่คิดปรุงแต่งไปก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ขำได้หัวเราะได้แต่หันกลับมามีสติลองคิดย้อนไปดูว่า เราปรุงแต่งตามอะไรไปบ้างครับ

วาโยรัตนะ 27-01-2010 04:07

สิ่งละอันพันละน้อย

วันหนึ่งในขณะเดินบิณฑบาตบริเวณตลาดทองผาภูมิ มีครอบครัวหนึ่งมารอใส่บาตร โดยปกติผู้เป็นแม่จะเป็นคนตักบาตรเสมอ วันนี้เห็นให้ลูกชายซึ่งไม่คุ้นหน้าคุ้นตามากนักเป็นคนตักบาตร พระทั้งหมดร่วมสิบกว่ารูป น้องชายคนนั้นตักเอา ๆ เต็มทัพพีเท่าที่กระผมมองแค่พระเจ็ดองค์ข้าวก็คงจะหมดแล้ว

"ลูกตักแค่องค์ละครึ่งทัพพีสิ...เดี๋ยวใส่บาตรไม่ครบทุกองค์นะลูก"

"แม่....เดี๋ยวพระท่านฉันไม่อิ่ม" น้องชายคนนั้นหันไปตอบพร้อมสีหน้าจริงจัง แถมตักบาตรพระบางองค์สองทัพพีใหญ่ ๆ ส่วนผมเองก็ได้แต่แอบยิ้มในใจ..สาธุโมทนาด้วยแต่ข้าวจะเหลือถึงหลวงพี่หรือเปล่าโยม ?

วาโยรัตนะ 27-01-2010 10:12

"ฝี"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: หลวงพ่อครับ ก่อนจะสึกทำไมกระผมต้องเป็นฝีครับ ก่อนจะเดินทางไปไหนมาไหนก็เหมือนกัน เช่นไปกราบหลวงตาโมเช่ก็เป็นครับ ตอนไปบึงลับแลก็เป็นครับ เป็นแต่ที่ขาทั้งนั้นเลยครับหลวงพ่อ ไม่ทราบว่าที่เป็นฝีแบบนี้หมายถึงอะไรขอรับหลวงพ่อ:875328cc:

หลวงพ่อ: อ๋อ...ความดีมันจะทะลักนะสิคุณ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์::5c745924:

วาโยรัตนะ 08-02-2010 23:52

"คดีเด็ด"

วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เวลา ๒๒.๓๕ น.

สายลับจับบ้านน้อย:ว.๑ เรียก ว.๒ จึ๊กกะดึ๋ย ๆ ทราบแล้วเปลี่ยน

ว.๒: ทราบแล้วว่าอย่างไร?

สายลับจับบ้านน้อย: มีรถผู้ต้องสงสัยเลี้ยวเข้ามาในบริเวณเป้าหมาย พร้อมมีชายฉกรรจ์ ๓ คนเดินลงจากรถ หมายเลขทะเบียน กฉ ๘๒xx ภูเก็ต คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นผู้ร่วมขบวนการ นำรถมาส่งมอบ จึงแจ้งเพื่อให้เพิ่มกำลังและดำเนินการตามแผนเดิม ทราบแล้วเปลี่ยน

ว.๒: ทราบแล้วเลิกกัน


ทิดโมช : ตามสบายเลยทิดรัตน์ พักที่นี่รับรองปลอดภัย เอ้า..อาบน้ำอาบท่าให้ชื่นใจก่อน กาแฟ โอวัลติน ขนม ผลไม้ บนโต๊ะตามสบายเลย

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: ครับ ๆ โห..ขับรถมาบ้านทิดนี่ไกลเหมือนกันนะ เอ้า..คุณกิ๊ก ไปอาบน้ำก่อนสิ เอ้อ..ทิดโมช ผมไม่มีผ้าเช็ดตัวมา เพราะเมื่อคืนพักโรงแรม แต่วันนี้โรงแรมเต็ม เลยตัดสินใจมาพักด้วย คิดถึงได้เจอก็ดีใจ เพื่อนร่วมสถาบัน....

คุณกิ๊ก: สถาบันอะไรหรือพี่ ?

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "Thakhanun temple"

หลังจากคุยกันพอหอมปากหอมคอ เวลาก็ผ่านเลยไปถึงเที่ยงคืนกว่าแล้ว เราทั้งสามคนก็แยกย้ายกันเข้านอนตามสภาพร่างกายที่เหนื่อยอ่อนพอสมควร โดยเฉพาะผม เดินตะลุยหาข้อมูลจาก "เวิ้งนครเกษม" ไปทะลุ "เยาวราช" และจบที่ "วงเวียน ๒๒"

งานนี้เป็นฝีที่เท้าอีกตามเคย จะเดินทางไปไหนมาไหน มีอันต้องเป็นทุกที สงสัย "ความดีมันจะทะลัก" อย่างที่หลวงพ่อบอก

วาโยรัตนะ 09-02-2010 06:01

เวลา ๕.๔๕ น. เช้าตรู่ของวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

"เฮ้ย! วางกำลังล้อมเอาไว้ ระวัง ๆ มันมีปืนนะ ออกมามอบตัวดีกว่า นั่น ๆ มันซุกอยู่ตรงนั้น ค่อย ๆ ล้อมเข้าไป อย่าต่อสู้นะ ถ้าต่อสู้เจอวิสามัญฯ นะ ระวัง ๆ ออกมา ๆ กูสั่งให้ออกมา ชูมือขึ้น....นอนลง"

เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นมาจนถึงชั้นสี่ กระผมและทิดโมชนอนกันอยู่ในห้องได้ยินเสียงแปลก ๆ ก็สงสัยว่าเสียงอะไรจึงรีบเปิดประตูออกไปดู เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยอาวุธครบมือ ล้อมจับผู้ต้องหา

ทิดโมช : ทำอะไรกัน?

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: ทิดโมชเข้าห้องดีกว่าท่าน อาวุธครบมือเลยนะ คงไม่ได้มาเล่นไล่จับกันหรอก อันตรายเดี๋ยวเจอลูกหลง....ส่วนคุณกิ๊กนอนกรนอยู่ในห้อง อือม์ รายนี้นอนหมดสภาพจริง ๆ

กระผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เข้าใจไปว่าตำรวจคงมาไล่จับคนส่งยาบ้าหรือขโมยกระจอก ๆ อะไรทำนองนั้น แต่เมื่อตื่นแล้วจะไปนอนต่อก็ใช่เรื่อง ทิดโมชเปิดทีวีดูข่าว พร้อมส่งเสียงเชิญชวนให้ชงกาแฟดื่มกัน ไม่กี่อึดใจคุณกิ๊กก็ตื่นมาร่วมวงกาแฟ สนทนากันอย่างได้อรรถรส จนเวลาผ่านไปใกล้จะแปดโมงเช้าแล้ว จึงทยอยกันอาบน้ำเตรียมตัวออกไปทำธุระ ตามกำหนดการต่าง ๆ

ได้เวลาออกเดินทางแล้ว เอาช่วยกันอาราธนาพระแก้วใสทรงเครื่องทั้ง ๕ องค์ไปที่รถ โดยคุณกิ๊กยกไปสององค์ ผมสององค์ ทิดโมชหนึ่งองค์ กำลังใจมันฟูมาก เพราะจะได้นำไปถวายหลวงพ่อ

"ถวายพระแก้วใส ทุกเดือนแบบนี้ ตายไประวังจะมองกายทิพย์ตัวเองไม่เห็น เพราะอานิสงส์การถวายพระแก้วใสนั้น ทำให้กายทิพย์มีความใสสว่างมาก ๆ" ทิดโมชเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อท่านบอกทิดโมชและคณะแบบนี้

กำลังใจของผมมันเลยฟูมาก ยกแบบเกร็งแขนตั้งแต่ชั้นสี่ ลงมาชั้นล่าง พอเจ้ากิ๊กหันมาบอกเท่านั้นว่า "พี่รัตน์รถหาย เมื่อคืนพี่จอดรถตรงนั้นหรือเปล่า" เท่านั้นแหละครับโผล่หน้าออกไปดู พลางคิดในใจอะไรมันบังตูหรือเปล่าวะ ?(ในความเป็นทิพย์ ท่านใดมาแกล้งหรือเปล่า ? ถ้าแกล้งกันเป็นได้มีเรื่อง..มีเรื่อง)

แล้วสิ่งที่ได้เห็นมันคือความว่างเปล่า รถหายไปจริง ๆ กำลังใจที่ยกพระแบบแขนเกร็ง ๆ คราวนี้อ่อนปวกเปียกไปหมด หาที่วางพระได้ก็รีบกระโจนลงไปตรงบริเวณที่เคยจอดรถเมื่อคืน ค่อย ๆ เอามือแหวกไปในอากาศเผื่อจะเจอรถ (คิดได้อย่างไร..?) แต่ไม่เจอแม้แต่โมเลกุลของรถ....ก๊ากกกกกกกก รถหาย! งานนี้ไอ้หวังตายแน่ ภรรยาคงยื่นซองขาวให้แน่นอน..............:fea27916::4519626a::a471739513as2::d1eef220::msn_smilies-02::onion_beg::conion-04:

วาโยรัตนะ 11-02-2010 14:51

ทนเสียงกดดันไม่ไหวต้องรีบมาเขียนต่อครับ
ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่โทรมาให้กำลังใจ แถมหัวเราะท้องแข็งกันไป ว่าง ๆ ขอให้เจอประสบการณ์แบบกระผม แล้วคุณจะรู้ว่าขำไม่ออก

เมื่อมั่นใจแน่นอนแล้วว่า รถยนต์ของกระผมได้ย้ายสสารไปอยู่ที่อื่นแล้ว
งานนี้ก็หน้าซีดกันเป็นแถว ๆ :7f5341cc:โดยเฉพาะทิดโมชเจ้าบ้าน

ทิดโมช: นักการฯ เห็นรถกระบะสีบรอนซ์เงิน สี่ประตู ทะเบียนภูเก็ตบ้างหรือเปล่า ? รถเพื่อนผมหาย จอดไว้ตรงนี้เมื่อคืนตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ

นักการฯ : เห็นครับ เห็นว่าตำรวจเอารถมาลากไปโรงพักคลองห้า เมื่อคืนตำรวจล้อมจับแก๊งค์ขโมยรถกัน พี่ไม่ได้ยินเสียงโวยวายบ้างเลยหรือ ? ตอนใกล้ ๆ จะหกโมงเช้านะครับ

ทิดโมช :ได้ยินสิ ผมกับเพื่อนยังออกมายืนดูที่หน้าห้องเลย ผมนึกว่าพวกขายยาบ้าธรรมดา ๆ ตำรวจเอารถไปเมื่อไรล่ะ ?

นักการฯ : เมื่อตอนเจ็ดโมงเช้านี้เอง เขาหาเจ้าของ แต่หาไม่เจอเลยนึกว่าเป็นรถที่ขโมยมา เห็นตำรวจบอกว่าวางกำลังล้อมจับผู้ต้องหาสามคน มันเอารถเข้ามาพักที่นี่เมื่อคืนนี้ แล้วไอ้คนที่เป็นหัวโจก มันเอารถมาพักที่นี่เป็นประจำ คงคิดว่าตบตาตำรวจได้เพราะเป็นสถานที่ราชการ

ทิดโมช :เอาอย่างไรดีทิดรัตน์ ? ต้องไปโรงพักคลองห้าแล้วละผมว่า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : เรารีบไปกันเถอะ งานนี้ผมเซ็งสุด ๆ เลยว่ะ...

รปภ. : "พี่ ๆ ทั้งสามคนจะไปไหนครับ แล้วหิ้วกล่องอะไร ?" เสียงยามรักษาความปลอดภัยร้องทัก พร้อมเดินสืบเท้าเข้ามาหา

ทิดโมช : อ๋อ...ในกล่องมีพระ จะเอาไปถวายพระอาจารย์

ผมสังเกตเห็นยามคนหนึ่งรีบโทรแจ้งตำรวจ พร้อมกับยามอีกคนก็เข้ามาสอบถามรายละเอียดว่า พักห้องไหน ? มาจากไหน ? ผมเห็นท่าไม่ค่อยจะดี เลยถามกลับไปบ้าง

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"พี่เห็นรถกระบะสีบรอนซ์เงินบ้างไหม ? ทะเบียนภูเก็ต รถผมหายในมหาวิทยาลัยนี้ ผมมาเยี่ยมเพื่อน พอลงมากะว่าจะออกเดินทางรถก็ไม่อยู่แล้ว:fea27916:"

รปภ. : อ๋อ...พวกพี่นี่เอง :332f960b:ตำรวจเขาตามหาตัวพวกพี่อยู่ เมื่อคืนตำรวจรวบแก๊งค์ขโมยรถ เมื่อเช้าเขายังวางกำลังควานหาเจ้าของรถแปลกหน้าคันของพี่อยู่เลย พี่รีบไปโรงพักก่อนเถอะพี่ เพื่อนผมโทรแจ้งประสานไปให้แล้วเมื่อกี้ เอาเดี๋ยวผมเรียกมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งปากทาง แล้วพี่ต่อแท็กซี่ไปเองนะ

ทิดโมช : ขอบใจมาก

วาโยรัตนะ 11-02-2010 23:14

เหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อย้อนนึกถึง พี่มารเขาเก่งจริง ๆ "มารไม่ใช่ศัตรู แต่มารคือครูที่ดีที่สุด" ประโยคนี้หลวงพ่อพร่ำสอนเสมอมา เหตุการณ์มีความสอดคล้องกันไปโดยแทบจะนึกไม่ถึง พอเจอหน้านายดาบตำรวจเท่านั้นเรื่องที่น่ากลัวกว่ารถหายก็เกิดขึ้น...:a47173957fi0:

นายดาบตำรวจ : พวกคุณนี้โชคดีนะ ถ้าหากพวกคุณลงมาตอนเจ็ดโมงเช้า มีหวัง...ไม่นอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล ผมเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะวางกำลังตำรวจอาวุธครบมือดักรออยู่ แล้วสายก็รายงานตั้งแต่เมื่อคืนว่า พวกขบวนการนี้มีสามคนที่เข้ามาใช้สถานที่นี้เป็นที่พักรถที่ขโมยมา

ทิดโมช : ปกติรถในมหาวิทยาลัย ไม่เคยหายนี่ครับ

นายดาบตำรวจ ::87a4e689: ใครบอกคุณ เดือนที่แล้วหายไปสามคัน ไอ้ที่ผมว่าพวกคุณโชคดีนั่นน่ะ คือถ้าเจอพวกคุณตอนช่วงเจ็ดโมงเช้านั้น พวกตำรวจเข้าประกบตัวแน่ ๆ ถ้าต่อสู้ขัดขืนก็เจ็บตัว ดีไม่ดีถ้าซวย ปืนลั่นใส่ก็ตายฟรี เอ้า..ไปแสดงบัตรประชาชนแล้วรับรถไปได้เลย อ้อ..ขอโทษด้วยที่ปล่อยลมยางไปข้างหนึ่ง ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกันนะ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ครับ ๆ รถไม่หายก็ดีใจแล้วครับ (อย่าไปเดินแถวหน้าบ้านผมนะ..!) :e111de78:

ผมนึกย้อนไปอีกเรื่อง อยู่ ๆ ตอนเช้าก่อนลงมา ทิดโมชก็เอาปืนสั้นมาอวด แถมบอกว่าจะพกไปด้วย งานนี้ถ้าพกลงมาก็เรื่องยาวเลยครับ ถ้าตรงช่วงตำรวจดักรออยู่ งานนี้ยิ่งสมจริงสมจังเข้าไปใหญ่เลย "ขบวนการขโมยรถ" เสือรัตน์ เสือโมช หมากิ๊ก:55318906: ได้เจอวิสามัญฯ แน่ ๆ

วาโยรัตนะ 12-02-2010 13:38

มากราบหลวงพ่อ ก็อดที่จะรายงานท่านไม่ได้ จึงกราบเรียนรายงานท่าน ไปตามนั้นทุกประการ หลวงพ่อท่านก็บอกพร้อมอมยิ้มเล็กน้อยว่า "พวกคุณพลอยติดหลังแหกับเขาไปด้วย"

"ติดหลังแห" สำนวนนี้เล่นเอาผมพิจารณาอยู่นาน จนเห็นภาพในจิต มันเหมือนกับชาวประมงเหวี่ยงแหไป ติดปลากลุ่มหนึ่ง ซึ่งปลาที่ติดอยู่ในแหนั้น จะดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่รอด หนีออกมาไม่ได้ ส่วนปลาอีกพวกหนึ่งติดหลังแหขึ้นมาด้วย เพราะตาข่ายของแหไปติดอวัยวะบางส่วนของปลาเหล่านั้น ครั้นเมื่อปลาเหล่านั้นดิ้นรน สะบัดตัวไปมา ก็สามารถหลุดออกจากพันธนาการนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่หากไม่ดิ้นรนอะไรก็จะพลอยติดแหไปด้วยจริง ๆ เหมือนปลาภายในแห

งานนี้ถ้าผมไม่ดิ้นรนแสดงตัวว่าผมคือใคร ก็คงจะต้องเดือดร้อนไปมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ที่รอดมาก็เพราะบารมีพระ ถือว่าบุญรักษา
สาธุ "ทำดีได้รับผลของความดีตอบแทนเสมอ ทำชั่วก็ได้รับผลชั่วตอบแทนเสมอเช่นกัน"

แล้วคุณละ วันนี้ทำความดีแล้วหรือยัง?

ป.ล. พระแก้วใสองค์ที่กระผมอัญเชิญมาภูเก็ต ตอนนี้ได้ถวายประดิษฐานที่สำนักสงฆ์เขานาคเกิดเป็นที่เรียบร้อย พร้อมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุวรรณะแก้วใส ซึ่ง"พระ"ท่านประทานให้โดยเสด็จมาเอง และในวันพระที่จะถึงนี้ จะทำการจุดประทีปถวายเป็นเวลา ๑ วัน ๑ คืน ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญด้วยเทอญ

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P2130233.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P2130231.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P2130247.jpg

ต้อมบางพูน 12-02-2010 13:40

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นรินทร์ (โพสต์ 34708)
รถหายถือว่าฟาดเคราะห์เล็ก...ดีกว่ากลับไปแล้วเมียที่บ้านหายนะครับพี่ทิดรัตน์ :a03cbf1e:

ช่างเจรจาเสียจริงนะครับ ว่าแต่คุณนรินทร์เตรียมตัวบริหารก้านคอให้แข็งแรงเพื่อรองรับโซ่ตรวนขนาดใหญ่หรือยังครับ :onion_wink:

วาโยรัตนะ 12-02-2010 13:44

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ยายนุ้ย (โพสต์ 34765)
:QUOTE=นรินทร์;34708]รถหายถือว่าฟาดเคราะห์เล็ก...ดีกว่ากลับไปแล้วเมียที่บ้านหายนะครับพี่ทิดรัตน์ :a03cbf1e:

:70bff581: ก๊าก.......

พี่ทิดคะ คืนนี้หากว่าง
ออนเอ็มด้วยค่ะมีเรื่องจะคุยด้วยหลายเรื่อง
(ค่อยมาลบให้นะคะ) :onion_emoticons-23:[/QUOTE]

เมียหาย ผมคงเสียใจแค่ สองวินาที แล้วก็ทำใจได้ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก

ต้อมบางพูน 12-02-2010 14:33

พี่ทิดรัตน์ครับ "you are the man" :msn_smileys-15:

พิชัยสงคราม 12-02-2010 17:24

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ต้อมบางพูน (โพสต์ 34764)
ช่างเจรจาเสียจริงนะครับ ว่าแต่คุณนรินทร์เตรียมตัวบริหารก้านคอให้แข็งแรงเพื่อรองรับโซ่ตรวนขนาดใหญ่หรือยังครับ :onion_wink:

"ผมดูทรงแล้ว.."งานนี้พี่นรินทร์ไม่คอหักก็คงบาดเจ็บสาหัสแน่ ๆ ครับ :onion_love::onion_love:

ป้านุช 13-02-2010 00:27

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พิชัยสงคราม (โพสต์ 34835)
"ผมดูทรงแล้ว.."งานนี้พี่นรินทร์ไม่คอหักก็คงบาดเจ็บสาหัสแน่ ๆ ครับ :onion_love::onion_love:

:4672615: ตอนนี้นรินทร์กำลังคิดหนักครับท่านผู้ชม!
เพราะกำลังคิดจะอัพเกรดโปรแกรม จาก 'แฟน ๗.๐'มาเป็น 'ภรรยา ๑.๐'
ในปีหน้าครับ แฮ่!
:6f428754:

วาโยรัตนะ 13-02-2010 07:29

"มงคลชีวิตกับของที่เขาบอกว่าอัปมงคล"

การไปกราบ-ทำบุญ ที่บ้านอนุสาวรีย์ในครั้งนี้ เหมือนไปโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ได้รับกำหนดการใด ๆ อยู่ ๆ เพื่อน ๆ และทางคณะสะพานบุญบอกให้ไปตัดชุด เพื่อไว้ใส่ทำงานสนองพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ในงานบุญต่าง ๆ หลังจากกราบรายงานตัวร่วมถวายสังฆทานแล้ว ก็ถึงเวลาไปหาลู่หาทางทำมาหากินต่อไป เดินหาข้อมูลจนขาลาก ร้อนจนแทบจะแก้ผ้าเดินกลางตลาด:55318906:

ธุรกิจจะร้อยล้านพันล้านหรือวันละแค่สองสามร้อยบาท ถ้ามันเป็นสัมมาอาชีวะ ก็นับเป็นมงคลแก่ชีวิต "อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยทำกิน" ของมือสองที่ต่อชีวิตผมและทำให้ครอบครัวมีความสุข มีงานทำเพิ่มขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ถึงแม้ในความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า ถ้าไปเอาของอะไรก็ตาม ที่คนอื่นเขาทำแล้วเลิกทำแล้วเจ๊ง มาทำมาหากินเราจะเจ๊งไปด้วย สำหรับผมมีคำตอบให้คำเดียวเท่านั้น คือต้องพิจารณาก่อนว่า เจ้าเก่าที่ทำกิจการแล้วเจ๊งเป็นเพราะอะไร แล้วถ้าเราทำมันจะเจ๊งหรือไม่ เริ่มต้นอย่างที่หลวงพ่อสอน คือไม่กู้เงินใครมาทำและหาความรู้ หาข้อมูลก่อนจะทำอะไร ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่

๑.สัมมาทิฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
๒.สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
๔.สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
๕.สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
๖.สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
๗.สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
๘.สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/PC262112.jpg

ทุกวันนี้กระผมแทบจะกราบสิ่งของเหล่านี้ ที่ทำให้มีอาชีพเพิ่ม มีรายได้เพิ่ม มีการพัฒนากระบวนการคิดมีการสร้างสรรค์งาน

เด็กเมื่อวานซืน 13-02-2010 08:10

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ป้านุช (โพสต์ 34886)
:4672615: ตอนนี้นรินทร์กำลังคิดหนักครับท่านผู้ชม!
เพราะกำลังคิดจะอัพเกรดโปรแกรม จาก 'แฟน ๗.๐'มาเป็น 'ภรรยา ๑.๐'
ในปีหน้าครับ แฮ่!
:6f428754:

หมั่นนึกถึงคำสอนของหลวงพี่ฯ ประโยคที่ว่า " ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรยิ่งกว่าทอง " ผมว่าช่วยได้นะครับ

ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสครับ

เด็กเมื่อวานซืน 13-02-2010 21:14

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 34896)


ชอบมากครับ ว่าแต่ตัวจรวดที่เขาเอาไว้เติมก๊าซนี่ ผมไม่แน่ใจว่าหายไปไหนหรือเปล่าครับ เพราะดูในรูปไม่เห็นมี(ผมมองเห็นแต่แท่นที่น่าจะเป็นตัวเติมก๊าซน่ะครับ)


ไว้วันหลังเผื่อผมมีโอกาสไปภูเก็ตจะลองแวะไปอุดหนุนครับ :msn_smileys-12:

ปิยะบุตร 13-02-2010 22:54

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 29943)
http://en.tackfilm.se/?id=1263483103078RA85

ดูให้รู้ว่ามันคือ "มายา" ครับ

:6f428754:สุดยอดเลยท่านพี่!!!
ทำไปได้ แต่ดีนะพี่ผมชอบ

วาโยรัตนะ 13-02-2010 23:01

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปิยะบุตร (โพสต์ 34988)
:6f428754:สุดยอดเลยท่านพี่!!!
ทำไปได้ แต่ดีนะพี่ผมชอบ

อวตารว่าแน่แล้ว แต่เจอ The Hero เรื่องนี้แล้วจอดเลย

ปิยะบุตร 13-02-2010 23:10

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 34989)
อาวาตารว่าแน่แล้ว แต่เจอ The Hero เรื่องนี้แล้วจอเลย

รอฉายรอบพิเศษ อำนวยการสร้างโดย
ท่านพี่ทิดรัตน์ แห่งแดนภูเก็ต:onion_wink:

วาโยรัตนะ 13-02-2010 23:20

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นรินทร์ (โพสต์ 34978)
มันเป็นไวรัสครับป้า :17f0f3b0: พูดแล้วเครียด..อยากกินน้ำจรวด...:onion_emoticons-22:

ป.ล. "อ้าว"..จรวดหายหรือครับ ? สงสัยว่าเป็นลาง(จะเจ๊ง) แฮ่ ๆ ล้อเล่นครับท่านพี่ :70bff581:

มีแต่จรวดของผมเอาหรือเปล่าละ ? เขากินกันที่รสชาติ ผมเองก็ตักเต็มที่ ไม่เห็นเจ๊งมีแต่ลูกค้าชอบใจ ติดใจ

วาโยรัตนะ 13-02-2010 23:58

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เด็กเมื่อวานซืน (โพสต์ 34976)
ชอบมากครับ ว่าแต่ตัวจรวดที่เขาเอาไว้เติมก๊าซนี่ ผมไม่แน่ใจว่าหายไปไหนหรือเปล่าครับ เพราะดูในรูปไม่เห็นมี(ผมมองเห็นแต่แท่นที่น่าจะเป็นตัวเติมก๊าซน่ะครับ)


ไว้วันหลังเผื่อผมมีโอกาสไปภูเก็ตจะลองแวะไปอุดหนุนครับ :msn_smileys-12:

สูตรของผมไม่ใช้ก๊าซครับ เพราะนี้คือสูตรโบราณจริง ๆ
ก๊าซดื่มมาก ๆ ไม่ดีต่อสุขภาพและขายแพงมากครับ ๑๐ บาทขาดตัวต่อแก้ว พูดถูกใจฟรี สาว ๆ ฟรี แต่ถ้าเป็นรุ่นป้าเม้าท์ แก้วละ ๑๐๐ บาท ไม่แถมหลอด จะเอาหลอดคิดค่าหลอด ๕๐ บาท:onion_eiei::70bff581::onion_emoticons-26:

วาโยรัตนะ 14-02-2010 00:03

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นรินทร์ (โพสต์ 35000)
ได้ยินจากพี่ทิดรัตน์ว่า อาจจะมีการนำน้ำอัดลมโบราณนี้ ไปเปิดให้ทุกท่านได้ลิ้มลองกันที่วัดท่าขนุน คงต้องเอาใจช่วยพี่ทิดรัตน์กันหน่อย ของพี่แกดีจริง ๆ ครับ :msn_smileys-15:

:msn_smilies-11:ส่งเครื่องบิน มาช่วยขนไปหน่อยนะครับ:af48944b:

เด็กเมื่อวานซืน 14-02-2010 00:17

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 34998)
พูดถูกใจฟรี สาว ๆ ฟรี แต่ถ้าเป็นรุ่นป้าเม้าท์ แก้วละ ๑๐๐ บาท ไม่แถมหลอด จะเอาหลอดคิดค่าหลอด ๕๐ บาท:onion_eiei::70bff581::onion_emoticons-26:


ลูกผู้ชายตัวจริง

:onion_wink::msn_smileys-15::fea27916::1894c7a1::70bff581:

ป้านุช 14-02-2010 01:25

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 35001)
:msn_smilies-11:ส่งเครื่องบิน มาช่วยขนไปหน่อยนะครับ:af48944b:

มีแต่เรือดำน้ำ โอเคไหมจ๊ะ วัดท่าขนุนอยู่ริมน้ำ น่าจะสะดวกกว่าเครื่องบินจ้ะ:54bd3bbb:

สุรจิตร 14-02-2010 01:39

อยากกินน้ำจรวด >__<

วาโยรัตนะ 14-02-2010 07:22

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สุรจิตร (โพสต์ 35008)
อยากกินน้ำจรวด >__<

จ่ายเงินมาก่อนเลยท่านสุรจิตร

วาโยรัตนะ 14-02-2010 20:00

"การจุดประทีปครั้งแรกในชีวิต"

ก่อนอื่นกระผมขอยกเนื้อเรื่องของอานิสงส์ในการจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชาของพระอนุรุทธเถระ ดังมีเนื้อเรื่องตามประวัติดังต่อไปนี้

ในอดีตชาติของพระอนุรุทธเถระนั้น ได้สั่งสมบุญบารมี บำเพ็ญบุญญาธิการในพระพุทธเจ้าทั้งหลายตั้งแต่ปางก่อน

สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เขาเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยมีทรัพย์มหาศาล ได้ไปวิหารฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พบเห็นพระศาสดาทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่ง ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านจักษุทิพย์ (ตาทิพย์)
ก็บังเกิดความปรารถนาเป็นเช่นนั้นบ้าง จึงทำมหาทานตลอด ๗ วัน แด่พระศาสดาและหมู่ภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป

สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ เขาถวายประทีป(โคมไฟ) ตะเกียงน้ำมัน ๑,๐๐๐ ดวง แด่พระศาสดาซึ่งเข้าฌาน(อาการจิตแน่วแน่สงบจากกิเลส)อยู่ที่ควงไม้ ไฟลุกโพลงอยู่ตลอด ๓ วันแล้วดับไปเอง

สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว เขาเป็นผู้ร่ำรวย อยู่ในนครพาราณสี ได้สร้างพระเจดีย์ทององค์ใหญ่สักการะแด่พระศาสดา แล้วถือถาดโคมไฟบรรจุด้วยน้ำมัน วางไว้บนศีรษะเดินเวียนรอบพระเจดีย์ บูชาแด่พระศาสดาตลอดทั้งคืน

สมัยที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้าอุบัติ เขาได้เกิดในตระกูลคนยากจนเข็ญใจ ณ นครพาราณสี มีชื่อว่า อันนภาระ เลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยการรับจ้างทำงานต่าง ๆ มีอยู่วันหนึ่ง เขากับภรรยาได้พบเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า อุปริฏฐะ บิณฑบาตอยู่ในเมือง ทั้งสองบังเกิดความเคารพเลื่อมใสยิ่งนัก จึงสละอาหารของตนที่เตรียมไว้กิน ใส่บาตรถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าหมดสิ้น ไม่เหลือเก็บไว้เลย เขาและภรรยา ไม่เพียงแต่ไม่หิว กลับรู้สึกอิ่มสุข ด้วยมีปีติแห่งบุญเป็นอาหาร

ในชาติสุดท้ายนั้น ได้เกิดเป็นเจ้าชายในศากยวงศ์ เป็นพระโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ พระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ(พระเจ้าอาของเจ้าชายสิทธัตถะ) พระประยูรญาติขนานนามให้ว่า อนุรุทธะ

เจ้าชายอนุรุทธะเป็นผู้พรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ(รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส อันน่ารื่นรมย์ใจ) ทั้งหญิงฟ้อนรำและขับร้อง มีดนตรีบรรเลงให้รื่นเริงบันเทิงใจทุกค่ำเช้า อยู่ในปราสาท ๓ หลังที่เหมาะแก่ ๓ ฤดู เสวยสุขดุจดังเป็นเทวดา แม้แต่อาหารที่เสวยก็ไม่เคยขาดพร่อง มีให้เสวยตลอดเวลา เตรียมไว้เสมอในถาดทองคำ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระมารดาของเจ้าชายอนุรุทธะทรงดำริขึ้นมาว่า

"บุตรของเราอะไร ๆ ก็มีพรั่งพร้อมไปหมด จึงยังไม่รู้จักกับ "การไม่มี" ฉะนั้น..เราจะต้อง สอนเขา ให้รู้จักการไม่มีเสียบ้าง"

จึงเอาถาดทองเปล่าใบหนึ่ง มาปิดฝาครอบไว้ แล้วให้คนนำไปให้แก่เจ้าชายอนุรุทธะ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ชีวิต พบกับความขาดแคลนเอาไว้บ้าง จะได้อดทนและเข้มแข็ง ในกาลภายหน้า

วาโยรัตนะ 14-02-2010 20:02

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช แล้วบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยกุมารทั้งหลายพากันบวชตามพระศาสดา เจ้าชายอนุรุทธะไม่ยินดีในการครองเรือน อันมีการงานไม่หมดสิ้น ที่สุดของการงานไม่ปรากฏ จึงให้เจ้าชายมหานามะซึ่งเป็นเชษฐภาดา(พี่ชาย) อยู่ปกครองบ้านเมือง ส่วนตนเองขอออกบวชดีกว่า

ดังนั้นจึงได้บวชพร้อมกันกับพระเจ้าภัททิยะ เจ้าชายอานนท์ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายเทวทัต โดยให้อุบาลีซึ่งเป็นภูษามาลา(ช่างแต่งผม) ได้บวชก่อน เพื่อลดความถือตัวของความเป็นเชื้อสายกษัตริย์ให้เสื่อมคลายลง

บวชแล้วก็ในพรรษานั้นนั่นเอง ภิกษุอนุรุทธะก็สามารถบำเพ็ญเพียรจนได้ทิพยจักษุ (ตาทิพย์) แสวงหาแต่ผ้าบังสุกุล(ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว) นำมาซักย้อมเอง แล้วนุ่งห่ม เป็นผู้มีสติ มักน้อย(ปรารถนาน้อย) สันโดษ(ยินดีตามแต่ฐานะของตน) ไม่มีความขัดเคืองใจ ยินดีในวิเวก(สงัดจากกิเลส) ปรารภความเพียรอยู่เป็นนิตย์

ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วิหารปาจีนวังสทายวัน ในแคว้นเจตีย์ กระทำสมณธรรม(ธรรมของผู้สงบระงับกิเลส )อยู่ที่นั่น โดยได้ตรึกตรองด้วยใจว่า

"ธรรมนี้ ๑. เป็นธรรมของผู้มักน้อย มิใช่ของผู้มักมาก ๒. เป็นธรรมของผู้สันโดษ มิใช่ของผู้ไม่สันโดษ ๓. เป็นธรรมของผู้สงัด มิใช่ของผู้ยินดีคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๔. เป็นธรรมของผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของผู้เกียจคร้าน ๕. เป็นธรรมของผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่เป็นของผู้มีสติหลงลืม ๖. เป็นธรรมของผู้มีจิตมั่นคง มิใช่ของผู้มีจิตไม่มั่นคง ๗. เป็นธรรมของผู้มีปัญญา มิใช่ของผู้มีปัญญาทราม"

ภิกษุอนุรุทธะตรึกตรองได้ ๗ ข้อนี้ ก็เกิดปริวิตก(คิดโดยทั่วทุกด้าน)ว่า

"ธรรมะนี้เราพิจารณาถึงที่สุดแล้วหรือยัง"

ขณะนั้นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้วาระจิตในความปริวิตกของพระอนุรุทธะ จึงเสด็จมาโปรดเสริมให้ว่า

"ดูก่อน..อนุรุทธะ เธอจงตรึกตรองในข้อที่ ๘ ว่า ธรรมะนี้เป็นธรรมของผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า ยินดีในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า มิใช่ของผู้ชอบใจในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ยินดีในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า"

ในเวลาใดที่เธอตรึกตรองถึงมหาปุริสวิตก(ความนึกคิดของมหาบุรุษ) ๘ ประการนี้ ในเวลานั้นเธอจะหวังได้ทีเดียวว่า เธอจะเป็นผู้มีปกติได้ตามความปรารถนาได้โดย ไม่ยากไม่ลำบากในฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน

พระอนุรุทธะยินดียิ่งในพระธรรมนั้น ปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาด้วยความไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ได้บรรลุวิชชา ๓ ( ๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ = รู้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ = รู้การเกิดและดับของสัตว์โลกได้ ๓. อาสวักขยญาณ = รู้ความหมดสิ้นไปของกิเลสตนได้) เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

วาโยรัตนะ 14-02-2010 20:03

ในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมนี้ประทับอยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์ ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงแต่งตั้งพระอนุรุทธเถระไว้ในตำแหน่ง ผู้มีจักษุทิพย์เป็นเลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย

แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พระอนุรุทธเถระก็ยังคงปฏิบัติตนเคร่งครัดในเรื่องการนอน ท่านได้ประกาศว่า

"เราถือการไม่เอนกายนอนเป็นวัตร(ข้อปฏิบัติ) เป็นเวลาถึง ๕๕ ปีมาแล้ว เรากำจัด ความง่วงเหงา หาวนอนมาแล้ว เป็นเวลา ๒๕ ปี"

ครั้นถึงคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีตาทิพย์ ภิกษุทั้งหลายจึงถามท่านว่า

"บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือยัง"

พระอนุรุทธเถระจึงตอบเป็นลำดับให้รู้

"ลมหายใจออกและหายใจเข้า มิได้มีแก่พระศาสดาแล้ว แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน ทรงกำลังทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ คือเสด็จออกจากฌาน ๔ แล้วจึงจะเสด็จปรินิพพาน ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน จิต(ความคิด)และเจตสิก(อารมณ์อาการของจิต) ทั้งหลาย จะไม่มีอีกต่อไป ชาติสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด)สิ้นไปแล้ว บัดนี้การเกิดในภพใหม่ มิได้มี"

แม้ถึงกาละสุดท้ายของพระเถระนี้ ท่านก็ได้นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ(คือ ดับทั้งกิเลสสิ้น แล้วดับทั้งชีวิตร่างกายขันธ์ ๕ ด้วย ไม่มีการกลับมาเกิดร่างใหม่อีก) ภายใต้พุ่มกอไผ่ที่ใกล้บ้านเวฬุวคาม ในแคว้นวัชชี

(พระไตรปิฎก เล่ม ๗ ข้อ ๓๓๗
พระไตรปิฎก เล่ม ๒๓ ข้อ ๑๒๐
พระไตรปิฎก เล่ม ๒๖ ข้อ ๓๙๓
พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒ ข้อ ๖
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๓ หน้า ๑๕๕
อรรถกถาแปลเล่ม ๗๐ หน้า ๕๔๖)

- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๒ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๗ -

วาโยรัตนะ 14-02-2010 20:20

นับเป็นบุญของกระผมที่ได้ อ่านและระลึกนึกถึง อานิสงส์ของการจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระรัตนตรัย และโชคดีที่ได้เจอสถานที่และครูบาอาจารย์อีกท่าน ที่ท่านเมตตาชี้แนะ
ขออานิสงส์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้จุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชา ขอให้อานิสงส์แห่งการถวายประทีปเป็นพุทธบูชาดังนี้

๑. ย่อมเป็นผู้รู้คุณของพระรัตนตรัย ทำให้มีศรัทธามั่นคง
๒. เป็นผู้มีความเคารพ มีสัมมาคารวะ
๓. เป็นผู้มีดวงตาสดใส สวยงาม มองได้ไกล ดวงตาบริสุทธิ์บริบูรณ์
๔. ทำให้เป็นผู้มีทิพยจักษุ (ตาทิพย์)
๕. มีผิวพรรณผ่องใส มีจิตใจสดชื่นเบิกบาน
๖. มีรัศมีกายสว่างไสว มีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาทในชีวิต
๗. ทำให้มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณว่องไว แตกฉานในสรรพวิชชาทั้งทางโลก และทางธรรม
๘. ย่อมไม่ไปเกิดในทุคติ
๙. ย่อมได้ดวงตาเห็นธรรม เห็นชัดเจนกิเลสตน บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เทอญ.

http://i113.photobucket.com/albums/n...nd/prateep.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/prateep2.jpg


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:37


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว