กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4887)

เถรี 11-03-2016 18:33

ถาม : ทางบ้าน ช่างเขาไม่ได้ทำครัวให้ ในสัญญามีเขียนว่าตารางวาเท่านี้ แต่ไม่ได้เขียนว่าในครัว ส่วนในแบบมีเขียนว่าในครัว ช่างเขาไม่ได้ทำ หนูก็เลยฟ้องร้องค่ะ
ตอบ : ในสัญญาไม่ได้ระบุแต่ในแบบมี ถ้าในแบบมีแล้วเขาตีราคาเหมานี่ ถือว่าเขาต้องทำให้ด้วย

ถาม : ญาติ ๆ เขาบอกว่า ถ้าบ้านมีคดีความแล้วจะอยู่ไม่เป็นสุข เกี่ยวกันไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จริง เป็นอาตมายิ่งมีคดียิ่งมีความสุขเพราะชอบมีเรื่อง เพราะฉะนั้น...อยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่อะไร

ถาม : หนูก็กลัวค่ะ ?
ตอบ : ถ้าในแบบมี แล้วสัญญาของเราก็คือจ้างเหมาตามแบบ เขาต้องทำให้เรา ถ้าไม่ทำก็ฟ้องได้เลย

ถาม : ตอนนี้กำลังฟ้องร้องอยู่ค่ะ ยื่นไปเขาก็ยังไม่มา ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ฟ้องไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ

ถาม : จะสำเร็จไหมคะ ?
ตอบ : เรื่องแบบนี้อย่าเที่ยวไปถาม เพราะหลักฐานข้อเท็จจริงอยู่ที่ศาลตัดสิน เขาใช้คำว่าเท็จและจริง ถ้าเขาสร้างหลักฐานเท็จได้ เขาก็สามารถเอามาใช้งานได้เหมือนกัน

ถาม : เรามีพยานในสัญญาด้วยค่ะ ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คราวหน้าทำสัญญาอย่างที่วัดท่าขนุน ของวัดทำสัญญาจ่ายเงินตามงวด ก็คือถ้าคุณทำถึงตรงนี้จะได้รับแค่นี้ ทำถึงตรงนี้ได้รับแค่นี้ แต่ทุกงวดทางวัดจะหักไว้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์นี้คุณจะได้รับก็ต่อเมื่อส่งงาน และทางวัดตรวจรับเรียบร้อยแล้ว ส่วนคุณเองขาดความรอบคอบ ไม่ได้หักตรงนี้เอาไว้ เขาก็เลยบิด ๆ เบี้ยว ๆ ได้ อย่างของวัดท่าขนุน มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ๑๒ ล้าน ๕ แสนบาท ถ้าหักไว้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เขาไม่อยากได้ก็เป็นเรื่องของเขา

ถาม : หนูก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน ส่วนใหญ่พวกนี้เขี้ยวยาว ร้อยวันพันปีจะเจอช่างดี ๆ ตรงไปตรงมาสักที เอาเถอะ...ถือว่าเป็นบทเรียนไป รอศาลเขาตัดสิน ถ้าเขาไม่มาก็ค่อยแจ้งความ ความจริงถ้าเป็นอาตมาจะไปแจ้งความที่เชียงรายที่หนึ่ง ที่สุไหงโกลกที่หนึ่ง ให้เขาวิ่งให้ตายห่...ไปเลย

ถาม : มีคำแนะนำอะไรอีกไหมคะ ?
ตอบ : ก็แนะนำไปแล้วว่า ถ้าเป็นอาตมาจะแจ้งความสุดเหนือสุดใต้ พอถึงเวลามีหมายเรียกให้เขาวิ่งให้ตายห่...ไปเลย การแจ้งความเป็นสิทธิของเราว่าจะไปแจ้งที่ไหนก็ได้

เถรี 11-03-2016 19:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดลานหอยสมัยก่อนมีหลวงพ่อปี้ดังมาก ๆ เราเคยได้ยินชื่อกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ คำว่าปี้สมัยก่อนเขาหมายถึงเหรียญเงิน สมัยนี้ก็ได้ยินคนแก่ ๆ บางคนเรียก แต่คนรุ่นหลังฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่าคืออะไร เหมือนคุณยายมณีบอกว่าตะกรุดยาวเกียกหนึ่ง แกก็ทำมืออย่างนี้ คนรุ่นใหม่จะไปรู้หรือเกียกหนึ่งยาวเท่าไร ถ้าคืบหนึ่งก็ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วกลาง ถ้าเกียกหนึ่งก็ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้"

เถรี 11-03-2016 19:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนรุ่นใหม่เขาพยายามพิสูจน์ว่าหลักศิลาจารึกสุโขทัยเป็นของปลอมที่รัชกาลที่ ๔ ทำขึ้นมา ถ้ารัชกาลที่ ๔ ทำได้ ก็สุดยอดอัจฉริยะเลย เพราะต้องคิดภาษาขึ้นมาใหม่หมดเลย ต้องเป็นภาษาที่เขาอ่านรู้เรื่องด้วย คงเป็นประเภทอัจฉริยะในอัจฉริยะเลย คือเรื่องของนักวิชาการเป็นสิทธิของเขาที่จะตั้งข้อสันนิษฐาน เขาบอกว่าสำนวนบางอย่างไม่น่าจะเป็นสำนวนในสมัยสุโขทัย นึกแล้วก็ขำ ทำอย่างกับเอ็งเกิดทันยุคนั้น...!"

เถรี 11-03-2016 19:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องวุ่น ๆ ในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของคนไม่กี่คน คือจริง ๆ แล้ว คสช. มี ม. ๔๔ อยู่ในมือ ถ้าจะเล่นงานวัดธรรมกายก็สามารถตีตรงได้เลย แต่ว่ากลับมาทำให้เรื่องเล็ก ๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ ต้องบอกว่าบรรดากุนซือของ คสช.นี่ สมควรโดนประหาร ๗ ชั่วโคตร..! ไม่ว่าจะหลักการบริหารอะไรก็ตาม เขามีแต่ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้ไม่มีเรื่อง แต่นี่เขาสามารถทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ แล้วก็ใหญ่กันไปเรื่อย ๆ"

ถาม : จะว่าได้ผลประโยชน์ก็ไม่มีใครได้นี่คะ ?
ตอบ : มีสิ...ที่ได้ผลประโยชน์จริง ๆ ก็คือศาสนาอื่น

เถรี 11-03-2016 19:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านอานนท์เป็นลูกศิษย์เรียน มจร. ท่านไปได้มีดหมอมาเล่มหนึ่ง ก็มางมหาประวัติ ในที่สุดก็เจอว่าเป็นของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ จังหวัดอยุธยา เรียกว่ามีดหมอสะกดวิญญาณ เอาไว้สำหรับเฉ่งผีโดยเฉพาะ งานอื่นถือเป็นของแถม ก็คือบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อแจ่มที่เป็นสัปเหร่อ พอไปเผาศพแล้วโดนพวกผีตามเล่นงานอยู่เรื่อย ๆ มาขอให้ท่านช่วยสร้างวัตถุมงคลที่กันพวกนี้หน่อย แทนที่จะกัน ท่านก็ทำแบบเล่นงานผีโดยตรงเสียเลย

ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ เวลาท่านจารอักขระแล้วแช่น้ำมนต์ ตัวอักขระจะนูนขึ้นมา เป็นมีดหมอสำนักเดียวที่ไม่เหมือนคนอื่น สมัยก่อนหลวงตาวัชรชัยชวนไปเรียนวิชานี้กับหลวงพ่อวงศ์ด้วยกัน ท่าน
บอกให้รีบไปเพราะว่าท่านอายุมากท่านบอกว่าพวกสมาธิดี ๆ ให้รีบมา ปรากฏว่าไปไม่ทัน มรณภาพก่อน"

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : นั่นก็คือหลวงพ่อวงศ์ ลูกศิษย์หลวงพ่อแจ่มอีกทีหนึ่ง ขนาดหลวงพ่อวงศ์ตอนนั้นยัง ๗๐ กว่าปีแล้ว น่าเสียดายเหมือนกัน ถ้าได้เรียนเอาไว้คงเล่นกันสนุกสนานไปเลย สมัยนี้ถ้าจะเอาตัวหนังสือลักษณะนั้นต้องใช้กรดกัดเอา ซึ่งทำยากมาก เพราะจะต้องปิดตรงบริเวณที่เราต้องการเอาไว้ แล้วตัวหนังสือจะไปปิดอย่างไร ? เพราะตัวนิดเดียว

เถรี 13-03-2016 16:09

ถาม : ตอนเสก ฐานกล่องวัตถุมงคลสั่นกรุบ ๆ ตั้งแต่อยู่มาเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ?
ตอบ : อาตมาไม่ได้ทำอะไร นั่งเฉย ๆ จะเอากระโดดออกจากกล่องไหมเล่า ? ถ้าทำอะไรชัดเจนเกินไปสมัยนี้ตายเร็ว อย่างรุ่นครูบาอาจารย์เสกต้องให้โดดได้ก่อน รุ่นของเราถ้าเกิดว่าโดดได้เมื่อไร เดี๋ยวอีกไม่ถึง ๒ ชั่วโมงทั่วโลกได้ดูกันอุตลุด เอาไปแค่นั้นแหละพอแล้ว

ต้องบอกว่าท่านอานนท์ค่อนข้างจะมีสัญชาตญาณในเรื่องของวัตถุมงคล เมื่อปีที่แล้วท่านถวายมีดหมอของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามมาเล่มหนึ่ง วัดโฆสิตารามนี่ไปบอกชาวบ้านชาวบ้านไม่รู้จักหรอก เขาเรียกวัดบ้านแค ท่านเองก็ไปได้มีดหมอของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือมา

เมื่อวานตอนเดินทางมา พระท่านให้เอามีดหมอทั้งหมดที่มีมาด้วย ปรากฏว่าอาตมาไปนั่งทางด้านท้ายรถแล้วออกไม่ได้ ให้ "หมวยนี้" ไปยกพานใส่มีดหมอมา ปรากฏว่ามีดหมอหลวงพ่อกวยไม่ว่ารู้อันตรธานไปไหน รถก็วิ่งออกไปแล้ว ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร ท่านไม่มาก็แล้วแต่ท่านเถอะ พอมาถึงวัดกาญจนบุรีเก่า ไปกราบถวายฎีกาหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด มีดหมอก็ยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้น แต่ตอนแรกไม่มีแน่นอน แหม...น่าเหวี่ยงจริง ๆ

เถรี 13-03-2016 17:04

ถาม : เวลาได้ยินเสียงเทวดา แสดงว่าท่านมาเตือนเราหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : ให้พิจารณาดูว่าอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แก้ไขแล้วดีกับตัวเราก็แก้ไปทำไป ถ้าอันไหนไม่ดีแก่เราก็อาจจะเมิน ๆ หน่อยก็ได้ แต่คราวหลังท่านก็จะไม่เตือนอีก

ใครจะเตือนเราก็ต้องพิจารณาแก้ไขทั้งนั้นแหละ อย่างอาตมานี่ประเภทเทพอสูร ดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะฉะนั้น...จะเทวดาเตือนหรือมารเตือนนี่อาตมารับฟังทั้งนั้น

เถรี 13-03-2016 18:30

ถาม : ผีกองกอยเป็นแบบไหนครับ ?
ตอบ : ผีกองกอย จะเอาแบบไหน ?

ถาม : แบบขาเดียวกระโดดครับ ?
ตอบ : แบบขาเดียวเป็นอสุรกายประเภทหนึ่ง ทางด้านเหนือเขาเรียกว่า “ผีเสื้อห้วย” เคลื่อนไหวเร็วมาก สาเหตุที่คนไม่เห็นตัวเพราะว่าไวมาก ความจริงแล้วเป็นลักษณะอสุรกายประเภทหนึ่ง คุณโจ๋ย บางจาก ที่ทำสารคดีส่องโลก เคยไปวางกล้องดักถ่ายพวกสัตว์ป่า ถ่ายเจ้าตัวนี้ทีไรจะได้แต่ปลายตีนนิดเดียว ขนาดกล้องลั่นแล้วยังโดดหนีได้ทัน เขาเร็วขนาดนั้น แล้วก็ติดแต่ตีนมาหน่อยหนึ่ง ตามที่คุณโจ๋ยเขาบอกคิดว่าเป็นสัตว์ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าเป็นสัตว์ที่คนทั่วไปยังไม่รู้จัก

ในยุคที่ทางภาคเหนือเรายังมีเจ้าผู้ครองนครอยู่ ยุคที่บริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าเขาได้สัมปทานไม้สักภาคเหนือ ก็มีอยู่พวกหนึ่งที่เขาเชื่อกันว่าเป็นผีกองกอย แต่ว่าคนละอย่างกัน อันนั้นเป็นอสุรกายอีกประเภทหนึ่ง ถ้าเราเคยอ่านเรื่องเวตาลก็จะเห็นว่า พออสุรกายเข้าไปสิงศพ ก็จะมีหางเป็นแพะมีปีกเป็นค้างคาว กลายเป็นตัวเวตาลอะไรอย่างนั้น แต่เจ้านี่พออสุรกายเข้าไปสิง ศพนั้นจะไม่เน่า แล้วขนจะงอกยาวขึ้นเรื่อย ๆ

คราวนี้จะไปพ้องกับเรื่องความลับในดงดิบของ ท. เลียงพิบูลย์ ที่เขียนเอาไว้จากคำสัมภาษณ์ของโยมท่านหนึ่ง ที่ว่าไปเจอเจ้าผีกองกอยที่ว่านี้ ถึงเวลาแล้วมาร้อง แค่เสียงร้องของเขาก็สามารถสูบเลือดคนไปกินได้ ขนาดแค่ผ่านเสียงร้องเท่านั้น ตัวนี้แสดงว่าบำเพ็ญตบะมานานมาก แล้วก็ไปสอดคล้องกับสิ่งที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม กับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านไปเจอเจ้าผีกองกอยนี้ หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนก็แผ่เมตตาปรากฏว่าไม่ยอมไป หลวงปู่แหวนก็เลยเทศน์โปรด ท้ายสุดเขาก็เลยเปลี่ยนใจ ไม่กินหลวงปู่ ๒ ท่าน แล้วก็หนีหายไป หลวงปู่ตื้อท่านชมหลวงปู่แหวนว่าเทศน์ได้ดีมาก ขนาดผีกองกอยที่ไม่น่าจะรับฟังใครยังอุตส่าห์ยอมลงให้

ถ้าหากว่าเป็นประเภทนี้จะเป็นศพที่ตายแล้ว แต่พอพวกอสุรกายเข้าสิง ก็ยังคงออกหากินเพื่อหล่อเลี้ยงศพนั้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งกินมากก็ยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี 13-03-2016 18:34

ถาม : อสุรกายมีกี่ประเภท ?
ตอบ : อสุรกายมีอยู่ตั้ง ๔ ประเภท ตกลงว่าไปว่ามาสำนวนออกไปทางวิทยานิพนธ์ มีอ้างอิงด้วย ...(หัวเราะ)... เล่าเรื่องอสุรกายแท้ ๆ ก็ยังไปตรงกับของประเทศจีนด้วย ที่เขาบอกว่ามีบางศพที่ฝังในฮวงจุ้ยที่ผิด แล้วก็ทำให้กลายเป็นผีดิบ ไม่เน่าไม่เปื่อย มีขนงอกยาวขึ้นมา ก็แสดงว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่ทั่วโลก เพียงแต่ว่าใครจะเจอหรือไม่เท่านั้น

เถรี 13-03-2016 18:45

ถาม : พวกอบายภูมิ เรามีโอกาสจะได้เจอไหมครับ อย่างพวกเปรต อสุรกาย สัตว์นรก ?
ตอบ : ถ้าวาระกรรมของเราเปิดบางทีก็ได้เจอ แล้วอีกอย่างก็คือเขาตั้งใจแสดงให้เห็น ถ้าเขาตั้งใจแสดงให้เห็นก็มีโอกาสได้เจอ มีบันทึกอยู่ในเปตวัตถุหลายเรื่อง ที่พระท่านเดินทางแล้วไปเจอโยมคนหนึ่งตัวดำเมี่ยมเลย เดินเข้ามาขอร้องพระท่านว่า ช่วยหาน้ำให้กินหน่อยเถอะ หิวน้ำเหลือเกิน พระก็บอกว่า “โยมเดินลุยอยู่ในสระน้ำนั่นเลย” เขาบอกว่าเขามองไม่เห็น พระท่านก็เลยตักน้ำใส่บาตรให้ เขาก็ไม่เห็น ท้ายสุดพระท่านก็เลยจับนอนหงาย ปรากฏว่าปากเขาเท่ารูเข็ม ต้องค่อย ๆ เอาน้ำในบาตรกรอกใส่ลงไป ๆ ได้ ๗-๘ บาตร ถามว่าพอหรือยังโยม ? โยมบอกว่าไม่รู้สึกว่ามีน้ำสัมผัสลิ้นเลย ก็เลยถามว่าโยมทำกรรมอะไรมาถึงเป็นอย่างนี้ เขาก็เลยเล่าว่า “ข้าพเจ้าเป็นเปรต ในอดีตเป็นคนหวงบ่อน้ำ ไม่ยอมให้คนอื่นมาร่วมใช้บ่อน้ำด้วย”

แล้วอีกเรื่องก็พระท่านหลงป่า เดินอยู่หลายวันหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วไปเจอโยมท่านหนึ่งไถนาอยู่ ก็ถามทาง โยมก็บอกทางให้ ถามว่าโยมมาทำอะไรกลางป่า มาทำไร่ไถนาอยู่ ผู้คนก็ไม่มี เขาก็บอกว่าโยมเป็นเปรต เคยโกงที่สงฆ์ไว้ หลังจากตกนรกแล้วมาเกิดเป็นเปรตก็ชดใช้กรรมอยู่ที่นี่

เถรี 13-03-2016 19:21

ถาม : พวกที่อยู่ต่างภูมิจะเห็นกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ต่างภูมิกันบางทีก็ไม่เห็นกัน ถ้าฝ่ายที่มีฤทธิ์มากกว่าหรือว่าภูมิละเอียดกว่า อย่างเปรตจะอยู่ภูมิที่หยาบกว่า อสุรกายละเอียดกว่า คาดว่าเขาไม่น่าจะเห็นกัน เพราะว่าถ้าเห็นกันเมื่อไรนี่ยุ่งตายชักเลย

ฝ่ายที่อยู่ภูมิละเอียดกว่าเขาสามารถเห็นฝ่ายที่หยาบกว่าได้ แต่ฝ่ายที่หยาบกว่าอยากเห็นฝ่ายละเอียดกว่านั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้


ถาม : แล้วที่หมาเห็นผี ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบาก เป็นฤทธิ์อย่างหนึ่งเหมือนอย่างกับเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเห็น แต่เราก็มีฤทธิ์คือสามารถเห็นโดยใช้ทิพจักขุญาณ

เถรี 13-03-2016 19:43

ถาม : ทำไมพระดีเข้าถึงที่สุดเหมือนกัน แต่ความคล่องตัวไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นพระดี ?
ตอบ : บุญเก่าที่ทำมา เกี่ยวกับทานบารมี ทานบารมีมีส่วนเกินครึ่ง

ถาม : อย่างนี้ความบริสุทธิ์ของใจช่วยไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ช่วยได้ แต่ก็เหมือนกับต้นทุนเราน้อย ต่อให้คุณโกยมาให้หมดแต่ก็ได้แค่นั้น แต่ถ้าต้นทุนเราเยอะ อย่างที่อาตมาเคยบอกท่านย่าว่า ให้ผมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังน้อยไปเลย

ถาม : อย่างหลวงพ่อฤๅษีที่ไปอยู่วัดท่าซุงแรก ๆ ก็ยังผูกปิ่นโตเลยครับ ?
ตอบ : วาระบุญยังมาไม่ถึง

เถรี 14-03-2016 13:31

ถาม : ทำไมพระรุ่นก่อนถึงใช้กำลังส่วนตัวในการปลุกเสกกันครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ท่านมาทางสายอภิญญา และไม่มีความรู้ว่าจะต้องขอบารมีพระอย่างไร

ถาม : แต่ท่านก็เจอพระนะครับ ?
ตอบ : ที่เจออย่าง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ให้สังเกตว่าจะกลายเป็นอมตะเถราจารย์ไปเลย

เถรี 14-03-2016 13:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "พอสร้างพิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จ อาตมาต้องหาเจ้าหน้าที่มาประจำไว้ ต้อง สามารถที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เดี๋ยววันมะรืนนี้เขาจะเอาเรือไปส่งที่วัด อาตมาสั่งสร้างเรือพระราชพิธีจำลองไป ๓ ลำ ลำหนึ่งยาว ๒ เมตรครึ่ง มีเรืออนันตนาคราช เรือสุพรรณหงส์ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณ"

ถาม : ลำเท่าไรครับ ?
ตอบ : น่าจะประมาณสองแสนห้า ...(หัวเราะ)... ยาวเป็นวาเลย สัดส่วนเหมือนของจริงหมด แล้วตรงที่ทึ่งก็คือเขาทำเหมือนมาก

วัดท่าหลวงที่จังหวัดพิจิตรสั่งทั้งขบวนเลย ทั้งเรือดั้งเรือแซงอะไรเอาหมดเลย เอาเถอะ...คุณมีเงินนี่นา วัดท่าหลวงมีหลวงพ่อเพชร วัน ๆ คนเข้าตั้งเท่าไร ของเราไม่ได้อย่างนั้น ลำไหนหน้าตาดีหน่อยก็ค่อย ๆ เอามา เก็บไปเรื่อย ๆ

เถรี 14-03-2016 14:09

ถาม : หลวงพ่อไม่ทันหลวงปู่บุญมีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เกิดทัน แต่ไม่ทันได้ไปหา ท่านมรณภาพปีที่อาตมาลาออกจากทหารพอดี วัดเขาสมอคอนสมัยก่อนเป็นสำนักใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นคู่แข่งกับวัดมณีชลขันธ์ วัดมณีชลขันธ์ได้หลวงปู่แสง วัดเขาสมอคอนได้หลวงปู่ก๋ง แล้วหลวงปู่ก๋งนี่แหละที่ถ่ายทอดวิชาให้หลวงพ่อบุญมี ส่วนหลวงพ่อแสงออกมาทางด้านหลวงพ่อโต วัดระฆัง หลวงพ่อเนียมวัดน้อย

ถาม : พระอุปัชฌาย์ก๋ง ?
ตอบ : สมัยก่อนกว่าจะเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ต้องประเภทเลิศวิทยายุทธ์จริง ๆ ดูอย่างพระอุปัชฌาย์ยิ้ม พระอุปัชฌาย์กลั่น แต่ละท่านสุดยอดทั้งนั้น

ถาม : ได้เป็นพระอุปัชฌาย์นี่เป็นที่ภูมิใจของจังหวัด ?
ตอบ : ถ้ายุคนั้นก็เป็นหน้าตาของประเทศเลย

เถรี 14-03-2016 14:14

ต้องบอกว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรท่านเก่งจริง พอหลวงปู่ศุขแนะนำให้ไปกราบขอเรียนวิชาจากหลวงปู่ยิ้ม ไปขอมีดหมอปราบไตรภพ หลวงปู่ยิ้มให้เพ่งเทียน ท่านก็เพ่งเทียนระเบิดดับได้ เพราะว่าวิชาสายหนองบัวนี่ ถ้าเพ่งเทียนดับไม่ได้ท่านไม่ให้วิชา

ถาม : ทำไมต้องเพ่งเทียนให้ดับ ?
ตอบ : เพราะว่าสมาธิจะได้พอที่จะใช้งาน

ถาม : ต่างจากทำให้เทียนติดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกัน ที่เทียนติดใช้อำนาจของกสิณ ที่เทียนดับใช้กำลังใจล้วน ๆ

ถาม : ถ้าใช้นีลกสิณ ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่ดับ แค่โดนบัง

ถาม : แสดงว่าใช้นีลกสิณง่ายกว่า ?
ตอบ : ง่ายกว่า สมัยก่อนจะเคยชินกับความแข็งแรงเฉพาะตัว ในเมื่อมีความแข็งแรงเฉพาะตัว คุณถึงสามารถเป็นแม่ทัพขุนศึก เป็นผู้นำเขาได้ คราวนี้พอมาฝึกปฏิบัติทางใจ ก็เลยดูว่าพลังจิตของใครแข็งกว่า

ถาม : อ๋อ...ที่หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ท่านบอกว่า ใครจะมาเอาวิชาของท่านไป ให้เพ่งเทียนให้ระเบิดไปเลย ก็คืออันนี้ ?
ตอบ : หลวงปู่ใจ วัดเสด็จท่านใช้เวลา ๗ วัน เพ่งไปเถอะ จนท้อใจ วันนี้ถ้าไม่สำเร็จจะกลับแม่กลองแล้ว ปรากฏว่าคืนนั้นแหละ เทียนระเบิดดับต่อหน้าต่อตา หลวงปู่ยิ้มท่านหัวเราะ บอกว่า "เก่งกว่าข้าอีก ข้าโดนไปเกือบ ๑๕ วัน" ...(หัวเราะ)... ต้นตำรับบอกตัวเองโดนไปเกือบ ๑๕ วัน

เถรี 14-03-2016 14:22

ถ้าสายเมืองกาญจน์ฯ หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่ดี วัดเหนือ ส่วนหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ นี่ต้องบอกว่าเป็นสหธรรมิกรุ่นน้อง คราวนี้หลวงปู่เปลี่ยนท่านดังมาก่อนแล้ว คงไม่ขอแลกเปลี่ยนวิชากัน แล้วก็มาหลวงพ่อดอกไม้ และอีกหลายท่าน แต่ว่าดังสู้ ๓ เสือกาญจนบุรีไม่ได้ เพราะว่าหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ กับหลวงพ่อเหรียญ วัดหนองบัว ดังกว่า ท่านอื่น ๆ ก็เลยโดนบังรัศมีไป ทั้ง ๆ ที่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน

คราวนี้ทางหลวงปู่ดี วิชาของท่านก็ลงมาทางที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช หลวงปู่สอนก็มาที่หลวงพ่อลำใย ของอาตมาก็เลยกลายเป็นลูกศิษย์สองสาย

สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯ ช่วงที่พระองค์ท่านป่วยแล้วทำอะไรไม่ได้ โดนขโมยรัดประคดไป ส่วนใหญ่แล้วในประคดเอวเป็นพระปิดตา
กับแหวนพิรอดหลวงปู่ยิ้ม พระองค์ท่านเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกถึงครูบาอาจารย์ โดนขโมยไปเข้าตลาด ของแพงเลย

เถรี 14-03-2016 14:30

แหวนพิรอดหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ต่างกับของหลวงพ่อม่วง วัดบ้านทวน ของวัดบ้านทวน หลวงพ่อม่วงท่านถักเป็นลายขัด แต่ของหลวงปู่ยิ้มท่านถักเป็นหัวขึ้นมา บางคนเรียกว่า "ถันพระอุมา" ส่วนของหลวงพ่อหรุ่น วัดอัมพวัน ท่านก็ถักเป็นหัวขึ้นมาเหมือนกัน ฉะนั้น...ต้องดูความต่างของเนื้อรัก ของหลวงปู่ยิ้มส่วนใหญ่เป็นรักจีนออกสีแดง ส่วนของหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ นี่ถึงเรียนแหวนพิรอดจากหลวงปู่ยิ้มไปก็จริง แต่ว่าท่านถักแบบเรียบ ๆ ไม่มีลายขัดอะไร เหมือนกับเอาด้ายพันขึ้นมาเฉย ๆ แต่ว่าเป็นตำราเดียวกันหมด

ถาม : คาถาพระพิรอดขอดพระพินัยสายเรามาจากไหนครับ ?
ตอบ : อันเดียวกัน ตำราเดียวกันหมด เวลาอาราธนาติดตัวก็ “โอม พระพิรอด ขอดพระพินัย” ถึงเวลาเก็บก็ “โอม พระพินัย คลายพระพิรอด” ยกเว้นว่าตำราผูกเชือก ๓ ปมก็ยังมีปมกลางอีก มี “สะ สิ มิ สิ”

ถาม : ตำราผูกเชือกปมกลางนี่ ?
ตอบ : คาถาเดียวกัน แต่ว่าเพิ่มขึ้นมาบทหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า เป็นของหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง

ถาม : เสกใช้สามตัวนี้เหมือนกัน ?
ตอบ : สามตัวนี้ แต่ท่านบังคับให้กลั้นหายใจ เหนื่อยตายชักเลย

สายครูบาอาจารย์ของอาตมามีตั้ง ๑๐ กว่าสาย...ยุ่งไปหมด เดี๋ยวพอฉลองอายุ ๖๐ ปี จะทำสายครูบาอาจารย์ออกมา ตอนนี้ร่าง ๆ เอาไว้แล้ว ออกมานี่ได้งงกันไปหมด อะไรจะเรียนมาเยอะขนาดนี้วะ ? เพราะอาศัยว่าจำง่าย จำแม่น แล้วท่านเมตตา ไปหาทีไรท่านก็ให้อยู่เรื่อย

เถรี 15-03-2016 11:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่ตั้งคำถามเอาไว้ในเว็บวัดท่าขนุนแล้วไม่ไปแก้ไขข้อผิดพลาดตัวเอง โดนแบนตลอดชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ก็คือคุณจะดื้อกับใครก็ได้ แต่ดื้อในเว็บวัดท่าขนุนไม่ได้ เพราะเจ้าพ่อดุ...!

รู้สึกว่าจะโดนแบนไป ๒ ราย รายหนึ่งแก้หลายครั้งแล้ว แต่แก้เท่าไรก็ไม่สำเร็จ แก้จนท้อเลยทิ้งไปเลย ส่วนอีกราย ตั้งกระทู้เสร็จก็หายไปเลย ใครจะแจกใบแดง ใบเหลืองอย่างไรตูไม่รับรู้ทั้งสิ้น ท้ายสุดสิ่งที่ตนเองทำก็เลยส่งผล โดนแบนไปเรียบร้อยแล้ว"

เถรี 15-03-2016 12:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำฟักทองไม่ใช่ปานะ พระไม่สามารถจะฉันหลังเพลได้ น้ำฟักทอง น้ำลูกเดือย บรรดาสารพัดถั่ว แม้กระทั่งน้ำข้าว ก็เป็นอาหาร สมัยนี้เขาแกล้งโง่ ๆ มาถวายเป็นน้ำปานะกันหมด โดยเฉพาะระยะหลังที่เจอมากคือน้ำข้าวโพด น้ำเผือกปั่น น้ำฟักทองปั่น บางรายปั่นมาข้นคลั่กเป็นครีมเลย

น้ำเต้าหู้ก็เป็นอาหาร เพราะว่ามาจากถั่วเหลือง บรรดาตระกูลถั่วตระกูลข้าว พวกพืชกินหัวทั้งหมดเป็นอาหาร ต้องบอกว่าค่อย ๆ เพี้ยนไปเรื่อย จนกระทั่งผิดกลายเป็นถูก พอเราไปทำให้ถูกก็กลายเป็นผิดในสายตาคนอื่น ระยะหลังมีในงานภาคค่ำ อย่างเช่นพวกงานสวดอภิธรรม มีถวายเม็ดก๋วยจี๊ เมล็ดทานตะวัน ก็เห็นท่านนั่งแทะเป็นนกเป็นกระรอกอยู่เหมือนกัน โยมไม่รู้ ถวายของที่ไม่สมควรมา พระต้องบอกต้องเตือนโยมให้รู้ ไม่ใช่ถวายมากูก็ฉวยโอกาสกินเลย"

เถรี 15-03-2016 20:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจ่ายค่าหล่อสมเด็จองค์ปฐม ๔๙ นิ้ว รูปหล่อหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปแล้ว จำนวน ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท ราคานี้รวมค่าปิดทองและขนส่งไปให้ด้วย"

เถรี 16-03-2016 14:38

ถาม : เวลาผมนอนสภาพจิตจะมีความสว่างมาก ทำอย่างไรจะทำให้เวลาผมนั่งภาวนาแล้วจะให้สภาพจิตสว่างได้อย่างตอนนอนครับ ?
ตอบ : สมาธิเข้าระดับลึกมากเท่าไรสภาพจิตก็จะสว่างผ่องใสมากขึ้นเท่านั้น คราวนี้ถ้าคุณต้องการที่สมาธิระดับธรรมดา แต่จะให้สว่างเหมือนตอนที่เรานั่งในสมาธิระดับลึกกว่า ก็ต้องซักซ้อมให้มีความคล่องตัวชนิดที่ต้องการเข้าถึงระดับไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น...ต้องซ้อมบ่อย ๆ จนกระทั่งสภาพจิตเคยชินกับระดับนั้น ถึงเวลาแม้แต่นั่งลืมตาอยู่ก็ทำได้ ต้องขยันกว่านี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเงียบเหมือนกับตอนหลับ

ถาม : การที่เราฝันว่าเป็นพระสงฆ์ถือศีล ๒๒๗ ได้ เราจะได้อานิสงส์ของศีลนั้นไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอานิสงส์ ฝันก็คือฝัน เป็นนิมิตแสดงเหตุจะเก่าหรือใหม่ก็ได้

เถรี 16-03-2016 14:52

ถาม : เขาบอกว่าพระผงวัดโพธิ์สุทธาวาสเข้าพิธีเดียวกับสมเด็จสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ จริงไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน ระยะหลังนี้นิทานมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนเขาไม่ทันหลวงพ่อกัน สมัยก่อนพุทธาภิเษกในโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็อนุญาตให้วัดอื่นนำวัตถุมงคลไว้หลังโบสถ์แล้วก็โยงสายสิญจน์มา ความจริงโยงสายสิญจน์ก็แค่ให้กำลังใจเจ้าของ ความจริงไม่ต้องใช้ก็ได้ พอมาระยะหลังคนต้องการพึ่งหลวงพ่อท่านมากขึ้น ก็เลยให้จัดสถานที่ในวิหาร ๑๐๐ เมตรสำหรับคนนอก เขาก็ทำแบบเดียวกับวัดท่าขนุน ก็คือขนกันไปเข้าพิธีแบบไม่ต้องเกรงใจ คนหนึ่งเป็นคันรถ เพราะฉะนั้น...ใครเขาบอกว่าเอาไปเข้าพิธีมาแล้ว ก็แล้วแต่เขาจะว่าก็แล้วกัน

ของวัดท่าขนุนยุคจตุคามรามเทพนี่ อาตมามองออกไปแล้วทึ่งมาก รถแทบจะจอดล้อมศาลาเลย บางคันนี่เป็นรถหกล้อเลย แล้วเขาก็ขายได้หมดเสียด้วย เขาจะมีป้ายติดอยู่ว่ารุ่นไหน แล้วก็โยงสายสิญจน์ขึ้นศาลาวัดท่าขนุน ที่เหลือก็เป็นภาระของอาจารย์เล็กไป สรุปแล้ววัดท่าขนุนไม่ได้สร้างจตุคามรามเทพกับใครเลย แต่เสกไป ๓๐ กว่ารุ่น..!

ที่ขำที่สุดคือมีโยมอยู่รายหนึ่งบอกว่า “ต้องหา
วัตถุมงคลวัดท่าขนุนมาให้ได้” ถามว่ามีเหตุผลอะไร เขาบอกว่า “ใคร ๆ ก็สร้างจตุคามรามเทพกัน วัดที่ไม่ยอมสร้างแล้วฝ่ามรสุมเขามาได้ต้องแน่จริง”

แต่ว่าที่น่าสงสารเลยคือเพื่อนของอาตมาเอง พระครูภัทรกิจพิศาล วัดไผ่หูช้าง สร้างจตุคามรามเทพรุ่นแรกได้กำไร ๑๒ ล้านบาท ก็เลยย่ามใจ รุ่นสองใส่ไปเต็มที่เลย ปรากฏว่ากระแสตกพอดี ขายไม่ออก ๑๒ ล้านบาทที่ได้มาก็ยังกองอยู่นั่นแหละ ช่วงนั้นเขามีคำขวัญว่า ถ้าวัดไหนอยากได้สตางค์ให้สร้างจตุคามรามเทพ ทั่วประเทศก็เลยสร้างกันเกือบทุกวัด

ความจริงท่านก็ยังสงเคราะห์คนอยู่เป็นปกติ แต่ว่าความนิยมเสื่อมลงเพราะว่าคนเอามาทำเป็นการค้ามากเกินไป เขาคำนวณว่าจำนวนที่สร้าง ๆ ขึ้นมา น่าจะมากกว่าจำนวนประชากรในประเทศไทยเสียอีก แต่ถ้าอย่างของหลวงปู่อุบาลีฯ วัดไร่ขิงท่านสร้าง ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่อวัดไร่ขิง ชื่อว่ารุ่น “มงคลจตุคาม” เปิดจองวันเดียวได้ไป ๕๐ ล้านบาท ถ้าอย่างนั้นความนิยมไม่เสื่อมแน่ เพราะด้านหนึ่งยังมีหลวงพ่อวัดไร่ขิงอยู่

เถรี 16-03-2016 15:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "การบวชเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ในเมื่อเกิดขึ้นได้ยากก็มีอานิสงส์มาก แต่จะไปลำบากคนบวช ทันทีที่พระคู่สวดประกาศวาระที่ ๓ ว่าการบวชนั้นสำเร็จลงแล้ว ก็เป็นอันว่าได้อานิสงส์ในการบวชไปเต็ม ๆ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้บวช ถ้าอยู่ต่อแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อานิสงส์ก็ทวีคูณขึ้นไป ถ้าอยู่ต่อแล้วทำผิดทำพลาดก็โดนลดไปเรื่อย ถ้าหากว่าพลาดมาก ๆ ก็ขาดทุนยับเยิน

ฉะนั้น...วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือเป็นเจ้าภาพบวชชาวบ้าน อาตมาหากินทางนี้มานานแล้ว ถึงเวลาก็บวชเขาไปเรื่อย บางคนถามว่าทำไมอาจารย์บวชฟรีปีหนึ่งหลายครั้ง ตอบว่าบวชเองแล้วเอาดีไม่ได้ ก็เลยบวชชาวบ้านเขาดีกว่า"


ถาม : แล้วเป็นพระอุปัชฌาย์ได้บุญไหมคะ ?
ตอบ : ดูท่าจะมีแต่เวรกรรมมากกว่า...!

เถรี 16-03-2016 15:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า “สีมา” ความหมายจริง ๆ แปลว่าเขตแดน คราวนี้สีมาโดยหลัก ๆ มีอยู่ ๒ อย่างคือ พัทธสีมา เขตแดนที่ประกาศผูกไว้แล้ว ก็คือคณะสงฆ์รับรอง กับ อพัทธสีมา คือเขตแดนที่ไม่ได้ผูก คือไม่ได้รับรอง

สมัยก่อนการกำหนดสีมาเขาใช้ธรรมชาติ ส่งสงฆ์ออกไปทั้ง ๘ ทิศแล้วก็สอบถาม อย่างเช่นว่า “ปุรัตถิมายะ ทิสายะ กิง นิมิตตัง ทางทิศตะวันออกมีอะไรเป็นเครื่องหมาย ?” ท่านที่อยู่ในด้านนั้นก็จะตอบ อย่างเช่นว่า “รุกโข ภันเต มีต้นไม้เป็นเครื่องหมายครับ” “ปัพพะโต ภันเต มีภูเขาเป็นเครื่องหมายครับ” “วัมมิโก ภันเต มีจอมปลวกเป็นเครื่องหมายครับ” หรือว่า “ปาสาโณ ภันเต มีก้อนหินเป็นเครื่องหมายครับ” พอถามครบทั้ง ๘ ทิศแล้ว ในเขตทั้งหมดที่นั้นสมมติเป็นสีมาเพื่อทำสังฆกรรมได้

ตอนหลังพอบ้านเมืองเจริญขึ้น การสร้างวัดวาอารามเป็นหลักแหล่งมั่นคง ก็เลยมีการผูกพัทธสีมาขึ้น แต่เนื่องจากว่าโบราณเขาถือว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยต้องมีการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา คือขอพระราชทานจากในหลวงก่อน ขอที่ตรงนั้นให้เป็นที่ของสงฆ์ สรุปว่าที่ทั้งวัดยังเป็นของพระเจ้าแผ่นดินอยู่ แต่ที่ซึ่งพระราชทานให้นั้นเป็นของสงฆ์

ทางฝั่งพม่าไม่นิยมการสร้างโบสถ์แล้วผูกพัทธสีมา เพราะว่าลำบาก ถ้าไม่ใช่วัดที่มีญาติโยมสนับสนุนมาก หรือที่เรียกว่าวัดรวย ก็ไม่ค่อยจะสร้างโบสถ์กัน เขาใช้อุทกุกเขปสีมา คือใช้วิธีผูกแพลอยห่างจากฝั่งประมาณ ๑๒ ศอก คือ ๖ เมตรขึ้นไป แล้วก็ทำสังฆกรรมกันในน้ำ อุทกุกเขปสีมาคือเสมาที่มีน้ำเป็นเขต"


ถาม : ต้องผูกทุกครั้งไหมคะ ?
ตอบ : ทำกันทีก็ลอยแพกันทีหนึ่ง หรือถ้ามีแพอยู่ประจำที่ ถึงเวลาก็ไปทำกันในแพเลย ถ้ากลัวว่าจะมีบุคคลภายนอกเข้าไปก็ชักสะพานทางเดินออกเสียก่อน

เถรี 16-03-2016 15:41

ในบ้านเราการผูกพัทธสีมาส่วนใหญ่เป็นขัณฑสีมา คือถือขอบเขตเฉพาะโบสถ์ คราวนี้สีมาที่เรียกว่า พัทธสีมา ส่วนใหญ่ก็คือผูกรอบโบสถ์ แล้วก็มี มหาสีมา คือผูกทั้งวัดเลย คือเขตวัดทั้งหมดคือสีมา เวลาพระทำสังฆกรรม ภายในวัดถ้าใครเป็นอนุปสัมบัน คือมีศีลน้อยกว่า จะเป็นเณร เป็นแม่ชี เป็นฆราวาส จะต้องออกไปจากวัดหมดเลย คือปิดประตูวัดทำสังฆกรรม อย่างวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นต้น

แล้วก็ยังมีวัดที่เป็นสีมา ๒ ชั้น คือเป็นมหาสีมาแล้วก็มีขัณฑสีมาอีก คือผูกรอบโบสถ์อีกหนึ่งชั้น เวลาทำสังฆกรรมก็เอาแค่เอารอบในเฉพาะโบสถ์ คนอื่นจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนออกจากวัด

เถรี 16-03-2016 15:59

ถาม : สีมาสังกระคืออะไรครับ ?
ตอบ : สีมาสังกระ คือ สีมาที่คาบเกี่ยวกับสีมาอันเดิม

เถรี 16-03-2016 16:02

ถาม : พระสายวัดป่าสมัยก่อน เขาบวชกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สวดถอนก่อนแล้วค่อยสวดสมมติใหม่

ถาม : สมมติในป่า ?
ตอบ : ในป่า

ถาม : แล้วถ้าย้ายที่ไปล่ะครับ ?
ตอบ : ถ้าย้ายที่ไปใหม่ก็ถอนของเก่าก่อน จะไปยากอะไร ก็แค่สวดประกาศเท่านั้นเอง

เถรี 16-03-2016 17:10

บางที่จะมีการสร้างเป็นโบสถ์ ๒ ชั้น โบสถ์ ๒ ชั้นจะมีปัญหาคือเวลาทำสังฆกรรม ถ้าชั้นบนบวชพระแล้วชั้นล่างมีพระอยู่ต้องนิมนต์ออกไปไกล ๆ เลย แต่ถ้ามีเณรหรือฆราวาสอยู่ก็อยู่ไปเถอะ แปลกไหม ? เพราะว่าพระต้องอยู่ในเขตหัตถบาส ถ้าอยู่นอกเขตหัตถบาสแปลว่าสังฆกรรมเสีย ฉะนั้น...ถ้าหากคุณรักที่จะอยู่ก็ต้องรีบไปอยู่รวมกัน หรือไม่ก็ออกไปให้พ้นเขตไปเลย แต่ถ้าจะเอาปลอดภัยที่สุดก็คือจะโยม จะพระ ก็ให้ออกไปเถอะ เพราะเขากำลังทำสังฆกรรมกันอยู่

บางคนก็พูดง่าย ๆ เขาบอกว่าหัตถบาสเป็นเขตของพระ สีมาเป็นเขตของโยม แต่ความจริงถ้าออกนอกเขตสีมาได้จะดีมาก

เถรี 16-03-2016 19:22

ถ้าถามว่าการผูกพัทธสีมากำหนดลึกแค่ไหน ? โบราณาจารย์ท่านบอกว่าลึกถึงน้ำรองแผ่นดิน ก็แปลว่าถ้าพระไปนั่งอยู่ในโบสถ์ชั้นล่างแล้วอยู่นอกหัตถบาสนี่สังฆกรรมเสีย

สมัยที่เรียนนักธรรมเอกมีคำถามว่า “ขณะที่พระทำสังฆกรรมกันอยู่ มีเครื่องบินบินผ่านพอดี ถามว่าสังฆกรรมเสียไหม ?” เขาตอบว่าสีมาผูกที่พื้นดิน ไม่ได้ผูกไปในอากาศ ฉะนั้น...สังฆกรรมไม่เสีย

เถรี 16-03-2016 19:24

ตอนผูกพัทธสีมาวัดทองผาภูมิ พระสงฆ์กำลังสวดถอนกันอยู่ ก็มีรถคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอด เปิดประตูแล้วก็มีพระลงมา อดีตเจ้าคณะอำเภอวัดหินแหลมก็ด่าลั่นเลย “ไอ้ห่…จะมาก็รีบเข้ามา ไม่รู้ภาษาเลยหรือวะ ?” ปรากฏว่าเป็นเจ้าคุณปัญญา ...(หัวเราะ)... ลูกน้องด่าเจ้านายตัวเอง คือท่านเดินทางมาไกล จากวัดใต้ขึ้นมาก็ช้ากว่าเวลานิดหนึ่ง ส่วนทางด้านนี้ตรงเวลา อาตมาก็สั่งสวดไปเลย ท่านกลัวว่าถ้าพระเข้ามาแล้วแต่อยู่นอกเขตหัตถบาส จะทำให้สังฆกรรมเสีย ก็ด่าก่อนเลย

เรื่องตลก ๆ ในวงการพระมีเยอะ แบบเดียวกับตอนหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านยังอยู่ ท่านไปงานที่วัดไร่ขิง คนที่รู้เส้นท่านอย่างพวกอาตมานี่มักจะหาพระเครื่องไปถวายเพราะท่านชอบ คราวนี้พอปิดงานให้โอวาทอะไรเสร็จ งานเขาเลิกแล้วพระก็แยกย้ายกันกลับ เจ้าหน้าที่ก็รีบเก็บที่เพื่อให้เขาตั้งร้านค้า หลวงพ่อท่านก็นั่งส่องพระอยู่ พระที่เป็นเจ้าหน้าที่เข้าไปข้างหลังก็บอก “หลวงตา...เขากลับกันหมดแล้ว มัวแต่ส่องพระอยู่นั่นแหละ” ท่านหันกลับมานี่เข่าอ่อนเลย โห...ท่านแน่เว้ย ดุกระทั่งสมเด็จฯ..!

เถรี 16-03-2016 19:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเขาลงวัตถุมงคลจตุคามรามเทพในกระทู้ร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ เห็นช่อชะเอมจอง อาตมาก็ว่าเก่งว่ะ...รู้จักของ เพราะรุ่นโคตรเศรษฐีสมัยก่อนนี่ราคาหลายหมื่นเลย นี่เอามาออกแค่ร้อยเดียว"

เถรี 17-03-2016 16:00

ถาม : กราบขออนุญาตถามคำถามครับ ?
ตอบ : นั่งพับเพียบได้ไหม ? นั่งขัดสมาธิคุยกับพระเป็นการไม่เคารพ เดี๋ยวก็โดนเหวี่ยง...!

ถาม : ระยะนี้ผมจะนั่งสมาธิหรือไม่นั่งก็มีความรู้สึกเหมือนกัน เลยไม่ค่อยได้นั่ง ไม่ทราบว่าจะเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ให้สังเกตดูว่าเวลาที่นั่งสมาธิหรือไม่ได้นั่ง ที่คุณบอกว่าเหมือนกันนั้น เหมือนกันจริงหรือเปล่า ? ก็คือให้ดูว่าในระหว่างนั้น รัก โลภ โกรธ หลง อะไรกินใจเราได้บ้าง ? นิวรณ์ ๕ กินใจเราได้หรือไม่ ? ใจเราไหลไปในเรื่องระหว่างเพศ เรื่องโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ในเรื่องของการฟุ้งซ่าน ไม่ได้ตั้งมั่นอยู่เฉพาะหน้าเหล่านี้ เป็นต้น

ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น ต่อให้นั่งหรือไม่นั่งก็ราคาเดียวกัน ก็คือจิตใจไม่มีคุณภาพ ถ้าถามว่าเอาอะไรเป็นหลัก ก็ต้องยึดลมหายใจเป็นหลัก คุณจะลืมตาหลับตา เดิน ยืน นั่ง เดิน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ อิริยาบถใดก็แล้วแต่ ให้ใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าตรงนี้ อิริยาบถหลัก ๆ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน จะใช้อย่างไรก็ได้ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งหมด

เถรี 17-03-2016 16:03

ถาม : ถ้าเกิดว่าตอนที่นั่ง ลมหายใจก็ไม่มี ผมไม่รู้จะยึดอะไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจะปล่อย ให้ดูว่าตอนนั้นเราฟุ้งซ่านไหม ? ถ้าหากว่าฟุ้งซ่าน อย่างไรก็รีบวิ่งกลับไปหาลมจะดีกว่า แต่ถ้าไม่ฟุ้งซ่าน สมาธิเราอาจจะทรงตัวระดับใดระดับหนึ่งแล้วไปต่อไม่เป็น ก็ให้นำเอาวิปัสสนาญาณมาคิด ก็คือให้เห็นสภาพร่างกายของเราก็ดี หรือว่าของคนอื่นก็ดี หรือว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลก มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร ดูให้เห็นให้ชัดให้ได้

ถาม : ยกตัวอย่างวิปัสสนาญาณ .... ?
ตอบ : การพิจารณาเพื่อให้เห็นความเป็นจริง ว่าที่พระพุทธเจ้าสอนเรามาว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายนั้น เป็นความจริงหรือเปล่า ? พอเห็นจริงแล้วจะเกิดการเบื่อหน่ายขึ้นมาเอง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่หลอกลวงเราอยู่ตลอด สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าตราบใดที่เรายังไม่เบื่อร่างกายนี้ แสดงว่าการปฏิบัติยังไปไม่ถูกทาง

เถรี 17-03-2016 16:10

ถาม : การช่วยเหลือผู้อื่นดีไหมครับ ?
ตอบ : การช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าการช่วยเหลือก็ควรที่จะมีขอบเขต คือ อย่าให้เสียการปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าเราเอาการช่วยเหลือนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม ก็คือยึดหลักเมตตา แต่ต้องมีอุเบกขาด้วย ถ้าไม่มีอุเบกขาเราก็จะไปเครียด ไปกลุ้ม หรือไม่ก็สงสาร จนกระทั่งต้องช่วยเขาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็คือทำผิด ถ้าทำถูกก็คือต้องพอเหมาะพอดีแก่ตัวเรา

ถาม : ถ้ามีเมตตาประกอบด้วยปัญญา แต่ไม่มีอุเบกขา ถือว่ามีโอกาสโดนหลอกไหมครับ ?
ตอบ : ทุกอย่าง ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกนี้ คุณโดนหลอกตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าเรายึดในหลักของ ศีล สมาธิ ปัญญา โอกาสที่จะโดนหลอกก็น้อยลง จนกว่าเราจะหลุดพ้นจริง ๆ นั่นแหละ ถึงจะไม่โดนหลอก

ถาม : เคยนั่งสมาธิตอนหนึ่ง แล้วตรองดูว่าจริง ๆ แล้วทำไมเราถึงไม่อยากไปพระนิพพาน อยู่ดี ๆ ก็มีพระพุทธรูปสีขาวพูดขึ้นมาว่า ต้องช่วยคนอื่น ตรงนี้เป็นอุปาทานหลอกตัวเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่อุปาทาน แสดงว่าวิสัยเดิมมาทางพุทธภูมิ ตั้งใจจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ ซึ่งก็อยู่ที่เราว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ? ถ้าตั้งใจจะเปลี่ยน ก็ตัดใจลาจากพุทธภูมิ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็จงช่วยเขาต่อไป

ถาม : ถ้าอยู่ตรงนี้สามารถที่จะฝึกเมตตาได้ด้วย ?
ตอบ : การที่คุณจะช่วยเขา สำคัญที่สุดก็คือการช่วยให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง คนที่จะช่วยเขาให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ตนเองก็ต้องพ้นทุกข์อย่างแท้จริงถึงจะบอกทางเขาถูก การที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริงแล้วสามารถบอกทางเขาถูก ก็แปลว่าต้องเรียนรู้ทุกอย่างละเอียดกว่าคนอื่นเขา ก็แปลว่าสิ่งที่บอกไปนั้น คุณต้องทำมากกว่าคนอื่นหลายเท่า

เถรี 17-03-2016 16:13

ถาม : ทุก ๆ คนมีที่บนพระนิพพานจริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจได้มั่นคงก็มี ถ้าไม่ตั้งใจจริงก็ยังไม่มี ทันทีที่จิตของเราเกาะพระนิพพาน จะมีวิมานปรากฏอยู่บนนั้น เพียงแต่ว่าจะอยู่ได้หรือไม่ได้นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถาม : แล้วจะมีที่นั่งไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีวิมานก็ต้องมีอยู่แล้ว

เถรี 17-03-2016 16:17

ถาม : ผมนั่งสมาธิมาก ๆ แล้วจะได้คำสอนว่า คนเราก่อนตายขันธ์ ๕ จะทรมานมาก บางทีจะทำให้จิตใจเรามัวหมองได้ แต่การนั่งสมาธินาน ๆ จะทำให้เราอดทน เคยชินกับความเจ็บปวด ตรงนี้จริงประการใดครับ ?
ตอบ : เกือบจะถูก การนั่งสมาธิถ้าทำถูกจริง ๆ อาการเกี่ยวกับทุกขเวทนาของร่างกายจะไม่เกิดขึ้นเลย

ถาม : ไม่เกิดขึ้นเพราะว่า ?
ตอบ : เพราะว่าสมาธิพอทรงตัว จิตกับประสาทแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการทางร่างกาย ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น พอถึงเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น ถ้าจิตอยู่กับสมาธิก็แปลว่าจิตกับประสาทแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการเจ็บป่วยทางร่างกาย ฉะนั้น...อาการกระวนกระวายก็ไม่มี ไม่ใช่ว่าไปทนจนกระทั่งเคยชินกับความเจ็บปวดแล้วถึงเวลาก่อนตายเราเลยทนได้ นั่นคนละเรื่องกัน เป็นความเข้าใจผิด เพราะถ้ายังทนได้คุณก็ยังไม่ตาย..!

เถรี 17-03-2016 16:24

ถาม : ตอนนี้ในระหว่างวันพยายามเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพราะเห็นผลมาก ๆ ในการดูจิตตนเอง ดูลู่ทางที่เราจะไม่ไปข้องแวะ แล้วที่พระอาจารย์บอกว่า ถ้านั่งสมาธิแล้วมีอาการเจ็บปวดต่าง ๆ แสดงว่าสมาธิยังไม่รวมตัว ก็ควรจะไปฝึกนั่งสมาธิใหม่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : การที่คุณปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ที่ว่ามาเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าไม่ได้เข้าถึงอย่างแท้จริงเลย สติปัฏฐาน ๔ ที่เข้าถึงอย่างแท้จริง คือ ทุกขณะจิตจะรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ จะปล่อยวางทุกอย่างหมด ทำหน้าที่ของตนเองเฉพาะหน้าให้ดีที่สุด ทำแบบคนมีวันนี้วันเดียว ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีก็ไม่ได้ไปห่วงใยกังวล เพราะพร้อมที่จะไป ฉะนั้น...สิ่งที่คุณว่ามา ถ้าเรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ ก็คงแค่ระดับ ก.ไก่ เท่านั้น

ฉะนั้น...ทำอย่างไรที่สติปัฏฐานของเราจะเป็นไปโดยที่ไม่เห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา ไม่เห็นว่าร่างกายคนอื่นเป็นของเรา ไม่เห็นว่าทุกอย่างในโลกนี้เป็นของเรา


ถาม : จริง ๆ ผมก็ไม่ได้แค่มองที่ภายนอก เห็นธาตุก็ไม่มีตัวตน ก็เป็นแค่ธาตุ กับตัวเราเองผมก็มีอัตตาว่า ผมจะทำอะไรเพื่ออะไร ?
ตอบ : ก็ลักษณะเดียวกันนั่นแหละ คือคุณเห็น แต่การที่เห็นนั้น คุณสามารถที่จะละวางได้ไหม ? เป้าหมายจริง ๆ คือการละวาง ไม่ใช่การเห็น

ถาม : พอวางก็ไม่อยากจะช่วยใคร ?
ตอบ : คุณทำให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต มีแต่จะทุ่มช่วยเขาสุดตัวมากกว่า ค่อย ๆ ทำไป ผิดบ้างถูกบ้าง เดี๋ยวถูกมากกว่าผิดก็ดีขึ้นไปเอง

เถรี 17-03-2016 19:01

ถาม : เพื่อนผมเขาเคยไปเดินจงกรมในสถานที่สองแห่ง เขารู้สึกว่าการเดินจงกรมต่างกัน มีที่หนึ่งที่เดินจงกรมแล้วเห็นพื้นเป็นแก้ว เห็นอะไรเป็นแก้วไปหมด ไม่ทราบว่าสถานที่มีผลต่อการเดินจงกรมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เฉพาะเดิน การปฏิบัติธรรมจะในอิริยาบถไหนก็ตาม สถานที่มีส่วนสำคัญมาก พระพุทธเจ้าตรัสถึงสถานที่อันเป็นสัปปายะ ก็คือต้องเหมาะสมกับการปฏิบัติของแต่ละคน

ถาม : ก็คือ ถ้าสถานที่ดีก็มีผลต่อการปฏิบัติ ?
ตอบ : จะช่วยสนับสนุนให้เรากำลังใจทรงตัวได้ง่ายขึ้น หลังจากกำลังใจทรงตัวแล้ว เราจะเอาไปทำอะไรค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง

เถรี 17-03-2016 19:43

ถาม : คนเราเวลาอ่านข่าวแล้ว รับสิ่งนั้นเข้ามาในใจ มีบาปกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าสภาพจิตของเขาปรุงแต่งไปในทางไหน ถ้าไป โกรธ เกลียด อาฆาตแค้น คนอื่นก็มีโทษกับตัวเอง แต่ถ้าเกิดสลดสังเวช เห็นว่าธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าสภาพของโลกอย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ก็กลายเป็นดีไป ต้องดูว่าเขาปรุงแต่งไปในทางไหน

ถาม : ถ้ารักชอบเกลียดชัง ?
ตอบ : ถ้าหากว่ารักชอบเกลียดชัง เท่ากับว่าเราสร้างสิ่งไม่ดีให้เกิดขึ้นในใจของเราเอง เขาเรียกว่ามโนกรรม เป็นส่วนของบาปกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ถาม : ส่งผลอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีแต่เราไปหลีกหนีเสียเพราะว่าเราเกลียด เราไม่ชอบใจ เราก็เสียประโยชน์ของเราเอง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เราไปรับเข้ามา ก็ฟุ้งซ่าน ยึดติดเอง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:46


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว