กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3952)

เถรี 25-12-2013 16:33

ถาม : พระอาจารย์ไม่ไปนำม็อบกับเขาหรือครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม เพื่อที่จะเอาความเด่นความดังเฉพาะตัว ถือว่าเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก เพราะว่าอาศัยพระพุทธศาสนาเป็นบันไดเหยียบขึ้นไปเพื่อความเด่นของตัวเอง

พระเรามีหน้าที่เตือนสติเมื่อโยมจะเลยธง ไม่ใช่มีหน้าที่พาโยมวิ่งจนเลยธง เอาไว้เดี๋ยวพอถึงสมัยศาสนาของท่าน ก็คงจะมีคนประท้วงกันตลอด เพราะท่านมาสายพุทธภูมิเหมือนกัน

บ้านเราเล่นการเมืองกันแบบไร้สติ ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นบ้าน จะเป็นสังคม บ้านก็มีกฎเกณฑ์ของบ้าน สังคมก็ต้องมีกฎเกณฑ์ของสังคม จึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็ใช้กฎหมู่เข้าว่า กฎหมู่เป็นนิสัยของสัตว์เดรัจฉานที่ยังทิ้งไม่หมด เคยเห็นหมารุมกัดตัวอื่นไหมเล่า ?

ในเมื่อเราพัฒนาจนถึงระดับเป็นมนุษย์แล้ว แต่ยังเอานิสัยของสัตว์มาใช้อยู่ ก็แปลว่าไม่ได้พัฒนาก้าวไกลไปจากสภาพเดิมเท่าไรนัก ทุกอย่างมีกฎเกณฑ์ มีกติกาอยู่ แพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ เขาจะบริหารเฮงซวยห่วยแตกขนาดไหน ก็เก็บเอาไว้ ถึงเวลาก็เอาไปอภิปรายกันในสภา ชนะไม่ได้เพราะเขามีเสียงข้างมาก ก็พยายามที่จะแสดงหลักฐานให้ปรากฏแก่ชาวบ้านเขา ถึงเวลาชาวบ้านเขาก็จะรู้เองว่าควรจะเลือกใคร ต่อให้ประชาธิปไตยบ้านเราแย่ขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าในสภาพปัจจุบันนี้ สภาพปัจจุบันนี้ถามว่าถ้าชนะแล้วจะให้ใครเป็นนายกฯ ? จะให้นายหัวสุเทพเป็น ? ไปถวายคืนพระราชอำนาจ แล้วในหลวงท่านบอกหรือว่าท่านจะรับ สิ้นสติกันชัด ๆ..!

บ้านเราส่วนใหญ่แล้วขาดสติ เฮไปตามข้อมูลที่ไม่ได้รับการกลั่นกรองไว้ นักการเมืองทุกคนบอกความจริงเราไม่ถึงครึ่ง เรื่องที่เหลือก็คือที่เขาต้องการให้เป็นไปตามความต้องการของเขา แล้วเราก็เอาไปทุ่มเท เย้ว ๆ ถามว่าผลประโยชน์ตกอยู่แก่ประเทศชาติหรือเปล่า ? สมัยก่อนบ้านเราเป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย ตอนนี้เป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียน นั่นแหละ..ก็ที่ไปเย้ว ๆ อยู่นั่นแหละ ตัวถ่วงเศรษฐกิจดีนัก ในเมื่อเศรษฐกิจไปไม่ได้ แล้วประเทศชาติจะไปรอดได้อย่างไร ?

เถรี 25-12-2013 16:46

ถาม : ถ้าเราปล่อยเขาไปเขาไม่ทำบ้านเมืองล่มจมหรือครับ ?
ตอบ : นั่นคุณคาดว่า..เรื่องเกิดหรือยัง ? พวกที่ทำให้บ้านเมืองฉิบหายล่มจม ก็คือพวกที่ขายทรัพย์สิน ปรส.ไปราคาถูก ๆ ให้ต่างชาติ แล้วจนป่านนี้โดนดำเนินคดีหรือเปล่า ? ปัจจุบันนี้ก็ไปนำม็อบอยู่นั่นแหละ นั่นฉิบหายมากที่สุด เห็นชัดเจนที่สุด

นักการเมืองบ้านเราเล่นการเมืองแบบสาดโคลนใส่กัน ประเภทถ้ากูชั่วมึงก็เลว เห็นว่ามีสมัยของท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์นี่แหละที่เล่นแบบสุภาพสตรี แล้วก็มาเห็นความงามของการเมืองก็ช่วงผู้ว่าฯ สุขุมพันธ์ แข่งขันกับพลตำรวจเอกพงศพัศ ดูงามอยู่ช่วงแรก พอตอนท้ายอีกพรรคกลัวสู้ไม่ได้ ก็ถล่มกันด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ให้ชาวบ้านเขาตาลีตาแหกเข้าใจว่าเป็นจริง

เพราะฉะนั้น..บ้านเราจะพัฒนาให้เทียมประเทศอื่น ๆ ได้ยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วถือมงคลตื่นข่าว ในเมื่อถือมงคลตื่นข่าว จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อุตส่าห์เห็นเขาแข่งกันแบบสุภาพบุรุษ หาเสียงโดยที่ไม่โจมตีใคร แต่พอยกสุดท้ายดูท่าจะไปไม่รอด ก็กลับไปใช้วิธีเดิม ต้องบอกว่าน่าเสียดาย กลายเป็นขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปเป็นบ้องกัญชาเหมือนเดิม ไม่ได้อะไรดีขึ้นเลย

เถรี 25-12-2013 16:56

ตั้งแต่ปฏิวัติปี ๒๕๔๙ มาจนป่านนี้ ประเทศเราถดถอยมาตลอด โอกาสที่จะเดินหน้าแทบไม่มีเลย เพราะรัฐธรรมนูญสกัดไว้หมดทุกทาง เนื่องจากคนร่างรัฐธรรมนูญเต็มไปด้วยความอคติ ไม่มีความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทุกคนมาต้องโกง ต้องเลว ก็เลยร่างเงื่อนไขที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้ แล้วโดยเฉพาะที่ผิดหลักนิติธรรมที่สุดก็คือ ไปเอาความผิดย้อนหลัง

มีกฎหมายประเทศไหนบ้างที่เอาความผิดย้อนหลัง จะเอาที่ไหนมา ตราบใดที่ไม่มีกฎเกณฑ์ก็แปลว่าทำแล้วไม่ผิด มีกฎเกณฑ์เมื่อไรแล้วทำถึงจะผิด แต่นี่เขาเอาความผิดย้อนหลัง ก็แปลว่าหลักนิติธรรมที่ทั่วโลกเขายึดถือมา ประเทศเราไม่ได้ยึดเลย เพราะฉะนั้น..จะให้ประเทศชาติสุขสงบย่อมเป็นไปไม่ได้หรอก เริ่มต้นก็หลงทางแล้ว ก็ดูสิ..ยอมกันไหมนั่น ?

ทั่วโลกไม่มีใครยอมรับเผด็จการ แต่เขากลัวว่าผลพวงของเผด็จการจะสูญหายไป แล้วทุกวันนี้อย่างพวกศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติเห็น ๆ ถูกละ..คุณบอกว่าคุณเอาขึ้นมาถ่วงดุล แต่คราวนี้อย่าลืมว่าผู้แทนประชาชนทั้งประเทศ เขาคัดกรองมาแล้วในรัฐสภา แล้วยังไปคัดกรองซ้ำในวุฒิสภาอีก คนทั้งหมดทั้ง ๕๐๐ - ๖๐๐ คน ช่วยกันพิจารณามา เทียบกับคนแค่ ๓ - ๕ คน ใครจะรอบคอบกว่า ? บอกได้คำเดียวว่าสงสารในหลวง

ถ้าเป็นนิสัยแบบสมัยก่อนของอาตมาก็ฟ้าผ่าตายหมดแล้วพวกนั้น..! เสียดายสมัยนี้ทำไม่ได้ กำลังเย้ว ๆ อยู่ ให้ดำเป็นตอตะโกสัก ๗ - ๘ ศพ ดูสิใครจะนำขบวน นำอีกผ่าอีก พูดแล้วคัน เดี๋ยวทำจริง ๆ แล้วอย่าดันมีใครสวมรอยนะ เดี๋ยวตูซวยเอง..!

ถึงได้ถามว่าปัจจุบันเขาต่อต้านอะไรกัน ต่อต้านพรบ.นิรโทษกรรม อาตมาเห็นด้วย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คนทำต้องมีความผิด ถ้าไม่มีความผิดก็ไม่เกิดความเข็ดหลาบ แล้วเดี๋ยวก็ไปทำใหม่ แล้วปัจจุบันเขาต่อต้านอะไรกัน ? ถามดูสิ..มีจุดมุ่งหมายไหม ? ที่เย้ว ๆ อยู่นั่นทำอะไรกัน ล้มทักษิณ ทักษิณอยู่ที่ไหน ? ออกจากประเทศไปตั้งชาติหนึ่งแล้ว แล้วถามว่าโค่นล้มระบอบทักษิณ ระบอบทักษิณหน้าตาเป็นอย่างไร ? มีใครอธิบายให้อาตมาฟังได้บ้าง ?

ถ้าบอกว่าระบอบทักษิณโกงกิน แล้วโรงพัก ๓๙๖ แห่ง เสาโด่เด่นั่นไม่โกงเลยใช่ไหม ? ระบอบทักษิณเผด็จการ แล้วที่เอาทหารมาฆ่าประชาชนเกือบร้อยศพนั่นเรียกว่าอะไร ? สรุปแล้วก็โจรร้องให้จับขโมย แล้วก็ดันมีคนไปเชื่อด้วย ฟังแล้วเครียดเปล่า ๆ

เถรี 25-12-2013 17:06

ถาม : เอาตอนจบดีกว่าครับ ผลจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อเช้าถึงได้บอกว่าให้ทุกคนช่วยกันอุทิศส่วนกุศลให้นายหัวสุเทพ เผื่อแกจะหาบันไดลงได้เจอ ตอนนี้ใกล้เหวไปทุกทีแล้ว ถ้าเขาถอยเสียตั้งแต่ทางรัฐบาลประกาศล้มเลิกการพิจารณาเกี่ยวกับ พรบ.นิรโทษกรรมทุกฉบับ จะเป็นจังหวะที่สวยที่สุด การเลือกตั้งครั้งต่อไปนี่เพื่อไทยหืดจับแน่นอน ดีไม่ดีคะแนนเสียงทั่วประเทศหดไปเกินครึ่ง

แต่คราวนี้นายหัวแกเล่นเลยธง ชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันเยอะ เรื่องชาวบ้านเดือดร้อนนี่เขาจำนานนะ เขาจำนานพอ ๆ กับไปหลอกหลอนว่าระบอบทักษิณจะยึดประเทศไทย แต่เขาเห็นแต่เสื้อเหลืองยึดสนามบิน แล้วตอนนี้นายหัวก็ทำให้รถติดทั้งกรุงเทพฯ ปกติถ้าออกจากท่าขนุน ๖ โมงเช้า ไม่เกิน ๑๐ โมงต้องมาถึงที่นี่ วันก่อนอาตมาถึงตอน ๑๑ โมงครึ่ง

ถึงบอกว่าโชคดีที่รัฐบาลนี้เขาไม่ให้ทหารไปจัดการ ส่วนไหนที่เขาทำถูก เราก็ว่าถูก ส่วนไหนที่เขาทำผิด เราก็ว่าผิด แต่ปัจจุบันนี้เขาสามารถพูดขาวเป็นดำ พูดดำเป็นขาว ก็ต้องบอกว่าพลาดกันคนละยก คุณทักษิณประเมินผิด คิดว่าฝ่ายค้านปลุกระดมชาวบ้านไม่ขึ้น ก็เล่นสุดซอยเลย ส่วนคุณสุเทพก็ประเมินผิด ได้คืบจะเอาศอก ตอนนี้หาบันไดลงไม่ได้

คุณทักษิณประเมินผิด แกก็นอนกระดิกเท้าอยู่ดูไบ..จะไปเดือดร้อนอะไร แต่คุณสุเทพประเมินผิดนี่คนจ่ายอ้วก เพราะว่าวันก่อนคนทางทองผาภูมิมาเป็นคันรถ บอกว่าได้ไปคนละพัน แล้วลองนึกดูว่าม็อบ ๑๐,๐๐๐ คน จะรับไปเท่าไร แล้วถ้า ๑๐๐,๐๐๐ คนล่ะ..ใครจ่าย ?

เถรี 25-12-2013 17:10

ถาม : เขาไปด้วยหัวใจบริสุทธิ์ครับ
ตอบ : มีกี่คน ?

ทุกอย่างมีรายจ่ายหมด ในเมื่อทุกอย่างมีรายจ่าย สำคัญที่สุดคือรายจ่ายของประเทศชาติ การเมืองไม่นิ่ง ชาวต่างชาติก็ไม่มาลงทุน ในเมื่อไม่มาลงทุน เศรษฐกิจก็ไม่โต มีแต่จะถอยหลังไปเรื่อย โลกปัจจุบันไปเร็วมาก เรายืนอยู่กับที่ก็เท่ากับถอยหลังแล้ว

ก่อนหน้านั้นอาตมาว่าพม่าบริหารประเทศภาษาอะไร ปี ๒๕๒๔ ชายแดนด่านเจดีย์สามองค์ เงินไทย ๒ บาท แลกพม่าได้ ๑ จั๊ต ปี ๒๕๕๖ เงินไทย ๑ บาท แลกพม่าได้ ๒๗ จั๊ต แล้วคุณลองคิดดูว่า ปัจจุบันของเราจะถอยหลังไปอีกเท่าไร ไม่ต้องไปคิดถึงสมัยที่ ๑ ดอลลาร์แลกได้แค่ ๒๐ บาท ปัจจุบันนี้รั้งให้อยู่ในระดับไม่เกิน ๓๐ บาทนี่ก็แย่แล้ว

เถรี 25-12-2013 17:17

ถาม : ต้องวางกำลังใจอย่างไรครับ พระนิพพานก็อยากได้ เงินก็อยากได้ ?
ตอบ : หาเงินก่อน ถ้าตายแล้วไปพระนิพพานไม่ต้องใช้ ทุกคนก็ทำอย่างนั้นกันทั้งนั้นแหละ ถึงบอกว่าทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด จบแล้วก็จบกัน ต้องบอกว่าเงินเป็นสิ่งสมมติ สร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างความเดือดร้อนให้กับเรา

เถรี 25-12-2013 17:22

ถาม : ถ้าคนรอบตัวติดอยู่กับสมมติอยู่ แล้วเราจะทำอย่างไร ?
ตอบ : เราก็สมมติตามเขาไป เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าคุณอย่าเผลอไปติดในสมมติก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าวางกำลังใจแบบนั้น ก็เหมือนกับไร้ใจ ไม่สนอะไรเลย ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีน้อง ไม่มีลูก ไม่มีอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : มีหน้าที่ ถ้าคุณทำหน้าที่ของคุณดีที่สุดแล้ว แมวที่ไหนจะตำหนิได้ เราอยู่กับโลกก็ต้องเคารพสมมติทางโลก แต่อย่าไปยึดติดกับโลกก็พอ

ถาม : ยากครับ แค่เห็นลูกเดือดร้อนก็ไม่ไหวแล้ว ?
ตอบ : ไม่ยาก..ก็เกิดอีกไม่กี่ชาติ..!

เถรี 25-12-2013 17:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้คนได้ยินจราจรเป่านกหวีด จะรู้สึกผวาคิดว่าม็อบมา พัฒนาเร็วนะ จากมือตบมาเป็นตีนตบ คราวนี้มาเป็นนกหวีด ต่อไปไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นมาหน่อย ขายนกหวีดได้ ช่วยให้ดีขึ้นมานิดหนึ่ง แต่พาบรรลัยไปเสียเยอะ..!"

ถาม : คนที่ไปร่วมชุมนุมก็มีกรรมสิครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าไปทำอะไรกัน ช่วยกันสุมฟืนใส่ไฟกันไปเรื่อย ถ้าไปด้วยโทสะก็ลงนรก ถ้าไปด้วยโมหะก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ถาม : แล้วถ้าคนข้างถนน เขาไปด้วยกันเพื่อไปกินฟรีละครับ ?
ตอบ : คุณเป็นคนให้เขากินหรือ ?

ถาม : เปล่าครับ
ตอบ : ก็มองสิ..มีโอกาสเราก็กินบ้าง..!

ถาม : ผมเห็นคนจตุจักรบอกว่า เขาไปเพราะเขาไปกินฟรี ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ขอแค่กินข้าวนะ ไม่ขอเงินด้วยนี่นับว่าเกรงใจแล้ว

เถรี 25-12-2013 17:28

ถาม : ปีหน้าคนเต็มบ้านวิริยบารมีแน่ เพราะรถไฟฟ้ามาถึงแล้ว ?
ตอบ : ไม่แน่ รถไฟฟ้าจริง ๆ ราคาแพงนะ ความพิลึกพิลั่นทุเรศทุรังของบ้านเราอีกอย่างหนึ่งก็คือทางด่วน ยิ่งนานไปยิ่งแพง ของที่ใช้เก่ามีแต่ราคาตกไปเรื่อย แล้วทำไมบ้านเรายิ่งนานไปยิ่งแพง เพราะพวกสัมปทานต่าง ๆ ในบ้านเราเอื้อประโยชน์ อนุญาตให้ทำ แล้วดูสิว่าจะเอาประเทศที่ไหนอยู่ ถึงบอกว่าอยู่ในลักษณะของแม่ปูสอนลูกปู บอกว่าเดินตรง ๆ สิลูก แล้วแม่ก็เดินคดเป็นงูเลื้อยเลย

เถรี 25-12-2013 17:45

หลังจากที่พระอาจารย์เทศน์สั่งสอน มีโยมทำบุญถวายค่ากัณฑ์เทศน์ ท่านจึงกล่าวว่า "ไม่ได้ต้องการกัณฑ์เทศน์ ต้องการให้เอาสิ่งที่ฟังไปทำ ไม่ใช่ฟังด้วยความปลื้มใจว่ากูรู้เยอะขึ้น ๆ แต่กูก็ไม่เคยเอาไปใช้สักที..!"

เถรี 26-12-2013 11:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราตรรกะวิบัติอย่างไรไม่รู้ พูดง่าย ๆ ว่าอคติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ถึงได้ ๒ มาตรฐานตลอด เราจะเห็นอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า ที่ว่าความปราศจากอคติ คือไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไม่ลำเอียงเพราะหลง เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นใหญ่ ไม่อย่างนั้นแล้วรักษาความยุติธรรมไม่ได้

ไปนึกถึงท่านฮิตเลอร์ หลวงพ่อวัดท่าซุงถามท่านว่า ถ้าท่านลงมาเกิดในยุคปัจจุบันนี้คิดจะทำอะไร ท่านบอกว่า “ตายเกินครึ่ง..!” เราไปดูประเทศจีนว่าขนาดเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเปิดให้คนสามารถถือครองทรัพย์สินได้ เขาก็กอบโกยกันชนิดไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น จะโดนลงโทษประหารชีวิตไปเท่าไรเขาก็ไม่สนใจ คนที่ตายก็ตายไป คนที่อยู่ก็โกงกินกอบโกยกันต่อไป

เรามานึกถึงสิงคโปร์ ประเทศเล็ก ๆ นิดเดียว ถึงขนาดต้องใช้วิธีเฆี่ยนประจานเพื่อป้องกันพวกฉี่ในลิฟต์ อะไรจะขนาดนั้น แล้วดูอย่างของยุโรปอเมริกา ที่กฎหมายของเขาศักดิ์สิทธิ์กว่าเรา ก็ยังมีคนโกงเป็นปกติ เพียงแต่ว่าโกงแบบแนบเนียนขึ้น จับได้ยากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่เขาถือว่าเป็นอารยะขนาดนั้น บางประเทศเหมือนอย่างกับว่าเขาตั้งใจเปิดธนาคารให้คนฟอกเงินโดยเฉพาะ ก็เลยเห็นว่าของเขาที่ถือว่าเจริญ ก็เป็นต้นแบบ ๒ มาตรฐานเห็น ๆ

กฎหมายมีเอาไว้สำหรับบุคคลที่เกรงกลัว ลักษณะที่มีจิตละอายชั่วกลัวบาป ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ พระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้ว่า หิริโอตตัปปะเป็นโลกบาลธรรม คือธรรมในการคุ้มครองรักษาโลก ถ้าคนเรามีหิริโอตตัปปะ เกรงกลัวต่อผลของความชั่ว ไม่กล้าทำความชั่ว ทุกอย่างก็จบ คราวนี้พอขาดหิริโอตตัปปะ ก็ทำทุกอย่าง ก็เลยกลายเป็นว่า มีกฎหมายมาขนาดไหนเขาก็จะทำของเขา"

เถรี 26-12-2013 11:50

ถาม : ถ้าเราไปแต่ก็ไม่ได้ยินดีกับกิจกรรมทั้งหมดของการชุมนุม จะเป็นการโมทนาบาปไหมคะ ?
ตอบ : อาตมาก็ไม่ได้ออกรบทุกครั้งนะ มีอยู่งานหนึ่งมีหน้าที่ส่งเสบียงเท่านั้น ยังโดนแทบอ้วกเลย ถ้าไม่ยินดีจะไปกับเขาทำไม ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “นี่แหละ..พวกส่งเสบียง สมน้ำหน้ามัน..!”

เถรี 26-12-2013 11:59

พระอาจารย์กล่าวสอนว่า "เวลาแม่ชีอยู่กับพระ ให้ถือหลักของพระไว้ว่า "ไม่แน่ใจอย่าทำ" ศีลของพระเขามีว่า ต้องอาบัติเพราะไม่ละอาย ต้องเพราะไม่รู้ ต้องเพราะสงสัยแล้วขืนทำ ต้องเพราะสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ต้องเพราะสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ต้องเพราะลืมสติ ฉะนั้น..ให้ถือหลักการนั้น สงสัยก็อย่าไปทำ เอาให้แน่ใจแล้วค่อยทำ ไม่อย่างนั้นพลาดขึ้นมาแล้วได้ไม่คุ้มเสีย

ส่วนใหญ่บุคคลที่อยู่กับพระไประยะหนึ่ง แล้วมักจะเกิดความเคยชิน พอเกิดความเคยชิน คำว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “อย่างไรก็ได้” เกิดขึ้น ก็จะลำบากมาก เพราะพาให้เกิดโทษได้ง่าย

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปะว่า ให้เกรงใจในภิกษุทั้งเป็นผู้เก่า ผู้ปานกลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า จะดีจะชั่วอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยสิ่งที่เขาห่มอยู่ก็คือธงชัยพระอรหันต์ เขาเอาผ้าเหลืองไปห่มต้นโพธิ์ เอาผ้าเหลืองไปห่มตอยังยกมือไหว้ได้ โบราณเขาถึงได้ใช้คำว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" เอาปลอดภัยไว้ก่อน แต่คราวนี้เราอยู่ในเหตุการณ์ บางอย่างถ้าจะเอาอย่างนั้นก็เสียหาย ทำไปแล้วก็ขอขมาพระเสีย"

เถรี 26-12-2013 12:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเราสังเกตเป็น จะเห็นว่าท่านที่สร้างบุญใหญ่มักจะได้ผลตอบแทนเร็วมากเลย อย่างท่านเจ้าคุณธงชัยก็สร้างมณฑปถวายหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร คราวนี้ว่าหลายท่านก็ไปมองด้านอื่นโดยที่ไม่ได้มองว่าบุญใหญ่ที่ท่านสร้างไว้คืออะไร ไปมองว่ามีเส้นมีสายให้ยุ่งไปหมด หลวงพี่อาจินต์ได้พระครูชั้นเอก แต่ได้ในฐานะที่เป็นธรรมทูตอยู่ต่างประเทศ ได้ในนามของวัดไทยที่เยอรมัน ไม่ใช่ได้ในนามวัดท่าซุง ส่วนใหญ่ระยะหลังเขาจะให้พระธรรมทูตต่างประเทศมาก เพราะว่าไปทำงานใหญ่ให้กับพระศาสนา"

เถรี 27-12-2013 19:04

ถาม : เมื่อวานมีท่านผู้รู้บอกว่า อันนี้เป็นคาถาพระพุทธเจ้า เราควรที่จะสวด แต่ว่าไม่ทราบว่ามีความหมายว่าอย่างไร สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด ?
ตอบ : มาจากบทปฏิจจสมุปบาท แสดงซึ่งความสัมพันธ์ของทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าต้องมีเหตุ ผลถึงจะมี ถ้าเราสร้างเหตุอย่างนี้ คือเอาม็อบไปเป่านกหวีด ผลก็คือชาวบ้านเขาเดือดร้อน ถ้าชาวบ้านเขาเดือดร้อนขึ้นมา เวลาเลือกตั้งคะแนนคุณก็จะได้น้อย จะสัมพันธ์กันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ในเมื่อคะแนนคุณได้น้อย คุณก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็แปลว่าจะต้องแพ้ต่อไปอีก ๔ ปี..!

แต่คราวนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะอวิชชา คือความไม่รู้นั้นมีอยู่ จึงเกิดสังขาร การปรุงแต่งขึ้นมา ในเมื่อสังขาร การปรุงแต่งเกิดขึ้น วิญญาณคือความรู้สึกจึงเกิด เมื่อวิญญาณเกิดขึ้น ก็ต้องมีสิ่งที่อาศัยคือนามรูปหมายถึงร่ายกายนี้ ในเมื่อนามรูปเกิดขึ้น ก็จะมีสิ่งที่ช่วยในการสัมผัส เรียกว่า ผัสสะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไล่ไปเรื่อยจนท้ายสุดก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย พระองค์ท่านจึงตรัสว่า ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็ต้องตัดตั้งแต่อวิชชา ทุกอย่างก็จะจบ


ถาม : ท่านช่วยให้คำจำกัดความของอวิชชา ?
ตอบ : อวิชชาคือความรู้ไม่ทั่ว รู้ไม่หมด อย่างเช่น ตาเห็นรูปแล้วไปนึกคิดปรุงแต่งทั้ง ๆ ที่รูปนี้เป็นโทษ เราไม่รู้ เราก็เลยไปคิดต่อ อย่างเช่นว่า สวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ แล้วก็จะเกิดอาการว่า ชอบใจไม่ชอบใจ ชอบใจเป็นราคะ ไม่ชอบใจเป็นโทสะ กิเลสกินเราทั้งคู่ ฉะนั้น..ถ้าเราสักแต่ว่าเห็น ก็จะทำอันตรายเราไม่ได้ ทุกอย่างก็เหมือนกัน หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส เหมือนกันหมด

ถาม : ก็เหมือนกับไม่ได้สอนให้คนรู้จักคิดเป็นขั้นตอน ให้ตัดเลย สักแต่ว่าเห็น ?
ตอบ : ท่านสอนให้คิดเป็นขั้นตอน มีทั้งหมดอยู่ ๑๒ ขั้นตอนจนกระทั่งถึงเกิด แก่ เจ็บ ตายในปัจจุบัน แล้วท่านให้คิดย้อนกลับไปหาต้นว่าจะถึงความดับได้อย่างไร แต่คราวนี้พวกรายละเอียดมีเยอะ อธิบายกันหนังสือเป็นเล่ม ๆ ฉะนั้น..เข้าอินเตอร์เน็ตไปค้นหาคำว่าปฏิจจสมุปบาทจะเจอคำอธิบายเอง

ถาม : พระพุทธเจ้าท่านสอนปฏิจจสมุปปบาท หรือสอนอริยสัจ ๔ ?
ตอบ : ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนในตอนนั้น แต่ว่าทั้งหมดท้ายสุดก็คือความสิ้นทุกข์ ก็แปลว่าต้องย้อนกลับมาหาอริยสัจทั้งนั้น เพราะแต่ละคนกำลังใจไม่เท่ากัน สอนเหมือนกันจะรับไม่ไหว คนนี้ความรู้ว่าใกล้จะจบแล้วก็สอนความรู้ระดับปริญญาเอกไป คนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นก็ ก.ไก่ ข.ไข่ไป

ถาม : อย่างนั้นขอถามให้ตรง ๆ ว่าอย่างโยมนี่ต้องศึกษาแบบไหนคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าจ้ะ เพราะฉะนั้น..ตอบไม่ได้ โยมต้องไปศึกษาเอาเอง ชอบตรงไหนก็ทำตรงนั้น

เถรี 27-12-2013 20:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่แก่ก็ร่วงโรยไป คนที่กำลังจะเกิดก็โผล่มา วนเวียนไปเรื่อยไม่รู้จบ ถ้าเรามองเห็นแล้วจะรู้สึกว่าน่ากลัว เหมือนคนว่ายน้ำอยู่กลางทะเลไม่เห็นฝั่ง ตะกายไปเรื่อย จมตายแล้วก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ตะเกียกตะกายต่อไป รู้สึกเหมือนอยู่ในนรกอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะในนรกก็ตาย ๆ ฟื้น ๆ เพียงแต่ในนรกเร็วกว่า ตายไปไม่กี่อึดใจก็ฟื้นแล้ว แต่ในโลกมนุษย์ใช้เวลา ๘ - ๙ เดือน แล้วยังต้องตะเกียกตะกายทุกข์กันทีเป็นหลายสิบปี"

เถรี 27-12-2013 20:31

ถาม : พระโพธิสัตว์ทำความผิดแล้วยังต้องลงนรกหรือคะ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ท่านลงนรกเป็นปกติ ขึ้นมาเมื่อไรท่านก็ช่วยเขาต่อ

ถาม : แม้ไม่ได้เจตนาหรือคะ ?
ตอบ : ไม่เจตนาก็ผิดโว้ย..! แต่ของท่านนี่บางทีเจตนาเลย เพื่อความสุขของคนหมู่มากท่านก็ตั้งใจละเมิดศีลเลย เพื่อให้คนอื่นเขาไม่เดือดร้อน อย่างเช่นไปวางระเบิดเวทีม็อบอะไรอย่างนี้..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แทบจะไม่ปรากฏ ส่วนใหญ่ท่านละเมิดศีลเพราะคนอื่น คือถ้าในเรื่องของส่วนรวมหรือความเดือดร้อนของบุคคลอื่น เช่น เห็นเขาจะอดตายแต่ตัวเองไม่มีทางอื่นจะช่วยเขา ก็ไปขโมยอาหารมาให้เขาอย่างนี้

เถรี 27-12-2013 20:44

พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมบางท่านว่า "อะไรที่ทำผิดพลาดไปแล้วให้ลืมเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำความดีใหม่ ถ้ามัวไปคิดอยู่ใจของเราจะหมอง ปุถุชนแปลว่าผู้หนาด้วยกิเลส มีความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะบางเวลาไปเจอประเภทคู่เวรคู่กรรม ทำให้พลาดง่ายที่สุด พูดอะไรไม่น่าเชื่อสักหน่อย เราก็ไปเชื่อเขาได้"

เถรี 27-12-2013 21:06

ถาม : เวลาที่เรารวบรวมสมาธิไม่ได้ หรือตั้งใจปฏิบัติธรรมไม่ได้ดี ทำไมจึงมีความรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาด ไม่กล้าตัดสินใจ ทำนองนั้น ? ?
ตอบ : เกิดจากสัญชาตญาณของมนุษย์ทั่วไป ถ้าไม่กลัวก็เป็นพระอรหันต์สิจ๊ะ ความกลัวเนื่องจากไม่แน่ใจว่าผลของการตัดสินใจจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะส่งผลกระทบต่อตัวเราอย่างไร แล้วผลกระทบนั้นอาจจะทำให้เราเดือดร้อนขนาดไหน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยไม่กล้าตัดสินใจ

ถาม : คือวิจิกิจฉาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เรียกว่าวิจิกิจฉาหรอก ต้องบอกว่าเป็นไปโดยสัญชาตญาณการกลัวภัยมากกว่า ตราบใดที่สติ สมาธิ ปัญญายังรวมตัวไม่เข้มข้นพอ ก็จะมีสภาพอย่างนั้นทุกคน เพียงแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยเท่านั้น

เถรี 27-12-2013 21:10

ถาม : เวลาเจอการกระทบทางโลก กรณีหัวหน้างานด่าลูกน้อง ก็มีปัญหาตามมา เราก็มานั่งนึกว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ พอเราฝืนสักพักหนึ่งก็ไม่เถียง พอผลสุดท้ายมานึกว่าเขาพูดไปของเขาอย่างนั้นค่ะ อย่างนี้เรียกว่าหน้าด้านแก้ปัญหาเป็นครั้งคราว หรือถูกแล้ว ?
ตอบ : ถ้าตราบใดสิ่งที่เราพูดยังไม่สามารถส่งผล หรือว่าเป็นอิทธิพลให้เขาเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำได้ ก็อย่าพูดดีกว่า

ถาม : เราก็ทำหน้าด้านไม่ไปใส่ใจ ?
ตอบ : ได้ยินเหมือนกับไม่ได้ยิน จริง ๆ ก็คือหลักการปฏิบัติธรรมขั้นสูงเลย เพียงแต่ว่าได้ยินเหมือนกับไม่ได้ยินนั่นเกิดจากปัญญา แต่เราเป็นลักษณะเหมือนกับหนีปัญหา ถ้าเราสามารถฟังได้โดยไม่กระทบกระเทือนใจเลย สักแต่ว่าเป็นเสียงผ่านหูไปจะดีที่สุด


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:54


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว