ถาม : พระที่อาพาธ หมอและพยาบาลบอกให้ฉันข้าวเย็นได้เพราะว่าจะได้ฉันยาต่อ ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระอาพาธฉันข้าวเย็นได้หรือไม่ ผิดพระวินัยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ทรงอนุญาตแม้กระทั่งภิกษุผู้เฝ้าไข้ เพราะคนเฝ้าไข้บางทีงานหนักยิ่งกว่าคนป่วยอีก ถ้าไม่ได้ฉันอาหารตามมื้อปกติ อาจจะไม่มีกำลังพอดูแลคนไข้ได้ แต่ว่าต้องพอสมควร อาตมาเคยไปนอนอยู่โรงพยาบาลสงฆ์ ปรากฏว่าเขาฉันมื้อแรกตอนตี ๕ มื้อที่สองตอน ๘ โมง มีอาหารว่างตอน ๑๐ โมง มื้อที่สามตอนเพล มื้อที่สี่ตอนบ่าย ๒ มื้อที่ห้าตอน ๕ โมงเย็น มื้อที่หกตอน ๒ ทุ่ม ถ้าอย่างนั้นอย่าฉันเลยดีกว่า อาตมาอยู่ของตัวเองดี ๆ ก็มาเซ้าซี้ “พระหนุ่ม ๆ ฉันมื้อเดียวอยู่ได้อย่างไร ?” ที่สลดใจก็คือแต่ละคนหายป่วยแล้วแต่ไม่ยอมออกจากโรงพยาบาลสงฆ์ เพราะว่ามีโยมไปเลี้ยง ไปถวายปัจจัยกันมาก โดยเฉพาะจะแย่งกันอยู่เตียงข้าง ๆ ประตู เนื่องจากว่าโยมเข้ามาก็เริ่มถวายจากหน้าประตูไปก่อน ท่านเหล่านั้นทะเลาะกับพยาบาลหรือหมออยู่ทุกวัน หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ยอมออก เป็นตายก็ไม่ยอมไป อาตมาทนอยู่ได้ ๓ วันก็ต้องออกไปอยู่วัด ถาม : เคยไปเจอ ๕ เวลามาแล้วเหมือนกัน ? ตอบ : ๕ เวลานั่นเขากินกันเอง โรงพยาบาลเขาเพิ่มแค่ตอน ๕ โมงเย็นให้เพื่อกินยาเท่านั้น |
ถาม : การที่พระนำเอาเงินสงฆ์ คือ เงินที่โยมตั้งใจถวายวัด ไปใช้เป็นเงินส่วนตัว โดยเจตนายักยอก ไม่ทราบว่าเข้าข่ายปาราชิกหรือไม่คะ ?
ตอบ : เจตนายักยอกแค่บาทเดียวก็ขาดความเป็นพระตั้งแต่แรกแล้ว ถาม : แม้กระทั่งเงินสงฆ์ที่เขาถวายมาแล้วเราเอาไปใช้โดยไม่แจ้งสงฆ์ ? ตอบ : แจ้งก็ไม่มีสิทธิ์ เงินสงฆ์ต้องใช้ในงานของสงฆ์เท่านั้น |
ถาม : กราบเรียนถามเรื่องยารักษาโรคเบาหวาน สูตรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ให้ใช้หญ้าแพรก ๑ กำมือ ขมิ้นชันขนาดเท่าหัวแม่มือ มาตำแล้วละลายด้วยน้ำปูนใสให้ได้ปริมาณ ๓๐ ซีซี อยากทราบว่าน้ำปูนใสใช้ปูนแดงหรือปูนขาวละลายน้ำครับ ? และอยากทราบว่าใช้ปูนเท่าไรต่อน้ำเท่าไรครับ ?
ตอบ : น่าจะใช้น้ำปูนคอนกรีตนะ ...(หัวเราะ)... อะไรจะไม่รู้ได้ขนาดนั้น แต่เด็กรุ่นนี้ก็ว่าไม่ได้ เพราะว่าบ้านเรากินหมากกันน้อยแล้ว ให้ใช้ปูนแดงประมาณหัวแม่มือละลายน้ำ ๑ ขัน ทิ้งเอาไว้จนน้ำใสเพราะปูนตกตะกอน แล้วก็เอามาใช้ ปูนแดงที่กินกับหมากนะจ๊ะ ไม่ใช่ปูนขาว..! |
ถาม : การที่ญาติโยมมาเลี้ยงเพลพระที่วัด หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพก็ตักเอากับข้าวที่ตนเองเอามา แจกจ่ายให้บรรดาแขกเหรื่อที่มาในงานของตนเองกลับบ้านด้วย เจตนาเพื่อทำทานแก่คนทั่วไป อยากถามว่ากับข้าวที่เจ้าภาพแจกจ่ายนั้นจะถือว่าเป็นของสงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่เป็นของสงฆ์ เป็นของเจ้าภาพ ของสงฆ์คือส่วนที่เขาถวายพระไป ถาม : อ้าว...เขาเอาไปเลี้ยงเพลนี่ครับ ? ตอบ : เขายกไปวัดเฉย ๆ ไม่ได้ให้พระทั้งหมด เขาตั้งใจจะแจกคนด้วย ส่วนที่ถวายสงฆ์ก็เป็นของสงฆ์ไป ส่วนที่ไม่ได้ถวายสงฆ์เขาจะให้ใครก็เป็นสิทธิ์ของเขา |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่กว่าโยมจะออกจากบ้านก็สาย มาถึงนี่ก็ประดังกันมาตอนใกล้ ๆ เพล แล้วเพลก็เป็นเวลาที่พระจะไปฉัน ถามว่าเวลาอื่นได้ไหม ? ถ้าเคร่งครัดมาก ๆ ก็ควรที่จะตรงเวลา พระท่านมีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว เวลาเพลจึงเป็นเวลาสำคัญของพระ ใครโทรมาตอนเพลอาตมาไม่รับสายเด็ดขาด ขนาดเจ้านายโทรมายังปล่อยให้กริ่งดังจนเลิกไปเอง ท่านเป็นพระก็รู้ว่าผมต้องฉันเพล
ถ้าถามว่าฉันมื้อเดียวสะดวกกว่าไหม ? ก็ต้องปรับกิจวัตรประจำวันกันขนาดใหญ่ เพราะว่าฉันมื้อเดียวก็ต้องฉันตอน ๙ โมง ไม่เกิน ๑๐ โมง แล้วก็ไม่ได้ฉันน้อยกว่าสองมื้อนะ ขอยืนยัน เพราะว่าตอนบวชใหม่ ๆ อาตมาก็ถือธุดงควัตร ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร ข้าวปลาอาหารตักรวม ๆ กัน บาตรเบอร์แปดครึ่ง ข้าวครึ่งบาตร ฉันไม่เหลือเลย ครึ่งบาตรนี่เทออกมาประมาณ ๔-๕ จาน ฉะนั้น..ฉันมื้อเดียวของอาตมานี่ รู้สึกฉันสองมื้อจะน้อยกว่า ตอนไปธุดงค์เดินอยู่ในป่าเดือนหนึ่ง หลุดออกมาเจอบ้านคน ทางด้านรอยต่อระหว่างห้วยขาแข้งกับศรีสวัสดิ์ เป็นแพอยู่ริมน้ำ เจ้าของเป็นเถ้าแก่รับเหมาซื้อปลาจากชาวบ้าน เห็นพระก็ดีใจ นิมนต์ฉัน อุตส่าห์หุงข้าวมา มีหม้อข้าวไฟฟ้าใบเล็กอยู่ น่าจะหุงข้าวได้สักครึ่งลิตร ทำกับข้าวมาหลายอย่าง มีน้ำพริกผักต้ม มีปลาทอด มีต้มยำ เขาก็รอว่าพระฉันเสร็จแล้วจะกินต่อจากพระ อาตมาก็ฉันไปเรื่อย เงยหน้ามาอีกทีข้าวหมดหม้อ..! ถึงได้รู้ว่าชูชกท้องแตกตายได้อย่างไร เดินในป่าเป็นเดือน ร่างกายขาดสารอาหาร ฉันเท่าไรจึงไม่รู้สึกอิ่ม พวกเราเคยฉันเท่าไร ต้องเอาแค่นั้นเลย อย่าไปว่าเพลิน..จะตายเอา ถึงได้ว่าเวลาอ่านในพระธรรมบทว่า ฤๅษีหรือโยคีไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า ๓ เดือน ๖ เดือน อยากเปรี้ยวอยากเค็ม ก็เดินทางเข้ามาในเมือง เข้ามาหาอาหาร นั่นก็คือขาดสารอาหารเยอะ เข้ามาฉันให้มีกำลังแล้วกลับเข้าไปปฏิบัติธรรมใหม่ เจอมากับตัวเองถึงได้รู้ว่า ฉันสองมื้อของอาตมา น้อยกว่าฉันมื้อเดียวเยอะเลย" |
ถาม : ลูกพยายามใช้เวลาสวดมนต์ให้มากที่สุด ลูกจะหนีกรรมได้หรือไม่ ?
ตอบ : แล้วแม่ไม่คิดจะหนีหรือ ? ถาม : อ๋อ..คือเขาแทนตัวเองว่าเป็นลูกครับ ? ตอบ : ถ้าสวดมนต์เป็นจะหนีกรรมได้มาก เพราะว่าการสวดมนต์นั้น อันดับแรก..เกิดสมาธิ สังเกตว่าถ้าสมาธิเคลื่อนจะสวดผิด อันดับที่ ๒..ถ้าเราตั้งใจใช้คำสวดเป็นคำภาวนา ก็สามารถที่จะทรงฌานเวลาสวดได้ ผลที่จะได้รับก็มากขึ้นไปอีก อันดับที่ ๓..ถ้าสามารถยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ขึ้นไปสวดถวายเป็นพุทธบูชาที่ข้างบนโน้น ถ้าตายตอนนั้นก็พ้นกรรมไปเลย อันดับสุดท้าย..ถ้าสามารถแปลออกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร แล้วปฏิบัติตามนั้นก็จะเกิดประโยชน์แก่ตนยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้น..ถามว่าสวดมนต์สามารถหนีกรรมได้ไหม ? ต้องบอกว่าอยู่ที่ตนเองทำได้มากน้อยเท่าไรก็จะหนีกรรมได้มากน้อยเท่านั้น ถาม : นี่ขนาดแค่สวดมนต์อย่างเดียวนะครับ ? ตอบ : ที่ว่า “แค่นี้” คือแค่นี้ของเรา แต่ถ้าทำเป็นก็ได้ผลมาก |
ถาม : ขณะที่ลูกขับรถไปทำงาน ก็ขอขมาพระรัตนตรัยโดยการขึ้นไปกราบพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การยกใจขึ้นไปขอขมาบนพระนิพพานถือว่าเป็นการขอขมาตรงเลย ถ้าทำได้บ่อย ๆ จะดีมาก แต่ต้องระวัง..อย่าให้กำลังใจส่วนใหญ่เกาะข้างบน เพราะจะบังคับร่างกายได้ยาก เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ..! |
ถาม : ที่บ้านมีต้นโพธิ์ขึ้นติดกับครัว ลูกตัดไปหลายครั้งแล้ว จะบาปหรือไม่ ก่อนตัดก็ไหว้ขอขมาแล้ว ?
ตอบ : ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ซึ่งขึ้นในที่ไม่สมควร เราโค่นทิ้งไปได้เลย เทวดาท่านไม่อยู่หรอก เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็จะโดนเขาตัดทิ้ง |
ถาม : ลูกอยากทราบเรื่องการขอพลังแสงทิพย์สมเด็จพระนเรศวรที่วัดวรเชษฐ์ฯ มีจริงหรือไม่ ? ทำเพื่อประโยชน์อะไรคะ ?
ตอบ : เรื่องนี้ต้องไปถามคนที่ทำ อาตมาไม่ได้ทำ ตอบแทนไม่ได้ |
ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ได้ขึ้นไปข้างบนแล้วไม่เจออิสลาม เนื่องจากอะไร ?
ตอบ : เนื่องจากไม่ได้เจอ..! |
ถาม : นรกสวรรค์ของทุกศาสนาคือที่เดียวกัน แล้วผู้ควบคุมนรกสวรรค์ของศาสนาอื่น จะเป็นท่านเดียวกันกับของศาสนาพุทธหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็นรกสวรรค์แห่งเดียวกันทั้งหมด ผู้ดูแลก็เป็นผู้เดียวกัน ถาม : แล้วเรื่องของภาษาพูดใช้ภาษาใจหรือว่าภาษาอะไรครับ ? ตอบ : เราใช้ภาษาใดจะได้ยินเป็นภาษานั้น |
ถาม : บ่อยครั้งที่มีข่าวต้นไม้ออกผลเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ทำให้ชาวบ้านมากราบไหว้แล้วถูกหวยกัน อยากทราบว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรครับ ?
ตอบ : สิ่งที่ถูกต้องคือถูกหวย..! ถาม : อย่างไรครับพระอาจารย์ ? ตอบ : การถูกหวยเกิดจากการที่เราเคยสร้างบุญไว้ การที่เราได้ลาภมาจากการถูกหวย ต้องเคยสร้างทานบารมีมาในอดีต แต่คราวนี้ไปให้ผลตอนไปกราบไหว้สิ่งประหลาด ๆ เหล่านั้นพอดี ถ้าเป็นเพราะกราบไหว้สิ่งเหล่านั้นแล้วถูกหวย ก็ต้องถูกกันทั้งประเทศไปแล้ว |
ถาม : หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ทำไมท่านถึงลาพุทธภูมิ ? แล้วลูกศิษย์ไม่ตามท่านจะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถามท่านก็แล้วกันว่าทำไม ลูกศิษย์ถ้าไม่ตามท่านก็จงเกิดต่อไป |
ถาม : เคยฝึกมโนมยิทธิแล้วมีคนมาทัก ทำให้ตัวเองไม่เชื่อมั่น สงสัยในการทำสมาธิ ความจริงเป็นอย่างไรและต้องแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : เลิกเชื่อที่เขามาทัก ถาม : แล้วที่เกิดความหวั่นไหวสงสัยไปแล้วจะทำอย่างไรละครับ ? ตอบ : ก็เลิกเชื่อ ถาม : ก็เลิกแต่ว่าสงสัยนะครับพระอาจารย์ ตอบ : เลิกเชื่อก็จะเลิกสงสัย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมามีหน้าที่นั่งเสกมีดหมอ เพราะว่าช่างส่งมีดหมอเพชราวุธมาแล้ว ๖๐ กว่าเล่ม เต็มห้องเลย ยังเหลืออีก ๒๐ กว่าเล่ม ส่งมาหมดเมื่อไรก็จะเริ่มเปิดจองแล้ว ใครได้โควตาพิเศษแล้วห้ามจองซ้ำ"
|
ถาม : เมื่อวานนี้โยมพิจารณา... พอเห็นแล้ว จึงย้ายความรู้สึกตรงนี้ออกไป ลบความรู้สึกความยึดมั่นถือมั่น ความรู้สึกจะว่างเปล่า เหมือนกับไม่มีความคิด อยากจะถามว่าถูกบ้างไหม ?
ตอบ : ถามว่าถูกไหม ? ถูก..แต่เกินความต้องการไปหน่อย เอาแค่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างไม่มีสาระก็พอแล้ว การพิจารณาในลักษณะของเราไม่ใช่การพิจารณา แต่เป็นการใช้สมาธิในอรูปฌาน ถ้าการพิจารณาที่ใช้ปัญญาจริง ๆ เขาต้องถอยสมาธิออกมาก่อน แล้วค่อยพิจารณา สังเกตไหมว่าของเราไม่ได้คลายสมาธิออกมา เพียงแต่ว่าเปลี่ยนอารมณ์สมาธิ ถาม : ไม่รู้เลยค่ะ ? ตอบ : ไม่รู้เลยใช่ไหม ? ลองไปสังเกตว่าเราไม่ได้ทิ้งการภาวนาเลย เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการภาวนาเท่านั้นเอง ลักษณะคล้าย ๆ กับอรูปฌาน คราวหน้าก่อนที่จะพิจารณาเราก็ถอยกำลังออกมา อยู่อารมณ์สบาย ๆ ตามปกติของเรา แล้วก็ค่อย ๆ คิดดู ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด แม้กระทั่งร่างกายของเราหรือคนอื่นก็เหมือน ๆ กัน จึงไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นได้ ตัวเราก็ตาย ตัวเขาก็ตาย ไม่มีใครดีใครเลวกว่ากันหรอก เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปเหมือน ๆ กัน พอพิจารณาไปเรื่อย ๆ สภาพจิตจะทรงตัวเป็นสมาธิ ก็จะย้อนกลับไปภาวนาใหม่ ส่วนที่โยมว่ามานั่นเป็นการทรงสมาธิไม่ปล่อย แต่ว่าการทรงสมาธิอยู่ เราสามารถที่จะรักษาอารมณ์อะไรบางอย่างเอาไว้ได้ อย่างเช่น อารมณ์อรูปฌานในลักษณะของการกำหนดพิจารณาความไม่มีอะไร ทำไปแล้วกันเท่าที่ทำได้ อรูปฌานกำลังก็เหลือเฟือเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถ้าติดอยู่แค่นั้นก็ลำบากหน่อย |
ถาม : อภิญญาที่รักษา ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ไม่มี..ถ้าอยากจะทำอย่างนั้นได้ ต้องซ้อมให้คล่องตัวในกสิณ ๑๐ พูดง่าย ๆ ก็คือต้องสำเร็จอภิญญา ๕ แล้วก็ค่อยไปปรับธาตุเอา แต่ส่วนใหญ่คนที่เขาทำได้ระดับนี้ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก เขาก็ยอมรับกฎของกรรมไป ถ้าไม่ใช่เพราะภาระเยอะแยะมากมาย ใครเขาอยากจะอยู่กัน อยู่ ๑ วันก็ทุกข์ ๑ วัน อยู่ ๒ วันก็ทุกข์ ๒ วัน เขาเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว |
ถาม : เวลาจะพิจารณา จะทำสมาธิ หรือภาวนาตามลำดับ เหมือนกับว่าร้อน เลยคิดว่าจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เวลาเรานั่งสมาธิ ถ้ากำลังใจทรงตัว ลมหายใจจะละเอียดขึ้น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนในร่างกายจะดีขึ้น ก็เลยทำให้การเผาผลาญในร่างกายมีมากขึ้น ในเมื่อการเผาผลาญมีมากขึ้น ก็ย่อมต้องร้อนเป็นปกติ จนกว่าเราจะสามารถเข้าเมื่อไรออกเมื่อไรก็ได้ตามใจนึกของเรา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว ถาม : หมายถึงว่าเราก็คลายออกมา ? ตอบ : คลายออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถ้าคลายออกมาจนไม่เหลืออะไรไว้ป้องกันตัวเลย กิเลสจะมาตีเราอีก หรือไม่ก็เอาน้ำราดให้หายร้อน..! |
ถาม : ภาวนาและทำอย่างอื่นไปด้วย เหมือนคนปกติ ?
ตอบ : ทำได้..ในลักษณะแยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ให้สังเกตว่าถ้าเราเน้นไปข้างหนึ่ง อาจจะลืมไปอีกข้างหนึ่ง เพราะเราไม่มีความชำนาญพอ ต้องซ้อมทำไปจนกระทั่งความรู้สึกทั้งสองฝ่ายชัดเจนเสมอกัน แล้วจะเพิ่มเป็นฝ่ายที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปอีกก็ได้ แต่ว่าการทำแบบนั้น พอไปถึงระยะหลัง ๆ แล้วจะเกิดโทษบางส่วนขึ้น ก็คือสภาพจิตหนึ่งภาวนา แล้วอีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านได้ ถ้าไม่อยากให้ฟุ้งลักษณะนั้น ต้องรวมจิตทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเราเสียใหม่ สมัยก่อนอาตมาชอบเล่นมากเลย ทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่พอทำไปทำมาแล้ว ท้ายสุดได้ความคล่องตัวในกีฬาสมาธิ แต่พอเผลอแล้วสภาพจิตฟุ้งง่าย ตรงนี้นิ่ง แต่ตรงนั้นคิดสารพัด แล้วท้ายสุดก็ต้องดึงกลับมารวมกัน กว่าจะหาวิธีแก้ได้รำคาญอยู่ตั้งนาน เอ๊ะ..เป็นอะไร ฟุ้งไปเรื่อยทั้ง ๆ ที่เราก็ภาวนาอยู่ ถาม : ตัวแรกฟุ้งก่อน แล้วก็ไปจับตรงที่ฟุ้ง ปรากฏว่ามีตัวที่สามฟุ้งมา ทีนี้เอาไม่อยู่ ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องหาอย่างอื่นทำ จนกระทั่งเริ่มลืม ๆ ไป แล้วก็ค่อยกลับมาภาวนาใหม่ เอาอย่างเดียวก่อน จนกระทั่งกำลังใจมั่นคงพอที่จะต่อต้านกับกิเลสได้ แล้วค่อยไปเล่นอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนกิเลสตีตาย..! |
ถาม : ไม่มีตู้ให้หยอดทำบุญหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มี..ถ้าจะทำก็ทำตรงนี้เลย เพราะเจ้าของบ้านท่านไม่ชอบเห็นตู้เยอะ ๆ ท่านบอกว่าเหมือนตั้งใจจะเอาเงินอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านก็เลยไม่ให้ตั้งตู้ ในเมื่อนโยบายท่านเป็นอย่างนั้น อาตมาก็ต้องตามใจ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:59 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.