กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6319)

เถรี 06-09-2018 19:55

"คนจีนสมัยก่อนเขาบอกว่า “ถ้าเวลาอดอยากก็นึกถึงแต่ตัว ถ้าอิ่มขึ้นมาเมื่อไรก็อยากมีคู่ มีครอบครัวเมื่อไรก็อยากร่ำรวย เมื่อร่ำรวยก็อยากมีอำนาจ พอมีอำนาจก็อยากที่จะอยู่ค้ำฟ้า” จะว่าไปแล้วเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าความอยากทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ปุถุชนทั่ว ๆ ไปล้วนแล้วแต่ปรารถนา

แต่เราจะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เพราะว่า การที่เราจะอยู่ยั้งยืนยง ทั้ง ๆ ที่สารพัดสิ่งล้วนแล้วแต่เสื่อมสลายไป มีอยู่บุคคลประเภทเดียวที่อยากอยู่ก็จะอยู่ได้นานมาก ก็คือพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณที่ท่านยังมีภารกิจอยู่ สามารถอธิษฐานร่างกายให้อยู่ได้เป็นกัป ก็คือเมื่อถึงเวลาร่างกายชำรุดทรุดโทรมมาก ก็ใช้อำนาจอภิญญาสมาบัติ โดยเฉพาะในเรื่องของกสิณ อธิษฐานให้ธาตุ ๔ เสมอกัน เท่ากับว่ากลับเป็นหนุ่มใหม่อีกครั้งหนึ่ง กลับเป็นสาวใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็จะอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกายสังขารเกิดอาการแก่ชราตามอายุรอบใหม่ ถึงเวลาไปไม่ไหวก็ต้องอธิษฐานกันใหม่อีกทีหนึ่ง

แต่ลักษณะนั้นท่านก็ไม่ได้อยากอยู่ เพราะเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ ท่านอยู่เพราะว่าหน้าที่ยังไม่หมด หมดหน้าที่เมื่อไรท่านก็ไป ก็แปลว่าถ้าใครอยากอยู่เท่ากับเป็นมิจฉาทิฐิ แปลว่ามีความเห็นผิดเป็นปกติ คำว่า มิจฉาทิฐิ ฟังดูอาจจะรุนแรง จริง ๆ แล้วก็คือความเห็นผิด เห็นในสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเปลี่ยนความเห็นได้เมื่อไรก็จะกลับเป็นสัมมาทิฐิ"

เถรี 06-09-2018 19:57

"จะว่าไปแล้วเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องง่าย แต่ต้องอาศัยบุญเก่าส่วนหนึ่ง และปัญญาอีกส่วนหนึ่ง บุญเก่าก็ในส่วนของปุพเพกตปุญญตา สร้างบุญเอาไว้ดี เมื่อถึงเวลากำลังบุญส่งผลช่วยเหลือ จัดเป็นอุปฆาตกรรมอย่างหนึ่ง ก็คือเมื่อความดีเข้ามา ก็ฆ่าความชั่วทิ้งหมด แบบเดียวกับองคุลีมาล พออุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลเข้ามาหนุนเสริม ความชั่วที่ทำอยู่ทั้งหมดก็เป็นอันว่าเจ๊ากันไป ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีจนกลายเป็นพระอรหันต์

อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของปัญญา นอกจากบุญเก่าแล้วยังต้องมีปัญญาพอ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด" ถ้าเป็นคนปกติทั่ว ๆ ไป อาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่โจรองคุลีมาลมีความฉลาดมาก และประกอบกับบุญเก่าหนุนเสริมเข้ามา ถึงได้สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ จึงได้ตะโกนถาม เมื่อได้รับคำอธิบาย มีความเข้าใจ จึงได้ละมิจฉาทิฐิคือความเห็นผิด เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้"

เถรี 06-09-2018 20:27

"เราจะเห็นได้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีส่วนประกอบสำคัญอยู่สองส่วน ก็คือ บุญเก่ากับปัญญา ถ้าสองส่วนนี้ลงตัวเมื่อไร ความเป็นสัมมาทิฐิจะเกิดขึ้นทันที จะว่าไปแล้วพวกเราทั้งหลายก็ยังไม่มั่นคงในส่วนของสัมมาทิฐิ เพราะว่ายังจัดอยู่ในประเภท "เบื่อ ๆ อยาก ๆ" ตอนไหนที่เราเบื่อแปลว่า มีสัมมาทิฐิ มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฐิคือเห็นสิ่งนี้ถูก สิ่งนี้ควร เราต้องปฏิบัติตามนั้น สัมมาสังกัปปะก็คือ คิดในทางที่ถูกที่ควร อย่างเช่นว่า คิดจะออกจากกาม คิดจะไปให้พ้นจากความทุกข์ เป็นต้น

ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในขณะที่ผลบุญเข้ามา เราก็จะได้อะไรชนิดเห็นหน้าเห็นหลังอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าผลบุญเข้ามา เรายังทำประเภท "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" เมื่อวาระเลยไปก็ต้องรอรอบใหม่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราทำบุญเอาไว้มากน้อยแค่ไหน ช้าเร็วแค่ไหน บางคนต้องใช้เวลาหลายสิบปี

สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังสอนกรรมฐานอยู่ มีโยมอยู่คนหนึ่งทุ่มเททำบุญมา ๔๐ กว่าปี สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ มาเป็นเงินนับไม่ถ้วน โดยมีความเข้าใจว่า ถ้าทำทั้งหลายเหล่านี้แล้วจะได้เป็นพระอรหันต์ โดยที่ไม่รู้ว่า ความเป็นพระอรหันต์นั้นอยู่ที่การชำระใจให้หมดกิเลส สิ่งที่ท่านทำเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการชำระใจเท่านั้น ก็คือการตัดความโลภจากใจ โดยการสละทรัพย์สินทำสิ่งดี ๆ ให้กับพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องการตัดความโกรธ ตัดความหลงเลย จนกระทั่งวาระบุญกุศลเข้ามา อายุก็ ๖๐-๗๐ ปีแล้ว ถึงจะได้รู้ว่าวิธีที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

ฉะนั้น...ถ้าพวกเรายังประมาทอยู่ เกิดว่ารอบบุญของเราหลายสิบปีขึ้นมา เห็นหลุดวงโคจรไปเยอะแล้ว บางคนถึงขนาดเปลี่ยนศาสนาไปเลยก็มี"

เถรี 06-09-2018 20:29

"เรื่องพวกนี้เตือนเอาไว้ในฐานะที่ว่า ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็ต้องไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเททำให้เต็มที่ ให้กาย ให้วาจา ให้ใจ ของเราอยู่กับความดีไว้เสมอ เมื่อถึงวาระถึงเวลา ความดีทั้งหลายส่งผล เราก็จะเข้าถึงมรรคผลได้อย่างที่ต้องการ"

เถรี 06-09-2018 21:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่เวลาญาติโยมทำบุญไม่ค่อยพิจารณา ต้องบอกว่าใช้ปัญญาน้อยไปหน่อย อย่างเมื่อวานนี้มีโยมถวายตุ้มหูมุกมา ๑ คู่ ให้หล่อพระทองคำ อาตมาไม่รู้ว่าจะหล่ออย่างไร มีบางรายถวายแผ่นทองเหลืองเขียนดวง เขียนยันต์ เขียนวันเดือนปีเกิดมา ๗-๘ แผ่น ระบุชัดเลยว่าหล่อพระทองคำ อาตมาเอาทองเหลืองไปหล่อพระทองคำให้โยมได้ก็คงจะเก่งมากเลยนะ

ฉะนั้น...เวลาจะทำบุญอย่าคิดแต่จะเอาบุญอย่างเดียว โดยไม่ได้ดูว่าสิ่งนั้นทำได้จริงหรือเปล่า โดยเฉพาะช่วงที่หล่อหลวงพ่อนาก หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อนากยังพอทนเพราะว่าปนวัสดุอื่นได้ งานของหลวงพ่อเงินนี่บางทีโยมก็ส่งแผ่นทองแดงบ้าง แผ่นทองเหลืองบ้างมา บางรายส่งมาเป็นแท่งเลยก็มี หล่อพระเงินแต่เอาแท่งทองเหลืองมา แล้ว อาตมาจะหล่ออย่างไร ?

แต่ไม่เป็นไรหรอก...เก็บสะสมไว้ พรรคพวกมีหล่อที่ไหนเดี๋ยวอาตมาเอาไปร่วมหล่อกับเขา อย่างน้อยก็ได้อานิสงส์บ้าง โดยเฉพาะวัดไร่แตงทองหล่อพระศรีอาริยเมตไตรยใหญ่ที่สุดในโลก อาตมาไปนั่งอธิษฐานจิตให้เขาไปแล้วรอบหนึ่ง หล่อได้แค่ฐาน เฉพาะฐานใช้ทองเหลืองไป ๗๐ ตัน กว่าจะหล่อครบองค์ไม่รู้ว่าใช้ไปเท่าไร"

เถรี 06-09-2018 21:11

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไอ บางครั้งท่านก็ไม่มีเสียงพูด ท่านใช้วิธีควักยาหม่องขึ้นมาเป็นก้อน แล้วก็ควานเข้าไปในคอ อาตมายังไม่เด็ดขาดแบบหลวงพ่อ เพราะฉะนั้นถ้าพูดไม่ได้ ไม่มีเสียงก็เลิกพูด ส่วนหลวงพ่อท่านตั้งใจสงเคราะห์ แม้กระทั่งชีวิตร่างกายตนเองก็ไม่เสียดายแล้ว เวลาท่านพูดไม่ได้ ก็ใช้วิธีควักยาหม่องเป็นก้อน แล้วก็ควานคอหอยตัวเอง

พอท่านไม่มีกำลังก็ใช้ยาหอมภูลประสิทธิ์ ตราพระอาทิตย์ดั้นเมฆ อาตมาเคยลองชิมไปหน่อยเดียว ตาสว่างไปทั้งวันเลย ถึงได้บอกว่ายาหอมที่แรงที่สุด น่าจะเป็นยาหอมภูลประสิทธิ์ ประมาณว่าคนตายยังฟื้น อะไรทำนองนั้น

เวลาอยู่วัด พอมีงานท่านไม่ไหว ท่านทำมืออย่างนี้ (กำมือชนกัน) หลวงพี่ประทีปก็ต้องไปเตรียมกาแฟ เสร็จแล้วก็เทเครื่องดื่มยี่ห้อวัวแดงลงไปครึ่งขวด แปลว่ากาแฟธรรมดาเอาไม่อยู่ จึงต้องเติมวัวแดงลงไปครึ่งขวด

ส่วนใหญ่สมัยนั้นพองานหนัก รุ่งขึ้นก็ไปไม่รอด มักจะเหลืออาตมาบิณฑบาตอยู่รูปเดียว เพราะหลายท่านก็พึ่งกาแฟ หลายท่านก็พึ่งเครื่องดื่มชูกำลัง ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็ตาม โดยเฉพาะทหารตำรวจที่ดูแลวัด ถึงเวลาก็วิทยุเข้ามา "หลวงพี่ครับ...ขอ ๑ ลัง" "เอ้อ..ไปยกเอาที่ร้านป้ากิมกี ให้ลงบัญชีข้าไว้" เดี๋ยวตอนบ่ายก็เอาอีกแล้ว "หลวงพี่ครับ ขอ ๑ ลัง"

ปกติเครื่องดื่มชูกำลังห้ามกินเกิน ๒ ขวด ตกลงพวกเอ็งกินกันเป็นลังเลย แต่ก็ให้เพราะว่าเขาทำงาน โดยเฉพาะเวลาวัดมีงานประจำปี หรืองานเป่ายันต์เกราะเพชรนี่ รถมาทั้งวันทั้งคืน โบกกันจนยกแขนไม่ขึ้น"

เถรี 06-09-2018 21:14

"ถามว่าอาตมาเอาเงินที่ไหน ? ก็เงินที่โยมถวายมาบ้าง รับสังฆทานบ้าง ออกกิจนิมนต์บ้าง เพื่อช่วยให้งานวัดไปได้ก็สละ ควักกระเป๋าจ่ายเอง

คราวนี้พอใช้เครื่องดื่มกระตุ้นตัวเอง เลิกงานก็หงายแผ่กันหมด ส่วนอาตมาใช้วิธียืนด้วยตัวเอง ไม่ใช้เครื่องดื่มชูกำลังกับใคร นอนไป ๑ คืน ลุกได้ก็ไปบิณฑบาต คนอื่นลุกไม่ขึ้น พลังงานสำรองหมด เพราะฉะนั้น...หลังงาน
สายใต้จะเหลือเดินบิณฑบาตโด่เด่อยู่รูปเดียว ลูกแถวหายหมด

ทุกวันนี้ก็ยังมีนิสัยเหมือนเดิมก็คือกินน้ำเปล่าเป็นหลัก อย่างดีถ้าใครมีเมตตาส่งน้ำชามาให้ก็จะรับ แต่อย่างอื่นไม่เอา เพราะว่าน้ำชาฉันไปยังพอมีประโยชน์บ้าง อย่างอื่นนี่โทษมากกว่าประโยชน์ก็เลยไม่แตะกับใคร

ไปให้หมอตรวจสภาพ หมอบอกสภาพหัวใจดีมาก เส้นเลือดไม่มีตีบไม่มีตันเลยสักเส้นเดียว ถามว่าทำไม ? อ๋อ...ไม่ค่อยได้กินอะไรที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ ปกติไขมันอุดตัน...ใช่ไหม ? อาตมานี่ไขมันจะพอกตัวยังไม่มี จะเอาอะไรไปอุดตัน สรุปว่าถ้าอาตมาตาย อาตมาตายด้วยโรคอื่น ไม่ได้ตายด้วยโรคหัวใจหรอก"

เถรี 07-09-2018 08:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เรื่องของการที่ต้องโอนเงินผ่าน QR Code ทำเอาอาตมาหน้ามืดอยู่ทุกวัน เพราะมีโยมหลายรายทำบุญวันละบาท วันละ ๒ บาท คราวนี้เป็นบัญชีที่ทางวัดต้องลงให้ครบถ้วน ละเว้นไม่ได้ เพราะว่าเป็นบัญชีที่สรรพากรเขาตรวจสอบ อาตมาก็ต้องไปลงยิบลงย่อยอยู่ทุกวัน ก็เลยไม่รู้ว่าโยมเขามีความสุขมากใช่ไหมที่ได้ทำบุญทีละบาทสองบาท ? เพราะว่าเท่ากับได้ทำบุญทุกวัน อาตมาเองก็เพิ่มงานขึ้นมา ก็คือได้ลงบัญชีทุกวัน

ไม่ได้ตำหนิโยมว่าทำบุญน้อย แต่มีปัญหาตรงที่อาตมาต้องเพิ่มงานขึ้นมาอีกเยอะ ต้องมาตามตรวจสอบแล้วก็ลงบัญชีอยู่ทุกวัน ไปนึกถึงคุณสำรวย คุณสำรวยเป็นโฆษก วน ๆ เวียน ๆ อยู่กับสารพัดวัด ถึงเวลาก็จับไมค์ฯ เรียกร้องให้ญาติโยมช่วยกันทำบุญงานโน้นหน่อย งานนี้หน่อย "มีมากก็ทำสัก ๑๐๐ บาท มีน้อยก็ทำสัก ๒๐ บาท" ถ้าคุณสำรวยมาเจอแบบอาตมานี่คงเครียดไปเลย"

เถรี 07-09-2018 09:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าฝันว่าได้เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ เป็นการส่วนพระองค์ ก็เลยกราบทูลถามว่าจะเสด็จกาญจนบุรีเมื่อไร ? พระองค์ท่านตรัสว่าอย่างไรก็ต้องเสด็จอยู่แล้ว ประมาณว่าไปแน่ ๆ ในฝันนั้นพระองค์ท่านหนุ่มมาก ๆ เหมือนรูปในธนบัตรเลย การฝันเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั้นถือว่าเป็นมงคลใหญ่ เพราะว่าตอนที่ได้เฝ้าก็ไม่ได้เป็นส่วนตัวอย่างนี้ คราวนี้เป็นการส่วนพระองค์เลย นั่งกันอยู่แค่ ๒ คน

ตั้งแต่คณะรัฐบาลกราบทูลเชิญขึ้นครองราชย์ รู้สึกว่าพระองค์ท่านจะเสด็จเยี่ยมชาวบ้านอย่างเป็นทางการครั้งเดียว...ใช่ไหม ? แล้วก็ไปเสียไกลเลย เดี๋ยวพอพระราชภารกิจน้อยลงก็คงจะเสด็จมากขึ้น อาตมาเองก็กล้าหาญมาก อยู่ในฝันนี่ทวงเลยว่าเมื่อไรจะเสด็จไปเมืองกาญจน์ ? เมื่อไรจะเสด็จกาญจนบุรี ? ประมาณว่าถ้าหาที่ลงไม่ได้ ทางวัดท่าขนุนจะเต็มใจเป็นเจ้าภาพรับเสด็จเอง"

เถรี 07-09-2018 09:10

ถาม : ครั้งที่แล้วที่ถามเรื่องเอาความเคืองออก ให้ไปพิจารณาว่า “เขาก็ตาย เราก็ตาย” พอไปพิจารณา ความเคืองคลายตัวลงไป แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่ “เราก็ตาย เขาก็ตาย” กลับกลายเป็นว่าเราไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ตัวใครตัวมัน ออกมารูปแบบนี้มากกว่า อย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้เหมือนกัน ทำอย่างไรก็ได้ให้ รัก โลภ โกรธ หลง เบาบางลงหรือหมดไป เพราะแง่มุมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์มีหน้าที่แนะนำเท่านั้น มุมที่ใช่จริง ๆ เราต้องทำเอง

เถรี 07-09-2018 09:21

ถาม : มีช่วงหนึ่งเหมือนร่างกายขาดวิตามิน อดอาหารมากินวิตามิน กินธาตุเหล็กด้วย ก็เห็นว่าร่างกายก็อยู่ได้ ?
ตอบ : อย่าให้ร่างกายเราขี้เกียจ กินอาหารดีกว่า เพราะว่าถ้ากินแต่ของเพียว ๆ ลงไป เดี๋ยวร่างกายจะขี้เกียจทำงาน

เถรี 07-09-2018 20:48

พูดถึงเต่า "นั่นเป็นค่าปลุกเสก ไปทำพิธีแล้วพระครูเทพท่านถวายมา"

ถาม : มีคนเขาอยากรู้ว่าดีทางด้านไหนคะ?
ตอบ : อ๋อ...ด้านตะวันตก ถามกำกวมแต่พระตอบตรงเป๊ะ

เรื่องของคาถาพญาเต่าเรือนมี ๒-๓ อุปเท่ห์ด้วยกัน อย่างแรกก็คือมีชีวิตรอดปลอดภัย เพราะว่ามาจากชาดกที่พ่อค้าเรือแตกไปติดอยู่บนเกาะกลางทะเล แล้วพญาเต่ายอมสละชีวิตตัวเองให้เขากิน แล้วก็ให้เอากระดองทำเป็นเรือออกมา

ลำดับที่สองก็คือช่วยให้ร่ำรวย เพราะว่าบรรดาสมบัติที่พญาเต่าเก็บเอาไว้ทั้งหมด เขาก็ยกให้พวกพ่อค้าที่ไปติดเกาะนั่นแหละ แล้วอันสุดท้ายนี่คนไทยเอามาตีความเองจากชื่อพญาเต่าเรือน คำว่าเรือนที่หมายถึงบ้าน ที่พญาเต่าตัวใหญ่เท่าบ้าน มาเปลี่ยนเป็น ‘เลือน’ ที่ภาษาไทยแปลว่า จืดจาง จางหายไป เขาก็เลยใช้คาถาพญาเต่าเรือนในการภาวนา เพื่อช่วยแก้ไขเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี

เรื่องของการสร้างสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับพญาเต่าเรือน ของหลวงปู่หลิว วัดไร่แตงทองท่านจะโด่งดังที่สุด ท่านอื่น ๆ ก็ทำไว้เยอะนะ แต่ว่าราคาแพงจนจับไม่ติด อย่างพญาเต่าเรือนหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร ตัวหนึ่งเดี๋ยวนี้ราคาหลายแสนเขาก็สู้กัน แล้วก็พญาเต่าเรือนของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ส่วนใหญ่แกะสลักด้วยงาช้าง แล้วก็มีบางส่วนที่เอาเศษตะกั่วที่เหลือจากการทำตะกรุดจันทร์เพ็ญของท่านมาหลอมเป็นเต่า

แต่ถ้าหากว่าเป็นเต่าตะกั่วของหลวงปู่ศุข เน้นว่าต้องมีรอยจาร ถ้าไม่มีรอยจารอย่าไปเสี่ยง ถ้าจำลายมือหลวงปู่ได้ก็สบาย หลวงปู่ท่านเขียนสวยแล้วเล่นหางด้วย"

เถรี 07-09-2018 20:51

ถาม : เต่าของหลวงปู่ศุข มีทองเหลืองไหมครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเรื่องการหลอมโลหะเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้น...พวกเนื้อทองเหลือง ถ้าไม่ได้พวกช่างหล่อโดยตรงก็ทำไม่ได้ แต่ส่วนที่หลอมง่ายที่สุดก็คือตะกั่ว วัตถุมงคลโบราณส่วนใหญ่ถ้าเป็นโลหะก็จะเป็นเนื้อตะกั่ว แบบลูกสะกดของหลวงปู่ศุข ลูกหนักเป็นขีด นั่นเนื้อตะกั่ว มีจารด้วย

เถรี 07-09-2018 20:58

นี่ถ้าพระครูเทพรู้ว่าโดนอาจารย์เล็กขายตัดราคาไปนี่ คงประเภทร้องจ๊าก ที่วัดเขาขายองค์ละ ๒๐๐ บาท ที่นี่ถือว่าเขาถวายมา เอาแค่ ๕๐ บาท

ท่านเป็นลูกศิษย์ที่ขยันสุด ๆ ทำทุกอย่างเพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนา บอกว่าเหนื่อยตายไม่ว่าขอให้ได้ทำ นี่ท่านก็สร้างหลวงปู่หลิวขี่เต่าองค์ใหญ่เสร็จแล้ว กำลังจะสร้างพระสังกัจจายน์ขี่เต่ามังกรคร่อมหลวงปู่หลิวไว้อีกทีหนึ่ง โอ้โฮ...หลวงปู่หลิวองค์ขนาดคนเดินลอดใต้ท้องเต่าได้ แล้วจะทำพระสังกัจจายน์คร่อมอีก บอกท่านว่า "เอ็งจ่ายอีกเยอะเลย"

แต่ท่านบอกว่าท่านยอมทำ เพราะว่าอันดับแรกก็คือหลวงปู่หลิวเป็นครูบาอาจารย์ แล้วพระสังกัจจายน์คนก็เคารพนับถือกันมาก ไหน ๆ จะสร้างแล้วก็สร้างให้อลังการไปเลย ท่านขออย่างเดียวว่า "อาจารย์อย่าทิ้งผมนะ" หารู้ไม่ว่าจริง ๆ ความสามารถในการหาเงินของท่านเหนือกว่าอาตมาไม่รู้กี่เท่า อาตมาเองนี่ถ้าต้องให้ไปติดต่อญาติโยมเพื่อขอ
ให้เป็นเจ้าภาพก่อสร้างนี่ไม่เอาด้วยหรอก

เถรี 08-09-2018 08:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไปพุทธาภิเษกที่วัดถ้ำป่าไผ่ทั้งที่ไม่สบายหนัก แต่ไม่สบายก็ดีไปอย่างหนึ่ง ขากลับพ่อปู่พลายประกายแก้วท่านบอกว่าจะไปส่งอาตมาก็ว่าขับรถประสาอะไรวะ ? ขับร้อยเดียวถึงเร็วขนาดนี้ แล้วรถวิ่งนิ่มเป็นพิเศษ ที่ไหนได้...ท่านแบกขึ้นหลัง ท่านเดินแบบช้างเดิน คือ เดินนิ่ม ๆ แต่ว่าเร็วมาก"

เถรี 08-09-2018 09:02

ถาม : ถ้าไม่ใช่ผลของกรรม เราสามารถกันโรคไม่ให้ติดต่อเราได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีผลของกรรมก็ไม่ต้องไปเสียเวลากัน ไม่เป็นอะไรหรอก

เถรี 08-09-2018 09:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บันไดขึ้นพระพุทธเจติยคีรีก็ใกล้จะเสร็จแล้ว จะให้เสร็จก่อนตักบาตรเทโวฯ เพื่อใช้งาน เพิ่มจาก ๒๕๘ ขั้น ขึ้นมาเป็น ๓๐๐ กว่าขั้น แต่เดินง่ายกว่าเดิมเยอะเลย เพิ่มมาเยอะขนาดนั้นกลับทำให้เดินถึงยอดภายใน ๓ นาที

ช่างเขาเปลี่ยนระดับใหม่ทำให้เดินง่ายขึ้น จุดไหนที่ชันมากเขาก็หักเลี้ยวหักหลบ ทำให้ขั้นเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะ แต่ว่าเดินง่ายขึ้น ตอนนี้มีแต่คนถามว่าเมื่อไรจะเสร็จ บอกไปว่าขอเวลาหน่อย เพราะว่าด้านบนจะทำพื้นแบบที่เขาเรียกว่า Stamp (คอนกรีตอัดลาย)"

เถรี 08-09-2018 09:14

"ทางด้านพระพุทธเจติยคีรีพอทำขึ้นมาก็ตั้งใจทำเป็นจุดชมวิวอยู่ ๒ จุด คือของเก่าเราขยายกว้างขึ้นมา เพื่อให้เดินสะดวกและวางผางประทีปได้ง่ายขึ้น แต่คราวนี้มุมที่ตรงจริง ๆ เลย ที่จะมองเห็นโบสถ์กับเจดีย์เป็นแนวเดียวกันมีอีกมุมหนึ่ง ก็เลยบอกว่าทำเพิ่มขึ้นมาหน่อย ตอนนี้เขาทำเป็นลานแปดเหลี่ยม เดี๋ยวพอทำรั้วทำอะไรกั้นเรียบร้อยก็คงจะไม่หวาดเสียวแล้ว

ส่วนอีกอันหนึ่งอาตมาเรียกว่าแท่นกระโดดน้ำ คือยื่นพ้นหน้าผาไปไกล ไป...ไปดูเสียให้พอ มีแต่คนเขาถามว่าทำไมไม่ทำสะพานกระจกบ้าง ? เฮ่อ...ทำสะพานกระจกของเราไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นนี่ สะพานกระจกต้องเลาะริมเขาไป ของเราขึ้นไปตามภูเขา มองจากใต้กระจกลงไปก็ห่างจากพื้นหน่อยเดียว แล้ว จะไปน่ากลัวตรงไหน ดูอย่างของจีนเขาสิ เวลาเปลี่ยนกระจก โอ้โฮ...กว่าจะเอาของขึ้นไปเปลี่ยนได้ แทบตายเลย"

เถรี 09-09-2018 19:59

ถาม : เพื่อนผมสั่งมีดหมอมาเข้าพิธีเพชราวุธ จะมีอานุภาพเหมือนที่หลวงพ่อทำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีทางเหมือนกันอยู่แล้ว วัสดุไม่ได้อย่างที่ทางวัดทำ แต่อย่างไรก็เข้าพิธีเดียวกัน

ถาม : มีคุณภาพเหมือนกันหรือเปล่าครับ หรือเป็นแค่วัตถุมงคล ?
ตอบ : ลองเอาไปใช้ดูก็แล้วกัน เดี๋ยวก็รู้เอง

เถรี 09-09-2018 20:03

ถาม : ตอนนอนพยายามจะภาวนา แต่พอไปถึงจุดหนึ่งตกใจ ใจเต้น แล้วก็ไม่หลับเลย ?
ตอบ : สมาธิเคลื่อน คือสมาธิของเราเหมือนกับไต่สูงขึ้นไปเรื่อย แต่ในความรู้สึกของเราก็คือค่อย ๆ ต่ำลงเพราะว่าสงบ แต่คราวนี้ตอนที่ไต่สูงถ้าเราพลาดขาดสติสมาธิก็จะตก พอตกวูบลงมาเราก็จะสะดุ้ง ต่อไปต้องตั้งใจอยู่กับลมหายใจให้มากขึ้น ถ้าหลุดจากลมเมื่อไรก็ร่วงอีกนั่นแหละ

ถาม : มีครั้งหนึ่งคล้าย ๆ เหมือนจิตเคลื่อนจะออกกลางหน้าผาก สะดุ้งเหมือนกัน ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ จะไปไหนก็ช่างมัน เราคิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าไป เราขอไปไหว้พระก็แล้วกัน ให้นึกถึงพระเอาไว้

เถรี 09-09-2018 21:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนไปงานหล่อพระที่วัดสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม วัดนี้แต่เดิมมาก็มีหลวงปู่เต๋แล้วก็หลวงปู่แย้มเป็นเจ้าอาวาสต่อเนื่องกันมา

ทางวัดสามง่ามเขาโด่งดังเรื่องการสร้างกุมารทอง แต่สมัยหลวงปู่เต๋ท่านไม่ได้เรียกกุมารทอง ท่านเรียกว่าตุ๊กตาทอง กุมารทองหลวงพ่อเต๋ ช่วยในเรื่องของการดูแลรักษาบ้าน ค้าขาย สร้างความเจริญรุ่งเรือง ฯลฯ ต่อมารุ่นหลวงปู่แย้มที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดก็ยังคงสร้างกุมารทอง

พอท่านเจ้าคุณสมัย (พระศรีธีรวงศ์) ไปเป็นรักษาการเจ้าอาวาสก็สืบสายต่อมา แต่ท่านสร้างมากกว่านั้น ท่านสร้างพระพุทธเจ้าองค์น้อย โดยใช้ชื่อว่า อภิมหากุมารสิทธัตถะ ทำทั้งทีต้องทำให้ใหญ่...ใช่ไหม ? ก็เป็นกุมารเหมือนกัน แต่เป็นอภิมหากุมาร

ท่านเจ้าคุณอาจารย์นิมนต์อาตมาไปนั่งปรก ท่านบอกว่าท่านเป็นมือใหม่หัดขับ ไม่เคยเป็นเจ้าอาวาส ไม่เคยหล่อพระเอง ท่านก็นิมนต์ไปนั่งปรก ๘ รูปด้วยกัน ท่านไล่ชื่อว่ามี ปุ่น ปั่น ยิ้ม แย้ม หนุน ดวง กำไล ไพโรจน์ อาตมาก็มาคิดว่า...แล้วกูอยู่ตรงไหนวะ ? ปรากฏว่าพระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน กลายเป็นหลวงพ่อหนุน !??

คราวนี้อาตมานั่งคู่อยู่กับพระครูไพโรจน์ วัดสระพัง ก็ทำตามแบบของตัวเองคือขึ้นไปกราบพระ พระท่านสั่งให้ทำอย่างไร ให้ภาวนาอย่างไรก็ทำตามนั้น ปรากฏว่างานนี้พระท่านให้ตั้งธาตุ ๔ แล้วหนุนธาตุด้วย

เรื่องของธาตุ ๔ นี่แปลว่าเราต้องตั้งธาตุก่อน เมื่อหนุนธาตุได้สมบูรณ์ แล้วใส่อาการ ๓๒ ลงไป บรรดาวัตถุรูปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นพยนต์ เป็นกุมาร หรือว่ารูปสิงสาราสัตว์อะไร อย่างเช่น ควายธนูก็ตาม ก็จะขลังเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาเอง อาตมาพอตั้งธาตุหนุนธาตุเสร็จเรียบร้อย ทางด้านโน้นพระสงฆ์ก็เจริญชัยมงคลคาถาจบ

กำลังจะเริ่มเรื่องของอาการ ๓๒ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ซึ่งถือไมค์ฯ อยู่ก็ขึ้น อัตถิ อิมัสมิง กาเยฯ พอดีเลย อ้าว...แล้วไหนบอกว่าท่านเป็นมือใหม่หัดขับ ? อาจจะเป็นเพราะว่าท่านศึกษาตำรามาแล้วก็เข้าใจก็ได้ว่าต้องใช้อาการ ๓๒ ด้วย โดยเฉพาะการสร้างรูปพระพุทธเจ้าองค์น้อย แต่ว่าไม่น้อยนะ เพราะว่าสูงถึง ๗ เมตร"

เถรี 09-09-2018 21:34

"ท่านแบ่งการหล่อออกเป็น ๓ ครั้ง ประมาณเดือนธันวาคมนี้จะหล่อกลางองค์ วันวิสาขบูชาปีหน้าค่อยหล่อช่วงบนสุด อาตมาก็คงไปให้ท่านได้ไม่เกินครั้งหน้า เพราะว่าวันวิสาขบูชาที่วัดเรามีงานอยู่แล้ว

พอท่านเจ้าคุณอาจารย์ขึ้นอาการ ๓๒ พระที่ชยันโตฯ ก็นั่งเอ๋อกันหมด ท่านก็เลยต้องหยุด “เอ้า...นิมนต์ขึ้นอาการ ๓๒ หรือไม่ก็รับตามผมด้วยแล้วกัน” แล้วท่านก็ อัตถิ อิมัสมิง กาเย เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ มังสังฯ ปรากฏว่าท่านสวดเสีย ๗ จบ อาตมาก็เลยกราบพระแล้วกลับขึ้นรถเลย ไม่ต้องห่วงท่านแล้ว ไปได้แล้ว

ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์ท่านสร้างตุ๊กตาทอง สร้างกุมารทอง ท่านเจ้าคุณอาจารย์สร้างอภิมหากุมารสิทธัตถะ ใช้คำว่าอภิมหากุมารสมปรารถนา เพราะคำว่าสิทธัตถะ แปลว่า สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ก็คือคิดอะไรก็สมปรารถนา ท่านบอกที่ท่านสร้างสูง ๗ เมตร เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติออกมาก็เดินได้ ๗ ก้าว เผยแผ่พระพุทธศาสนาไป ๗ แคว้น เสวยวิมุติสุขอยู่ ๗ x ๗ = ๔๙ วัน

ความจริงถ้าสร้างใหญ่กว่านั้นก็ไม่ไหวนะ เพราะว่าสร้างองค์พระแล้วต้องสร้างอาคารด้วย ถ้าไม่สร้างใหญ่อาคารหลังใหญ่ก็จะไม่มีที่ให้ตั้ง หรือไม่ก็ต้องจ่ายแพงมาก แต่คนไปกันเยอะน่าชื่นใจ แล้วท่านทำงานรอบคอบ ซองที่พวกเราใส่เพื่อร่วมกันหล่อพระ ท่านรับแล้วยังให้คนถ่ายรูปเอาไว้ด้วย พูดง่าย ๆ ว่ากรรมการวัดเบี้ยวไม่ได้เลย

มีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ อากาศร้อนมากตอนหล่อพระ เนื่องจากว่าอาตมาขึ้นนั่งก่อนงานประมาณชั่วโมงหนึ่ง เข้าสมาธิยาวไปเลยจึงไม่รู้สึกอะไร พอคลายสมาธิ โอ้พระเจ้า...ทำไมถึงร้อนได้ขนาดนี้ อาจจะเกิดจากอากาศอบอ้าวแบบฝนจะตก และเตาหลอมก็อยู่ใกล้ แต่ตอนเข้าสมาธิอยู่ไม่รู้เรื่อง มารู้ตอนคลายออกมาแล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าอยู่ต่อคงได้สลบไสลต่อหน้าชาวบ้านแน่ เพราะว่าอาตมาความดันค่อนไปทางต่ำ อากาศร้อนมาก ๆ บางทีเดินเซเลย อากาศร้อนทำให้เส้นเลือดขยายตัวมาก ก็ยิ่งทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ"

เถรี 10-09-2018 08:46

"ถ้าไปวัดสามง่ามเปิด Google Map บางทีก็ไม่หาให้ เขาจะพาไปวัดสามง่ามที่นนทบุรีแทน ให้พิมพ์คำว่า วัดอรัญญิการาม (สามง่าม) ถึงจะไปได้ถูก"

เถรี 10-09-2018 08:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางสำนักพุทธฯ ออกระเบียบมาชัดเจนว่าพระที่สึก เจ้าอาวาสจะยึดบัตรประชาชนที่เป็นพระไม่ได้ เขาบอกว่าบัตรประชาชนออกให้ใครก็เป็นสมบัติของคนนั้น ทางวัดไม่มีสิทธิ์ไปยึด สรุปง่าย ๆ ว่ายึดได้แต่หนังสือสุทธิเหมือนเดิม"

เถรี 10-09-2018 19:47

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ทองผาภูมิฝนตกทั้งวันทั้งคืน ถ้าวันไหนไม่สบายไม่อยากเปียกก็ต้องโวยวายกัน แล้วก็จะเว้นให้ตอนบิณฑบาตพักหนึ่ง ปกติแล้วอาตมาจะปล่อย อยากเปียกก็เปียกไป แต่บางวันอาการไข้ทำให้ไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องโวยกันบ้าง ตกทั้งวันทั้งคืน พอไปที่อื่นที่แห้ง ๆ แล้วรู้สึกดีจริง ๆ เลย

เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ประชุมเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล แล้วก็เลขานุการ ตอนนั่งคุยกันก่อนเวลา เจ้าคุณวีระท่านบอกว่า ผมอุตส่าห์ทำหนังสือยื่นไป ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้ว ของบประมาณมาขุดคลองส่งน้ำ แต่ทางราชการไม่เคยให้งบสักที กลับขุดคลองส่งน้ำของเราเข้าอู่ทองไปให้สุพรรณบุรีใช้ เขาบอกว่าท่านบรรหารขอไว้ แต่ของอำเภอห้วยกระเจา อำเภอเลาขวัญกลับไม่มีน้ำจะใช้กัน

เขาเอาน้ำจากอ่างเก็บน้ำไป แทนที่จะส่งมาให้ทางด้านห้วยกระเจา-เลาขวัญ ดันส่งไปสุพรรณบุรี ถ้ามีคลองซอยในพื้นที่ น้ำก็จะไปได้ทั่วถึง แต่คราวนี้คลองซอยพอได้งบประมาณมาดันทำไปให้สุพรรณบุรี ต้องบอกว่าอิทธิพลของท่านบรรหารนี่สุดยอด

ท้ายสุดอาตมาก็เลยบอก เอาอย่างนี้สิ พวกเราพระสังฆาธิการทั้งหมดของกาญจนบุรี ช่วยกันสร้างคลองสักสายให้ระบือลือลั่นไปเลย ปรากฏมีคนคัดค้านว่า ไม่มีทางครับ ขออนุญาตใครเขาก็ไม่ให้หรอก เพราะว่าถ้างบประมาณมา เขาก็ต้องเอาเป็นของเขา ไม่ใช่ของพระ เรื่องที่เขาจะได้งบประมาณ เขาไม่มีทางปล่อยให้พระทำหรอก เราจะทำเราก็ต้องขออนุญาตเพื่อที่จะทำผ่านพื้นที่ของแต่ละอำเภอ เขาไม่อนุญาตหรอก"

เถรี 10-09-2018 19:52

"เจ้าคุณวีระบอกว่า เดี๋ยวผมจะปลุกระดมชาวบ้านเดินขบวน ก็เลยบอกท่านว่า ถ้าทำอย่างนั้นในตอนนี้จะเป็นการซ้ำเติมรัฐบาลนะ โดยเฉพาะผู้ว่าฯ ของเราเดี๋ยวจะโดนพิจารณา ท่านบอกว่า ถ้าไม่ทำอย่างนั้นข้าราชการเขาก็ไม่สนใจ เขาเอาแต่ตัวเขาเอง ไม่ได้สนใจเลยว่าชาวบ้านเดือดร้อน

คราวนี้อาตมาไปนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ งานทุกอย่างที่พระองค์ท่านทำ ก็คือแก้เรื่องปากท้องและความเดือดร้อนของชาวบ้าน แต่ข้าราชการนี่ทำทุกอย่างเพื่อปากท้องของตัวเอง ทำอย่างไรถึงจะมีงบประมาณมาแบ่งกัน

เราต้องเสียสละเวลาสัก ๓๐ ปีเพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ ก็คืออาจจะต้องถึงขนาดเขียนหลักสูตรใหม่เลย ไล่ตั้งแต่เด็กอนุบาลขึ้นมาเลย ทำอย่างไรที่จะให้เขามีจิตสาธารณะ เสียสละเพื่อคนอื่น เสียสละเพื่อส่วนรวม ก็คือ "โครงการโตไปไม่โกง" นี่แหละ แต่ไม่ใช่มาประเภทกรอกหูคนโต ต้องเล่นตั้งแต่เล็ก ๆ ตั้งแต่บ้านเลย ไม่ใช่พอถึงเวลา เอ้า...ถ้าเด็กสูงไม่ถึง ๑๒๐ เซนติเมตรไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว พอไปถึงพ่อแม่ก็บอกว่า "ลูกย่อตัวลงหน่อยสิ" อ้าว...บรรลัยแล้ว พ่อแม่สอนลูกโกงตั้งแต่เล็กแล้ว

ถ้าเป็นไปตามหลักสูตร อย่างน้อยรุ่นแรก ๆ ก็ต้องดัดจริตเป็นคนดีให้ได้ หลังจากพื้นฐานแต่ละรุ่นดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ของเราถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีทางที่จะดีได้ เพราะว่าคนไทยเรามีนิสัยทำอะไรตามใจคือไทยแท้ แล้วตามใจนี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ดูกาลเทศะด้วย เมื่อวานนี้ก็เกือบจะเกิดอุบัติเหตุ ขับรถอยู่ ๆ เขาก็หักขวับเข้ามาในเลนของเราหน้าตาเฉย แล้วระยะกระชั้นชิดด้วย ไฟเลี้ยวก็ไม่เปิด ของเราก็ประเภทบีบแตรลั่นไปสิ คือถ้ามาด้วยความเร็วเท่ากันก็พอทน นี่เข้ามาแล้วมาคลานตรงหน้า ต่อให้ของเราวิ่งมาแค่ ๘๐ ก.ม./ช.ม. ก็จะโดนชน"

เถรี 10-09-2018 19:55

"ประเทศเราไม่เคยชินกับการทำตามระเบียบวินัย ประเภทคนรวยย่อมมีสิทธิ์ ที่เขาคุยกันว่า ถ้าผ่านด่านตำรวจให้เปิดกระจกลงไป แล้วตะโกนใส่หน้าตำรวจ บอกว่า “กูรวยนะ” ก็จบ คนที่พูดแบบนี้นี่ดูถูกตำรวจมาก

ระยะหลังนี่เวลาขับรถผ่านด่านตรวจ ส่วนใหญ่แล้วเขาจับความเร็ว ของอาตมาน้อยครั้งที่จะโดน เพราะว่าวิ่งไม่เคยเกิน ๑๐๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ ๘๐-๙๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง พอถึงเวลาก็เห็นตำรวจเขามีโพย
ถืออยู่ แสดงว่าพวกวิทยุมาบอกแล้วว่า เลขทะเบียนไหนขับเร็ว ถ้าเจอเมื่อไรนี่ตำรวจเขาชี้มือให้ออกข้างไปเลย ไปให้ปรับเสียดี ๆ"

เถรี 10-09-2018 20:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับพระอื่นถ้าได้รับเงินที่ระบุว่าส่วนตัว ก็คาดว่าส่วนใหญ่ท่านคงจะรู้สึกดี แต่อาตมานี่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนตั้งแต่วันแรกที่บวช ท่านบอกว่า "ได้รับเงินมาอย่าคิดว่าเป็นส่วนตัว เพราะว่าเราได้รับมาในฐานะของพระสงฆ์ จะใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูป อย่างเช่นว่า เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล หรือช่วยเหลือผู้ที่ตกระกำลำบาก ถ้าส่วนที่เหลือก็ผลักเข้ากองกลาง เพื่อเพิ่มบุญให้กับคนถวายเขาด้วย"


ก็เลยกลายเป็นว่าเงินส่วนตัวสำหรับอาตมาใช้ยาก เงินสงฆ์ใช้ง่ายกว่า สร้างอะไรก็คว้าเลย"

เถรี 10-09-2018 20:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนพุทธาภิเษกเหรียญท้าวเวสสุวรรณ ท่านบอกว่าภัยธรรมชาติจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าโลกจำเป็นต้องปรับสมดุลให้กับตัวเอง สมดุลเมื่อไรก็จะสงบไประยะหนึ่ง จนกว่าที่จะเสียสมดุล ภัยธรรมชาติก็จะเริ่มแรงขึ้นมาอีก นี่แสดงว่าช่วงท้าย ๆ กัปที่โดนทำลายนั่น สมดุลธรรมชาติต้องเสียหายรุนแรงมาก

ท่านก็เลยบอกว่า งานนี้จะกันพวกภัยพิบัติจากธรรมชาติโดยตรง ถ้าหากว่าวาระหนักมากก็จำเป็นที่จะต้องให้ทรัพย์สินเสียหายบ้าง แต่จะไม่ให้เสียชีวิต คาดว่ารอดไปได้ก็คงหาใหม่ได้นะ

ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า งานอะไร ๆ ก็ไปหมกให้ท่าน อาตมาเองยังพกเหรียญติดตัวเลย เดี๋ยวจะหาว่าสร้างแล้วไม่ใช้เอง พอดีเป็นเหรียญเงินเหรียญแรกที่เขาทำเป็นตัวอย่างให้ดู ก็เลยรับมาแล้วบอกเขาว่าไม่คืนนะ เอาติดตัวไปเข้าพิธีเลย"

เถรี 10-09-2018 20:19

ถาม : ช้างเป็นสัตว์แต่ทำไมจึงดูสง่า ?
ตอบ : สัตว์ใหญ่ส่วนใหญ่แล้วก็มาในลักษณะของพระโพธิสัตว์ โดยเฉพาะว่ามีเทวดาหรือมีผีคอยรักษา ก็ต้องไว้สง่าของตัวเอง

เถรี 10-09-2018 20:42

ถาม : (ไถไม้ดอกทิ้ง ต้องไปปลูกใหม่)
ตอบ : จะปลูกขึ้นหรือเปล่า? เพราะว่ายังไม่มีใครปลูก ที่มีอยู่นั่นขึ้นเป็นธรรมชาติอย่างเดียว ดันทะลึ่งไปไถออก คือต้นนี้เขาเรียกว่าเทียนกาญจน์ มีอยู่เฉพาะที่กาญจนบุรีแห่งเดียว และแห่งเดียวที่มีก็คือวัดท่าขนุน ดันไปไถทิ้งทั้งแผงเลย ไม่ได้สั่งแต่ไปทำ บอกว่าจะทำที่จอดรถสำหรับคนที่ขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ อาตมาบอกว่าไม่ต้องทะลึ่งเลย

เทียนกาญจน์เป็นไม้ประจำถิ่น พวกนักพฤกษศาสตร์เข้าไปตรวจสอบแล้ว เขายืนยันว่ามีที่เดียว ไม้บางอย่างถ้าออกไปผิดที่แล้วก็ไม่ขึ้น สิ่งแวดล้อมไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ ก็เลยเพิ่มงานโดยใช่เหตุ ไปไถออก อาตมาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ออกแล้วก็แล้วกัน คราวนี้ทางนั้นเขาอุตส่าห์ไปปลูกคืน ซึ่งก็ไม่แน่หรอกว่าปลูกแล้วจะขึ้นหรือเปล่า ?


เถรี 10-09-2018 20:58

ถาม : ใช่มีดหมอหลวงปู่บุญไหมครับ ?
ตอบ : เก่าดี แต่หาความเด่นไม่ได้เลยว่าเป็นของสำนักไหน รอยจารก็ไม่ใช่ของหลวงปู่บุญ มีดหมอหลวงปู่บุญส่วนใหญ่ถ้าไม่ทำเป็นด้ามฤๅษี ก็เป็นด้ามท้าวเวสสุวรรณ แต่นี่เป็นพรหมสี่หน้า พรหมสี่หน้าส่วนใหญ่เป็นสายอยุธยา อย่างหลวงพ่อกลั่น แต่หลวงพ่อกลั่นก็ไม่เคยได้ยินว่าทำมีดหมอ คือของอย่างนี้จะต้องเอาเป็นสากลนิยม ก็คือคนทั่วไปเขารับได้ ไม่ใช่ใช้วิธีจับพลังหรือทิพจักขุญาณ แบบนั้นคนอื่นเขารับไม่ได้

เรื่องของวัตถุมงคลต้องแท้สากลนิยม คือเอาไปให้ใครดู ผู้ที่มีความชำนาญเขาจะบอกอย่างเดียวกัน ไม่ใช่แท้ของเราคนเดียว ถ้าแท้ของเราคนเดียวนั่นไปเล่นที่ไหนก็ไม่ได้หรอก เก็บไว้ภูมิใจคนเดียวก็แล้วกัน แต่ว่าเล่มนี้เก่าแน่นอน เพราะว่าไม้แห้งจนหมดยางเลย

เถรี 10-09-2018 21:04

ถาม : ตะกรุดของหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม มีแบบไหนบ้างครับ ?
ตอบ : มีหลายอย่าง มีมหาปราบ มีมหาระงับ ฯลฯ ที่เขาหาเขาหามหาระงับกัน

มีอยู่คนหนึ่งเขาแซวมาว่ามีตะกรุดกันตำรวจไหม ? ก็เลยบอกถ้าอยากจะได้ประเภทนั้น คุณต้องศึกษาประวัติหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม วัตถุมงคลของหลวงพ่อคงลูกศิษย์ได้ไปก็มักจะไปเป็นโจร เพราะว่ากันตำรวจได้

เถรี 11-09-2018 16:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทองผาภูมิของอาตมา น้ำในเขื่อนใกล้จะเต็ม ๑๐๐ % แล้ว ทางเขื่อนเทน้ำทิ้งยาวมาเลยเป็นอาทิตย์ ๆ แล้ว มีแต่เพิ่มไม่มีลด แปลว่าน้ำที่ลงอ่างมากกว่าน้ำที่เปิดทิ้งไป

ช่วงที่ผ่านมาประมาณไม่ถึง ๒๐ วัน มีรัฐมนตรีท่านหนึ่งไปตรวจเขื่อน แล้วก็ไปสั่งผู้อำนวยการเขื่อนว่า ต้องเปิดน้ำทิ้งเท่านั้นเท่านี้ ยังดีที่ผู้อำนวยการเขื่อนท่านไม่บ้าจี้ ไม่ใช่ประเภทเห็นว่ารัฐมนตรีสั่งก็ทำตาม ทางเขื่อนเขาวางแผนระบายน้ำของเขาอยู่ ก็ทำตามแผนของเขาไป

ถ้าโยมยังจำปี ๒๕๕๔ ได้ อันนั้นที่น้ำท่วมเกิดจากรัฐมนตรีสั่ง เพราะฉะนั้น...อะไรที่ไม่รู้จริงแล้วไม่ใช่ความชำนาญ ต่อให้ใหญ่แค่ไหนอย่าทะลึ่งไปทำ ถ้าหากว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาด ก็จะขอดูแผนบริหารจัดการของเขา ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็ขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อย ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ถูกควรอย่างไรหรือไม่ แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้เขาทำ อย่าไปล้วงลูก เพราะว่าล้วงสิ่งที่เราไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความชำนาญ โอกาสที่พลาดจะมีสูงมาก"

เถรี 11-09-2018 16:56

"ปี ๒๕๕๔ ของเรานั้นพลาดหลายส่วนด้วยกัน ส่วนแรกก็คือไม่มีความเข้าใจสภาพรับน้ำของเขื่อน โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนภูมิพลเป็นเขื่อนที่ประหลาดมาก เป็นเขื่อนที่อยู่ในพื้นที่ที่เขาเรียกว่าเงาฝน มรสุมมาจะปะทะเทือกเขาถนนธงชัยแล้วเหินลอยไปลงที่อื่นหมด เพราะฉะนั้น...น้ำของเขื่อนภูมิพลนี่กักไปเถอะ ชาตินี้ทั้งชาติจะเต็มหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

ที่เห็นว่าใกล้เต็มแล้วรัฐมนตรียุคนั้นสั่งให้ระบายทิ้งแบบไม่บันยะบันยัง นั่นเขาเก็บมาหลายสิบปี แปลว่าอีกหลายปีก็ยังไม่เต็ม จากวันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่เต็ม ป่านนี้เขื่อนภูมิพลก็อยู่ที่ประมาณ ๖๐% นั่นคือการที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แล้วไปสั่งการ

ประการที่สองก็คือ แทนที่จะปล่อยน้ำให้ไหลผ่านกรุงเทพฯ พรวดเดียวไปเลย อย่างเก่งก็ท่วมสูงสักศอกหนึ่ง หรือไม่เกิน ๒ ศอก ไม่นานก็หมด เราดันไปกั้นไว้ไม่ให้น้ำเข้า ลองคิดดูว่าโดยธรรมชาติแล้วน้ำจะต้องหลากผ่านกรุงเทพฯ เพื่อลงทะเลโดยเฉพาะลงที่บางขุนเทียน เป็นความกว้างหลายกิโลเมตร แล้วโดนบังคับให้ลงคลองเล็ก ๆ จะไม่ให้ท่วมนานเป็นเดือนก็เป็นไปไม่ได้"

เถรี 11-09-2018 17:19

"ประการต่อไปคุณบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับไปแล้ว รักคนสุพรรณมาก โดยเฉพาะชาวนาสุพรรณห้ามน้ำท่วมอย่างเด็ดขาด ดังนั้น..คลองซอยหรือว่าแม่น้ำทุกสายที่เข้าสู่สุพรรณบุรี ประตูน้ำถูกปิดหมด

ในเมื่อไม่สามารถอ้อมเข้าทางสุพรรณบุรี เพื่อลงแม่น้ำท่าจีน-แม่กลองได้ ไม่สามารถลงเจ้าพระยาแล้วระบายออกได้ คนกรุงเทพฯ ก็รับเละ ได้แต่หวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นอีก

ธรรมชาติเขาให้คล้อยตาม ไม่ใช่ให้ไปปิดกั้น ถ้าไปปิดกั้นแล้วมนุษย์จะรู้ว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเขื่อนยักษ์ที่ประเทศจีน ถ้าเอาไม่อยู่เมื่อไรก็ฟ้าถล่มดินทลาย เพราะว่าปริมาณน้ำที่กักเอาไว้นี่ประมาณ ๑ ใน ๑๐ ของโลก

บ้านเราส่วนใหญ่แล้วนักการเมืองไม่ได้ทำงานเพื่อชาวบ้าน มักจะทำเพื่อพวกพ้องและตัวเอง ก็เลยไม่มีการวางแผนระยะยาวในการบริหารประเทศ อย่าบอกนะว่าเรามีแผนยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี แผนยุทธศาสตร์ ๒๐ ปีที่วางเอาไว้นั่นวางเพื่อให้ตัวเองหรือพรรคพวกอยู่ ไม่ได้วางไว้บริหารเพื่อให้ชาวบ้านเขาอยู่ดีกินดี

ขนาดอาตมาไม่ค่อยมีเสียงพูดเท่าไร ยังให้ร้ายรัฐบาลอยู่เรื่อยเลย สมควรโดนปรับทัศนคติ...! ก็ในเมื่อรัฐบาลเขายืนยันว่าทุกอย่างดีหมด เศรษฐกิจเลิศหรูสุด ๆ ไม่เห็นหรือว่ารัฐมนตรีรวยทุกคน เพิ่งเช่าซื้อรถประจำตำแหน่งกันไปหยก ๆ แล้วจะมาบ่นว่าบริหารไม่ดีได้อย่างไร ?"

เถรี 11-09-2018 17:21

"เมื่อวันก่อนนั่งแท็กซี่ รถติดมาก ถามถึงสาเหตุเขาบอกว่าเป็นเพราะสร้างรถไฟฟ้าหลายสายพร้อมกัน ก็เลยถามแท็กซี่ว่า ถ้าสร้างรถไฟฟ้าหลายสายพร้อมกัน แล้วถ้าเกิดเสร็จพร้อมกันนี่แท็กซี่จะเดือดร้อนไหม ? เพราะว่าคนไปขึ้นรถไฟฟ้ากัน

แท็กซี่บอกว่า "คนอื่นคิดอย่างไรไม่รู้นะ แต่สำหรับผมแล้วไม่เดือดร้อนหรอก" แท็กซี่บอกว่า "คนไทยติดหรู ติดสบาย รถไฟฟ้าไม่สามารถส่งถึงบ้านได้ รถอะไรที่ส่งถึงบ้านเขาก็เรียกรถอันนั้นแหละ" ถามว่าโยมกล้าฟันธงขนาดนั้นเลยหรือ ? "กล้าครับ..ก็ขนาดกู้เงินเขามาเพื่อที่จะเอามาใช้ แล้วก็ถ่ายรูปไปลง Facebook อวดชาวบ้านเขายังเอา" เขาว่าอย่างนั้น

"เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องห่วงแท็กซี่อย่างพวกผมหรอก รับประกันว่าไม่ตกงาน ต่อให้สร้างรถไฟฟ้าให้ทั่วกรุงเทพฯ ผมก็ไม่ตกงาน เหตุที่ไม่ตกงานนอกจากคนไทยจะติดสบายแล้ว ค่ารถไฟฟ้ายังแพงมาก เขาบอกว่าถ้าสัก ๒-๓ คนนี่นั่งรถแท็กซี่คุ้มกว่าเยอะ แล้วรถแท็กซี่ส่งถึงบ้านด้วย"

เถรี 11-09-2018 19:21

พระอาจารย์เล่าว่า "ระยะแรก ๆ เลยที่อาตมาปฏิบัติธรรม ไม่รู้จักพระนิพพาน ช่วงนั้นทางบ้านสอนให้อธิษฐานว่า ถ้าเกิดใหม่ขอให้สวย ๆ ขอให้รวย ๆ ขอให้ได้พบพระศรีอาริย์ อาตมาก็อธิษฐานตามเขาอยู่หลายปี เพราะว่าผู้ใหญ่สอน คราวนี้พอรู้จักหลวงปู่หลวงพ่อที่เคารพนับถือ แต่ละท่านก็มาสายอภิญญากันหมด

ช่วงนั้นวัดแถวที่ใกล้บ้าน ถ้าไปทางบ้านแม่ก็จะมีหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ถ้ามาทางบ้านพ่อก็มีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม

บ้านใกล้เรือนเคียงอย่างกาญจนบุรีก็มี หลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า ก็เลยกลายเป็นว่าปฏิบัติธรรมระยะแรก ๆ อาตมาไม่ได้ต้องการพระนิพพาน เพราะว่าไม่รู้จักพระนิพพานเลย ปฏิบัติธรรมเพราะอยากเก่ง เหมือนกับหลวงปู่หลวงพ่อที่ทางบ้านเขาเคารพนับถือกัน แล้วสมัยนั้นการไปขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือที่จะผลิตทีละมาก ๆ แบบสมัยนี้ก็ไม่มี ถึงเวลาไปขอตะกรุดท่านสักดอกหนึ่ง เบี้ยแก้สักตัวหนึ่งก็รอกันไปเถอะ จนกว่าจะหาวัสดุได้"

เถรี 11-09-2018 19:50

"สมัยนั้นอาตมาเรียน ป.๕ หรือ ป.๖ ก็มีใบบอก สมัยนี้เรียกว่าโบรชัวร์ งานหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ใบบอกมีวัตถุมงคลให้ทำบุญ ราคาแพงสุด ๆ ก็คือองค์ละ ๒๐ บาท สมัยนี้ราคาเป็นแสนหรือหลาย ๆ แสน เพื่อนทั้งห้องช่วยกันเรี่ยไรเงินทำบุญ ได้พระมา ๒ องค์ ต้องมาจับสลากกัน จะว่าไปราคาสมัยนั้นก็ไม่ได้ถูก เพราะอาตมาจำได้ว่าก๋วยเตี๋ยวชามละบาทเดียว พระองค์หนึ่ง ๒๐ บาทสมัยนั้นก็ก๋วยเตี๋ยว ๒๐ ชามสมัยนี้ ก็ประมาณ ๔๐๐ บาท

กิตติศัพท์เกียรติคุณในสมัยนั้นต้องยกให้หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ดังที่สุดทางด้านนครปฐม หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ดังที่สุดของสุพรรณบุรี

คำว่า ดัง ในสมัยโน้นของอาตมาหมายความว่าเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ เนื่องจากว่าหลวงปู่หลวงพ่อวัดข้าง ๆ บ้านเลย ก็เห็นท่านเก่งเสียจนกระทั่งอาตมาคิดว่า ถ้าบวชพระนี่ต้องเก่งแบบนี้ทุกรูป เพราะว่าทุกท่านล้วนแต่มีความรู้ความสามารถ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน เพียงแต่ว่าอาจจะดังเฉพาะในถิ่นของตัวเอง แต่ถ้าหากว่าอย่างหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามนี่ท่านดังทั่วประเทศ"

เถรี 11-09-2018 19:59

"กว่าที่อาตมาจะรู้จักคำว่าพระนิพพานก็โน่น ปี ๒๕๑๘ ตอนนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นอายุ ๑๖ ปี โยมพ่อตาย ด้วยความที่ดูแลโยมพ่อมา ๖ ปีเต็ม ๆ พี่ชายกลัวว่าจะเสียใจที่พ่อตาย ก็เลยเอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานกับคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปให้

นั่นแหละถึงได้รู้จักว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร ก็เพิ่งจะรู้ว่าในโลกนี้มีคำว่า "พระนิพพาน" ด้วย แล้วพระที่บวชก็ควรที่จะมุ่งพระนิพพานกัน แต่เนื่องจากว่าอาตมาเองอยู่ในบริเวณที่พระเจ้าท่านค่อนข้างจะเคร่งครัด เพราะว่ามีพระวัดป่าสายหลวงปู่มั่นอยู่ด้วย แล้วก็หลวงปู่อินทร์ วัดสระพัง ท่านก็ดุมาก พระบวชเข้าไป ถ้าทำตัวไม่เหมือนพระ ท่านตีด้วยหางกระเบนขนาดต้องกระโดดหน้าต่างหนีเลย

เด็กสมัยนี้ไม่รู้ฤทธิ์ว่าหางปลากระเบนตีแล้วสะใจขนาดไหน หางกระเบนก็คือหางของปลากระเบน ปลาทะเลนี่แหละ ตัดหางมาตากแห้งไว้ หางปลาจะสาก ๆ เหมือนกับมีทรายโรยอยู่ ตีเมื่อไรเนื้อแตกเมื่อนั้น"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:01


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว