กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4502)

เถรี 11-07-2015 08:58

ถาม : ผมจะเอาพระนิพพานครับ ?
ตอบ : ของอย่างนี้ต้องลงมือทำ ไม่ใช่ดีแต่ปากพูด

เถรี 11-07-2015 09:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกคุณจะทราบหรือไม่ทราบก็บอกให้รู้ว่า วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน อาตมาก็ต้องควักเงินส่วนตัวบูชาเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเองแล้วรับฟรี เพราะฉะนั้น..ถ้าช่วงไหนมีเงินส่วนตัวเหลือมากก็บูชาได้หลายองค์ ถ้าช่วงไหนมีน้อยก็อาจจะได้องค์เดียว ถ้าช่วงไหนไม่มีก็ไม่ได้เลย บางคนอาจจะคิดว่าเจ้าอาวาสเก็บเอาเองก็ได้ อาตมาไม่เคยใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าอาวาส"

เถรี 11-07-2015 12:28

ถาม : เมื่อครู่มองที่พระพุทธรูปแล้วเห็นว่า วัตถุในโลกมีเพียงเท่านั้น สร้างเป็นพระพุทธรูปได้ดีที่สุดก็เท่านั้น แบบนี้เรียกว่าเห็นอะไรคะ ?
ตอบ : ลักษณะของการกระจายออกก็ต้องรวมเข้ามาอีกทีหนึ่ง ในเมื่อถึงที่สุด เห็นความเป็นจริงแล้ว แล้วก็ย้อนกลับมาอีกทีหนึ่ง เพราะว่าสมมติทั้งหลายจริง ๆ ก็ยังเป็นประโยชน์ สมมติที่เป็นประโยชน์อยู่ อย่างเช่นรูปพระ จัดเป็นพุทธานุสติ

ถ้าหากว่าเราเอาจิตเกาะท่านไว้ก็เป็นการไม่ประมาท เราจะได้ไม่พลาดจากความดี อยู่ในลักษณะของคนที่ถึงพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าเราไปเห็นเฉย ๆ ว่าสิ่งนี้ไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวจะออกอาการแบบเดียวกับวัดสามแยก ถึงเวลาก็เหยียบพระพุทธรูปได้ ตบพระพุทธรูปได้ หลอมพระพุทธรูปไปชั่งกิโลขายได้ เพราะเห็นว่าไม่มีอะไร


ถาม : ไม่ได้เห็นว่าไม่มีอะไร แต่เห็นว่าพระพุทธรูปแม้จะสร้างด้วยวัตถุชั้นดีอะไรในโลก ก็เทียบไม่ได้เลยกับความเคารพพระที่มีอยู่ในใจค่ะ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าสิ่งภายนอกเป็นแค่วัตถุเท่านั้น ความมั่นคงใจจริง ๆ อยู่ในใจของเรา

เถรี 11-07-2015 12:34

พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านใดที่บูชาสมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้วไปก็ดี หรือสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ไปก็ดี ให้ตั้งใจสวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบทุกเช้า ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ อานุภาพที่เด่นที่สุดก็คือถ้าใครคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง คำว่าใครในที่นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์ จะเป็นอมนุษย์ เทวดา มาร พรหมอะไรก็ตาม ถ้าคิดไม่ดีกับเราซึ่งบูชาท่านอยู่ ตัวเขาจะเดือดร้อนเอง ต้องบอกว่าอานุภาพครอบจักรวาลแบบนี้อยากได้มานานแล้ว

แต่ถ้าจะเอาอานุภาพแบบมหาสะท้อนก็ต้องพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดิน เนื้อทองคำอาตมาใส่ชนวนเหรียญพุทธบารมีทองคำลงไป ๑๓ บาทเศษ เนื้อเงินใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไป ๓๐ ดอก มีคนถามว่าทำไมต้อง ๓๐ ดอก ? อ๋อ..พอดีมีอยู่แค่นั้น ถ้ามีเยอะกว่านั้นก็จะใส่อีก..!

ตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ เนื่องจากจ้างทางโรงงานเขาปั๊มให้ จึงต้องมาตอกโค้ดของเราเอง ฝีมือม้วนของคุณมะลิแก้ว ดังนั้น..ถ้าหากใครคิดจะปลอมก็ต้องปลอมโค้ดด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าโค้ดเล็กจิ๋วเดียว การสร้างวัตถุมงคลรุ่นหลัง ๆ มา ๓-๔ รุ่นมักจะมีโค้ดซ่อนอยู่ ถ้าท่านใดตาดี ๆ ก็จะเห็น เหรียญพุทธบารมีก็มีคนมาถามว่าจุด ๆ นี้คืออะไร แสดงว่าตาดีมองเห็นเหมือนกัน ก็เอาแว่นขยายส่องดูหน่อยสิ"

เถรี 11-07-2015 17:40

ถาม : ในขณะทุติยฌานละวิตก วิจาร แล้วเป็นฌานโดยไม่มีวิตกได้อย่างไร ?
ตอบ : สภาพจิตจะก้าวข้ามไปเอง เราไม่ต้องเสียเวลาไปตัดไปละอะไรทั้งนั้น พอสมาธิดิ่งลึกขึ้นไป ก็จะทิ้งวิตกวิจารไปโดยอัตโนมัติ เหมือนเราก้าวพ้นจากบันไดขั้นนี้ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เราไม่ต้องไปรื้อบันไดทิ้งหรอก แค่ไม่ไปยุ่งกับขั้นนั้นเท่านั้นเอง

ถาม : คือทรงอยู่ตรงนั้น แต่ไม่สนใจ ?
ตอบ :ลักษณะเหมือนกับที่เราเดินจงกรมยกย่างเหยียบ พอเรายกก็สมมติว่าเป็นวิตก เราย่างนี่เป็นวิจาร เราเหยียบนี่สมมติว่าเป็นปีติก็แล้วกันนะ พอเราย่างขั้นตอนในการยกก็จะหายไปเอง ไม่ต้องไปทิ้ง พอเราเหยียบ ขั้นตอนการย่างก็จะหายไป เราก็ไม่ต้องไปทิ้งขั้นตอนนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ว่าสภาพจิตดำเนินดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ ตามระดับสมาธินั้น ๆ เอง เสียเวลาที่จะไปทิ้ง บางคนพยายามจะไปทิ้ง แล้วเมื่อไรจะทิ้งได้ ไม่ต้อง...จะเป็นไปเอง

เถรี 11-07-2015 17:43

ถาม : ผู้ที่ได้ฌาน ต้องจำเป็นไหมว่าต้องรู้ว่าตนได้ฌานอะไร ?
ตอบ : ถ้าสามารถศึกษาขั้นตอนไว้ก่อน ถึงเวลาเข้าถึงก็จะรู้เลยว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหน แต่ถ้าไม่ศึกษาไว้ก่อน เท่าที่พบมา หลายท่านทำได้เยอะมากเลย แต่ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร

ถาม : จำเป็นต้องรู้ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นที่จะต้องไปรู้ ขอให้ทำได้ เพราะว่าทันทีที่ตัวเองทำได้ ก็จะมีอำนาจไปกดรัก โลภ โกรธ หลงให้ดับลงได้ชั่วคราว

เถรี 11-07-2015 18:18

ถาม : เรานึกถึงดวงกสิณ ถ้าเป็นฌานที่สอง ไม่ต้องนึกหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ถ้าใจเรายังจดจ่ออยู่ สภาพดวงกสิณที่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละ คือสภาพจิตที่ดิ่งลึกเป็นสมาธิสูงไปเรื่อย ๆ เอง

ถาม : แสดงว่าผู้ที่คล่องในฌานสองแล้ว เป็นผู้ที่มีดวงกสิณอยู่ตลอดเวลา ?
ตอบ : สามารถที่จะทรงเองได้ อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นปฏิภาคนิมิต

ถาม : ในทุกอิริยาบถเลย ?
ตอบ : ใช่..แต่คราวนี้ถ้าเผลอก็ลืม ต้องมาตั้งต้นใหม่ ยกขึ้นมาใหม่ เผลอขาดสติเมื่อไรก็ลืม สมมติว่าเผลอหลับก็ลืม ถ้าสภาพจิตหลับกับตื่นรู้ไม่เท่ากัน ดวงกสิณก็จะหาย ก็ต้องเสียเวลายกขึ้นมาใหม่

ถาม : ต้องยกขึ้นฌานหนึ่งใหม่ ?
ตอบ : ใช่...การที่ยกขึ้นมาต้องเริ่มตั้งแต่อุคหนิมิตเลย นั่นเป็นส่วนของแค่ปีติ หรือว่าแค่วิตกวิจารก็ได้ แล้วแต่ความหยาบละเอียดของสภาพจิตของเราในตอนนั้น

เถรี 11-07-2015 18:23

ถาม : แล้วที่บอกว่าเข้าฌานสี่ได้ทันทีเลย ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัว บาลีเรียกว่า สมาปัชชนวสี ก็คือมีความคล่องที่จะเข้าสมาธิทุกระดับที่ต้องการได้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นบางทียังไม่ทันคิดอะไรก็ไปแล้ว

อาตมามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ก็คือหลวงพ่อพระครูสุวรรณจันทนิวิฐ ท่านเป็นลูกศิษย์เรียนปริญญาโท แต่อายุท่านมากกว่า พรรษาท่านมากกว่า ท่านมีความสามารถในการเข้าฌาน แต่ไม่มีความคล่องตัวในการออก บางทีพอหมดเวลา เพื่อนต้องช่วยกันยกท่านที่แข็งทื่อเอาไปไว้ที่อื่น จะได้ไม่เกะกะเขา เขาจะได้เก็บกวาดสถานที่ได้ บอกหลวงพ่อท่านให้ตั้งเวลาไว้ ท่านไม่เข้าใจคำว่าตั้งเวลา ในเมื่อไม่เข้าใจคำว่าตั้งเวลาแล้วตูจะไปทำอะไรได้ ? บอกว่า "หลวงพ่อตั้งใจไว้สิ..ว่าอีก ๑ ชั่วโมงเราจะเลิก" หรือจะเอากี่ชั่วโมงก็ว่าไป

คราวนี้ท่านขาดวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากฌาน มีแต่สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าฌาน ในเมื่อขาดวุฏฐานวสี ไม่สามารถที่จะออกได้ตามที่ตนเองต้องการ ก็ต้องรอจนกว่าสมาธิจะคลายเอง เขาอุ้มท่านไปตั้งไว้ที่อื่นเสียนานเลย


ถาม : ท่านได้สมาบัติที่คล่องในการเข้า ?
ตอบ : นั่งพักเดียวก็เข้าได้เลย แต่คราวนี้ท่านตั้งเวลาออกไม่เป็น เขาถึงได้แยกวสีออกเป็น ๕ แบบ ท่านเองไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาได้ แล้วขำที่สุดก็คือ เขามีพุทธาภิเษกจนกระทั่งเลิกแล้ว หลวงพ่อท่านก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น จนท้ายสุดท่านเจ้าคุณแย้ม (พระราชวิริยาลังการ) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงก็บอกให้ช่วยกันยกเอาไปตั้งไว้ที่อื่นก่อนก็แล้วกัน ทำอย่างกับยกหุ่นหรือรูปปั้น

ถาม : ตัวท่านไม่มีปัญหา ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา เพราะสมาธิท่านอยู่ข้างใน ไม่รับรู้อาการภายนอกอยู่แล้ว ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่รู้สึก

เถรี 11-07-2015 18:37

ถาม : ถ้าเข้าปฐมฌานจะไม่รู้สึก ไม่ได้ยิน หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานยังรู้สึกอยู่ ความรู้สึกยังอยู่ที่ตัวครบถ้วน แต่ว่าไม่สนใจ มีความรู้สึกอยู่ ใครจะสัมผัส ใครจะพูดอะไร ยังรู้ ยังได้ยินอยู่ทุกอย่าง แต่ว่าไม่ไปสนใจเท่านั้น ก็คือไม่สามารถไปทำให้ท่านสะเทือนจนกระทั่งออกมารับรู้ข้างนอกได้ ยกเว้นว่าท่านจะตั้งใจรู้เอง

ถาม : ถ้าคล่องตัวในสมาบัติมาก จะไม่ได้ยินเสียงเลย ?
ตอบ : ถ้าเข้าถึงจริง ๆ รู้ทุกอย่างแต่ไม่สนใจ ที่บอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลยจริง ๆ ก็ได้ยิน ไม่รู้ลมหายใจเลยจริง ๆ ก็รู้ แต่ว่ารู้ในลักษณะที่สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ซึ่งขั้นตอนนี้เกินจากที่เราอ่านตำราไป

ต้องบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปิดทางสายใหม่ให้พวกเราก็คือมโนมยิทธิ โดยปกติแล้วยกจิตออกไปก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับร่างกายนี้ได้เลย แต่ท่านขอบารมีพระ ขอบารมีครูบาอาจารย์ให้สงเคราะห์ว่า ให้สามารถตอบโต้ได้ เพื่อคนที่ไปไม่ได้จะได้รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ตรงจุดนี้จึงกลายเป็นทางสายใหม่ เพราะปกติสมาธิในระดับนั้นจะไม่สามารถรับรู้เรื่องภายนอกได้ แต่อาศัยที่พระหรือว่าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ ทำให้เราสามารถรู้ได้

แรก ๆ อาตมาก็แปลกใจ เอ๊ะ..ปกติสมาธิระดับนี้ต้องไม่รู้เรื่องภายนอก ทำไมเรารู้วะ ? ปกติต้องพูดไม่ได้ ทำไมเราพูดได้ ? แต่กว่าจะบังคับให้ตัวเองพูดได้ ต้องขยับแล้วขยับอีก กว่าที่สมาธิจะตรงล็อกให้เราพูดได้


ถาม : ไม่ใช่เราเลื่อนสมาธิให้มารับรู้ ?
ตอบ : แรก ๆ กว่าจะบังคับตัวเองได้ บางทีก็แข็งทื่ออยู่ตั้งนาน มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ลูกศิษย์เขาโทรศัพท์มาตอนตี ๒ กว่า แล้วอาตมาเฝ้าหลวงปู่มหาอำพันที่ท่านป่วยอยู่ ด้วยความที่กลัวว่าเสียงโทรศัพท์จะไปกวนหลวงปู่ พอโทรศัพท์ดัง อาตมาก็ปราดไปถึง ยกหูขึ้นมา แล้วก็ยืนแข็งทื่ออยู่ท่าอย่างนั้น แล้วก็รู้ตัวว่า นี่ตูยังหลับอยู่นะ ยังหลับอยู่ สมาธิยังลึกมากเลย บังคับร่างกายให้ไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ยังพูดไม่ได้ ยังต้องขยับอีกตั้งนานกว่าที่จะพูดกับเขาได้

ถาม : อันนั้น คือ เราคลายสมาธิออกมารับรู้แล้วรีบกลับเข้าไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นการเข้าออกสมาธิเร็วเกินไป ตอนนั้นยังไม่มีความชำนาญ ยังบังคับไม่ได้อย่างใจ

ถาม : เข้าออกเร็วมาก ?
ตอบ : ใช่..เข้าออกเร็วมาก วิ่งไปถึงเครื่องแล้วพอยกโทรศัพท์ขึ้นมา ดันกลับเข้าไปสู่สมาธิเดิม เลยทำให้พูดไม่ได้

ถาม : ลักษณะที่เรามีสมาธิต่อเนื่องแล้วทำอะไรได้นี่ แสดงว่าเราเข้า-ออกได้เร็ว ?
ตอบ : เราต้องเข้าออกได้เร็วพอ ก็คือมีความชำนาญในการเข้าและการออก แต่การต่อสู้ส่วนใหญ่จะเป็นการถอยออกมาจากสมาธิระดับสูง โดยที่กำลังของสมาธิระดับนั้นยังคุมเราอยู่

เถรี 11-07-2015 18:42

ถาม : การเจริญอนิจจสัญญาจำเป็นต้องมีสติปัฏฐานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี เพราะถ้าหากขาดสติเมื่อไร ก็จะกลายเป็นนิจจัง แล้วไม่เป็นอนัตตา คือปัญญาจะไม่ยอมรับทันทีเลย เพราะว่าสภาพจิตมีความดื้อเป็นปกติ ในเมื่อเราเห็นว่าไม่เที่ยง เผลอเมื่อไรก็จะมาเถียง ที่พระพุทธเจ้าเตือนไว้ว่า การเมาวัย ก็คือเมาว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ แล้วก็เมาชีวิต ก็คือถึงเวลาไม่ไปคิดว่าอนิจจัง ไม่คิดว่าแก่แล้ว ไม่คิดว่าจะตาย

ถาม : อย่างนี้ความเข้าใจชั่วครั้งชั่วคราวเราเรียกว่าปัญญา ?
ตอบ : เป็นปัญญาชั่วคราวเหมือนกัน อาจจะเป็นแค่จินตามยปัญญา ก็คือคิดได้ แต่ว่ายังไม่เป็นภาวนามยปัญญา ก็คือใจยังไม่ยอมรับจริง ๆ แต่ว่าให้ได้เอาไว้ก่อน เพราะถ้าไม่ได้นี่เท่ากับเรายังห่างอีกมากเลย

ถาม : ที่ท่านบอกว่า เข้าถึงอนิจจสัญญาจะสามารถละอสมิมานะได้ ?
ตอบ : ก็ถ้าเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ก็ไม่รู้จะไปยึดถือมั่นหมายทำอะไร ตัวกูของกูก็เลยไม่มี ในเมื่อตัวเองไม่เที่ยงอย่างนี้ ในฐานะอื่น ๆ โดยเฉพาะทางโลกที่เขายกให้ จะมียศ มีตำแหน่งอะไร ก็ยิ่งไม่เที่ยงเข้าไปใหญ่

เถรี 11-07-2015 19:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาอาจารย์บางท่านกล่าวว่า สภาพจิตของเรามีความกลับกลอกเป็นปกติ แต่ความจริงก็คือต้องบอกว่ากิเลสเก่งกว่า ในเมื่อกิเลสเก่งกว่าถ้าเราก้าวพ้นไม่ได้จริง ๆ ถึงเวลาก็โดนดึงกลับ ก็เลยเป็นประเภทเบื่อ ๆ อยาก ๆ"

เถรี 11-07-2015 19:02

ถาม : ในเรื่องจับภาพพระ เราควรกำหนดภาพพระปางพระนิพพานหรือเปล่า ? มีพี่คนหนึ่งบอกว่า เราควรกำหนดภาพพระพุทธชินราช ?
ตอบ : ในเรื่องของภาพพระ ให้เอาที่เรารักเราชอบมากที่สุด เพราะว่าจิตจะได้ยึดเกาะได้ง่าย เขาชอบ..ไม่ใช่เราชอบ เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องไปตามเขา

ถ้าเรากำหนดภาพพระปางพระนิพพานก็จะได้อุปสมานุสติด้วย ก็คือพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากที่พระนิพพาน ในเมื่อเราเห็นท่านก็คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ถึงเวลาเราก็แปะตัวเองอยู่บนนั้นเลย ตายก็จบ..ไม่ต้องเสียเวลาทำอะไรอีก

เถรี 11-07-2015 19:09

ถาม : บางท่านเจริญอนิจจสัญญา บางท่านเจริญทุกขสัญญา ?
ตอบ : แล้วแต่ความถนัดความชำนาญของแต่ละคน บางคนดูทุกข์แล้วเห็นง่าย แต่บางคนบอกว่าดูทุกข์แล้วเศร้าหมอง ก็หันไปดูความไม่เที่ยงแทน

ถาม : ก็ทุกข์เหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน..ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทั้ง ๓ อย่าง มีอย่างใดอย่างหนึ่งก็มีครบ ๓ อย่างเลย ก็คือในเมื่อเห็นว่าไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงก็ต้องเป็นทุกข์ ในเมื่อไม่เที่ยง แล้วเป็นทุกข์ เราจะไปยึดถือมั่นหมายได้อย่างไร ?

เรื่องความทุกข์กับอนัตตาก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนที่ยังไม่เข้าถึงจริง ๆ ก็จะเห็นทีละอย่างไปก่อน พอเห็นจนคล่องตัวจริง ๆ แล้วถึงจะอ๋อ..ที่แท้ ๓ อย่างก็รวมกันอยู่ในอย่างเดียวนั่นแหละ


ถาม : การเจริญอนิจจสัญญาใช้การจำเอา นึกเอา ?
ตอบ : แรก ๆ เป็นการจำ แต่พอดูไปเรื่อย ๆ ใจยอมรับแล้ว คราวนี้ไม่ใช่จำแล้ว เป็นปัญญา ก็คือจากจำได้กลายเป็นทำได้ จากสัญญากลายเป็นปัญญา

เถรี 11-07-2015 19:12

ถาม : พิจารณากายคตานุสติ แต่ใจไม่ยอมรับเสียที ?
ตอบ : สภาพจิตของเราต้องพยายามยกขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อน พิจารณาไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะยอมรับ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ถาม : ทำผิดด้วยครับ ?
ตอบ : มีหลายคนทำผิด ในเมื่อเห็นว่าทุกข์จึงพยายามปรนเปรอกายให้มีความสุข เลยยุ่งกันใหญ่ ยิ่งยึดหนักเข้าไปอีก

เถรี 11-07-2015 19:13

ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วความรู้สึกหายไป ?
ตอบ : สติขาด แสดงว่าสภาพของจิตหยาบไปนิดหนึ่ง พอเริ่มเข้าสู่สมาธิขั้นสูง จิตกับประสาทต้องแยกออกจากกัน เราเองก็ไปเข้าใจผิดว่าหายไป แต่ความจริงไม่ใช่ สภาพจิตละเอียดไม่พอ ก็เลยตามสมาธิไม่ทัน

ถาม : ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องเอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจี้ติดกับลมหายใจเข้าออก ให้สังเกตว่าทันทีที่หลุดจากลมเมื่อไรก็หายไปเมื่อนั้น ต้องเอาใจจี้ติด ๆ ไปเลย แรก ๆ ก็จะหลุดอยู่เรื่อย พยายามแล้วพยายามอีก เดี๋ยวความคล่องตัวดีขึ้น สภาพจิตก็จะตามทันได้เอง ถ้าตามทันได้ก็จะก้าวข้ามตรงนั้นไป ต่อไปก็จะไม่ต้องมาเสียเวลาในขั้นตอนนี้อีก

เถรี 11-07-2015 19:14

มีโยมเอาพระกริ่งเนื้อทองคำมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าถ้าไม่เปิดกระทู้คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ให้เขาบูชาไป อาตมาจะมีพระกริ่งทองคำมากที่สุด นี่เพิ่งได้มาอีก ๑ องค์ แสดงว่าคนรวยมีเยอะมาก"

เถรี 12-07-2015 14:08

ถาม : พยายามคิดหาวิธีตัดโทสะ แต่พอครั้งหนึ่งตอนนั่งสมาธิก็รู้สึกขึ้นมาเองว่า จนป่านนี้แล้วไม่รู้หรือว่าโทสะไม่ดีอย่างไร ? คอยเผาใจเราอยู่ตลอดเวลายังไม่รู้ว่าไม่ดีอีกหรือ ? แล้วถ้ารู้ว่าไม่ดีแล้วการจะตัดยังยากอีกหรือ ? แต่แม้ว่าเรารู้แล้ว พอถึงเวลามีเหตุมากระทบ โทสะก็ยังคงเกิดอยู่ดี ?
ตอบ : ถ้าสติยังไม่ทันโทสะก็จะเกิด เหตุที่โทสะเกิด ก็เพราะเข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เข้ามาแล้วเราไม่ชอบใจก็จะเป็นโทสะ ถ้าเข้ามาแล้วชอบใจก็เป็นราคะ แสดงว่าสติของเราไม่ทัน ในเมื่อสติไม่ทัน ทั้งราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สามารถกำเริบได้ทุกเวลา ก็แปลว่าต้องสร้างสมาธิให้มากกว่านี้ เพื่อสติจะได้มั่นคงและแหลมคมว่องไวขึ้น

ถาม : ระหว่างวันพยายามทรงสมาธิไว้ แล้วก็คอยดูอยู่ค่ะ แต่บางครั้งพอมีเรื่องกระทบนี่เห็นเลยว่าโทสะขึ้น แต่ก็ขึ้นแบบไม่เต็มที่ค่ะ ขึ้นเหมือนโดนล็อกคอเอาไว้ แบบนี้ก็คือสมาธิยังไม่พอใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่พอ เพราะว่าเราจะต้องเห็นโทษ พอเห็นโทษแล้วก็เบื่อหน่าย แล้วก็วางลง ยังเหลืออีกหลายขั้นตอน ตอนนี้เราเห็นโทษแล้ว รู้หน้าตาของโทสะแล้ว แต่ยังวางไม่ลง ว่าแล้วก็สู้ต่อไป

เถรี 12-07-2015 14:17

ถาม : ผมจะทำบุญบ้าน ถ้าพื้นที่เราไม่พอ นิมนต์พระมา ๕ รูปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำบุญจะเป็น ๕ รูป ๗ รูป ๙ รูปก็ได้ ปกติแล้วบางบ้านเอาแค่ ๓ รูปเท่านั้น แต่อาตมาเห็นว่าไม่ครบองค์สงฆ์ ไม่เป็นสังฆทาน เพราะฉะนั้น..ถ้าคิดจะทำบุญ แค่ ๕ รูปก็ได้แล้ว ทำไปเถอะ

เถรี 12-07-2015 15:11

ถาม : มีข่าวลือว่าท่านจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ ครับ ?
ตอบ : ในเมื่อเป็นข่าวลือ..แล้วคุณจะไปกังวลอะไรกับข่าวลือ ?

ถาม : ผมต้องการข้อมูลจริงครับ ?
ตอบ : ถึงมีข้อมูลจริงก็ไม่บอก เพราะว่าทุกวันนี้เผลอไม่ได้หรอก ขนาดอุตส่าห์ประกาศให้บูชาวัตถุมงคลก่อนเวลาแค่ ๓-๕ วัน ก็ยังเอาไปลงเว็บ จำหน่ายของได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีของในมือ พออาตมาประกาศว่า มีพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินจำหน่ายวันที่ ๒๐ มิถุนายน ประกาศล่วงหน้าแค่ ๕ วัน ประกาศวันนั้น เขาก็ไปออกเว็บวันนั้นเลยว่าเชิญจองพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ราคา ๖,๙๐๐ บาท โอนแล้วรับวันที่ ๒๐ เขาสามารถจับเสือมือเปล่าได้ทุกเวลา ต้องบอกว่าเป็นความสามารถที่เราตามไม่ทัน..! เพราะฉะนั้น..อย่าถามให้เสียเวลา เก็บเงินไว้ก็แล้วกัน ถ้ามีก็จองได้เอง

เถรี 12-07-2015 15:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาจ่ายค่าเล่าเรียนของพระเณรเดือนละประมาณ ๑ แสนบาท ถ้าเดือนไหนค่าเทอมออกก็ราว ๆ ๘ แสนบาท ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าจะเรียนก็ไปบวชชี เดี๋ยวจะส่งให้ เรียนเสร็จก็สึกได้ ถ้าอยู่ที่วัดท่าขนุน อาตมาส่งพระเณรเรียนโดยไม่มีข้อแม้ เรียนจบจะสึกไปทำงานก็ไม่ได้ว่าอะไร"

เถรี 13-07-2015 12:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีโควตาฉันทุเรียนได้ปีละเม็ดเดียว แล้วปีนี้ก็ฉันไปแล้ว คราวนี้เขาเอา "ทุเรียนหลินลับแล" มาถวาย บอกว่าอร่อยนักหนา ก็เลยลองชิมดู เม็ดโตประมาณ ๒ นิ้วมือ ไม่นึกว่าจะเจ็บเพดานปากขนาดนี้ แสดงว่าร้อนใน ถ้าถามว่ารสชาติเป็นอย่างไร ขอยืนยันว่ายังสู้ทุเรียนนนท์ไม่ได้ แต่สำหรับทุเรียนทั่ว ๆ ไปนี่เขาทิ้งขาดเลย เพราะรุ่นเก่า ๆ อย่างอาตมายังทันทุเรียนนนทบุรีอยู่

ขอยืนยันว่าถ้าเป็นทุเรียนนนท์แท้ ยังไม่มีทุเรียนอะไรที่สู้ได้ พื้นดินแต่ละแห่งมีแร่ธาตุอาหารที่ไม่เหมือนกัน พื้นดินของนนทบุรีเหมาะกับทุเรียน ที่อื่นเอาพันธุ์ไปปลูกอย่างไรก็ไม่ได้รสนั้น สมัยก่อนเขาถึงได้มี "ลิ้นจี่ตรอกจันทน์" สมัยนี้ตรอกจันทน์มีแต่ตึก แล้วก็ "ส้มบางมด" เดี๋ยวนี้บางมดก็ไม่มีแล้ว ไปปลูกแถวรังสิตหรือนครนายกโน่น "แตงโมบางเบิด" ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว แตงโมรังสิตก็หายหมดแล้ว ตอนนี้มีแต่แตงโมเจียไต๋ ปลูกกันทั่วประเทศไทย อย่าซื้อเม็ดไปปลูกนะ เพราะเม็ดเขาฉายรังสี ปลูกได้รุ่นเดียว รุ่นต่อไปจะฝ่อหมด เขาไม่ต้องการให้เราไปปลูกแข่งกับเขา

"สับปะรดศรีราชา" ตอนนี้ก็แทบไม่มีแล้ว ต้องไปเอาจากที่อื่นมา ปัจจุบันนี้มี "เงาะทองผาภูมิ" ที่อื่นเลียนแบบอย่างไรก็เลียนแบบไม่ได้ ลูกแคระ ๆ แกร็น ๆ เขียว ๆ เหลือง ๆ หาแดงยาก แต่ทั้งหวาน ทั้งร่อน ทั้งกรอบ พื้นที่ไม่เหมือนกัน พืชผลออกมาก็ไม่เหมือนกัน

ทุเรียนทั้งเมืองนนท์ ทั้งของฝั่งธนฯ สมัยก่อนที่อร่อย เกิดจากเขาลอกโคลนจากท้องร่องสวนไปโปะโคนต้นอยู่ทุกปี สมัยนี้ก็ไม่มีอย่างนั้น ถึงเวลาเขาก็ช่วยกันลอกโคลนจากท้องร่องขึ้นไปโปะโคน ก็เท่ากับใส่ปุ๋ยอยู่ทุกปี แล้วเป็นปุ๋ยธรรมชาติ เพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือพวกใบไม้ที่ตกลงไป แล้วก็เน่าเปื่อยผุพัง กลายเป็นปุ๋ยชั้นดี"

เถรี 13-07-2015 17:06

ถาม : ความจำที่มีการยึดจะเป็นอุปทาน ?
ตอบ : ทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้น คืออะไรก็ตาม ถ้าเราไปยึดจะเป็นอุปาทานทั้งหมด เพราะอุปาทานที่เราไปยึดก็ต้องมีที่ให้เรายึด ในเมื่อมีที่ให้เรายึด ที่นั้นเขาเรียกว่าที่เกิด ก็คือภพ บาลีเรียกว่าภวะ ในเมื่อมีภพก็มีการเกิดก็คือชาติ หลังจากนั้นชรา มรณะ ก็ตามมาเป็นพรวนเลย

ถาม : ของทุกอย่างเลย ?
ตอบ : ทุกอย่าง แค่เห็นว่าสวยนี่ก็ยึดแล้ว สวยนี่คืออุปาทาน เพราะว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่ของสวย เพราะเสื่อมสลายได้ เขาถึงได้บอกว่าอวิชชาคือความไม่รู้ ซึ่งเป็นตัวร้อยรัดเราอยู่ในวัฏฏะที่ร้ายแรงที่สุด หนักหน่วงที่สุด ก็คือฉันทะ ความยินดีและพอใจ กับราคะ ในเมื่อเราเกิดความยินดี ก็อยากมีอยากได้ ก็เหมือนกับเห็นดอกไม้นี้สวย..อยากได้..ก็เสร็จ พริบตาเดียวที่ได้ยิน ที่ได้เห็น ที่ได้กลิ่น ที่ได้รส ที่สัมผัส ที่คิด ถ้าหากสติปัญญาไม่ทันก็เสร็จเขาหมด

เมื่อเช้าที่โยมเขาถามเรื่องพิจารณาวิปัสสนาญาณว่าแค่เห็นนามรูปก็ใช้ได้แล้วหรือเปล่า ? บอกว่าถ้าเห็นแค่นั้นก็เจ๊ง คุณแยกรูปแยกนามได้แล้วก็จริง แต่เห็นรูปแล้วยังคิดว่าสวยก็เจ๊งสิ แยกนามได้ว่าเสียงเป็นนาม แต่เสียงคนนั้นไพเราะจังเลย ก็เรียบร้อยอีก เพราะฉะนั้น..ทำอย่างไรที่จะเห็นทุกข์เห็นโทษแล้วปล่อยวางได้ต่างหาก ถึงจะเป็นวิปัสสนาญาณที่แท้จริง

เห็นแล้วต้องปล่อย ไม่ใช่เห็นแล้วแบก ถ้าเห็นแล้วแบกก็ยังกลุ้มอยู่นั่นแหละ ไม่เป็นไร..ค่อย ๆ ทำไป ชอบใจเพลงที่ว่า "ต้องมีสักวัน..ต้องมีสักวัน เดินตามความฝัน ไม่ท้อไม่หวั่นสุดแรงที่มี ฯลฯ" แต่ของเราไม่ใช่เนื้อหาแบบนั้น ของเราต้องมีสักวันที่จะพ้นไปได้สิ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านไม่อธิบายปฏิจจสมุปบาทหรอก เพราะละเอียดลึกซึ้งมาก ยากที่คนทั่วไปจะทำความเข้าใจได้ อาตมาเองก็ต้องค่อย ๆ ไปพิจารณา ปรากฏว่าเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ ในแต่ละระดับความรู้ที่เข้าถึง ก็จะเข้าถึงปฏิจจสมุปบาทในระดับนั้น ๆ แล้วก็จะเข้าลึกไปเรื่อย ๆ มิน่าเล่า..ถ้าเป็นแบบที่ท่านเข้าถึงเลย ถ้าพูดมานี่เรารับกันไม่ได้หรอก

เถรี 13-07-2015 17:11

ถาม : ตอนพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐม ท่านให้พรว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : รู้ไหมว่าทำไมระยะหลังถึงบอกอะไรไม่ได้ ? ขนาดไม่บอกเขายังเอาไปแต่งเรื่องขายกัน ตูบอกเมื่อไรเอาคำพูดตูไปปั่นราคาทุกที เพราะฉะนั้น..อย่าเสียเวลามาถาม ไม่บอกหรอก ยกเว้นว่ามีอารมณ์หรือหลุด

ให้รู้ว่างานนี้พระโพธิสัตว์มามากเป็นพิเศษ เพราะว่ามีพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินอยู่ ในเรื่องของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ท่านปล่อยวางแล้ว ท่านยอมรับกฎของกรรม สงเคราะห์แค่ไม่เกินกฎของกรรม แต่พระโพธิสัตว์ ด้วยความที่ท่านมีเมตตาเป็นปกติ ถ้าช่วยเหลือผู้อื่นได้เป็นความสุขของท่าน ท่านก็ฝืนกฎของกรรม ถือว่าวัตถุมงคลรุ่นนี้เป็นรุ่นฝืนกฎของกรรมก็แล้วกัน

เถรี 13-07-2015 17:17

มีโยมเอาพระกริ่งเนื้อทองคำมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "โยมเอาพระกริ่งเนื้อทองคำมาถวายอีกองค์หนึ่งแล้ว สรุปว่าถ้าไม่เปิดกระทู้คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ อาตมาจะมีพระกริ่งทองคำมากที่สุด แสดงว่าคนรวยมีเยอะมาก"

เถรี 13-07-2015 17:28

พระอาจารย์กล่าวถึงพระกริ่งปลดหนี้ว่า "มีชนวนเหลือจากหล่อเหรียญพุทธบารมีทองคำอยู่ ๑๓ บาทกว่า ๆ อาตมาเอาใส่ลงในพระกริ่งเนื้อทองคำหมดเลย อย่าลืมว่าเหรียญพุทธบารมีนั้น มีทั้งยันต์มหาสะท้อน และยันต์ทำน้ำมนต์ด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากได้ตะกรุดมหาสะท้อนทองคำ หาไม่ได้ก็หาพระกริ่งปลดหนี้แทน แต่รู้สึกว่าจะแพงโคตรแล้ว เห็นในเว็บยังหลงอยู่องค์หนึ่ง ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีคนถวายมา อาตมาก็เอาลงไปเรื่อย ๆ เพราะกระทู้ชื่อคนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ถ้าใครเข้าไปแสดงว่าต้องเหลือกินเหลือใช้จริง ๆ

ความจริงยังมีวัตถุมงคลเป็นจำนวนมากที่จะลงในกระทู้ แต่พวกเราส่วนใหญ่แล้วไม่รู้จักของ แล้วราคาท้องตลาดก็สูงมาก ส่วนที่จะเอาไปข้างนอกให้เซียนเขาฟาดกำไรต่อ อาตมาก็ทำใจไม่ได้ เพราะมีอยู่เที่ยวหนึ่ง เห็นตัวนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่อง เปิดให้บูชาพระหลวงปู่ทวดพิมพ์ใหญ่เนื้อว่านปี ๒๔๙๗ ราคา ๒ ล้าน ๕ แสนบาท อาตมาเห็นว่าของเราสวยกว่าตั้งเยอะ ก็เลยให้ลูกศิษย์ลองเอาไปแหย่ดู เขาให้มาตั้งแสนหนึ่ง..! จึงทำใจไม่ได้ที่จะให้เขาเอาไปทำกำไรกันข้างนอกขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องสร้างวัดอาตมาไม่มีอะไรหนักใจหรอก เพราะแค่สมเด็จวัดระฆังก็มีอยู่ตั้ง ๑๑ องค์..!

กว่าจะได้สมเด็จวัดระฆังองค์แรกมา อาตมาใช้เวลาภาวนาพระคาถาชินบัญชรอยู่ ๑๑ ปี ตอนช่วงนั้นภาวนาเพราะอยากได้ ภาวนาไปภาวนามาจนกระทั่งกลายเป็นงานปกติประจำทุกวัน ความอยากได้ก็ค่อย ๆ หายไป ในเมื่อความอยากหายไปกลายเป็นตัวอุเบกขาแทน คราวนี้พระคาถาถึงจะได้ผลจริง ๆ พอองค์แรกมา องค์ต่อไปก็ง่ายแล้ว เพราะรู้วิธีแล้วนี่ องค์แรกได้มาจากคุณมนตรี เชียงอารีย์ ป่าไม้จังหวัดอ่างทอง ท่านได้รับคำแนะนำจากอาตมาไปหลาย ๆ อย่าง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นอาตมาก็เพิ่งบวชพระได้แค่ ๓ - ๔ พรรษา ท่านเห็นว่าเป็นบุญเป็นคุณ ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ก็เลยถวายสมเด็จวัดระฆังมา ๑ องค์

คุณมนตรี เชียงอารีย์ เล่นพวกพระเครื่องพระบูชาและของเก่า จนทั้งบ้านไม่มีที่จะเก็บ เคยมอบของเก่าให้แก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๗๐๐ กว่าชิ้น หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวกันยกใหญ่ ประเภทชิ้นที่เด็ดจริง ๆ ก็คงไม่ให้หรอก อาตมาไปบ้าน เห็นเขาวางของจนไม่มีที่จะวาง ขนาดริมประตูริมบันไดยังมีแต่เทวรูปเต็มไปหมด คือคนชอบก็ชอบจริง ๆ คนที่ชอบแล้วสะสมในระยะแรก ๆ มักจะได้เปรียบ เพราะว่าคนยังไม่รู้จักของ ของยังไม่แพง สมัยหลัง ๆ นี่แพงหูดับหมดแล้ว ไม่ทราบว่าปัจจุบันคุณมนตรีเกษียณแล้วไปทำอะไร แล้วตำแหน่งสุดท้ายเป็นอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน"

เถรี 13-07-2015 18:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนแวะไปเยี่ยมท่านอาจารย์สุชาติ ให้ท่านปั้นรูปสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔๙ นิ้ว กับหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุงขนาด ๒ เท่าครึ่ง จะสร้างถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ปีหน้าท่านจะครบ ๑๐๐ ปีเกิด ท่านอาจารย์สุชาติบอกว่า ถึงจะเป็นคนปั้นสมเด็จองค์ปฐมเอง แต่ก็จ่ายเงินบูชาตามปกตินะครับ อาตมาก็เลยบอกท่านอาจารย์สุชาติว่า อาตมาเองก็จ่ายเงินตามปกติเหมือนกัน วัตถุมงคลวัดท่าขนุน เจ้าอาวาสอยากได้ก็ต้องจ่ายเอง

ไปนึกถึงพี่อรรณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ตอนนั้นแกเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจบางคล้า ถ้าจำไม่ผิดนะ ไปทำวัตถุมงคลรุ่นสังฆาฏิพระสุปฏิปันโน อาตมาบอกไปว่า “พี่ณพ..ทำอะไรก็แบ่งกันบ้างสิวะ” แกบอกว่า “แพงนะหลวงพี่ ตั้ง ๙๙๙ บาท” เลยบอกไปว่า “ไอ้ห่..แค่นี้ให้กันไม่ได้หรือ ?” แกเลยบอกว่า “ผมไปทำเรื่องให้เป็นของสถานีตำรวจ ถ้าผมจะเอาผมก็ต้องควัก ๙๙๙ บาทเหมือนกัน” ถึงบอกว่า เออ..ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ตรงเกินเหตุ อาตมาเองอยากได้ของตัวเองก็ต้องควักเงินเองเหมือนกัน

พี่ณพแกเป็นคนสร้างเองก็ต้องควักเงินเอง ท้ายสุดแกก็บอกว่าเดี๋ยวผมถวายหลวงพี่องค์หนึ่งก็ได้ จนป่านนี้มายังไม่ได้เจอกันเลย แกตามไปถึงวัดท่าขนุน ๒ ครั้งอาตมาก็ไปสอนหนังสือพอดี ไม่ได้เจอกัน ใครจะไปเชื่อว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อยากได้วัตถุมงคลวัดท่าขนุนยังต้องจ่ายสตางค์
เอง จะเป็นตีกันชาวบ้านที่เขามาขอหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่อาตมาก็ทำอย่างนี้มาตลอด"

เถรี 13-07-2015 18:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือสวดมนต์เล่มใหม่นี้ อาตมาทำถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ค่าพิมพ์ร้อยกว่าบาทต่อเล่ม แต่อาตมาจำหน่ายแค่ ๒๐๐ บาท เพราะตั้งใจให้คนไปสวดมนต์กัน ไปขายแพงไม่ได้หรอก

แบบเดียวกับหนังสือประวัติวัดท่าขนุน ทางด้านอมรินทร์เห็นตั้งราคา ๓๐๐ บาทนี่แทบกระโดดเลย บอกว่าหนังสือขนาดนี้ปกติเขาขายกัน ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ บาท จะเอาอะไรล่ะ ? ขาย ๓๐๐ ก็ได้กำไรตั้ง ๑๐๐ บาทแล้ว"

เถรี 13-07-2015 18:54

ถาม : ผู้มีวาจาสิทธิ์จะต้องบำเพ็ญบารมีอะไร ?
ตอบ : เป็นผู้มีสัจจะเป็นปกติ ถ้าสร้างสัจจบารมีมาเป็นปกติจะมีวาจาสิทธิ์ ประการที่สอง เป็นผู้สามารถสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดขึ้นกับตนเองได้ ก็จะเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ ประการที่สาม มีคาถาบางบท เรียกว่า คาถาวาจาสิทธิ์พระร่วง ถ้าตั้งใจบำเพ็ญภาวนา ทำจนขึ้นได้ก็กลายเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์เหมือนกัน แต่ข้อห้ามมีเยอะมาก เพราะถ้าทำได้ก็เป็นอันตรายต่อผู้อื่น จึงต้องมีสติสมบูรณ์

เถรี 13-07-2015 18:56

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ถวายทองคำเพื่อร่วมสร้างพระ ตอนนี้จากเป้าหมายเดิมที่เตรียมทองไว้ ๔๐ กิโลกรัม เจอฐานพระด้วย เจอเครื่องทรงด้วย เจอฉัตรด้วย คงต้องเตรียมไว้เป็นร้อยกิโลกรัม..!"

เถรี 14-07-2015 09:22

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไปสำหรับเรา เพราะบางทีก็โดนหลอก ?
ตอบ : ถ้าภาวนาได้วันละ ๒๔ ชั่วโมงถือว่าพอดี ถ้าเกินนั้นถือว่าตึงเกินไป..! มีใครทำได้เกินบ้างไหม ? เรื่องของการตึงการหย่อนต้องพิจารณา แล้วทดลองผ่อนทดลองเพิ่มด้วยตัวเอง ไปถามคนอื่นไม่ได้หรอก เท่าที่พบมาในโลกมีพระโสณโกฬิวิสะท่านเดียวที่ปฏิบัติตึงเกิน ส่วนใหญ่แล้วที่บอกว่าตึงเกินนั้นไม่ใช่ตึงเกินหรอก แต่ทำผิด ดังนั้น..ที่ตึงเกินในความหมายของอาตมา ถ้าทำถูกแล้วตึงเกินไปมีพระโสณโกฬิวิสะอยู่รูปเดียว

ต้องทดลองด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูกไปเรื่อย แต่จำไว้ว่า..ถ้าเผลอให้นิวรณ์กินเราได้เมื่อไรก็แปลว่าเจ๊งแล้ว..ทำขาดแล้ว

เถรี 14-07-2015 09:27

ถาม : ความรู้สึกรักแยกเป็นรักด้วยราคะกับรักด้วยโมหะ ?
ตอบ : ความรักมีรักด้วยเมตตา ส่วนรักด้วยความหลงนั้นเพราะเราไม่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นท้ายสุดก็ยึดถือมั่นหมายอะไรเป็นเรา เป็นของเราไม่ได้ แต่เราก็ไปยึด แล้วเราเรียกว่ารัก อันนี้เป็นความหลงหรืออวิชชา ส่วนอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่ารัก แต่จริง ๆ ไม่ใช่ นั่นคือราคะ ต้องแยกให้ออกด้วย

ถ้าความรักที่ปลอดภัยจริง ๆ ก็รักด้วยเมตตา คือเห็นเขาเสมอกับตัวเรา เราต้องการอย่างไรผู้อื่นก็ต้องการอย่างนั้น เราไม่ต้องการอย่างไร ผู้อื่นก็ไม่ต้องการอย่างนั้น ฉะนั้น..ให้เลือกทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ต่อคนอื่น และโดยเฉพาะรักเมตตาตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะตกไปในทางที่ชั่ว ก็ต้องเร่งรัดกำลังใจตัวเองให้ผ่องใส ให้สะอาดขึ้น เพื่อยกจิตไปสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าเผลอไปเมตตาแต่คนอื่นจนลืมตัวเอง

ถาม : ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งแต่ไม่ได้ต้องการตัวเขา พยายามฆ่าด้วยอสุภกรรมฐานแต่ฆ่าไม่ตาย ฆ่าความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ เป็นเพราะอสุภกรรมฐานเป็นยาไม่ถูกกับโรคกันหรือครับ ?
ตอบ : คนละโรคกัน ของคุณปวดท้องแล้วไปกินยาแก้ปวดหัว อสุภกรรมฐานเขาเอาไว้ต่อต้านอำนาจของราคะ ในเมื่อจิตของเราไม่ได้คิดอยากได้เขาในด้านราคะ แล้วคุณไปแก้ด้วยราคะก็เจ๊ง ไม่สำเร็จหรอก

ถาม : ผมอยากให้เขามีความสุข รู้สึกเป็นห่วง แก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นต้องใช้ปัญญาเข้าไปช่วยแล้ว หลังจากที่พิจารณาจนเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้ปัญญาเข้าไปดูด้วย ว่า เราเองอยู่ของเราอย่างนี้เรามีความทุกข์เท่าไร เขาเองอยู่อย่างนั้นมีความทุกข์เท่าไร ท้ายสุดก็ต่างคนต่างตายจากกันไป ถ้ายังไม่พ้นกองทุกข์ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้จบ เรายังอยากให้เขามาเวียนว่ายตายเกิดทุกข์พร้อมกับเราอีกไหม ? ท้ายสุดเรายังอยากจะเวียนว่ายตายเกิดไปทุกข์กับเขาอีกไหม ? พยายามคิด พยายามพิจารณาบ่อย ๆ ค่อย ๆ เลาะทิ้งไปทีละนิดละหน่อย อะไรที่ฝังรากลึกเราจะไปโละทีเดียวออกหมดก็เป็นไปไม่ได้

ถาม : อย่างกำลังของท่านภิกษุณีทั้งหลายที่ท่านสำเร็จอรหันต์เป็นกำลังใจของผู้หญิง เราจะนำมาใช้บ้างได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมไม่ใช้กำลังใจของภิกษุ ?

ถาม : กำลังใจของภิกษุณีท่านยิ่งใหญ่แค่ไหนครับ ?
ตอบ : ยิ่งใหญ่แค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าท่านสามารถชนะมารได้ จนกระทั่งเห็นมารกลายเป็นเศษฝุ่นใต้เท้าไปได้ “ปาปิมะ..ดูก่อนมารผู้มีบาป เธอไม่มีอำนาจในการครอบงำเราแล้ว จงหลีกไปเถอะ..เธอไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวและหวาดกลัวได้หรอก” ตูเป็นพญามารนี่..ตูนั่งร้องไห้เลย..!

เถรี 14-07-2015 09:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสมเด็จนางพญาองค์ที่ประมูลกันในกระทู้ ท่านไม่ยอมไป วันก่อนไปเจออยู่ที่วัดก็ อ้าว..ให้เจ้าของกระทู้ไปแล้ว ทำไมมาอยู่ที่นี่ ? สอบถามเสร็จเจ้าของกระทู้เขายืนยัน “โอ๊ย..อยู่ที่คอนโดฯ หนูค่ะ” ปรากฏว่าหนีกลับไปนอนอยู่วัดหลายวันแล้ว อาตมาจึงเอามาที่นี่ ใส่ไว้ในย่ามใบที่ถือติดมือทุกวัน เมื่อเช้าไปค้นพระปิดตา ๔ สี ปรากฏว่าหนีไปอยู่ในย่ามอีกใบหนึ่ง ซ่อนเก่งจริง ๆ เจอเข้าก็ อ้าว..ทำไมมาอยู่ตรงนี้หว่า ? หันมาดูในย่ามที่ใส่ไว้..หายไปแล้ว เมื่อเช้าก็เลยย้ายมาไว้ในย่ามใบนี้ ตอนนี้ไปอีกแล้ว ดูท่าท่านไม่อยากไปจริง ๆ อาจจะรู้สึกว่าโดนดูถูกก็ได้ เป็นถึงหนึ่งในเบญจภาคีประมูลกูราคาแค่นี้เอง..! เดี๋ยวต้องกลับไปเกลี้ยกล่อมว่าคนประมูลเขาจ่ายเงินแล้ว ได้โปรดไปกับเขาเถอะ...!

มีสมเด็จองค์ปฐมเหรียญเล็ก ๆ ที่เป็นเหรียญเม็ดแตง นั่นก็หนีกลับไปหาอาตมาเป็นกำมือเลย ชักสงสัยว่าโยมรักษากันท่าไหน เอาไปเก็บไว้เฉย ๆ ไม่เคยบูชาหรืออย่างไร ?

ในกระทู้ของวัดท่าขนุนนี่โยมบางท่านก็โชคดี อย่างพระกรอบทองคำองค์ละ ๑๐๐ บาท ตั้งใจออกราคานั้นเลยนะ ไม่ใช่ว่าลงผิด เพราะว่าอาตมาตั้งใจแล้วว่า คนอื่นเขาถวายมาร่วมบุญจะคิดแค่ชิ้นละร้อยบาท ในเมื่อคุณดันทะลึ่งเลี่ยมกรอบทองมาด้วยก็ร้อยเดียวนั่นแหละ ต้องบอกว่าเจ้าของกระทู้ของเราซื่อสัตย์ไปหน่อย ถ้าเป็นอาตมานี่..ร้อยเดียวตูเก็บขึ้นหมดเลย ดีไม่ดีก็ให้ ๒๐๐ ไปเลย อย่างไรแค่แกะกรอบไปขายก็กำไรแล้ว"

เถรี 14-07-2015 09:47

ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานค่ะ แต่คราวนี้กลัวว่าคนอื่นจะมีการใช้เส้นสาย
ตอบ : เหลืออีกกี่วัน ?

ถาม : ๑๒ วันค่ะ
ตอบ : อันดับแรก..ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ เพื่อความคล่องตัวในการสัมภาษณ์ อันดับที่สอง..คาถาเมตตา เพื่อผู้สัมภาษณ์จะได้เมตตาเรา อันดับที่สาม..คาถาสำเร็จ ภาวนาอย่างละชั่วโมงต่อวันไปเลย แปลว่าต้องภาวนาเต็ม ๆ วันละ ๓ ชั่วโมง ถ้าไม่ได้แปลว่าฝีมือเราห่วยเอง..!

เถรี 14-07-2015 13:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเอาปลาทูมาถวายเพลบ้าง ? ตอนนี้ตัวละเท่าไรแล้ว ? เห็นว่าขึ้นราคาไปหูดับแล้วใช่ไหม ? การที่สมาคมประมงเขาประท้วงกัน จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่เรื้อรังมานานแสนนานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่กองเรือประมงมีศักยภาพเป็นอันดับ ๔ ของโลก..! ล้างผลาญทรัพยากรสัตว์น้ำไปปีละนับไม่ถ้วน พวกปลาตัวเล็กจิ๋วก็เอามากินกัน ถ้าอวนไม่ถี่ขนาดนั้นแล้วจะเอามากินได้อย่างไร ? กลายเป็นพวกเรากินล้างกินผลาญตั้งแต่ยังเป็นลูกหลานเหลนของปลา โอกาสโตแทบจะไม่มี

คราวนี้ทางรัฐบาลพยายามจะทำให้สิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการที่จะต้องมีอาชญาบัตรหรือใบอนุญาตในการทำประมง เพราะปล่อยปละละเลยมานาน พอจะทำสิ่งที่ถูกต้องก็โดนประท้วง ความแสบของประมงไทยต้องถามเวียดนามหรือกัมพูชา เขาจำขึ้นใจเลย ประมงไทยไปขออนุญาตทำประมงในเขตเวียดนาม ก็ปรากฏว่าไปขออนุญาตถูกต้องทุกอย่าง กว่าเวียดนามจะจับได้ไล่ทัน ประมงไทยเกือบจะกวาดทรัพยากรของเขาหมดทะเล..!

ใบอนุญาต ๑ ใบถ่ายเอกสารแจกกัน ๗-๘ ใบ เสร็จแล้วก็เอาเรือชนิดเดียวกัน ขนาดเดียวกัน ทาสีเดียวกัน ติดหมายเลขเดียวกัน ออกไปที ๗ - ๘ ลำ แปลว่าขออนุญาตใบเดียว แต่เรือออกไปทำ ๗ - ๘ ลำ แล้วพยายามอยู่ห่าง ๆ กัน วิทยุบอกกันให้แต่ละลำอยู่ห่างกันประมาณ ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตร ถึงเวลาเขามาตรวจก็เห็นมีใบอนุญาตถูกต้อง เลขหมายเรือถูกต้อง สีเรือถูกต้อง ระวางน้ำถูกต้องก็ปล่อยไป กว่าเขาจะจับได้ไล่ทัน ทั้งเวียดนามทั้งเขมรโดนเรากวาดมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จนกระทั่งตอนหลังเขาต้องใช้วิธีเด็ดขาดว่า ถ้าเห็นเรือประมงไทยให้ระเบิดทิ้งเลย..!

ในเมื่อต่างประเทศยังทำกับเขาแสบขนาดนั้น ลองคิดดูว่าในบ้านเราจะเกิดอะไรขึ้น ? เพราะฉะนั้น..ที่เรือประมงประท้วงอาตมาไม่ค่อยที่จะสงสารหรอก เขาได้มาเยอะจนเกินไป ถึงเวลาจะเสียบ้างแล้วไม่ยอมเสีย คำว่าได้มาเยอะก็คือกินฟรีมาไม่รู้เท่าไรแล้ว ถึงเวลาจะเสียค่าใบอนุญาต เสียค่าใบอาชญาบัตรกลับไม่ยอมจ่าย ต้องบอกว่าอยู่แบบเอาเปรียบสังคมไม่พอ ยังเอาเปรียบธรรมชาติอีกด้วย"

เถรี 14-07-2015 13:52

"ในส่วนนี้หากเรายอมกินอาหารทะเลแพงไปสักพักหนึ่ง คนที่เคยได้เงินแล้วไม่ได้เงิน ท้ายสุดเขาก็จะอยู่ไม่ได้ แล้วก็จะออกทะเลไปเอง ถ้าจะออกทะเลงวดนี้ก็แปลว่าต้องมีอาชญาบัตรที่ถูกต้อง แต่จะทำแบบเดียวกับต่างประเทศอีกหรือเปล่ายังไม่รู้ ? ประเภทขอ ๑ ใบแล้วออกไป ๘ ลำ เรื่องนี้ก็ต้องไปจับได้ไล่ทันกันเอง ไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยว่าใครจะยอมรับ

ในช่วงนี้ถ้าหากเราลำบาก หาอาหารทะเลกินยาก อาตมาแนะนำน้ำปลา..! รับประกันว่าเป็นอาหารทะเลแน่นอน ทน ๆ กินไปก่อน ถึงเวลาก็เอาปลาน้ำจืดก็ได้ แล้วใส่น้ำปลาพริกลงไปก็เป็นปลาทะเลไปเอง

บางอย่างเรามีข้อมูลน้อย เราก็ไปคิดว่ารัฐบาลไปบีบบังคับจนกระทั่งชาวบ้านทั่วไปต้องกินอาหารทะเลแพง ๆ เดี๋ยวนี้เรือประมงที่วิ่งมาจากทางด้านอินโดนีเซีย ด้านเวียดนาม ด้านเขมร พอจะเข้าอ่าวไทยเขาวิทยุถามราคาที่แพปลาหมดแล้ว ถ้าสมมติว่าแพปลาสงขลาให้ราคาต่ำ แต่แพปลามหาชัยให้ราคาสูง เขายอมวิ่งมาขายที่มหาชัย เขาไม่กลัวของเสียเพราะดองน้ำแข็งมา พวกบรรดาเรือประมงเล็ก ประมงชายฝั่งของเราถึงน่าเห็นใจ เพราะว่าเขาหากินกันวันต่อวัน แล้วก็เป็นชาวบ้านจริง ๆ ไม่ใช่นายทุน

แต่อาตมาดูแล้วก็แปลก ๆ ออกทะเลไปหาปลาทั้งคืน ได้ปลามาเอาไปขายในตลาด แล้วซื้อปลากระป๋องให้ลูกกิน..! บ้าหรือเปล่า ? นี่คือสภาพความจริงที่เป็นอยู่ แล้วทำไมปลาที่ตัวเองหาได้ไม่แบ่งให้ลูกกิน..?

โยมรู้ไหมว่าปลากระป๋องแบบที่เราต้องเปิดเอง กับแบบฝาดึงราคาต่างกัน ต่ำ ๆ ก็ ๓ บาทต่อกระป๋อง แค่ความสะดวกดึงฝาโดนไป ๓ บาทต่อกระป๋อง ตอนนี้ไม่รู้เพิ่มไปเท่าไรแล้ว
ถ้าใช้ที่เปิดไม่เป็น ยอมลำบากใช้ขวานผ่าเอาก็ได้ อย่างน้อยก็ประหยัดไปกระป๋องละ ๓ บาท

ทุกอย่างถ้าเราช่วยกันประหยัด นอกจากเศรษฐกิจส่วนตัวจะดีขึ้นแล้ว เงินทองต่าง ๆ ยังไม่ต้องรั่วไหล สภาพของครอบครัวก็มั่นคง เพราะ
มีเงินออมเหลือไว้ ถ้าหากว่าทุกครอบครัวมั่นคง สภาพของประเทศชาติเราก็จะมั่นคงไปด้วย"

เถรี 14-07-2015 14:20

"พูดถึงประมงไทยแล้วก็ไปนึกถึงความแสบของบรรดาประมงน้ำจืดแถววัดท่าซุง เอาอวนตีปลาหน้าวัดไปเป็นคันรถเลย แล้วขายในตลาดอุทัยธานีไม่ได้ เพราะทุกคนรู้ว่าเป็นปลาหน้าวัดท่าซุง เขาก็ไม่ซื้อ ต้องวิ่งไปขายถึงนครสวรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร อาตมาไม่ได้คิดจะรบราฆ่าฟันกับเขาหรอก วันนั้นบังเอิญหูไปหาเรื่อง ไปได้ยินเขาคุยกันพอดี เขาบอกว่า“พระวัดนี้โง่ว่ะ เลี้ยงปลาไว้ให้เราขาย..!”อาตมาได้ยินนี่ฟิวส์ขาดเลย เอาเรือลงไปพร้อมกับโทรโข่งประกาศตลอดคุ้งน้ำ “ให้เวลาพวกเอ็ง ๑ เดือน ไปหาอาชีพใหม่ทำมาหากินซะ” แล้วไปติดต่อประมงจังหวัดอุทัยธานี ให้ช่วยติดป้ายเขตอภัยทานให้บริเวณหน้าวัดด้วย ปรากฏว่าประมงยอมไม่โผล่หัวมา

ครบ ๑ เดือนลงไป ปรากฏว่าเรือหาปลาทุกลำยังอยู่กันครบถ้วน เครื่องมือหลัก ๆ ก็คือตาข่าย ตาข่ายไนล่อนกว้าง ๒ เมตรยาว ๑๐๐ เมตรลำละ ๓ ผืน ขึงตรง ๒ ผืน ทแยง ๑ ผืนเป็นรูปตัว Z แล้วปลาที่ไหนจะรอดได้ อาตมาต้องประกาศซ้ำอีกรอบหนึ่งว่าให้เวลา ๒ ชั่วโมงเก็บขึ้นให้หมด ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาจะเก็บเอง ผ่านไป ๒ ชั่วโมงลงไป ทุกผืนยังอยู่เหมือนเดิม เพราะไม่เคยมีใครกล้าทำ อาตมาก็จัดการสาวเลย เก็บขึ้นมาได้ ๖-๗ ผืน พวกที่เหลือเห็นท่าไม่ดีว่าเอาแน่ ก็เลยช่วยกันเก็บ

อาตมาก็ไม่ว่า..สาวไปเรื่อย เจอกันกลางทางก็เอาคนละครึ่ง เอามีดตัดให้ เอ็งเก็บครึ่งนั้นเอ็งเอาไป ครึ่งนี้ข้าเก็บข้าเอามา ปรากฏว่ารุ่งขึ้นนรกแตก มีแต่คนแห่มาประท้วง ไม่มีโอกาสได้พบหลวงพ่อวัดท่าซุงหรอก พบท่านรองเจ้าอาวาส ก็คือท่านเจ้าคุณอนันต์ในปัจจุบัน ท่านเจ้าคุณฟังข้อมูลไปเต็ม ๒ รูหู พอตอนฉันเพลก็บอก “เล็ก..อย่าไปยุ่งกับเขาเลย” อาตมาก็ “ครับ” แต่อาตมาถือหลักทางทหาร “แม่ทัพอยู่แนวหน้า ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งจากแนวหลัง”

กลางคืนลงไปลุยใหม่ จัดการกวาดขึ้นมาอีก ๑๐ กว่าผืน ปรากฏว่าตำรวจวัดทนแรงกดดันมวลชนไม่ได้ มาเก็บเอาตาข่ายไปคืน คืนต่อมาอาตมาลงไปกวาดขึ้นมาใหม่อีก ไปหาป้าลำไย ป้าลำไยปกติแกจะหุงข้าวกระทะใบบัวใหญ่ บอกว่า “ป้า..ก่อไฟแล้วอย่าเพิ่งเอากระทะลงนะ” พอป้าก่อไฟเสร็จอาตมาก็หย่อนตาข่ายเผาเกลี้ยงเลย..!"

เถรี 14-07-2015 14:23

"ปรากฏว่าวันถัดมาหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “แกอย่าไปเผาทิ้งอย่างนั้น ถ้าเขามาโวยวายแล้วเราจะไม่มีหลักฐาน จะกลายเป็นเรารังแกชาวบ้านไป แกเก็บขึ้นมาแล้วรักษาเอาไว้ ข้าจะสร้างพิพิธภัณฑ์คนชั่วให้” ฉะนั้น..ถ้าโยมไปแล้วเห็นที่ใต้ศาลาท้าวมหาราชทั้งสี่ มีพิพิธภัณฑ์เครื่องมือจับสัตว์น้ำ ให้รู้ว่าเป็นฝีมือของอาตมาเอง และเหลืออยู่แค่นั้นเพราะเผาไปเยอะแล้ว

ปรากฏว่าชาวบ้านก็ด่ากระจาย อาตมาก็ไป บ้านไหนด่าขึ้นถึงบ้าน ยังไม่ทันทำอะไร เขาโดดหน้าต่างหนีเอง จนเขาลือกันไปทั้งคุ้งว่าอาตมาถือปืนขึ้นบ้าน เขาต้องไปพูดเพราะหนีพระทั้ง ๆ ที่เขาท้าทายเอง ก็เลยต้องบอกว่าพระถือปืนมา ไม่อย่างนั้นจะอายเขา ลุงเอี๊ยงที่เป็นคนขับรถของวัดและดูแลหลวงพ่อมาตั้งแต่แรกที่ท่านมาอยู่วัดท่าซุง ฟังคำลือจนทนไม่ไหว มีโอกาสก็จับแขนดึงหลบมุมไปถาม “ถามจริง ๆ เถอะหลวงพี่..หลวงพี่ถือปืนขึ้นบ้านเขาหรือ ?” บอกว่า “อาตมาจะไปเอาอะไรมา มีติดตัวอยู่แค่จุดสองห้อยนี่แหละ ที่ถือขึ้นไปก็มีพายอยู่อันเดียว” ลุงเอี๊ยงแกก็บอก “หลวงพี่บอกอย่างนี้ผมเชื่อ แต่ชาวบ้านไปลือกันเสียหมดเลย” บอกว่า “เรื่องของเขา อยากลือ ก็ลือไป”

บรรดาหลวงพี่ต่าง ๆ ก็เครียด โดยท่านที่ต้องบิณฑบาตสายหน้าวัด เพราะต้องพายเรือข้ามไปในเกาะ นั่นถิ่นของเขา เกรงว่าจะเกิดอันตราย อาตมาก็เลยบอกว่า “ถ้าพี่ไม่ไปเดี๋ยวผมไปเอง ถ้าใครรับกิจนิมนต์ในเกาะแล้วกลัว ผมไปแทนได้” จำไว้ว่าถ้าเราเป็นฝ่ายถือเหตุผลก็ไม่ต้องไปกลัวคนชั่ว อาตมาทำเอาพวกนั้นประเภทหงายหลังตึงมาหลายทีแล้ว คุยใหญ่คุยโตหนักหนา ถึงเวลาจะจัดการอย่างนั้นอย่างนี้ ก้าวขึ้นบันไดบ้านมาอาตมาก็ถาม “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ?” เกือบจะหงายหลังตกบันได ไม่นึกว่าพระจะกล้าไป"

เถรี 14-07-2015 14:25

"มีอยู่รายหนึ่ง ด่าตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงสองทุ่ม ให้ “กล้วย” มาเป็นลำเรือเลย เขาบอกว่าหากินมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ไม่มีใครกล้าทำกับเขาอย่างนี้ แน่จริงข้ามมาสิ พ่อจะยิงให้กลิ้งเป็นหมาเลย อาตมารอคำนี้อยู่ เพราะพระเราเขาไม่นิมนต์ก็ไปไม่ได้ เขาบอกว่า “แน่จริงให้ข้ามมา” ถือว่านิมนต์แล้ว..อาตมาก็ไป ปรากฏว่าเขาคว้าปืนลูกซองมาขึ้นลำกร้วม..! อาตมาก็เดินทื่อเข้าหา เขาโยนปืนทิ้งวิ่งหนีเอาดื้อ ๆ คาดว่ายิงแล้วแต่ยิงไม่ออก เลยต้องทิ้งปืนแล้ววิ่งหนี เพราะที่เดินเข้ามาไม่น่าจะเป็นพระหรอก น่าจะคนบ้า เพราะไม่กลัวปืน..!

เสร็จแล้วก็มีการโวยวาย ไปฟ้องร้องท่านเจ้าคุณอนันต์อีก บอกว่าจะขายที่ขายนามาเพื่อเอาพระสึกให้ได้ อาตมาก็เลยฝากไปบอกว่า “กูเป็นพระ กูทำได้แค่นี้ ถ้ากูสึกวันไหน มึงเจอหนักกว่านี้หลายเท่า..!” ก็เลยเงียบกันไปหมด สงบเรียบร้อยดีมาก แต่ก็ยังไม่เลิกนะ ยังเอาอีก อาตมาเจอเบ็ดราวยาวที่สุดในโลกก็ที่วัดท่าซุง เขาขึงกับต้นไผ่ที่เลยโรงพระสุธรรมยานเถระไป แล้วก็พายเรือกลับไปฝั่งเขา โรยเบ็ดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหน้าวัดยาง ยาวกิโลเมตรกว่า"

... (ไฟล์เสียงขาด)...

เถรี 15-07-2015 13:23

ถาม : เรื่องเกี่ยวกับสีลัพพตปรามาสค่ะ คือ เรามีอุปาทานเกี่ยวกับศีล ?
ตอบ : อุปาทานเกี่ยวกับอะไร ? สีลัพพตปรามาสเกิดจากความที่เรายังไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ในเมื่อเรายังไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง เราก็ยังรักษาศีลแบบไม่จริงไม่จัง การที่รักษาศีลแบบไม่จริงไม่จัง เขาเรียกว่ารักษาศีลแบบสีลัพพตปรามาส คือยังลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่ ยังไม่เอาจริง ไม่ได้อยู่กับตัวอุปาทานหรอก อยู่ที่ตัวขาดศรัทธา

ถาม : อย่างพวกที่เชื่อโหราศาสตร์ ตัวเลข ดูดวง เป็นอุปาทานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตราบใดที่เรายังไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไป ต้องเป็นทุกคน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นไปเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง คราวนี้พระโสดาบันท่านมีพระรัตนตรัยแน่นแฟ้นอยู่ในใจ มีความมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านก็ละเว้นเรื่องพวกนี้ได้ ถ้าคุณถามในลักษณะนี้ ทุกคนต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไปถึงจะเว้นได้ทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนั้น โลกนี้คงมีความสุขมาก

เถรี 15-07-2015 13:27

ถาม : เกี่ยวกับสมาธิค่ะ อย่างเวลานับลมหายใจ แล้วก็จะมีตัวเลขวิ่งมารอบที่หน้าผาก จังหวะที่เรารู้สึกตัวแล้ว เราไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ สักพักก็เหมือนกับหาลมหายใจไม่เจอ
ตอบ : แสดงว่าในอดีตเราอาจเคยได้ทิพจักขุญาณมาก่อน หรืออาจเป็นปัจจุบันนี้แหละ พอสภาพจิตเริ่มเข้าสู่ระดับของอุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์เริ่มเกิด ก็จะเห็นโน่นเห็นนี่ได้ เราตั้งใจนับลมหายใจเข้าออก ก็เลยเห็นเป็นตัวเลขได้

แต่ลักษณะอย่างนั้น แสดงว่าใจของเราบางทียังไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างแท้จริง ในเมื่อไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างแท้จริง พอหลุดจากลมหายใจเข้าออกไป เราจะไปไหนไม่ถูก โดยเฉพาะพอภาพความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมา แทนที่เราจะสนใจลมหายใจ เราก็ไปสนใจภาพนั้นแทน พอจิตหลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อไรก็ไปไม่เป็น

รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมาที่ลมใหม่ แล้วก็อย่าไปสนใจว่าจะเห็นหรือไม่เห็น ถ้าหากภาวนาแล้วอยากเห็นอีกจะฟุ้งซ่าน แล้วจะไม่เห็นอะไรเลย เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นอย่างไรช่างมัน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:06


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว