ถาม : คนที่โพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตัวเองกินลงใน facebook แต่ไม่ได้เชิญชวนให้ใครกิน ?
ตอบ : ไม่ได้ชวนให้เขากินก็เท่ากับชวน เพราะว่าดันไปโพสต์ยั่วกิเลสเขา สมัยก่อนตอนที่อาตมายังเด็ก ๆ อยู่ ร้านขายเหล้าจะมีธงเล็ก ๆ ปักไว้ เชื่อไหมว่าคนติดเหล้าเดินผ่าน แค่มองเห็นธงเท่านั้นแหละ มือไม้สั่นไปหมด อ้วกแตกเลย นี่ดันไปโพสต์ภาพตัวเองกำลังกิน หนักกว่าปักธงตั้งเยอะ ถาม : มีเพื่อนเห็นภาพที่โพสต์ลงแล้วอยากกินตาม เลยไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากิน ? ตอบ : เอ็งสนับสนุนเขาทำกรรมตั้งแต่โพสต์แล้วว่ะ..! ถาม : คนที่โพสต์ภาพนั้นถือว่ามีส่วนยุยงส่งเสริมให้คนอื่นผิดศีลข้อ ๕ ไหมครับ ? ตอบ : ตอบไปแล้ว |
ถาม : วิธีป้องกันตัวเองจากคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะคุณไสยหรือจะเสน่ห์ยาแฝดอะไรก็ตาม อันดับแรกควรจะภาวนาให้จิตทรงสมาธิให้ได้ อย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ถ้ากำลังของเราทรงปฐมฌานได้ เราจะมีกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ - ๓ ไสยศาสตร์อะไรก็ทำอันตรายไม่ได้ แต่เนื่องจากเรามีเวลาเผลอ หลุดจากการภาวนาได้ ดังนั้น...ก็เหลืออีกสองวิธีก็คือ อาราธนาพระหรืออาราธนายันต์เกราะเพชรให้คุ้มกายเราไว้ทุกวัน หรือไม่ก็เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรไปเลย ถาม : ทำไมเวลาโดนคุณไสยเล่นงาน เราถึงมีอาการขี้โกรธ ขี้โมโห มีวิธีแก้อย่างไรคะ ? ตอบ : ก็อย่าขี้บ่อยสิ ขี้เมื่อไรก็โกรธหรือโมโหเท่านั้น...! ก็บอกแล้วว่าโดนแล้วก็เท่ากับว่าเป็นอันตรายไปแล้ว จะแก้ก็ต้องไปถอน วิธีการถอนคุณไสย อาตมาก็ถอนไม่เป็น ฉะนั้น...จะไปสำนักไหนก็โปรดระวังไว้ด้วย เพราะว่าเขาเอาออกได้ เขาก็เอาเข้าได้ ส่วนใหญ่คนที่ไปก็กลายเป็นทาส ถึงเวลาก็เป็นอีกแล้ว หารู้ไม่ว่าพ่อเจ้าประคุณใส่มาให้ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปให้เขาอีก ถ้ามีโอกาสก็ไปงานเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งค่อนข้างจะสะดวกและปลอดภัยที่สุด แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีอีก |
ถาม : การจัดบูชาพระพุทธรูปภายในบ้านให้เหมือนวัด เป็นการสมควรหรือไม่คะ ?
ตอบ : สมควรอย่างยิ่ง สมัยก่อนเรื่องของพระเขาไม่เอาไว้ในบ้านเลย เพราะเขาถือว่าพระต้องอยู่วัดเท่านั้น คนโบราณออกรบราฆ่าฟันข้าศึกกลับมาเรียบร้อย ก็เอาพระไปคืนวัด จะเหลือติดตัวแต่พวกเครื่องรางของขลังเท่านั้น ดังนั้น..ถ้าจัดบ้านเหมือนวัดได้ก็เป็นเรื่องดี |
ถาม : จะมีโอกาสหรือไม่ที่พระอาจารย์จะเมตตาเปิดคอร์สปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๘ เดือน หรือตามที่จะเห็นสมควร แบบที่ส่งแม่ชีไปปฏิบัติ และบุคคลที่ส่งไปจำเป็นต้องมีพื้นฐานอย่างไรคะ ?
ตอบ : แล้วทำไมต้องเปิดด้วย ? ก็ในเมื่อรู้ว่าสถานที่นั้นเขามี เราก็ไปปฏิบัติที่นั่น ไม่จำเป็นต้องไปที่วัดท่าขนุน บุคคลที่ไปสำคัญตรงที่ต้องมีใจรักกรรมฐานอย่างมาก ไม่อย่างนั้น ๘ เดือนก็เหมือนอย่างกับ ๘ ชาติ..! |
ถาม : การกล่าวขอคำขมาพระรัตนตรัยแบบบาลีบทสวด แต่ไม่ได้กล่าวคำขอขมาแบบภาษาไทยกำกับ จะมีอานิสงส์ต่างกันหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจขอขมาจริง ๆ ก็เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจขอขมา พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง ผลก็จะน้อยกว่าการที่เราพูดแล้วรู้เรื่อง |
ถาม : ถ้าการตายจากโลกนี้ไปแล้ว และไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตาม ช่วงที่หมดบุญจะต้องตกนรกเช่นเดียวกัน จะมีวิธีปฏิบัติไม่ให้หมดบุญตกนรกได้อย่างไร ?
ตอบ : อยากลงนรกกันมากเลยหรือ ? เทวดา นางฟ้า พรหม หมดบุญไม่ได้แปลว่าต้องลงนรก ส่วนใหญ่ท่านไม่ได้โง่ มักจะสร้างบุญต่อกันข้างบนทั้งนั้น ถาม : จะต้องปฏิบัติเพื่อไม่ให้หมดบุญเหมือนกันอย่างไรบ้างคะ ? ตอบ : บอกแล้วว่าเขารู้จักสร้างบุญต่อ มีพระให้ทำบุญ มีพระให้ฟังเทศน์ |
ถาม : เวมาณิกเปรตหรือการเป็นเปรตสลับกับเทวดา ขอทราบว่าช่วงเวลาที่เป็นเทวดานั้น ได้อยู่บนสวรรค์ชั้นที่เท่าไร ?
ตอบ : อยู่ในเขตของเปรต แต่มีวิมานเหมือนกับเทวดา ถาม : และจะมีวิธีปฏิบัติเพื่อไม่ให้หมดบุญ ตกนรกได้อย่างไรคะ ? ตอบ : คงจะยาก เพราะว่าตอนเป็นเทวดาก็มักจะเพลินอยู่กับทิพย์สมบัติ พอถึงเวลากลายเป็นเปรตก็เดือดร้อนสาหัสทุกครั้งไป ส่วนใหญ่ก็มัวแต่เดือดร้อนและเพลิดเพลินสลับกัน โอกาสที่จะสร้างบุญเพิ่มก็ไม่มี เพราะว่าออกจากวิมานไม่ได้ |
ถาม : ขอทราบว่าการเข้าไปพบเห็นหรือท่องเที่ยวในภูมิต่าง ๆ เช่น บาดาล ฉิมพลีภูมิ หิมพานต์ จะต้องปฏิบัติอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติธรรมก็ต้องได้อภิญญา มีทั้งอภิญญาแบบใหญ่และแบบเล็ก แบบเล็กก็คือ ถอดจิตไปท่องเที่ยวภูมิต่าง ๆ เหล่านั้น แบบใหญ่ก็ยกกายหยาบไปเลย ประการสุดท้าย ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถึงวาระเขาก็เปิดให้เข้าไปได้ชั่วคราว |
ถาม : มนุษย์ต่างดาวมีอายุโดยเฉลี่ยประมาณกี่ปี มีนรกสวรรค์หรือไม่ และถ้าตายไปพวกเขามีดวงวิญญาณหรือไม่คะ ?
ตอบ : คำว่าดวงวิญญาณ ในความหมายของเราก็คือดวงจิต สิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดมีดวงจิตทั้งนั้น ยกเว้นบรรดาทั้งหลายที่อยู่ในลักษณะของกึ่งพืชกึ่งสัตว์ ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ดาวไหนก็มีดวงจิตทั้งสิ้น ถ้าทำดีทำชั่วถึงเวลาก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกเดียวกัน อายุของแต่ละแห่งไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่จะอายุยืนกว่ามนุษย์ทั่วไป |
ถาม : หลังจากที่ตนเองได้เริ่มทำบุญที่บ้านสายลมตั้งแต่ครั้งแรกจนปัจจุบันนี้ ประมาณ ๕ ปีกว่า ได้พบเห็นเครื่องประดับขาวใส ๆ ประมาณของเทวดากระมังคะ ? ลอยติดตามไปทุกที่ตลอดเวลา นาน ๆ ครั้งก็เห็นใบหน้าเทวดา แต่ไม่สวยเหมือนรูปวาดจิตรกรรม การเห็นนิมิตแบบนี้ต้องการเตือนอะไรกับเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมักจะเป็นเทวดาที่รักษาตัวเรา เพราะฉะนั้น...อุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านบ่อย ๆ เพิ่มบุญเพิ่มบารมีให้กับท่าน ท่านจะได้รักษาเราให้ดียิ่งขึ้น |
ถาม : เวลาฟังบทบวงสรวงชุมนุมเทวดา หนูหลับตาแล้วเห็นเทวดามากมาย หนูเลยนึกให้กายในกราบลง แล้วบอกท่านทั้งหลายว่า หนูกราบขอขมาหากหนูเคยล่วงเกินท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายโมทนาบุญทั้งหมดที่หนูเคยทำมาด้วย จะเป็นการสมควรไหมคะ ? ตอบ : สมควรที่จะทำถาม :แล้วสิ่งที่หนูเห็นมีอยู่จริงใช่ไหมคะ ? ตอบ : เห็นเองแต่ดันไปถามคนอื่น..! |
ถาม : ผมคบกับแฟนมา ๘ ปี จนครอบครัวทั้งสองฝ่ายสนิทสนมกันมาก ครอบครัวผมรักแฟนผมและครอบครัวเขามาก ขนาดเคยเลิกกันยังกำชับไม่ให้ผมมีแฟน แต่พอกลับมาคบกันก็เร่งจะให้แต่งงาน ตอนผมบวชครอบครัวผมเครียดมาก กลัวผมไม่สึก แต่ผมมีความสุขมาก ผมปฏิบัติได้ไม่นาน แต่ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งสุข อยากบวชอีก อยากเป็นโสดตลอดไป อยากเลิกกับแฟน แต่ทางครอบครัวไม่ยอม
ผมจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบนพระที่ไหนดีครับให้ท่านดลบันดาลให้แฟนยอมเลิกกับผม ให้ครอบครัวยินดีให้ผมเป็นโสด และได้บวชตามความปรารถนา หรือผมควรวางกำลังใจอย่างไรดีครับ ? ตอบ : ฉลาดกว่าควายนิดหนึ่งตรงที่เดินได้สองขา...! มึงเสือกทะลึ่งสึกมาทำไม ? ถ้าไม่สึกก็ไม่มีใครบังคับได้อยู่แล้ว |
ถาม : หนูมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับกฐิน เนื่องจากปีนี้หนูรับเป็นเจ้าภาพกฐินที่วัด ได้เตรียมบริวารเครื่องกฐินไว้พร้อมเสร็จสรรพ แต่มาอ่านเจอว่ากฐินสำคัญตรงผ้าไตร หนูสงสัยว่าหากเราเป็นเจ้าภาพกฐิน จำเป็นต้องถวายผ้าไตรชุดใหญ่ถวายพระให้ครบทุกรูปหรือเปล่าคะ ? ถามเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านบอกว่าถวายรูปเดียวก็พอ เพราะท่านที่รับครองกฐินมีรูปเดียว หนูเลยสงสัยว่า อย่างไรจึงจะถูกคะ ?
ตอบ : ถ้ามีน้อยถวายสบงผืนเดียวก็พอ พอมีบ้างก็ถวายครบไตร ถ้าเหลือกินเหลือใช้ก็ถวายทุกรูป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่นายหนังหรือว่าหัวหน้าวงมโนราห์สมัยก่อน ท่านศึกษาความรู้ไว้มาก โดยเฉพาะทางด้านเวทมนต์คาถา ซึ่งมีทั้งดึงคนมาดูการเล่นมโนราห์ของตัวเอง เพื่อสร้างรายได้ให้กับวง มีการป้องกันการกลั่นแกล้งของผู้อื่น แล้วถ้าเขาแกล้งไม่เลิกก็มีการเอาคืนด้วย
ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายจะมีความเข้มขลังทางวิทยาคมเป็นปกติ เมื่อบวชเข้าไปก็เลยกลายเป็นครูบาอาจารย์ที่ชาวบ้านเขาพึ่งได้ทันที อย่างพ่อแก่เจ้าแสงก็เหมือนกัน อยู่ปัตตานีมาจนกระทั่งอายุ ๑๐๐ กว่าปี ได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้วตั้งแต่สมัยก่อนบวช ในเขตนี้ถ้าท่านไม่ดีจริงอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าปัตตานีนี่แทบจะเป็นอีกประเทศหนึ่งแล้ว ปัตตานีน่าจะเป็นจังหวัดที่มีอิสลามมิกชนมากที่สุดในประเทศไทย พอไปถึงแล้วรู้สึกเหมือนกับเราเป็นคนแปลกหน้า แต่ว่าช่วงก่อนที่เขาจะมีเรื่องมีราว อาตมาไปปัตตานีรู้สึกว่าเขาอยู่กันอย่างสงบร่มเย็นดี แล้วทุกวันนี้ที่น่าสงสารก็คืออิสลามที่ดี ๆ ถึงเวลาเขาก่อเหตุขึ้นมาก็พลอยตายไปด้วย ตัวคนก่อเหตุต้องบอกว่าตั้งใจจะสร้างเหตุให้เกิด โดยไม่ได้เห็นแก่ชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่เป็นอิสลามมิกชนเช่นเดียวกับตัวเอง ในสายตาของอาตมาถือว่าเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก เพราะว่าพวกตัวเองก็ยังฆ่า" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่แย้ม วัดสามง่ามก็ไปแล้ว อายุท่าน ๑๐๒ ปี ระยะนี้พระเถระทิ้งสังขารกันเป็นแถว ๆ จะบอกว่าท่านมรณภาพเร็วก็ไม่ได้ เพราะว่าอายุเป็นร้อยทั้งนั้น อย่างหลวงพ่อรวย วัดตะโก อายุน้อยหน่อย ๙๔ ปีเอง ต้องบอกว่าถึงวาระที่ท่านจะไป
ในวาระที่ประเทศชาติของเรารุ่มร้อน ก็ต้องเอาของเย็นมาดับ ยิ่งเย็นมากก็ยิ่งแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้มากเท่านั้น เล่นของหนัก ๆ ไปกันทีหนึ่งหลายรูปหลายองค์" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ไม่มีโอกาสที่จะเข้ากรรมฐานได้อยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าท้ายสุดสิ่งที่พระท่านสั่งก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะว่าช่วงที่ต้องไปสอนหนังสือติด ๆ กัน ๒ วัน เป็นช่วงที่ควรจะเข้ากรรมฐาน กลายเป็นว่าเขาหยุดให้การสอบนักธรรม สรุปก็คือเอาจนได้แหละ ในเมื่อเขาเว้นให้สอบ อาตมาไม่ต้องไปสอน จึงเข้ากรรมฐานได้ตามที่ท่านสั่ง"
|
ถาม : การปฏิบัติของผมคือฟังเทปหลวงพ่อ แล้วปฏิบัติตาม ?
ตอบ : ทำแล้วต้องมีศีลกำกับด้วย เราระมัดระวังรักษาศีลเป็นปกติ สมาธิก็จะทรงตัวเอง ถ้าเราทำสมาธิได้ก็จะมีกำลัง อันดับแรกคือกำลังใจในการที่เราละชั่วทำดี หลังจากนั้นจะมีปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป ว่าทำอย่างไรถึงจะก้าวไปสู่ความดีที่สูงยิ่งขึ้น อันดับแรกเอาในเรื่องของศีลก่อน จากนั้นพยายามฝึกหัดสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออก ถ้ากำลังใจทรงตัวมุ่งมั่น ศีลก็จะรักษาเราเอง |
ถาม : ติดขัดในการปฏิบัติ ?
ตอบ : เราต้องตามลมหายใจจนกระทั่งลมหายใจหายไปเอง คำภาวนาหายไปเอง แล้วเหลือแต่ตัวรู้อย่างเดียว สภาพจิตจะดิ่งลึกเป็นสมาธิลงไปเรื่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่พอไปถึงตรงนั้นแล้ว มักจะตกใจว่าเราไม่หายใจ แล้วก็ตะเกียกตะกายหายใจใหม่ กลายเป็นถอยหลังไป ของพวกนี้ต้องค่อย ๆ สะสมไป แต่ว่าอยู่ในที่อันตรายอย่างปัตตานีดีตรงที่ว่า ใจเราเกาะพระแน่นดี ถ้าอยู่ที่สบาย ๆ แล้วไม่ค่อยนึกถึงหรอก |
ถาม : ยานี่เอาไว้ทำอะไรคะ (ยาจินดามณี) ?
ตอบ : เขาเอาไว้รักษาโรคที่หมอทั่วไปรักษาไม่ได้ แต่มีผลข้างเคียงอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือร่างกายทรุดโทรมช้า หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ใคร ๆ ก็เรียกคุณยาย ๒,๐๐๐ ปี เพราะว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา เล่นเหมายาหลวงปู่บุญไปให้ภรรยา ภรรยากินทุกวัน อายุ ๘๐ กว่าแล้วยังเดินตัวปลิวเลย เจตนาเขาไว้รักษาโรค ถ้าจะกินให้ไม่แก่นั่นผิดเจตนา ยังแก่อยู่...แต่เป็นคนแก่ที่แข็งแรง จริง ๆ แล้วต้องขายเป็นเม็ด สมัยก่อนหลวงปู่บุญให้ลูกศิษย์ปั้นยาจินดามณี เม็ดเท่าพริกไทยเอง สมัยนี้พวกเราฟุ่มเฟือยเป็นบ้า ส่วนผสมยิ่งหายาก ๆ หลายอย่างต้องอาศัยบุญวาสนาจริง ๆ ถึงได้เรียกว่ายาวาสนา ดูอย่างอำพันทอง ร้อยวันพันปีจะมีลอยมาติดชายฝั่งเสียที บางคนบอกว่าเป็นสเปิร์มปลาวาฬ บางคนบอกว่าเป็นอ้วกของปลาวาฬ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนุมานหรือลิงของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ส่วนใหญ่แกะหยาบ ๆ ไม่มีรายละเอียด ลิงของหลวงปู่สุ่น วัดศาลากุน ถือว่าโชคดี ได้ช่างจีนฝีมือดี เลยแกะออกมาหน้าตาดูหล่อ ไม่อย่างนั้นส่วนใหญ่จะแกะออกมาลวก ๆ ดูอย่างลิงของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัวสิ เกลา ๆ ขึ้นรูปมาเท่านั้นเอง บางตัวช่างกำลังอารมณ์ดีแกะออกมายิ้มแฉ่งเลย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัยนี้สงสัยว่า สมัยก่อนการทรงจำพระไตรปิฎกใช้การท่องจำเอา มีความแม่นยำแค่ไหน ? เราดูแค่การสวดมนต์ทุกวันนี้ก็พอ ถ้าสวด ๆ ไปแล้วมีคนสวดผิด เราจะรู้ทันทีว่าเขาผิด
ลักษณะของการท่องจำพระไตรปิฎกก็แบบเดียวกัน เขาท่องพร้อม ๆ กัน เวลาใครผิดก็รู้ จะได้แก้ไขให้ถูก เพราะฉะนั้น...โอกาสที่คนหมู่มากถูก คนส่วนน้อยผิด คนส่วนน้อยก็จะต้องแก้ไขตาม เขาถึงได้ใช้คำว่า สังคีติ ก็คือการร้อยกรอง เหมือนแต่งโคลง แต่งกลอน หรือแต่งเพลง การที่เราสังคายนามาจาก คำว่า สังคีติ ในบาลี ใครผิดส่วนใหญ่จะรู้ทันที แล้วคนผิดก็จงรีบแก้เสียดี ๆ" |
ถาม : อาการขนลุกเกิดจากเหตุอะไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : ขนลุกมีหลายสาเหตุด้วยกัน ถ้าภาวนาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ เขาเรียกว่าปีติ เป็นปีติเบื้องต้น แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ซึ่งอากาศเย็นก็มีขนลุก หรือผีกำลังจะหลอกก็ขนลุก เพราะฉะนั้น...ต้องดูบริบทด้วยว่าเป็นเพราะอะไร |
ถาม : ลูกน้องชอบหยุดงาน ไม่เชื่อฟัง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็แค่ยุติธรรม ตรงไปตรงมา คนไหนไม่เชื่อก็ไล่ลดปลดออก ตัดเงินเดือนอะไรไปก็ได้ พวกเราส่วนใหญ่จะไปกลัวว่าหาคนใหม่ไม่ได้ ไม่ต้องไปกลัว ไล่กระจายไปเลย ถ้าหากว่าเรางานดีเงินดีจริงแล้วมีความยุติธรรม อยู่ที่ไหนเขาก็มาเอง สมัยก่อนที่อาตมาคุมงานอยู่ก็ใช้ระบบนี้แหละ เพราะว่าพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะถึงกันหมด พอถึงกันหมดนี่เราทำอะไรคนหนึ่งคนอื่นจะรู้ด้วย ถ้าเรามีความยุติธรรมจริง เงินเดือนออกตรงเวลา มีการปูนบำเหน็จลงโทษชัดเจน เดี๋ยวเขาก็มาเอง ถ้ามัวแต่ไปกลัวอยู่เขาก็ขี่หัวเป็นพ่อเรา ไม่ใช่เป็นลูกน้องเรา |
ถาม : อยากจะเอาลูกชายมาฝากเป็นลูกท่านครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเอามาหรอก จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การอบรมสั่งสอน ไม่ใช่ว่าเอาไปฝากเป็นลูกพระแล้วลูกจะดี ฝากเป็นลูกพระส่วนใหญ่จะเดือดร้อนทีหลัง ถึงเวลาเผลอไปตีเข้า เดี๋ยวเขาก็ป่วยไข้ไม่มีสาเหตุ |
ถาม : ช่วงนี้ไปปฏิบัติแล้วรู้สึกแห้ง ๆ กลัวว่าฝึกมากไป พอผ่อนแล้วกิเลสจะแรงขึ้นกว่าเดิมครับ ?
ตอบ : ก็พิจารณาสิครับ ให้เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร ? น่าเบื่อหน่ายอย่างไร ? ควรที่เราจะละทิ้งแบบไหน ? ถ้าหากว่าสภาพจิตยอมรับ ก็จะถอยห่างออกมาเอง จะไม่กำเริบ ต้องพิจารณาเพิ่ม ไม่อย่างนั้นแล้วไม่ใช่แห้งอย่างเดียว เดี๋ยวจะโดนงัดหงายท้องไปด้วยจะหนักกว่าเดิม เพราะฉะนั้น...ไปพิจารณาเพิ่มอีกหน่อย |
ถาม : เราตั้งใจจะมีเมตตา เคยเมตตาแล้วแต่ใช้ไม่ได้ผลกับคนไม่ดี แล้วเราเปลี่ยนกำลังใจไปอีกอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : อุเบกขาในเมตตา พูดง่าย ๆ คือเตะสักป้าบหนึ่ง เพราะว่าถ้าหากว่ากูไม่เตะมึงนะ ไปเจอคนอื่นเขาอาจจะฆ่ามึงเลย เพราะฉะนั้น...กูเมตตามึงแค่นี้ ว่าแล้วก็เหวี่ยงซ้ำเข้าให้ อย่าไปเมตตาอย่างเดียว ต้องมีอุเบกขาด้วย การเมตตาไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไรเลย ถ้าเราไม่สั่งไม่สอน เขาก็จะทำผิดไปเรื่อย ๆ อันนั้นถือว่าไม่เมตตาเสียด้วยซ้ำไป |
ถาม : ภาวนาพุทโธ แล้วลมหายใจเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าต้องให้นิ่งไปกว่านี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าไม่สามารถไปไกลกว่านี้ก็ถอยออกมาพิจารณา แต่ถ้าไปไกลกว่านี้ได้จะดีกว่า เพราะว่ากำลังจะสูงกว่า เมื่อพิจารณาแล้วสามารถตัดกิเลสได้ง่ายกว่า ถาม : ตอนพิจารณา...? ตอบ : ถ้าปัญญาเห็นจริง สภาพจิตจะยอมรับว่าเป็นไปตามนั้น เมื่อยอมรับแล้วก็รับเลยโดยไม่กำเริบใหม่ อย่างเช่น บอกว่าร่างกายนี้ไม่ดี ก็เห็นว่าไม่ดีจริง ๆ ในเมื่อร่างกายของเราไม่ดี ก็จะเห็นว่าร่างกายของคนอื่นก็ไม่ดีด้วย ไม่ต้องการของเราก็ไม่ต้องการคนอื่นด้วย ตัวปัญญาถ้ายอมรับจะรับแบบเด็ดขาด ภาษาบาลีเรียกว่า สมุจเฉทปหาน ตัดขาดได้เลย ค่อย ๆ ทำ เดี๋ยวจะแซงพระไปไกล |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้น้ำซึ่งท่วมหลายพื้นที่ก็เริ่มคลี่คลายตัวลง ในขณะที่อีกหลายพื้นที่เพิ่งจะเริ่มท่วม ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดนท่วมพอ ๆ กัน เอเชียก็ท่วม ยุโรปอเมริกาก็ท่วม ท่วมกันทั่วถึงมาก โดยเฉพาะรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นว่าน้ำท่วมครั้งนี้น่าจะเสียหายเป็นหมื่นล้านดอลล่าร์ เพราะว่ารัฐเท็กซัสสมัยก่อนค่อนข้างจะแล้งมาก แต่อยู่ ๆ มาเจอพายุเฮอริเคนตามมาด้วยฝนหนัก
ส่วนเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย มุมไบสมัยก่อนชื่อบอมเบย์ มุมไบเปรียบไปก็เหมือนกับกรุงเทพฯ ของเรา ท่วมไม่มากหรอก แค่คอเท่านั้นเอง..! ในเมื่อเราทำความดีกันน้อยลง ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็รุนแรงขึ้น การสิ้นกัปหรือว่าการสิ้นโลกของเราจะสิ้นลงไปด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยโรคภัย ด้วยอาวุธ ถ้าเป็นสันตถันตรกัปก็จะโดนทำลายด้วยอาวุธ อย่างนิวเคลียร์ล้างโลก เป็นต้น ถ้าเป็นโรคันตรกัปก็จะโดนทำลายด้วยโรค เรื่องพวกนี้มีระบุเอาไว้นานแล้ว เพียงแต่ว่าคนเราอยู่นาน ๆ ไปก็ห่างศีล ห่างธรรม ห่างความดี เมื่อความชั่วมีมากกว่า กระแสความชั่วแรงกว่า ไม่มีส่วนของความดีมาคอยยับยั้ง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามกรรมที่เราทำไว้เอง ดังนั้น...ถ้าพวกเราไม่อยากเดือดร้อน ก็ต้องปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นปกติ เอาให้ถึงระดับที่บาลีเรียกว่า ฐิตะกัปปี ได้ก็ยิ่งดี ฐิตะกัปปีแปลตรง ๆ ว่า ผู้ยังกัปนี้ให้ตั้งอยู่" |
"ในบาลีบอกว่า บุคคลนั้นจะเข้าถึงมรรคผลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ต่อให้โลกจะโดนทำลายแล้วก็ยังทำลายไม่ได้ ต้องรออยู่จนกว่าท่านจะได้มรรคผลตามวาระของท่านเสียก่อน จึงได้ชื่อฐิตะกัปปี ผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่
พวกเราทำความดีกันแม้ว่าจะจำนวนน้อย ก็อาจจะแค่รักษาตัวเรา รักษาครอบครัว เอาแค่นี้ก็พอ...ไม่ต้องมาก ถ้ามากไปกว่านั้น ท่านที่ทรงความดีสูง ๆ ก็สามารถรักษาชุมชน จะเล็กจะใหญ่ก็แล้วแต่กำลังความดีของท่าน เราจะเห็นว่าระยะนี้หลวงปู่หลวงพ่อที่ทรงคุณความดี โดยเฉพาะอายุมากเป็นร้อยปี มรณภาพกันหลายรูปหลายองค์ แม้ว่าจะเป็นการมรณภาพ เท่ากับสูญเสียบุคคลที่ทรงคุณความดีไป แต่ก็แลกกับภัยพิบัติ ซึ่งจะรุนแรงมากก็กลายเป็นเบาบางลง ทางบ้านของอาตมาเองคือจังหวัดนครปฐม ก็เพิ่งจะเสียพระเถระที่อายุกาลพรรษามาก คือ หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม อายุ ๑๐๒ ปี ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม หลวงปู่เต๋สมัยก่อนโด่งดังมาก สิ่งที่พวกอาตมาอยากได้สมัยนั้นก็มีตะกรุดของหลวงปู่เต๋ บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็อยากได้ตุ๊กตาทองของท่าน ตอนหลังตุ๊กตาทองของท่านเขาเรียกกันว่ากุมารทอง หลวงปู่เต๋เป็นสำนักแรก ๆ เลยที่สร้างกุมารทอง ท่านทำตะกรุดแล้วดังขนาดไหนบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าถ้าหาวัสดุสร้างตะกรุดไม่ได้ ต้องเอาถุงปูน ปูนก่อสร้าง..ปูนซิเมนต์นั่นแหละ มาทำความสะอาด เขียนยันต์เสร็จแล้วก็ม้วน ถักเชือกให้ลูกศิษย์แทน เพราะว่าหาโลหะไม่ทัน นาน ๆ จะมีตะกรุดถุงปูนหลุดออกมาสักที เราต้องคิดว่าบุคคลที่สร้างวัตถุมงคล ลูกศิษย์ไปขอจนกระทั่งสร้างไม่ทันนั้น ท่านจะเป็นที่เคารพนับถือขนาดไหน" |
"บางสำนักอย่างหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย เจ้าของเครื่องรางในตำนานก็คือ พิสมรวัดพวงมาลัย หลวงปู่แก้วหาวัสดุสร้างตะกรุดให้ลูกศิษย์ไม่ทัน ก็เอาสังกะสีมุงหลังคาศาลานั่นแหละ เอามาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เขียนยันต์แล้วม้วนเป็นตะกรุดให้ เพราะฉะนั้น...ใครไปเจอตะกรุดสังกะสีผุ ๆ นี่ โปรดอย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด อาจจะมองข้ามของดีไปอย่างน่าเสียดาย
ถ้าไปเจอม้วนกระดาษเก่า ๆ มีเชือกผูกหัวผูกท้ายมา ก็อย่าไปคิดว่าใครมาทำอะไรเหลวไหล นั่นคือตะกรุดถุงปูนของหลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม ตะกรุดเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งที่ใช้ร้อยเชือกติดตัว ค่านิยมก็คือต้องแขวนไม่ต่ำกว่าเอว สมัยก่อนเป็นหนึ่งในเครื่องคาดราชศัสตรา ก็คือของขลังคู่กายพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งจะมีตะกรุด มีลูกสะกด เป็นต้น ถามว่าทำไมเครื่องรางของขลังกลายเป็นเครื่องคาดราชศัสตราติดพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ? ก็เพราะว่าสมัยก่อนเขาถือว่าพระต้องอยู่วัด ดังนั้น...คนสมัยโบราณไม่ได้บูชาพระอยู่กับบ้าน เพราะเห็นว่าบ้านเป็นของต่ำ พระผู้บริสุทธิ์ไม่ควรที่จะอยู่ปะปนกับคน เพราะฉะนั้น...สมัยโบราณเมื่อออกรบอะไรเสร็จสรรพเรียบร้อย ถ้ามีพระติดตัวไป ถึงเวลาเลิกรบแล้วก็เอาพระไปคืนไว้ที่วัด ที่จะติดตัวอยู่ก็มีแต่พวกเครื่องรางเท่านั้น อย่างเช่นว่า ตะกรุด พิสมร แหวนพิรอด สายคาดเอว เป็นต้น ก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องคาดราชศัสตรา" |
"เท่าที่อาตมาเคยได้ข่าวมาก็มี หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ จังหวัดอยุธยา ทำตะกรุดถวายในหลวง มีหลวงพ่อไท วัดไทรย้อย จังหวัดเพชรบุรี ทำเสือมหาอำนาจถวายในหลวง แล้วที่เห็นคาตา ก็คือ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถวายมีดหมอดาบฟ้าฟื้นให้ในหลวง ทั้ง ๒ พระองค์เลยนะ ทั้งในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่เป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ในปัจจุบัน
สมัยก่อนครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละรูป ท่านสร้างเครื่องรางของขลังให้ลูกศิษย์ ก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก เพราะส่วนหนึ่งเกรงว่าจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ เกรงลูกศิษย์ได้เครื่องรางของขลังไปแล้วอยู่ยงคงกระพัน อาวุธทำอันตรายไม่ได้ อาจจะคิดการใหญ่ก่อกบฏขึ้นมา ก็เลยมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างสูง ท่านที่ทำถวายในหลวง ก็จะทุ่มเทสุดยอดความสามารถในชีวิตของตน เพื่อที่จะสร้างวัตถุมงคลที่มีพลานุภาพสูงสุด ถวายเป็นเครื่องคาดราชศัสตรา อย่างเช่น สายวัดประดู่ทรงธรรม สืบทอดตำราสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ซึ่งได้สร้างเครื่องคาดราชศัสตราถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทางสายวัดประดู่ทรงธรรม ก็จะทำตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชถวายในหลวง ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชต้องใช้พิธีใหญ่ ล้อมราชวัตรฉัตรธง แล้วจารตะกรุดในพิธี โดยมีพระสงฆ์ ๑๐๘ รูปเจริญพุทธมนต์ แล้วต้องมีการกำหนดว่า เจริญพุทธมนต์บทนี้ต้องลงอักขระชุดนี้ เจริญพุทธมนต์บทนี้ลงอักขระชุดนี้ สวดจบก็เขียนตะกรุดเสร็จพอดี ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชจึงไม่ใช่ของหาง่าย ๆ อาตมาเรียนมาจากตำราสายหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ที่ถ่ายทอดไปถึงหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี แล้วหลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน ศึกษามาอีกต่อหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทำเมื่อไร เพราะว่าต้องใช้พระ ๑๐๘ รูป ตั้งปะรำพิธี ๔ ทิศ ทิศละ ๒๗ รูป" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ในสื่อสังคมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างร้อนแรง ความจริงนั้นเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่ดังขึ้นมาอีกรอบก็คือ เรื่องที่คุณเนติวิทย์ ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดนปลดออก
คุณเนติวิทย์คัดค้านการที่นิสิตไปหมอบกราบพระบรมราชานุสาวรีย์ ๒ รัชกาล ในเมื่อคัดค้านแล้ว ทำให้มีความปั่นป่วนขึ้นในพิธี มหาวิทยาลัยก็เลยลงโทษด้วยการตัดคะแนนความประพฤติ จนกระทั่งคะแนนไม่พอ จึงหลุดออกจากสภานิสิต ฯ ซึ่งเรื่องนี้ในความเห็นของอาตมาว่า ทางมหาวิทยาลัยทำถูกแล้ว เหตุที่ทำถูกแล้ว ไม่ใช่ว่าการเห็นต่างของคุณเนติวิทย์เป็นความผิด แต่คุณเนติวิทย์ทำแบบไม่ดูกาละเทศะ ไม่ดูขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี โบราณว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม แต่คุณเนติวิทย์เป็นคนตาดีเพียงคนเดียว ก็เลยอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ยาก ถ้าว่ากันในด้านของหลักธรรม คุณเนติวิทย์ขาดข้อธรรมที่ว่า ปูชา จ ปูชนียานํ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ในหลวงรัชกาลที่ ๕ มีคุณความดีขนาดไหน คนรู้กันทั้งในและต่างประเทศ คุณเนติวิทย์จะบอกว่าพระองค์ท่านเลิกทาสแล้ว ทำไมต้องไปหมอบ ไปกราบ ไปไหว้อยู่ด้วย ในเมื่อไม่รู้จักบุคคลที่ควรบูชายังไม่ว่า ยังไม่รู้กาลเทศะอีกต่างหาก" |
"กาละ คือ เวลาที่เหมาะสม เทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม
แปลว่าขาดศิลปะในการดำรงชีวิต ก็คือขาดมงคลอีกข้อหนึ่งที่ว่า การมีศิลปะเป็นอุดมมงคล คือ สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ในเมื่อขาดศิลปะในการดำรงชีวิต ไม่รู้จักคล้อยตามเสียงส่วนใหญ่ แปลว่าเป็นบุคคลที่กระด้าง คำว่ากระด้างก็คือ ส่วนใหญ่ต้องการอย่างไรตัวเองไม่สนใจ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกแล้ว ดีแล้ว อย่างเดียว บุคคลประเภทนี้จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ยาก สมมติว่าเรียนจบไปแล้วถ้าไปสมัครงาน ไปบริษัทไหน ถึงเวลายื่นใบสมัคร เขาเห็นว่าชื่อเนติวิทย์ ทุกบริษัทก็คงจะคิดหนัก ว่าบุคคลมีความสามารถแต่ไม่รู้กาละเทศะ ไม่เคารพธรรมเนียมแบบนี้ ควรที่จะรับเอาไว้ในบริษัทของตนหรือไม่ ?" |
"เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะเห็นว่า ในส่วนของหลักธรรมคุณเนติวิทย์ก็ขาด ในด้านของสังคมก็บกพร่อง ท้ายที่สุดก็เลยเหลือในเรื่องของปัญญา
ในเรื่องของปัญญานั้น คุณเนติวิทย์สามารถสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ในเรื่องของปัญญาที่เป็นสุตมยปัญญา ก็คือ ความจำ ถือว่าดีมาก แต่ว่าปัญญาในการเอาตัวรอดที่เป็นเนปักกปัญญาไม่มี ก็เลยต้องไปขัด ต้องไปสะดุดกับระบบ ไปสะดุดกับธรรมเนียมประเพณีของคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เป็นที่ถูกใจของตนเองที่เป็นชนกลุ่มน้อย เป็นเสียงส่วนน้อย ในเมื่อตนเองเป็นเสียงส่วนน้อย ไม่รู้จักเคารพเสียงส่วนมาก ปัญหาจึงเกิดขึ้น บุคคลประเภทนี้อยู่ที่ไหนก็จะสร้างความวุ่นวายให้กับสังคมที่นั่น เพราะว่าถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง เห็นว่าตัวเองทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว บุคคลอย่างคุณเนติวิทย์เกิดเร็วเกินไป หรือเกิดผิดสถานที่ คำว่าเกิดเร็วเกินไปก็คือ ถ้าต่อไปอีกสัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปี สังคมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในแนวที่เขาต้องการ ขณะเดียวกัน ถ้าไปเกิดอยู่ในสังคมตะวันตก ที่เชื่อความสามารถของคนมากกว่าเชื่อความดีของคน ก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกับเขาได้ แต่ว่าในสังคมของบ้านเรายังเชื่อในความดีของคน ยังมีการแสดงออกในลักษณะของกตัญญูกตเวทิตา ก็จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ยาก" |
"ดังนั้น...เรื่องของคุณเนติวิทย์จึงขอสรุปลงตรงที่ว่า เป็นบุคคลที่ขาดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ไม่เข้าใจสภาพสังคมส่วนใหญ่ว่ามีความต้องการอะไร และบกพร่องทางปัญญา แสดงออกโดยไม่ดูกาลเทศะ ไม่ดูขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี จึงทำให้ตนเองและบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองเดือดร้อน
เรื่องการเห็นต่างของคุณเนติวิทย์เป็นของดี เพราะว่าบุคคลอื่นจะได้ดูว่า สิ่งที่คุณเนติวิทย์ว่ามานั้นมีความจริงเท่าไร แต่เราจะต้องคำนึงถึงสภาพของส่วนรวมด้วย ไม่ใช่ว่าเราไปได้คนเดียว แต่มหาวิทยาลัยไปไม่ได้ มหาวิทยาลัยของเราไปได้ แต่ประเทศชาติไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ถูกต้อง ความจริงเรื่องของคุณเนติวิทย์ไม่น่าจะดังขึ้นมา แต่ที่ดังขึ้นมาเพราะว่าเมื่อเขาแสดงการต่อต้านระบบแล้ว อาจารย์ก็แสดงออกด้วยความรุนแรง เรื่องจึงดังขึ้นมา เราเองเมื่ออยู่ในกระแสสังคม เราต้องรู้จักกลั่นกรองด้วยสติ ด้วยปัญญา จะได้เห็นว่าอะไรดีจริง อะไรไม่ดีจริง อะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นแล้ว มัวแต่ใช้อารมณ์ ก็อาจจะสร้างกระแสร้อนแรง โหมกระพือไฟ จนกระทั่งกลายเป็นความแตกแยกในสังคม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลอง ๘๐ ปีตุ๊พ่อสิงห์ ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายจนสำเร็จลงด้วยดี ต้องบอกว่าจัดได้ดีกว่าที่อาตมาคาดไว้มาก เพราะว่าไม่มีเวลาดูแลใกล้ชิด แต่ท่านที่รับช่วงไปดูแลมีความสามารถจริง ๆ โดยเฉพาะในส่วนของซุ้มสืบชะตา ทำได้สวยมาก ยังบอกกับท่านเอาไว้ว่า เดี๋ยวพออีก ๒ ปี จะจัดงานของตัวเอง ๖๐ ปีบ้าง ขอให้พระชุดนี้ไปช่วยงานที่วัด ท่านเจ้าอาวาสวัดศรีปิงเมืองท่านตกลงแล้วนะ
เรื่องของการจัดงาน ๘๐ ปีให้ตุ๊พ่อสิงห์ ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จในหลายด้านด้วยกัน ด้านความรักความสามัคคีในหมู่ศิษย์ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ทุกคนพร้อมใจกันช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนงานออกมาดีมาก ในเรื่องของความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่ เพราะว่าในช่วงวันที่ ๑๙ ตุ๊พ่อก็ได้มาติกาบังสุกุล ทำบุญถวายบรรพบุรุษก่อน พอวันที่ ๒๐ คณะศิษย์ก็จัดงานสืบชะตาหลวงถวายท่าน คือตุ๊พ่อท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวที ต่อพ่อแม่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ คณะศิษย์ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อตุ๊พ่อ ฉะนั้น...ในส่วนเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงามของไทยเรามาแต่เดิม ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างจะเลือนลางจางหายไปในกระแสสังคมยุคใหม่ พวกเราก็ได้ทำให้ปรากฏชัดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราระยะนี้ให้ระมัดระวังเรื่องน้ำไว้ด้วย ตอนนี้น้ำท่วมทั่วโลกเลย ไม่ใช่แต่บ้านเรา ได้ยินกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนในเรื่องของพายุเข้าประเทศไทย ก็ระมัดระวังล่วงหน้าไว้สักนิดหนึ่ง
ในเรื่องของการอุตุนิยมวิทยาสมัยใหม่ ความรู้ความสามารถมีมากขึ้น เพราะว่าเครื่องมือเครื่องไม้ดีขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ทำให้ทำนายได้แม่นยำ ลักษณะเดียวกับประเทศอังกฤษ ประเทศอังกฤษทำนายสภาพอากาศทุกชั่วโมง ใครจะออกจากบ้านนี่จะโทรถามก่อน ถึงเวลาจะได้รู้ว่าจะฝนตก แดดออก หิมะลงอย่างไร จะได้ระวังป้องกันไว้ล่วงหน้า เรื่องของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะคุณสมิทธ ธรรมสโรช ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ยอมรับความสามารถของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ บอกอะไรก็เป็นอย่างนั้น จนคุณสมิทธงงว่า ตนเองมีเครื่องไม้เครื่องมือในการตรวจสภาพอากาศครบถ้วน ยังทำนายไม่ได้อย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านเลย" |
"ตอนช่วงปีนั้นพายุแองเจล่ากำลังจะเข้าปักษ์ใต้ คุณสมิทธก็รีบทูลเกล้าถวายรายงาน เพราะว่าถ้าขึ้นฝั่งเมื่อไรบรรลัยแน่นอน เหตุว่าแรงกว่าวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกอีก ในหลวง ร.๙ ยืนยันกับคุณสมิทธว่า พายุไม่ขึ้นฝั่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เนื่องจากว่าอย่างไรพายุก็ต้องขึ้นฝั่ง
แต่กระนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็ไม่ได้ทรงประมาท สั่งให้เรือหลวงจักรีนฤเบศร์ลอยลำเตรียมช่วยเหลือผู้คน ถ้าไม่เป็นไปตามที่พระองค์ท่านตรัสไว้ สั่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์เตรียมช่วยเหลือผู้คนล่วงหน้าไว้แล้ว แต่พอพายุใกล้จะเข้าถึงฝั่งก็หักเลี้ยวออกทะเลไปเฉย ๆ แทนที่จะเข้าประเทศไทยก็ไปถล่มเวียดนามแทน ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงตรัสในวันที่ ๓ ธันวาคมว่า พระองค์ท่านไปขอความช่วยเหลือจากนางมณีเมขลา ซึ่งเป็นเทวดาที่ดูแลสภาพดินฟ้าอากาศและมหาสมุทร นางมณีเมขลาบอกว่าจะลองช่วยดู แล้วพระองค์ท่านก็สรุปว่า ตกลงว่านางเมขลาแข็งแรงกว่า ก็เลยปล้ำจนพายุยอมเปลี่ยนทิศไปได้ ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นที่ไหนในโลก เมื่อเห็นคนฟังทำหน้างง ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เลยสรุปว่านางมณีเมขลา ก็คือ สัญลักษณ์ของกรมฝนหลวง ก็ในเมื่ออยากโง่ดีนัก พระองค์ท่านก็เลยลากออกทะเลไปเลย" |
"มีอยู่ปีหนึ่งที่อากาศแห้งแล้งมาก ปรากฏว่าอยู่ ๆ ฝนหลงฤดูก็ตก ตั้งแต่กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายนเลย ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตรัสว่า พระองค์ท่านไปขอร้องท้าวมหาราช ให้พาเทวดาไปเล่นสงกรานต์ที่สุวรรณภูมิหน่อย เพราะว่าชาวบ้านเขาเดือดร้อน เนื่องจากฝนแล้ง
ท้าวมหาราชท่านตอบว่า เมื่อพระราชาของแคว้นสุวรรณภูมิขอร้องก็จะจัดให้ แต่อาจจะมีบางที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำมากเกินไป ในหลวงก็ตรัสว่าถ้าคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ คนส่วนน้อยเดือดร้อน ก็ต้องยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม ให้เอาส่วนใหญ่แล้วกัน ท้าวมหาราชท่านก็เลยจัดเต็มให้ นี่คือสิ่งที่ในช่วงท้าย ๆ ของการทรงงาน แล้วพระองค์ท่านเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผีเรื่องของเทวดานางฟ้านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก และพระองค์ท่านสามารถติดต่อพูดคุยได้ ขอร้องให้มาช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนของพระองค์ได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่ยังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเตือนไว้นักหนาว่า ถ้าไปรับตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ไหน ให้ทำการบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางและครูบาอาจารย์ไว้เสมอ เพราะว่าเรื่องของเทวดา เรื่องของพรหม รับปากอะไรใครไว้ก็ให้เฉพาะคนนั้น ถ้าคนใหม่มาต้องทำความตกลงกันใหม่
ฉะนั้น...บางแห่งบางสถานที่เมื่อละเลยตรงจุดนี้ เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้น เราก็จะได้เข้าใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะว่าเรื่องของพรหม เทวดา ท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเรา ถ้าเราไม่ได้ขอร้อง ท่านก็วางเฉย แต่ถ้าเราขอร้อง โดยความสัมพันธ์ โดยหน้าที่ หรือว่าโดยวาระบุญวาระกรรมที่ผูกพันกันมาแต่เดิม ท่านก็จะช่วยสงเคราะห์ผ่อนหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหายให้ได้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมากต่อมากด้วยกัน ไม่ว่าจะในเทวตาสังยุตต์ พรหมสังยุตต์ มารสังยุตต์ กล่าวถึงเรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องของมาร หรือว่าในส่วนของวิมานวัตถุ เปตวัตถุ กล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทั้งที่เสวยสุขและเสวยทุกข์ แต่ว่าคนสมัยหลัง ๆ ความสามารถไม่ค่อยจะถึง สภาพจิตไม่มีความผ่องใสเพียงพอ ไม่สามารถรับรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ ส่วนหนึ่งก็กล่าวหาว่าเป็นการหลอกลวงกัน โดยไม่ได้ดูว่า หลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านอาศัยการสงเคราะห์ของพระ ของเทวดาอยู่เป็นปกติ ก็เลยกลายเป็นว่าคนยุคใหม่ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ก็ดีอยู่อย่างเพราะว่าพรหม เทวดา ไม่ค่อยเดือดร้อน ในเมื่อไม่เชื่อก็ไม่มาขอให้ช่วย แต่คราวนี้พรหม เทวดา ไม่เดือดร้อน ปัจจุบันเห็นว่าพญานาคเดือดร้อนมาก ใคร ๆ ก็ไปหาพ่อปู่ศรีสุทโธที่คำชะโนด...ใช่ไหม ? หมดท่าหมดทางก็ทำน้ำท่วมคำชะโนดไปเลย จะได้ไม่ต้องไปกันอีก" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:17 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.