พระอาจารย์กล่าวถึงเมียประเภทต่าง ๆ ว่า
วธกาภริยา เมียเหมือนเพชฌฆาต โจรีภริยา เมียเหมือนโจร ทรัพย์สินในบ้านนอกจากไม่ช่วยรักษา ยังยักยอกทรัพย์สารพัด สขีภริยา เมียเหมือนเพื่อน คู่ทุกข์คู่ยากกอดคอกันไป มาตาภริยา เมียเหมือนแม่ สารพัดจะเลี้ยงดูเอาอกเอาใจทุกอย่าง ภคินีภริยา เมียเหมือนน้อง มันอ้อนตลอด ประเภทนี้ต้องคอยบ้องหู ไม่งั้นเดี๋ยวมันล้น ทาสีภริยา เมียเหมือนทาส ประเภทจิกหัวใช้งานขนาดไหนไม่พูดสักคำ ทำงก ๆ ทั้งวัน อัยยาภริยา เมียเหมือนเจ้านาย ถ้าผัวเป็นทาสี เมียต้องเป็นอัยยา แต่ถ้าเมียเป็นอัยยา ผัวต้องเป็นทาสี ตรงกันข้ามพอดี คนหนึ่งเป็นเจ้านายคนหนึ่งเป็นทาส มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ผัวไปคุยกับเพื่อนว่า "โอย..เมียหรือ ผมไม่กลัวหรอก ตวาดคำเดียว เงียบไปเลย" ปรากฏว่าจู่ ๆ เมียเดินมา เพื่อนก็เลยถามต่อว่า "แกตวาดเมียว่ายังไงวะ ?" ผัวหันไปเห็นเมียเดินมา รีบบอกทันทีว่า "อ๋อ..เมียใช้ให้ไปซักผ้า กูตวาดคำเดียวว่าเอากะละมังมา..! เมียเงียบไปเลย" ผัวมันเอาตัวรอดเก่ง พวกนี้ปฏิภาณไว ถ้าฝึกกรรมฐานมีสิทธิ์ได้ปฏิสัมภิทาญาณ เรื่องของสามีภรรยาพระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องมีสมชีวิธรรม มีธรรมเสมอกัน คือ สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกัน สมสีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีทาน การให้เสมอกัน สมปัญญา ต้องมีปัญญาเสมอกัน ไม่เช่นนั้นอยู่กันยาก คนหนึ่งทำทาน คนหนึ่งไม่ยินดีด้วย ก็พัง มีโยมคนหนึ่ง เขามาที่นี่แล้วบอกว่า "หลวงพ่อช่วยทีเถอะ จะมาหาพระหาเจ้าแต่ละที บอกเมียมันไม่ได้ ต้องโกหกมันว่าไปที่อื่น" อาตมาก็บอกว่า "อย่านึกว่าโกหกสิ นึกว่าพูดให้มันฟังอย่างนั้น พอนึกว่าพูดให้มันฟังอย่างนั้นแล้วก็ไปหาพระ" |
พระอาจารย์บอกว่า "การสะเดาะเคราะห์สวดบังสุกุลต่าง ๆ ถ้ามองให้ลึก ๆ แล้ว เป็นการกลัวตายอย่างหนึ่ง ทำไมถึงกลัวตาย? ก็เพราะว่ายังไม่พร้อมที่จะตาย ทำไมถึงยังไม่พร้อมที่จะตาย? ก็เพราะว่าไม่แน่ใจว่าตายแล้วจะได้ไปดี ได้ไปสุคตินั่นเอง"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่รายหนึ่งตรงใกล้ ๆ กับวัดท่าซุง เจอทีไรเขาก็ทำนา ทำทั้งปีต่อเนื่องมาตลอด ลักษณะของการทำต่อเนื่องแบบนั้น ทำให้ได้ผลต่อเนื่องตลอด เหมือนลักษณะการปฏิบัติ ทำอย่างไรเราจะทำให้ได้ต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลดีกับใจ
การปฏิบัติของพวกเราในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ทำเฉพาะตอนนั่ง พอเลิกแล้วเลิกเลย กลับไปก็ไม่ได้รักษาอารมณ์ต่อ การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเหมือนว่ายทวนน้ำตลอด การปฏิบัติก็เหมือนกันต้องว่ายทวนน้ำ พวกเรานั่งทำแค่ ๑ ชั่วโมง แล้วปล่อยลอยตามน้ำ ๒๓ ชั่วโมง จากนั้นค่อยกลับมาว่ายใหม่ แล้วก็ปล่อยลอยตามน้ำอีก ว่ายใหม่ และก็ปล่อยอีก เราจะกลายเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ไม่มีผลงานเพิ่มเลย ดังนั้น..ถ้าทำได้แล้วต้องรักษาอารมณ์ให้ได้ด้วย โดยการเอาสติเข้าไปควบคุมเอาไว้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติ มารเขาจะหลอกเรา ยิ่งใครรู้เห็นชัดเจนก็จะหลอกได้ง่าย เพราะฉะนั้นอย่ารู้เห็นเลย
มีบาลีเขาบอกว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่ อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอก เราเท่านั้นต้องขวนขวายพยายามให้ตัวเอง ถ้าหากอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ จะบอกว่า ทำตรงนี้ เร่งตรงนี้จึงจะไปได้ แต่ประเภทไปรับแล้วบรรลุเลยไม่มีปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์" |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาปล่อยปลาครั้งแรกเมื่อ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "เล็ก..แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้เยอะ เศษกรรมจะทำให้ป่วยบ่อย เพราะฉะนั้น ให้ไปปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อฆ่าสักเดือนละตัวสองตัวเป็นประจำ จะช่วยให้บรรเทาเศษกรรมตรงนี้ได้"
อาตมาจึงถามว่า "ปล่อยปลามันต่ออายุไม่ใช่หรือครับ? ผมไม่อยากอายุยืน" หลวงพ่อบอกว่า "แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะถูกฆ่า จะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรมเข้ามา แต่ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามา การปล่อยปลาตรงนี้จะทำให้ชีวิตสะดวกสบาย" หลังจากที่ปล่อยมาได้ประมาณ ๒๐ ปี ก็ได้ยามาตัวหนึ่งที่พอบรรเทาอาการป่วยได้ ไม่อย่างนั้นโยมมาเจออาตมานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ตรงนี้แน่ ไม่ได้รื่นเริงอย่างที่เห็นหรอก ก็แสดงว่าที่หลวงพ่อพูดมันบรรเทากรรมที่มาจากปาณาติบาตได้จริง อาตมาอยากจะลองดูว่าถ้าครบ ๔๐ ปีแล้วมันจะหายไหม? ปล่อยใช้ชีวิตเขาไปเรื่อย ๆ เวลาป่วยหนัก ๆ ก่อนจะหาย อาตมาจะเห็นภาพว่าตัวเองไปทำอะไรมาจึงป่วย อาตมาเกิดเป็นทหารมาทุกชาติ บางครั้งก็กวาดเขาหมดทั้งกองทัพเลย" |
ถาม : รู้สึกกังวลใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลล่วงหน้า จำเอาไว้ว่าคนเรามีบุญมีกรรมเป็นของตัวเอง ถ้าวาระบุญยังรักษาอยู่ อย่างไรถึงเวลามันก็ต้องมีคนช่วยเหลือ ถ้าหากวาระกรรมเข้ามาตัดรอน ต่อให้มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม ก็อาจจะต้องสูญเสียไปหมด อย่าไปห่วงเลย มีหน้าที่ทำดีละชั่วเท่านั้น ละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ เรื่องอื่นไม่ต้องไปกังวล มันยังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าบอกว่า อตีตํ นานุโสจนฺติ อย่าไปคำนึงถึงอดีต เพราะมันผ่านมาแล้ว รถที่มันวิ่งเลยไปแล้ว เราขึ้นไม่ได้หรอก นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต รถที่ยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้หรอก ปจฺจุปนฺเนน ยาเปนฺติ เอาใจจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น เพราะว่ารถขบวนนี้ที่จะออกเราจึงจะขึ้นมันได้ เราถึงได้มีวันเดียวและตอนนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปกังวลเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ทำหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดขึ้นช่างมัน ถาม : กังวลว่าตัวเองจะไม่มีอะไร ? ตอบ : คนไม่มีอะไรเลยอาตมาขอยืนยันว่าน่าอิจฉามาก ไม่มีอะไรเลยก็ไม่มีอะไรจะเสีย |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเทวตาสังยุต เทวดาเขากล่าวคาถาว่า คนมีบุตรปลาบปลื้มเพราะบุตร คนมีโคปลาบปลื้มเพราะโค แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค
มองกันคนละมุม" |
ถาม : มีหรือเปล่าคะ พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีที่มาเกิด เพราะปกติจะได้ยินก็เพียงแต่คนที่ยังไม่ได้มรรคผลใด ๆ แล้วมาบำเพ็ญบารมีในชาตินั้นจึงเป็นได้ แต่คนที่เป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีแล้วมาเกิดนี่ยังไม่เคยได้ยิน?
ตอบ : ไม่เคยได้ยินหรือ ? แต่อาตมาเคยเจอ เป็นการเจอแบบที่เราทึกทักเองว่าใช่ ในขณะที่ตัวเขาเองไม่รู้ตัวเขาเลย สิ่งที่เขาทำทั้งหมดมันบ่งบอกความเป็นตัวเขา แต่ตัวเขาเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าไม่ได้มาสายอภิญญาไม่รู้หรอก |
พระอาจารย์บอกว่า "ถ้าหากของที่ตั้งใจใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน แล้วพระไม่มา เอามากินได้เพราะยังเป็นของเราอยู่ ถ้าเราตั้งใจใส่ พระท่านติดกิจนิมนต์หรืออาพาธ ไม่ได้มาบิณฑบาต เหลือไปก็เสียเปล่า ๆ สามารถกินได้
ส่วนของที่เราทำแล้วตั้งใจไปถวายพระที่วัด เดินไปกลางทาง เกิดเปลี่ยนใจไม่ไปถวาย นั่นแย่แล้ว เป็นของกึ่งกลางสงฆ์ เพราะตั้งใจไปครึ่งทางแล้ว ถ้าเกิดเลี้ยวกลับมา ให้ฝากใครไปถวายพระเสีย ไม่เช่นนั้นอันตราย ของ ๆ เราถ้ายังอยู่ที่บ้านเราก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าขยับเท้าออกจากบ้าน นำของไปถวายที่วัด จะกลายเป็นของสงฆ์ ถ้ายังไม่ถึงวัดก็จะเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ ถือว่ามีสิทธิ์เป็นของท่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว" |
"ถ้าพระท่านรับการถวายสังฆทานภัตตาหารแล้ว จะมีการอปโลกน์ อปโลกน์ ก็คือ การกล่าวประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ว่าจะจัดการกับของสิ่งนี้อย่างไร จะมีรูปแบบของมันอยู่
วัดที่มีความรู้ความเข้าใจด้านนี้จะทำการอปโลกน์เพื่อเป็นการป้องกันโยมไม่ให้เกิดโทษ ของกินที่เหลือจากพระแล้ว ยิ่งถ้าเหลือจากมื้อกลางวัน โยมเขารู้ว่าพระท่านไม่เก็บไว้อยู่แล้ว ทีนี้ก็ขนกลับบ้าน ตอนขนกลับบ้านนี่แหละจะมีปัญหา ถ้าพระไม่ได้อปโลกน์ไว้จะมีโทษ" |
ถาม : สมมติกลางเดือนตั้งใจถวายสังฆทาน ๕๐๐ บาท พอถึงต้นเดือนลดเหลือ ๒๐๐ บาท จะติดหนี้สงฆ์หรือไม่?
ตอบ : ไม่ติดหนี้สงฆ์ แต่อานิสงส์ลดน้อยลง เช่น สมมติจะถูกรางวัลที่ ๑ แต่พอถึงเวลาหยิบผิดไปเบอร์เดียว ลดเหลือรางวัลที่ ๕ เป็นต้น |
พระอาจารย์บอกว่า "พระที่เป็นเพศที่สาม ถ้าหากท่านทั้งหลายเหล่านี้บวชเข้าไปแล้วเก็บอาการอยู่ ไม่สร้างความเสียหายให้แก่พุทธศาสนา ก็สามารถอยู่ได้
เรื่องแบบนี้ถ้าเขาจะปรับโทษ เขาปรับโทษแต่อุปัชฌาย์ เพราะพระอุปัชฌาย์เป็นคนกลั่นกรองผู้ที่เข้ามาบวช ถ้าหากเป็นวิบัติ คือคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ก็ไม่สามารถให้การอุปสมบทได้ แต่ถ้าคนที่บวชเข้าไปแล้ว เขาไม่มีโทษทางด้านอื่น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสึก แต่ว่าให้รักษาอาการไว้หน่อย ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาอยู่ต่อหน้าโยมจะเก๊กเก่งมาก ดูเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเรียบร้อยกว่าเราเยอะ" |
ถาม : แล้วพระพวกนี้มีโอกาสเป็นพระอรหันต์ไหม?
ตอบ : ต้องถามท่านว่า...ท่านจะเอาไหม? ถ้าท่านมุ่งมั่นจริง ๆ ก็ต้องมีโอกาส แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายมักสนใจอย่างอื่นมากกว่า |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนอาตมาแข่งนั่งสมาธิกับคนอื่น ให้นั่ง ๓ ชั่วโมงเราก็นั่งได้ นั่ง ๕ ชั่วโมงก็นั่งได้ แต่ใจมีคุณภาพแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือด่าพ่อด่าแม่ไปเสียเยอะ
ลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นว่าขาดทุน เพราะว่ากำลังใจส่วนที่มีคุณภาพมีแค่นิดเดียว ที่เหลือเป็นกำลังใจที่ผสมด้วยโทสะ ส่วนใหญ่เราไม่เข้าใจคิดว่านั่งนานแล้วดี เหมือนกับสมัยก่อนท่านเจ้าคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี บอกว่า "พระของผมเก่งมาก ๆ เลยนั่งที ๒๑ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงตัวตรงไม่กระดิกเลย" พวกนั้นก็เลื่อมใสถามว่า "อยู่คณะไหนจะได้ไปกราบ" ท่านบอกว่า "สึกไปแล้ว" เรื่องของสมาธิ ถ้าเลยอัปปนาสมาธิไปแล้ว เวทนาจะไม่มี" |
พระอาจารย์บอกว่า "ให้ระวังไว้ ระยะแรก ๆ พอสมาธิเริ่มทรงตัว จะไม่อยากพูดกับใคร จะมีความสุขอยู่กับสมาธิ เราต้องผ่านขั้นตอนนี้ไประยะหนึ่งจนสามารถปรับให้เข้าออกในสมาธิได้ตามที่เราต้องการแล้ว จึงจะกลับเป็นคนปกติอีกที
ช่วงที่ไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็บอกเขาแล้วกัน ว่ากำลังรักษาสมาธิอยู่ อย่าเพิ่งมายุ่ง ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้า ถ้าอารมณ์ทรงตัว ต่อให้มีคนมาตะโกนอยู่ข้างหูมันก็ไม่ใส่ใจ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนอื่น รู้หมดทุกอย่างแต่ไม่ไปสนใจมัน" |
ในเรื่องของปีติ พระอาจารย์บอกว่า "ถ้ามีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เช่น น้ำตาไหล ตัวโยกไปโยกมา หรือดิ้นตึงตังโครมคราม หรือตัวพองตัวใหญ่ ตัวระเบิด เห็นแสงเห็นสีอะไรก็ตาม กำหนดใจรู้ไว้เฉย ๆ ถ้าสังเกตดูจะรู้ว่าใจของเรามันนิ่งมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว มันจะเป็นอย่างไรช่างมัน
ถ้ามันขึ้นของมันเต็มที่แล้ว มันจะเลิกเลย แต่ถ้าเราไปกลัว อายคน หรือกลัวว่าจะถึงแก่ชีวิตบ้าง คิดจะให้มันหยุด ถ้าทำสมาธิถึงตรงนั้นเมื่อไรอาการมันจะเกิดขึ้นอีก มันจะเกิดไปเรื่อย เกิดไม่เลิกจนกว่าเราจะยอมปล่อยมันเต็มที่ ถ้าอาการนี้เกิดขึ้นเรามีหน้าที่เป็นคนดูอย่างเดียว ถ้ามีลมหายใจกำหนดลม ถ้ามีคำภาวนากำหนดคำภาวนา อาการภายนอกเป็นอย่างไร ช่างมัน ในเรื่องของตัวพองนั้น มันเป็นปีติ จะว่ามันเป็นการที่ร่างกายปรับธาตุให้เข้าที่ก็ได้ แต่จริง ๆ ไม่ได้พองอย่างนั้นหรอก มันเป็นความรู้สึก บางทีไม่พองเปล่า มันแตกเป็นรูรั่ว ก็ให้กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปอยากให้มันเป็น อย่าไปอยากให้มันหาย ทำหน้าที่เป็นคนดูอย่างเดียว อาการอื่น ๆ เป็นอย่างไรไม่รู้ เรารับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่นานมันก็คลาย จะว่าไม่นานก็ไม่ได้ เพราะว่าบางทีทำใจยาก ในเมื่อยาก กลัวบ้าง อายบ้าง ไม่ปล่อยเต็มที่ มันเลยไม่คลาย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อทำไประยะหนึ่ง ถ้าใจมันเริ่มทรงตัว มีข้อให้ระวังอยู่ว่า รัก โลภ โกรธ หลง มันเหมือนกับโดนเก็บกด มันจะหาจังหวะเอาคืน แล้วมันจะทำให้เราเป็นคนกระทบอะไรง่าย
บางทีได้ยินปุ๊บโกรธเลย เห็นปุ๊บโกรธเลย แล้วปฏิกิริยาตอบโต้จะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าถึงเวลานั้นบางท่านที่ไม่เข้าใจก็จะว่า "เป็นนักปฏิบัติภาษาอะไร..!" ให้ระวังตรงนี้ไว้ให้ดี จะต้องเจอทุกคน เพียงถ้าหากสติ สมาธิของเราสมบูรณ์ มันจะระงับปากของเราไว้ได้ทัน แต่มันจะอกแตกตาย ตอนนั้นจะเป็นการรบที่สนุกมาก ทำอย่างไรที่เราจะชนะเขาได้ ค่อย ๆ ทำมันจะมีพัฒนาการทีละขั้น ถ้าพวกนี้โผล่อย่าคิดว่าตัวเองเลว ให้รู้ว่าก่อนหน้านั้นเราก็มีเป็นปกติ แต่เราไม่เห็นหน้ามัน มันเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำมันนิ่งจะสะท้อนเห็นเงาหน้ามัน เห็นหน้ามันชัดและออกอาการแรง จนกว่าจะมีวิธีจัดการกับมันได้ ถ้าวันไหน ๆ กระทบกับใครเขามากเกินกว่าปกติ ให้รู้ไว้ว่ามันมาแล้ว" |
ถาม : ขอคำแนะนำการปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับโทสะ
ตอบ : ถ้าเขาทำให้เราโกรธ ก็ต้องมาดูว่าเรื่องนั้นจริงหรือไม่จริง ถ้าหากเรื่องที่เขาทำให้โกรธนั้นเป็นจริง เราก็ไม่ควรจะโกรธเขาเพราะว่าบุคคลที่ทำให้เรารู้ตัวตนของเราที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไรนั้น ถือว่าเป็นครู โกรธครูไม่ได้ความรู้แน่ ๆ แล้วก็มาดูอีกทีว่าถ้าเรื่องนั้นไม่จริง เขาทำให้เราโกรธ ก็มาพิจารณาว่า กระทั่งความจริงเป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย คนโง่ขนาดนั้นมันน่าสงสารมากกว่าน่าโกรธ ถ้าพิจารณาได้แบบนั้นความโกรธมันจะคลายตัวลง เรื่องรักก็เหมือนกันพอเห็นเขา โอย....จะเป็นจะตาย จะหอบเสื้อผ้าตามไปเสียให้ได้ ต้องเอามาคิดพิจารณาดูว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นจริงแค่ไหน พ่อแม่เลี้ยงเรามากว่าสิบปียี่สิบปี เราให้ความรักเหมือนกับเขาไหม ถ้าหากไม่ใช่แสดงว่าไม่ใช่เรื่องของเหตุผลปกติ มันเป็นเรื่องของอารมณ์แล้ว ในเมื่อเป็นเรื่องของอารมณ์แล้ว เราก็ต้องมาพิจารณาเรื่องความพอเหมาะพอควร เรื่องของศีลธรรมและประเพณี จะได้ค่อย ๆ คลายใจออกจากสิ่งนั้น เรื่องของกิเลสไม่เคยปรานีหรอก พลาดเมื่อไร มันตีเราเยิน ต้องคิดให้เป็นจะได้ไม่ต้องมาเก็บไว้ในใจ สะสมขยะบูดไว้เยอะ ๆ เดี๋ยวมันเกิดโทษ |
ถาม : แล้วถ้าทำได้แต่ภายนอกละคะ?
ตอบ : แปลว่ายังใช้งานจริงไม่ได้ อันนั้นเขาเรียกว่ารู้แต่ทฤษฎี ยังไม่สามารถนำสู่การปฏิบัติได้ |
ถาม : มีบางคนเขามาด่า
ตอบ : เขาด่าเราจริงหรือเปล่า? ลองชี้ให้ดูซิว่า เราคือส่วนไหน? ใครก็ได้ลองชี้ให้ดูซิว่าตัวเองคือส่วนไหน? จิ้มไปเถอะ นี่ก็จมูก นี่ก็ตา นี่หน้าอก นี่หัว ไม่มีตัวเรา เพราะว่าทั้งหมดเกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราวเหมือนกับอยู่ในบ้าน หรือว่าขับรถอยู่ สิ่งที่มันมากระทบก็เหมือนกับเขามาขว้างบ้านหรือรถ ก็ในเมื่อเขาขว้างบ้านก็อย่าไปสนใจ เปิดประตูหน้าต่างให้หมดหรือไม่ก็ทลายกำแพงประตูหน้าต่างให้หมด ขว้างมาก็เลยไป เฉย ๆ ไม่กระทบบ้าน ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ไม่ต้องไปโกรธ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:03 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.