PDA

View Full Version : พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)


มายา
23-08-2009, 20:31
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=952&stc=1&d=1251033820

หลวงปู่ฝากไว้
บันทึกคติธรรมและธรรมเทศนา

ของ
พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

โดย
พระโพธินันทมุนี
(พระมหาสมศักดิ์ ปณฺฑิโต)

มายา
23-08-2009, 20:47
ธรรมะปฏิสันถาร

.....เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์
เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัย และการอยู่สำราญแห่งอิริยาบถของหลวงปู่
ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชปุจฉาว่า
"หลวงปู่ การละกิเลสนั้นควรละกิเลสอะไรก่อน"

หลวงปู่ตอบว่า "กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน"


ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมแล้ว
เมื่อจะเสด็จกลับทรงมีพระราชดำรัสคำสุดท้ายว่า "ขออาราธนาหลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี
เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้ไหม"

"อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง"

มายา
23-08-2009, 21:13
ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

.....พระเถระเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๙
หลังฟังโอวาท และข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่น ๆ แล้ว หลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

"จิตที่ส่งออกนอก........................เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก........เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต..................................เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต................เป็นนิโรธ"

มายา
23-08-2009, 21:29
หยุดเพื่อรู้

เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๐๗ มีพระสงฆ์หลายรูปได้เข้ากราบหลวงปู่เพื่อรับโอวาท
และรับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากันออกเผยแผ่ธรรมทูตครั้งแรก
หลวงปู่แนะวิธีอธิบายธรรมะทั้งเพื่อสอนผู้อื่น และเพื่อปฏิบัติตนเองให้เข้าถึงสัจธรรมนั้นด้วย
ลงท้ายหลวงปู่ได้กล่าวปรัชญธรรมไว้ให้คิดด้วยว่า

"คิดเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้
ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้
แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้"

มายา
23-08-2009, 22:17
ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย

.....กาลครั้งนั้น หลวงปู่ได้ให้โอวาทเตือนพระธรรมทูตครั้งแรกมีใจความตอนหนึ่งว่า

....."ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ประกาศพระศาสนานั้น
เป็นได้ทั้งส่งเสริมพระศาสนาและทำลายพระศาสนา
ที่ว่าเช่นนี้เพราะ องค์ธรรมทูตนั่นแหละตัวสำคัญ คือ
เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม
มีสมณสัญญาจริยาวัตรงดงามตามสมณวิสัย
ผู้พบเห็นหากยังไม่เลื่อมใส ก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น
ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัวตรงกันข้ามนี้
ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง
สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีก
จึงขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้ และความประพฤติไม่ประมาท
สอนเขาอย่างไร ตนเองต้องทำอย่างนั้นให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย"

มายา
23-08-2009, 22:33
ทุกข์เพราะอะไร

.....สุภาพสตรีวัยเลยกลางคน ๆ หนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ พรรณนาถึงฐานะของตนว่าอยู่ในฐานะที่ดี
ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใดเลย มาเสียใจกับลูกชายที่สอนไม่ได้ ไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดี
ตกอยู่ภายใต้อำนาจอบายมุขทุกอย่าง ทำลายทรัพย์สมบัติและจิตใจของพ่อแม่จนเหลือที่จะทนได้
ขอความกรุณาหลวงปู่ให้ช่วยแนะอุบายบรรเทาทุกข์ และแก้ไขให้ลูกชายพ้นจากอบายมุขนั้นด้วย
หลวงปู่แนะนำสั่งสอนไปตามเรื่องราวนั้น ๆ ตลอดถึงแนะอุบายทำใจให้สงบ รู้จักปล่อยวางให้เป็น

.....เมื่อสุภาพสตรีคนนั้นกลับไปแล้ว หลวงปู่ปรารภธรรมะให้ฟังว่า

"คนสมัยนี้ เขาทุกข์เพราะความคิด"

มายา
23-08-2009, 22:50
อุทานธรรม

.....หลวงปู่กล่าวธรรมกถาต่อมาอีกว่า สมบัติพัสถานทั้งหลาย
มันมีประจำอยู่ในโลกนี้มาแล้วอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ขาดปัญญาและไร้ความสามารถ
ก็ไม่อาจจะแสวงหาเพื่อยึดครองสมบัติเหล่านั้นได้ ย่อมครองตนอยู่ด้วยความฝีดเคืองและลำบากขันธ์
ส่วนผู้ที่มีปัญญามีความสามารถ ย่อมแสวงหาทรัพย์สมบัติของโลกไว้ได้อย่างมากมาย
อำนวยความสะดวกสบายแก่ตนได้ทุกกรณี
.....ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพยายามดำเนินตนเพื่อออกจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
ไปสู่ภาวะแห่งความไม่มีอะไรเลย เพราะว่า

"ในทางโลกมีสิ่งที่มี ส่วนทางธรรมมีส่วนที่ไม่มี"

มายา
23-08-2009, 23:12
อุทานธรรมต่อมา

.....เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว
จิตก็หมดพันธะกับเรื่องโลก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งหมด และจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด
เมื่อเข้าใจผิด ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ
อันโทษทัณฑ์ทางกายอาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง
ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรัดรึงไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง

"พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทาง ความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"

มายา
23-08-2009, 23:47
อยากได้ของดี

.....เมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๒๖ คณะแม่บ้านมหาดไทย
โดยมีคุณหญิงจวบ จิรโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ
ได้นำคณะแม่บ้านมหาดไทยไปบำเพ็ญประโยชน์
สังคมสงเคราะห์ทางภาคอีสาน ได้ถือโอกาสแวะนมัสการหลวงปู่
.....หลังจากกราบนมัสการถามถึงอาการสุขสบายของหลวงปู่
และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากหลวงปู่แล้ว
เห็นว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบายก็รีบออกมา
แต่ก็ยังมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งถือโอกาสพิเศษกราบเรียนหลวงปู่ว่า
"ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ"

.....หลวงปู่จึงเจริญพรว่า
"ของดีก็ต้องภาวนาเอาจึงจะได้ เมื่อภาวนาแล้ว ใจก็สงบ กาย วาจา ก็สงบ
แล้วกายก็ดี วาจา ใจ ก็ดี เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง"

....."ดิฉันมีภาระมาก ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนาได้
งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ"

.....หลวงปู่จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า
"การภาวนาต้องกำหนดดูที่ลมหายใจ
ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา"

มายา
25-08-2009, 23:23
การค้ากับการปฏิบัติธรรม

...พวกกระผมมีภาระหน้าที่ในการค้าขาย ซึ่งบางครั้งจะต้องพูดอะไรออกไปเกินความจริงบ้าง
ค้ากำไรเกินควรบ้าง แต่กระผมก็มีความสนใจและเลื่อมใสในการปฏิบัติทางสมาธิภาวนาอย่างยิ่ง
แล้วก็ได้ลงมือปฏิบัติมาบ้างแล้วโดยลำดับ แต่บางท่านบอกว่าภาระหน้าที่อย่างผมนี้มาปฏิบัติภาวนาไม่ได้ผลหรอก
หลวงปู่เห็นว่าอย่างไร เพราะเขาว่าขายของเอากำไรก็เป็นบาปอยู่

...หลวงปู่ว่า
..."เพื่อดำรงชีพอยู่ได้ ทุกคนจึงต้องมีอาชีพการงาน และอาชีพการงานทุกสาขา
ย่อมมีความถูกต้อง ความเหมาะความควรอยู่ในตัวของมัน เมื่อทำให้ถูกต้องพอเหมาะควรแล้ว
ก็เป็นอัพยากตธรรม ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญแต่ประการใด ส่วนการประพฤติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
เพราะผู้ประพฤติธรรมเท่านั้น ย่อมสมควรแก่การงานทุกกรณี"

มายา
26-08-2009, 23:13
เป็นการดัดนิสัยหรือเปล่า

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลา ๖ ปี
ผลที่สงครามฝากไว้ให้ก็คือ ความยากจนข้นแค้นแสนเข็ญ
ด้วยความขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคได้แผ่ปกคลุมไปทั่ว
โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มขาดแคลนอย่างยิ่ง
พระเณรในวัดต่าง ๆ มีสบงจีวรชุดเดียวก็บุญหนักหนาแล้ว
วันหนึ่ง สามเณรพรมซึ่งเป็นหลานหลวงปู่ เห็นสามเณรชุมพลห่มจีวรใหม่และสวย จึงถามว่า จีวรนี้ท่านได้แต่ไหนมา
เณรชุมพลตอบว่า เราเข้าไปทำวาระถวายหลวงปู่ หลวงปู่เห็นจีวรของเราขาด ท่านจึงประทานให้มาผืนหนึ่ง
เมื่อถึงวาระ เณรพรมจึงห่มจีวรขาดไปนวดเท้าหลวงปู่ ด้วยคิดว่าจะได้อย่างเขาบ้าง
พอเสร็จวาระกำลังจะออกมา หลวงปู่เห็นจีวรขาด จึงลุกไปเปิดตู้หยิบเอาของมายื่นให้ พร้อมกับสั่งว่า

"นี่เอาไปเย็บให้ดี อย่าห่มทั้งที่ขาดอย่างนี้"

สามเณรพรมต้องจำใจรับด้ายกับเข็มจากหลวงปู่อย่างรวดเร็ว

มายา
29-08-2009, 00:51
วิธีระงับทุกข์แบบหลวงปู่

ระหว่าง พ.ศ.๒๕๒๐ โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์กำลังครอบงำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ในกระทรวงมหาดไทยอย่างหนัก คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา
และแน่นอนความทุกข์โศกอันนี้ย่อมปกคลุมถึงบุตร ภรรยาด้วย
จึงมีอยู่วันหนึ่ง คุณหญิงคุณนายหลายท่านได้ไปนมัสการหลวงปู่
พรรณาถึงความทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่ เพื่อให้หลวงปู่ได้แนะวิธี
หรือช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่ท่านจะเมตตา

หลวงปู่
"บุคคลไม่ควรเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งนอกกายทั้งหลายที่มันผ่านพ้นไปแล้ว มันหมดไปแล้ว
เพราะสิ่งเหล่านั้น มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว"

มายา
30-08-2009, 19:43
ไม่ยากสำหรับผู้ไม่ติดอารมณ์

วัดบูรพารามที่หลวงปู่ประจำอยู่ตลอดห้าสิบปี ไม่ได้ไปจำพรรษาที่วัดอื่นเลย
เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง หน้าศาลากลางติดกับศาลจังหวัดสุรินทร์
ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงรบกวนความสงบอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะเมื่อถึงงานช้างแฟร์ หรืองานเทศกาลต่าง ๆ
ภิกษุสามเณรผู้ที่มีจิตใจยังอ่อนไหวอยู่ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อนำเรื่องนี้กราบเรียนหลวงปู่เมื่อใด ก็จะได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันทุกครั้งว่า

"มัวสนใจอะไรกับสิ่งเหล่านั้น
ธรรมดาแสงย่อมสว่าง ธรรมดาเสียงย่อมดัง หน้าที่ของมันเป็นเช่นนั้นเอง
เราไม่ใส่ใจฟังเสียอย่างเดียวก็หมดเรื่อง
จงทำตัวเราไม่ให้เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้เอง
เพียงแต่ทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้ด้วยปัญญาอันลึกซึ้งเท่านั้นเอง"

มายา
01-09-2009, 21:14
รู้จากการเรียนกับรู้จากการปฏิบัติ

ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ที่กระผมจำจากตำราและฟังครูสอนนั้น จะตรงกับเนื้อหาตามที่หลวงปู่เข้าใจหรือไม่

หลวงปู่อธิบายว่า
"ศีล คือ ปรกติจิตที่อยู่อย่างปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
สมาธิ ผลสืบเนื่องมาจากการรักษาศีล คือ จิตที่มีความมั่นคง มีความสงบเป็นพลังที่จะส่งต่อไปอีก
ปัญญา ผู้รู้ คือ จิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริงอย่างไร
วิมุตติ คือ จิตที่เข้าถึงความว่างจากความว่าง คือ
ละความสบาย เหลือแต่ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย"

มายา
04-09-2009, 01:13
โลกนี้มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั้นเอง

..........บางครั้งที่หลวงปู่สังเกตเห็นว่า ผู้ที่มาปฏิบัติยังลังเลใจ
เสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลก ๆ จนไม่อยากละมาปฏิบัติธรรม

..........ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า
.........."ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต
ครั้นสำรวจดูแล้วมันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยรู้เคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น
มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่แค่นั้น เกิดแก่เจ็บตายอยู่ร่ำไป
มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดที่พิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย
เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย"

มายา
04-09-2009, 20:00
ทิ้งเสีย

สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เมื่อฟังธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่จบแล้ว
ก็อยากทราบถึงวิธีไว้ทุกข์ที่ถูกต้องตามธรรมเนียม เขาจึงพูดปรารภขึ้นว่า
คนสมัยนี้ไว้ทุกข์ไม่ค่อยจะถูกต้องและตรงกัน ทั้ง ๆ ที่สมัย ร.๖ ท่านทำไว้เป็นแบบอย่างดีอยู่แล้ว เช่น
เมื่อญาติพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรม ก็ให้ไว้ทุกข์ ๗ วันบ้าง ๕๐ วันบ้าง ๑๐๐ วันบ้าง
แต่ปรากฏว่าคนทุกวันนี้ทำอะไรรู้สึกว่าลักลั่นกันไม่เป็นระเบียบ
ดิฉันจึงขอเรียนถามหลวงปู่ว่า การไว้ทุกข์ที่ถูกต้องนั้น ควรไว้อย่างไรเจ้าคะ

หลวงปู่บอกว่า
"ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย ไปไว้มันทำไม"

มายา
04-09-2009, 20:22
หนัก ๆ ก็มีบ้าง

พระอาจารย์สำเร็จ บวชมาแต่วัยเด็กจนอายุใกล้หกสิบปี เป็นพระฝ่ายวิปัสสนา
ปฏิบัติเคร่งครัด ชื่อเสียงดีมีคนเคารพนับถือมาก
แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด เนื่องจากไปหลงรักลูกสาวของโยมอุปัฏฐาก ถึงขั้นมาขอลาหลวงปู่สึกไปแต่งงาน
ทุกคนตกตะลึงกับข่าวนี้มาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
เพราะปฏิปทาของท่านเป็นที่ยอมรับว่าจะต้องอยู่ในสมณวิสัยจนตลอดชีวิต
หากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเป็นการเสื่อมเสียแก่วงการฝ่ายวิปัสสนาอย่างยิ่ง
พระเถระ คณะสงฆ์ และสานุศิษย์ของท่านจึงช่วยกันป้องกันทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านเปลี่ยนใจที่จะคิดสึกเสีย
โดยเฉพาะหลวงปู่เรียกมาตักเตือนแก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
สุดท้ายอาจารย์สำเร็จกล่าวต่อหน้าหลวงปู่ว่า
กระผมอยู่ไม่ได้ เพราะนั่งภาวนาเมื่อไร เห็นใบหน้าเขามาล่องลอยปรากฏต่อหน้าอยู่ตลอดเวลา

หลวงปู่ตอบเสียงดังว่า
"ก็ไม่ภาวนาดูจิตของตัวเอง ไปภาวนาดูก้นของเขา มันก็เห็นแต่ก้นเขาอยู่ร่ำไปนั่นแหละ
ไป อยากไปไหนก็ไปตามสบาย ไปเถอะ"

มายา
05-09-2009, 23:34
พระหลอกผี

หลวงปู่ชอบแนะนำส่งเสริมพระเณรให้ใส่ใจเรื่องธุดงคกัมมัฏฐานเป็นพิเศษ
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระสานุศิษย์มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งพรรษามากและพรรษาน้อย
หลวงปู่ชี้แนวทางว่า ให้พากันไปอยู่ป่าหาทางวิเวกหรืออยู่ตามเขาตามถ้ำเพื่อเร่งความเพียร
จะได้พ้นจากภาวะตกต่ำทางจิตบ้าง
ก็มีพระรูปหนึ่งพูดออกมาว่า ผมไม่กล้าไปครับเพราะผมกลัวผีหลอก

หลวงปู่ตอบอย่างรวดเร็วว่า
"ผีที่ไหนเคยหลอกพระ มีแต่พระนั่นแหละหลอกผี และตั้งขบวนการหลอกผีเป็นการใหญ่เสียด้วย
คิดดูให้ดีนะ วัตถุสิ่งของที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคทำบุญนั้นแทบทั้งหมด
ล้วนทำเพื่ออุทิศส่งไปให้ผีทั้งนั้น ผีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้องเขา
แล้วพระเราเล่าประพฤติตนเหมาะสมแล้วหรือ มีคุณธรรมอะไรบ้างที่จะส่งผลให้ถึงผีได้
ระวังอย่ามาเป็นพระหลอกผี"

มายา
07-09-2009, 23:53
ไม่ค่อยแจ่ม

กระผมได้อ่านประวัติการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เมื่อสมัยเดินธุดงค์
หลวงปู่เข้าใจเรื่องจิตได้ดีว่า จิตปรุงกิเลส หรือว่า กิเลสปรุงจิต ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร

หลวงปู่อธิบายว่า
"จิตปรุงกิเลส คือ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ กระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้ดี ให้เลว ให้เกิดวิบาก
แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
ส่วนกิเลสปรุงจิต คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามาทำให้จิตเป็นไปตามอำนาจของมัน
แล้วยึดว่ามีตัวมีตนอยู่ สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่ร่ำไป"

มายา
08-09-2009, 20:50
ต้องปฏิบัติจึงหมดความสงสัย

เมื่อมีผู้ถามถึง การตาย การเกิดใหม่ หรือถามถึงอนาคตชาติ อดีตชาติ หลวงปู่ไม่เคยสนใจที่จะตอบ
หรือเมื่อมีผู้กล่าวถึงว่าเชื่อหรือไม่เชื่อว่า นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่จริงประการใด
หลวงปู่ไม่เคยค้นคว้าหาเหตุผลเพื่อจะเอามาค้านใคร
หรือไม่เคยหาหลักฐานเพื่อยืนยันให้ใครยอมจำนนแต่ประการใด ท่านกลับแนะนำว่า

"ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า ชาติหลัง หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้
ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ
หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ
การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้น ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้
ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้งความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง"

มายา
14-12-2009, 00:44
ตัวอย่างเปรียบเทียบ

มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้
ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง
มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป
แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ผู้ฟังก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่น เต่ากับปลา เต่าอยู่ได้ทั้งสองโลก คือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ
ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียว คือ ในน้ำ ขึ้นมาบนบกก็ตายหมด

วันหนึ่ง เต่าลงไปในน้ำแล้วก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย
แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ

ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่า...
บนบกนั้นลึกมากไหม เต่าว่ามันจะลึกอะไร ก็มันบก
เอ.. บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะมีคลื่นอะไร ก็มันบก
เอ.. บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไร ก็มันบก

ให้สังเกตดูคำถามที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ

"จิตปุถุชนที่เดา มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา"

มายา
14-12-2009, 01:23
คนละเรื่อง

มีชายหนุ่มสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่ขณะที่ท่านนั่งพักผ่อนอยู่ที่มุมศาลาการเปรียญ
เขาพูดถึงถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่น ๆ ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง
ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่
คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ อีกคนมีนอแรด
ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้
มีคนหนึ่งเอ่ยถามหลวงปู่ว่า
หลวงปู่ครับ อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันครับ

หลวงปู่ก็ยิ้ม ๆ แล้วตอบว่า

"ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน"

มายา
15-12-2009, 00:47
เปรียบเทียบให้ฟัง

ความอยากรู้อยากเห็น เพื่อบรรเทาความสงสัยของตนให้ได้นั้น ย่อมมีอยู่ในชนผู้เจริญโดยทั่วไป
วิชาแต่ละศาสตร์ แต่ละสาขา ตั้งไว้เพื่อให้มนุษย์เกิดสงสัยอยากรู้
แล้วเพียรพยายามศึกษาปฏิบัติเพื่อรู้ถึงจุดหมายปลายทางของแต่ละศาสตร์นั้น

แต่พุทธศาสตร์ต้องศึกษาและปฏิบัติอย่างสมดุล และความเพียรขั้นอุกฤษฏ์
เพื่อเข้าถึงสิ่งสูงสุดของพุทธธรรมด้วยตนเอง หมดข้อสงสัยได้เองโดยสิ้นเชิง

เปรียบเหมือนคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นกรุงเทพฯ มีคนอธิบายให้ฟังว่า ที่กรุงเทพฯ นั้น
นอกจากมีความเจริญอย่างอื่นแล้ว ยังมีกำแพงแก้วและภูเขาทองทั้งลูกอันมหึมาอีกด้วย
เขาตั้งใจไปกรุงเทพฯ ให้ได้ โดยคิดว่าจะไปเอาแก้วที่กำแพงและไปเอาทองที่ภูเขา
ครั้นเพียรพยายามไปจนถึงแล้ว ผู้รู้ก็ชี้บอกว่า นี่คือกำแพงแก้ว นี่คือภูเขาทอง
เพียงแค่นี้ความตั้งใจและความสงสัยของเขา ก็สิ้นสุดลงทันที

"มรรค ผล นิพพาน ก็เช่นนั้นเหมือนกัน"

มายา
17-12-2009, 22:09
สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

อุบาสกผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง สนทนากับหลวงปู่ว่า
"กระผมเชื่อว่า แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรค ผล นิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย
เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฏ
เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้น ๆ แล้ว
เขาจะได้มีกำลังใจและมีความหวัง เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางการปฏิบัติให้เต็มที่"

หลวงปู่กล่าวว่า

"ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด"

มายา
17-12-2009, 22:28
มี แต่ไม่เอา

ปี ๒๕๒๒ หลวงปู่ได้ไปพักผ่อน และเยี่ยมพระอาจารย์สมชายที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
ขณะเดียวกันก็มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ คือ
พระธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม เจ้าคณะภาคทางใต้ได้ไปอยู่ฝึกกัมมัฏฐานเมื่อวัยชราแล้ว

เมื่อท่านทราบว่าหลวงปู่เป็นพระฝ่ายกัมมัฏฐานอยู่แล้ว
ท่านจึงสนใจขอศึกษาและถามถึงผลของการปฏิบัติธรรมกันเป็นเวลานาน
และกล่าวถึงภาระของท่านว่า มัวแต่ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดจนถึงวัยชรา
แล้วก็ลงท้ายถามหลวงปู่สั้น ๆ ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม"

หลวงปู่ก็ตอบโดยเร็วว่า

"มี แต่ไม่เอา"

มายา
17-12-2009, 22:36
รู้ให้พร้อม

ระหว่างที่หลวงปู่อยู่รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น
มีผู้ไปกราบนมัสการ และขอฟังธรรมเป็นจำนวนมาก
คุณบำรุงศักดิ์ กองสุข เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
ได้ปรารภการปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ ถึงเรื่องการละกิเลสว่า
"หลวงปู่ครับ ทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้"

หลวงปู่ตอบว่า

"ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง"

มายา
21-12-2009, 21:18
ภาระและปัญหาประจำ

การปกครองและการบริหารหมู่คณะใหญ่ นอกจากจะต้องแก้ปัญหาเล็กใหญ่อย่างอื่นแล้ว
ก็มีปัญหาขาดแคลนพระเจ้าอาวาส เราเคยได้ยินแต่การแย่งเป็นสมภารกัน
แต่ลูกศิษย์หลวงปู่นั้น ต้องปลอบ ต้องบังคับให้ไปเป็นสมภาร
ไม่เว้นแต่ละปีที่มีญาติโยมยกขบวนมาขอให้หลวงปู่ส่งพระไปเป็นเจ้าอาวาส
เมื่อหลวงปู่เห็นว่าองค์ไหนสมควรไปก็ขอร้องให้ไป
ส่วนมากเมื่อไม่อยากไปก็มักจะอ้างว่า กระผมก่อสร้างไม่เก่ง อบรมไม่เป็น เทศน์ไม่ได้
ประชาสัมพันธ์หรือรับแขกไม่คล่อง เป็นต้น จึงยังไม่อยากไป

หลวงปู่ก็สอนว่า

"สิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก เรามีหน้าที่ปฏิบัติกิจวัตรเท่านั้นเอง
บิณฑบาต ฉัน แล้วก็นั่งภาวนา เดินจงกรม ทำความสะอาดลานวัด เคร่งครัดตามธรรมวินัย แค่นี้ก็พอแล้ว
การก่อสร้างอะไร ๆ มันแล้วแต่ญาติโยม เขาจะทำหรือไม่ทำแล้วแต่เขา"

มายา
21-12-2009, 21:40
ปรารภธรรมะให้ฟัง

หลวงปู่สรงน้ำวันละหนึ่งครั้ง เวลาบ่ายห้าโมงเย็น
เฉพาะน้ำร้อนที่ผสมให้อุ่นแล้ว กระทำอยู่อย่างนี้จนตลอดอายุขัยของท่าน
หลังจากเช็ดตัวแห้งดีแล้ว ท่านมักจะปรารภธรรมะให้ฟัง
แล้วแต่จะมีธรรมะข้อใดปรากฏขึ้นในขณะนั้น เช่น ครั้งหนึ่งท่านปรารภว่า

"ภิกษุเรา ถ้าปลูกความยินดีในเพศภาวะของตนแล้ว ก็จะมีแต่ความสุข เยือกเย็น
ถ้าตัวเองอยู่ในเพศภิกษุ แต่กลับไปยินดีในเพศอื่น ภาวะอื่น ความทุกข์ก็จะทับถมอยู่ร่ำไป
หยุดกระหาย หยุดแสวงหาได้นั่นคือภิกษุภาวะโดยแท้
ความเป็นพระนั้น ยิ่งจน ยิ่งมีความสุข"

มายา
21-12-2009, 22:04
ปรารภธรรมะให้ฟัง

จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมได้มากหลาย พูดเก่ง
อธิบายได้อย่างซาบซึ้ง มีคนเคารพนับถือมาก ทำการก่อสร้างวัตถุไว้ได้อย่างมากมาย
หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม

ถ้ายังประมาทอยู่ ก็นับว่ายังไม่ได้รับรสชาติของพระศาสนาแต่ประการใดเลย
เพราะสิ่งเหล่านี้ยังเป็นของภายนอกทั้งนั้น เมื่อพูดถึงประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ภายนอก คือ
เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง
หรือเป็นสัญลักษณ์ของศาสนวัตถุ ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้น คือ ความพ้นทุกข์

"จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อ รู้ จิตหนึ่ง"

มายา
22-12-2009, 20:30
อย่าตั้งใจผิด

นอกจากหลวงปู่จะนำธรรมที่ออกจากจิตของท่านมาสอนแล้ว โดยที่ท่านเคยอ่านพระไตรปิฎกจบมาแล้ว
ตรงไหนที่ท่านเห็นว่าสำคัญและเป็นการเตือนใจในทางปฏิบัติให้ตรง และลัดที่สุด
ท่านก็จะยกมากล่าวเตือนอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน
มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและสรรเสริญ
มิใช่อานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิ หรือแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้
ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสังวระ ความสำรวม เพื่อปหานะ ความละ
เพื่อวิราคะ ความหายกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ ความดับทุกข์
ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้ นอกจากแนวทางนี้แล้ว ผิดทั้งหมด"

มายา
22-12-2009, 20:43
พระพุทธพจน์

หลวงปู่ว่า ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นย่อมมีทิฏฐิ และเมื่อมีทิฏฐิแล้วยากที่จะเห็นตรงกัน
เมื่อเห็นไม่ตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่ร่ำไป
สำหรับพระอริยเจ้าผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ก็ไม่มีอะไรสำหรับมาโต้แย้งกับใคร
ใครจะมีทิฏฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป
ดังพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่
แม้เราตถาคตก็กล่าวว่าสิ่งนั้นมีอยู่
สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี
แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่วิวาทโต้เถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา"

มายา
22-12-2009, 20:58
คิดไม่ถึง

สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นั่นเอง
อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป อยากจะเคร่งครัดเป็นพิเศษ
ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากันตลอดพรรษา คือ ไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกจากปากใคร
ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร หรือสวดปาฏิโมกข์เท่านั้น
ครั้นออกพรรษาแล้ว ก็พากันไปกราบหลวงปู่ เล่าถึงการปฏิบัติอย่างเคร่งของพวกตนว่า
นอกจากปฏิบัติข้อวัตรอย่างอื่นแล้ว สามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาอีกด้วย

หลวงปู่ฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง แล้วพูดว่า

"ดีเหมือนกัน เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา
แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก
นอกจากพระอริยบุคคลผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติขั้นละเอียด
ดับสัญญาเวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้ นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน
ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่าไม่พูดนั่นแหละยิ่งพูดมากกว่าคนอื่น
เพียงแต่ไม่ออกเสียงให้คนอื่นได้ยินเท่านั้นเอง"

มายา
19-01-2010, 23:14
ผู้ที่เข้าใจธรรมะได้ถูกต้องหายาก

เมื่อไฟไหม้จังหวัดสุรินทร์ครั้งใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว ผลคือความทุกข์ยาก
สูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว และเสียใจอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สิน ถึงขั้นเสียสติไปก็หลายราย
บางคนวนเวียนมาลำเลิกให้หลวงปู่ฟังว่า
อุตส่าห์ทำบุญเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ทำไมบุญกุศลจึงไม่ช่วย
ทำไมธรรมะจึงไม่ช่วยคุ้มครอง ปล่อยให้ไฟไหม้บ้านวอดวายหมด
แล้วเขาเหล่านั้นก็เลิกเข้าวัดทำบุญไปหลายราย เพราะธรรมะไม่ช่วยพวกเขาให้พ้นจากไฟไหม้บ้าน

หลวงปู่ปรารภว่า

"ไฟมันทำตามหน้าที่ของมัน ธรรมะไม่ได้ช่วยใครในลักษณะนั้น
หมายความว่า ความอันตรธาน ความวิบัติ ความเสื่อมสลาย
ความพลัดพรากจากกัน สิ่งเหล่านี้มันมีประจำโลกอยู่แล้ว
ทีนี้ผู้มีธรรมะ เมื่อประสบกับภาวะเช่นนั้นแล้ว จะวางใจอย่างไรจึงไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้ต่างหาก
ไม่ใช่ธรรมะช่วยไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ไม่ให้หิว ไม่ให้ไฟไหม้ ไม่ใช่อย่างนั้น"

มายา
19-01-2010, 23:31
มีปกติไม่แวะเกี่ยว

อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่เป็นเวลานานสามสิบกว่าปี จนถึงวาระสุดท้ายของท่านนั้น
เห็นว่าหลวงปู่มีปฏิปทาตรงต่อพระธรรมวินัย ตรงต่อการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์อย่างเดียว
ไม่แวะเกี่ยวกับวิชาอาคม ของศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งชวนสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย เช่น
มีคนขอให้เป่าหัวให้ ก็ถามว่าเป่าทำไม มีคนขอให้เจิมรถ ก็ถามเขาว่าเจิมทำไม
มีคนขอให้บอกวันเดือนหรือฤกษ์ดี ก็บอกว่าวันไหนก็ดีทั้งนั้น
หรือเมื่อท่านเคี้ยวหมาก มีคนขอชานหมาก

หลวงปู่ว่า

"เอาไปทำไม ของสกปรก"

มายา
19-01-2010, 23:44
ปรารภธรรมะให้ฟัง

"คำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น
เป็นเพียงอุบายให้คนทั้งหลายหันมาดูจิตนั่นเอง
คำสอนของพระพุทธองค์มีมากมายก็เพราะกิเลสมีมากมาย
แต่ทางดับทุกข์ได้มีทางเดียวคือ นิพพาน
การที่เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมที่ถูกทางเช่นนี้มีน้อยนัก
หากปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเราจะหมดโอกาสพ้นทุกข์ได้ทันในชาตินี้
แล้วจะต้องหลงอยู่ในความเห็นผิดอีกนานแสนนาน เพื่อจะพบธรรมอันเดียวกันนี้
ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว รีบปฏิบัติให้หลุดพ้นเสีย
มิฉะนั้นจะเสียโอกาสอันดีนี้ไป เพราะว่าเมื่อสัจจธรรมถูกลืม
ความมืดมนย่อมครอบงำปวงสัตว์ให้อยู่ในกองทุกข์สิ้นกาลนาน"

มายา
19-01-2010, 23:55
ปรารภธรรมะให้ฟัง

มิใช่ครั้งเดียวเท่านั้นที่หลวงปู่เปรียบเทียบธรรมะให้ฟัง มีอยู่อีกครั้งหนึ่งหลวงปู่ว่า

"ปัญญาภายนอกคือปัญญาสมมติ ไม่ทำให้จิตแจ้งในพระนิพพานได้
ต้องอาศัยปัญญาอริยมรรคจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้
ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เช่น ไอน์สไตน์ มีความรู้มาก
มีความสามารถมาก แยกปรมาณูที่เล็กที่สุดจนเข้าถึงมิติที่ ๔ แล้ว
แต่ไอน์สไตน์ไม่รู้จักพระนิพพาน จึงเข้านิพพานไม่ได้
จิตที่แจ้งในอริยมรรคเท่านั้นจึงเป็นไปเพื่อการตรัสรู้จริง ตรัสรู้ยิ่ง ตรัสรู้พร้อม
เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อนิพพาน"

มายา
22-01-2010, 20:30
ปรารภธรรมะให้ฟัง

คราวหนึ่ง หลวงปู่กล่าวปรารภพระธรรมให้ฟังว่า
เราเคยตั้งสัจจะอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕
เพื่อสำรวจดูว่าจุดจบของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน
ที่สุดแห่งสัจจธรรม หรือที่สุดของทุกข์นั้นอยู่ตรงไหน
พระพุทธองค์ทรงกล่าวสรุปไว้ว่าอย่างไร
ครั้นอ่านไป ตริตรองไปกระทั่งถึงจบ ก็ไม่เห็นตรงไหนที่มีสัมผัสอันลึกซึ้งถึงจิตของเรา
ให้ตัดสินได้ว่า นี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งมรรคผล หรือที่เรียกว่านิพพาน

มีอยู่ตอนหนึ่ง คือ ครั้งพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ
พระพุทธเจ้าตรัสถามเชิงสนทนาธรรมว่า สารีบุตรสีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก
วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนัก อะไรเป็นวิหารธรรมของเธอ
พระสารีบุตรกราบทูลว่า "ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์"
ก็เห็นมีเพียงแค่นี้แหละ ที่มาสัมผัสจิตของเรา

มายา
22-01-2010, 20:55
ประหยัดคำพูด

คณะปฏิบัติธรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์หลายท่าน มีร้อยตำรวจเอกบุลชัย สุคนธมัต อัยการจังหวัด
เป็นหัวหน้ามากราบหลวงปู่เพื่อฟังข้อปฏิบัติและเรียนถามถึงวิธีปฎิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ซึ่งส่วนมากก็เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละท่านมาแล้ว และแนวทางปฏิบัติก็ไม่ค่อยจะตรงกัน
เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น จึงขอกราบเรียนหลวงปู่โปรดช่วยแนะแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง
และทำได้ง่ายที่สุด เพราะหาเวลาปฏิบัติธรรมได้ยาก หากได้วิธีง่าย ๆ แล้วก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง

หลวงปู่บอกว่า

"ให้ดูจิต ที่จิต"

มายา
22-01-2010, 21:21
ง่าย แต่ทำได้ยาก

คณะของคุณดวงพร ธารีฉัตร จากสถานีวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ
เดินทางไปถวายผ้าป่าและกราบนมัสการครูบาอาจารย์ตามสำนักต่าง ๆ ทางภาคอีสาน
และได้แวะกราบนมัสการหลวงปู่ หลังจากการถวายผ้าป่า
ถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่หลวงปู่ และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากท่านแล้ว
ต่างคนต่างก็ออกไปตลาดบ้าง พักผ่อนตามอัธยาศัยบ้าง
มีอยู่กลุ่มหนึ่งประมาณ สี่ห้าคน เข้าไปกราบขอให้หลวงปู่แนะนำวิธีปฏิบัติง่าย ๆ
เพื่อแก้ไขความทุกข์ความกลุ้มใจ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ
ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผลเร็วที่สุด

หลวงปู่บอกว่า

"อย่าส่งจิตออกนอก"

มายา
05-02-2010, 20:57
พุทโธเป็นอย่างไร

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑
ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่า พุทโธ เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนกับตำรับตำรา หรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย
ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็ภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ
เมื่อจิตของเราสงบ เราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มาก ๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
ความรู้อะไร ๆ ให้มันออกจากจิตของเรา

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด
ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต และให้จิตภาวนาเอาเอง
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา
เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย

มายา
05-02-2010, 21:26
นักปฏิบัติลังเลใจ

ปัจจุบันนี้ ศาสนิกชนผู้สนใจในการปฏิบัติมีความงวยงง สงสัยอย่างยิ่งในแนวทางการปฏิบัติ
โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นใหม่ เนื่องจากคณาจารย์ฝ่ายต่าง ๆ แนะแนวทางการปฏิบัติไม่ตรงกัน
ยิ่งกว่านั้น แทนที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจโดยความเป็นธรรม
ก็กลับทำเหมือนไม่อยากจะยอมรับคณาจารย์อื่น สำนักอื่น ว่าเป็นการถูกต้อง
หรือถึงขั้นดูหมิ่นสำนักอื่นไปแล้วก็เคยมีไม่น้อย

ดังนั้น เมื่อมีผู้สงสัยทำนองนี้มากและได้มาเรียนถามหลวงปู่อยู่บ่อย ๆ
จึงได้ยินหลวงปู่อธิบายให้ฟังอยู่เสมอว่า

"การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้
เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น
เพราะจริตของคนไม่เหมือนกันจึงต้องมีวัตถุ สี แสง และคำสำหรับบริกรรม เช่น พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น
เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน เมื่อจิตรวมสงบแล้ว คำบริกรรมนั้นก็หลุดหายไปเอง
แล้วถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมี วิมุติ เป็นแก่น มีปัญญา เป็นยิ่ง"

มายา
24-02-2010, 21:16
แนะนำหลวงตาแนน

หลวงตาแนนบวชเมื่อวัยเลยกลางคนไปแล้ว หนังสือก็อ่านไม่ออกสักตัว ภาษากลางก็พูดไม่ได้สักคำ
ดีอย่างเดียว คือ เป็นคนตั้งใจดี ขยันปฏิบัติกิจวัตรไม่ขาดตกบกพร่อง ว่าง่ายสอนง่าย
เมื่อเห็นพระรูปอื่นออกไปธุดงค์ หรืออยู่ปฏิบัติกับสำนักครูบาอาจารย์อื่น ๆ
ก็อยากจะไปกับเขาด้วย จึงไปลาหลวงปู่

เมื่อหลวงปู่อนุญาตแล้ว หลวงตาแนนกลับวิตกว่า
กระผมไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ภาษาพูดเขา จะปฏิบัติกับเขาได้อย่างไร

หลวงปู่แนะนำว่า
"การปฏิบัติไม่ได้เกี่ยวกับอักขระพยัญชนะหรือคำพูดอะไรหรอก
ที่รู้ว่าตนไม่รู้ก็ดีแล้ว วิธีปฏิบัติในส่วนวินัยนั้น ให้พยายามดูแบบอย่างเขา
แบบอย่างครูบาอาจารย์ผู้นำ อย่าทำให้ผิดแผกจากท่าน
ส่วนธรรมะ ให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้วอย่างอื่นก็เข้าใจได้เอง"

มายา
24-02-2010, 21:30
ตื่นอาจารย์

นักปฏิบัติธรรมสมัยนี้มีสองประเภท
ประเภทที่หนึ่ง เมื่อได้รับข้อปฏิบัติ หรือข้อแนะนำจากอาจารย์
พอเข้าใจแนวทางแล้ว ก็ตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติไปจนสุดความสามารถ
อีกประเภทหนึ่ง ทั้งที่มีอาจารย์แนะนำดีแล้ว ได้ข้อปฏิบัติถูกต้องแล้ว
แต่ก็ไม่ตั้งใจทำอย่างจริงจัง มีความเพียรต่ำ ขณะเดียวกันก็ชอบเที่ยวแสวงหาอาจารย์
ไปในสำนักต่าง ๆ ได้ยินว่าสำนักไหนดีก็ไปทุกแห่ง ซึ่งในลักษณะนี้มีอยู่มากมาย

หลวงปู่แนะนำลูกศิษย์ว่า
"การไปหลายสำนักหลายอาจารย์ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล
เพราะการเดินหลายสำนักนี้ คล้ายกับการเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ไปเรื่อย
เราก็ไม่ได้หลักธรรมที่แน่นอน บางทีก็เกิดความลังเล งวยงง จิตก็ไม่มั่นคง
การปฏิบัติก็เสื่อม ไม่เจริญคืบหน้าต่อไป"

มายา
24-02-2010, 21:40
จับกับวาง

นักศึกษาธรรมะ หรือนักปฏิบัติธรรมะ มีสองประเภท
ประเภทหนึ่ง ศึกษาปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
ประเภทสอง ศึกษาปฏิบัติเพื่อจะอวดภูมิกัน ถกเถียงกันไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ใครจำตำราหรืออ้างครูบาอาจารย์ได้มาก ก็ถือว่าตนเป็นคนสำคัญ
บางทีเข้าหาหลวงปู่ แทนที่จะถามธรรมะข้อปฏิบัติจากท่าน
ก็กลับพ่นความรู้ความจำของตนให้ท่านฟังอย่างวิจิตรพิสดาร ก็เคยมีไม่น้อย

แต่สำหรับหลวงปู่นั้นท่านฟังได้เสมอ เมื่อเขาพูดจบลงแล้วยังช่วยต่อให้อีกด้วยว่า

"ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้
แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน"

มายา
27-02-2010, 00:03
เมื่อถึงปรมัตถ์แล้วไม่ต้องการ

ก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ.๒๔๙๖ หลวงพ่อเถาะซึ่งเป็นญาติของหลวงปู่
ที่ได้ออกธุดงค์ติดตามท่านอาจารย์เทสน์ ท่านอาจารย์สาม ไปอยู่จังหวัดพังงาหลายปี
ได้กลับมาเยี่ยมนมัสการหลวงปู่ เพื่อขอศึกษาข้อปฏิบัติทางกัมมัฏฐาน
และเมื่อได้รับความรู้ในการศึกษาปฏิบัติจนเป็นที่พอใจแล้ว
หลวงพ่อเถาะได้พูดตามประสาความคุ้นเคยว่า
หลวงปู่สร้างโบสถ์ ศาลา ได้ใหญ่โตสวยงามอย่างนี้ คงจะได้บุญได้กุศลอย่างมากเลยทีเดียว

หลวงปู่ตอบว่า
"ที่เราสร้างนี่ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์สำหรับโลก สำหรับวัดวาศาสนาเท่านั้นแหละ
ถ้าพูดถึงเอาบุญ เราจะมาเอาบุญอะไรอย่างนี้"

มายา
01-03-2010, 20:20
ผู้ไม่มีโทษทางวาจา

เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๖ หลวงปู่กำลังอาพาธหนักพักรักษาอยู่ที่ห้องพระราชทาน
ตึกจงกลนี วัฒนวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลวงปู่สาม อกิญฺจโน เดินทางมาเยี่ยมหลวงปู่ถึงห้องพยาบาล

ขณะที่หลวงปู่กำลังนอนพักอยู่ เมื่อหลวงปู่สามขยับไปนั่งใกล้ชิดแล้วก็ยกมือไหว้
หลวงปู่ดูลย์ก็ยกมือรับไหว้ แล้วต่างองค์ก็ต่างนั่งอยู่เฉย ๆ ตลอดระยะเวลานาน
และเมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว หลวงปู่สามประนมมืออีกครั้ง พร้อมกับพูดว่า "กระผมกลับก่อน"
หลวงปู่ดูลย์ว่า "อือ" ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงได้ยินเพียงเท่านี้

เมื่อหลวงปู่สามกลับไปแล้ว ก็อดที่จะถามหลวงปู่ไม่ได้ว่า
"หลวงปู่สามอุตส่าห์มานั่งตั้งนาน ทำไมหลวงปู่จึงไม่สนทนาอะไรกับท่านบ้าง"

หลวงปู่ตอบว่า
"ธุระมันหมดแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไร"

มายา
01-03-2010, 20:39
ขันติบารมี

เท่าที่อยู่ใกล้ชิดกับหลวงปู่ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
ไม่เคยเห็นท่านแสดงอากัปกิริยาใด ๆ ให้เห็นว่า
ท่านอึดอัดหรือรำคาญจนทนไม่ได้ถึงกับต้องบ่นอุบอิบกับกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
เช่น ไปเป็นประธานในงานสถานที่ใด ๆ ก็ไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการให้เขาจัดแจงดัดแปลงพิธีการใหม่
หรือไปในสถานที่ที่เป็นกิจนิมนต์ แม้จะต้องนั่งรอนาน หรืออากาศจะร้อนอบอ้าวอย่างไร ก็ไม่เคยบ่น
เวลาเจ็บไข้ไม่สบาย หรือเวลาเผอิญอาหารมาไม่ตรงเวลา แม้จะหิวกระหายเพียงใด ก็ไม่เคยบ่น
หรือแม้รสชาติอาหารจะจืดจางอย่างไร ก็ไม่เคยเรียกหาเครื่องปรุงเพิ่มเติมอะไรเลย
ตรงกันข้าม ถ้าเห็นพระเถระรูปไหนชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการ ขี้บ่น หรือทำสำออยให้คนอื่นเอาใจ

หลวงปู่ก็มักจะปรารภให้ฟังว่า
"แค่นี้อดทนไม่ได้หรือ ถ้าแค่นี้อดทนไม่ได้ จะเอาชนะกิเลสตัณหาได้อย่างไร"

มายา
01-03-2010, 20:56
ไม่เบียดเบียนแม้ทางวาจา

หลวงปู่กล่าววาจาบริสุทธิ์ เพราะท่านกล่าวเฉพาะวาจาที่เป็นประโยชน์
และไม่ทำให้ทั้งตนเอง และผู้อื่นต้องเดือดร้อนเพราะคำพูดของท่าน
แม้จะมีผู้ใดมาพูดเป็นเหตุที่จะชวนให้ท่านวิพากษ์วิจารณ์ใคร ๆ อย่างไร ท่านก็ไม่เคยคล้อยตาม

หลายครั้งที่มีผู้ถามท่านว่า หลวงปู่ ทำไมพระนักพูดนักเผยแผ่ระดับประเทศบางองค์
เวลาพูดหรือเทศน์ชอบพูดโจมตีคนอื่น พูดเสียดสีสังคม หรือพูดกระทบกระแทกพระเถระด้วยกัน เป็นต้น
พระที่พูดในลักษณะนี้ จ้างให้ผมก็ไม่นับถือหรอก

หลวงปู่ว่า
"ก็ท่านมีภูมิรู้ ภูมิธรรมอยู่อย่างนั้น ท่านก็พูดไปตามความรู้ความถนัดของท่านนั่นแหละ
การจ้างให้นับถือไม่มีใครเขาจ้างหรอก เมื่อไม่นับถือ ก็อย่าไปนับถือซิ
ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอก"

มายา
02-03-2010, 22:23
ดีเหมือนกัน...แต่

นักปฏิบัติที่ตื่นอาจารย์ ตื่นสำนักใหม่ ๆ ในปัจจุบันนี้มีอยู่มาก
เมื่อเขาชอบใจอาจารย์องค์ไหน เขาก็กล่าวยกย่องอาจารย์องค์นั้น
ตลอดจนถึงชักชวนผู้อื่นให้ช่วยนับถือหรือเห็นด้วยกับตน
ยิ่งปัจจุบันนี้มีพระนักเทศน์ชื่อดังอยู่มากมายที่อัดเทปขายอย่างแพร่หลาย
มีอุบาสิกาท่านหนึ่งนำเทปนักเทศน์ชื่อดังไปถวายให้หลวงปู่ฟังหลายม้วน
แต่หลวงปู่ไม่ได้ฟัง เพราะตั้งแต่เกิดมาท่านยังไม่เคยมีวิทยุเทปกับเขาเลยแม้แต่สักเครื่องเดียว
หรือสมมติว่าถ้ามี ท่านก็คงเปิดฟังไม่เป็น ต่อมามีผู้เอาเครื่องเล่นเทปไปเปิดให้หลวงปู่ฟังจนจบหลายม้วน
แล้วได้เรียนถามท่านว่าฟังจบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

หลวงปู่ว่า
"ดีเหมือนกัน สำนวนโวหารสละสลวยน่าฟัง ทั้งรวยด้วยคำพูด แต่หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้
การฟังแต่ละครั้งนั้นควรให้ได้อรรถรสของ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จึงจะเป็นสาระ"

มายา
02-03-2010, 22:42
อยู่ ก็อยู่ให้เหนือ

ผู้ที่เข้านมัสการหลวงปู่ทุกคน มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
แม้หลวงปู่จะมีอายุใกล้ร้อยปีแล้วก็จริง แต่ดูผิวพรรณยังผ่องใส และสุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดี
แม้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดท่านมาตลอดก็ยากที่จะได้เห็นท่านแสดงอาการหมองคล้ำ อิดโรย
หรือหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมาให้เห็น ท่านมีปกติสงบเย็นเบิกบานอยู่เสมอ มีอาพาธน้อย
มีอารมณ์ดี ไม่ตื่นเต้นตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เผลอคล้อยตามคำสรรเสริญ หรือคำตำหนิติเตียน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่ามกลางพระเถระฝ่ายวิปัสสนาที่กำลังสนทนาธรรมกับหลวงปู่
เรื่องปรกติจิตที่อยู่เหนือความทุกข์ มีลักษณะโดยอาการเป็นอย่างไร

หลวงปู่ว่า
"การไม่กังวล การไม่ยึดถือ นั่นแหละคือ วิหารธรรมของนักปฏิบัติ"

มายา
16-03-2010, 20:33
ทำจิตให้สงบได้ยาก

การปฏิบัติภาวนานั้น จะให้ได้ผลออกมาเร็วช้าเท่าเทียมกันย่อมเป็นไปไม่ได้
บางคนได้เร็ว บางคนได้ผลช้า หรือบางคนอาจจะยังไม่เคยได้ลิ้มรสผลแห่งความสงบเลยก็มี
แต่ก็ไม่ควรท้อถอย เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ได้ประกอบความเพียร ย่อมเป็นบุญเป็นกุศลขั้นสูง
เคยมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมากได้เข้ามากราบเรียนถามหลวงปู่ว่า
อุตส่าห์พยายามปฏิบัติภาวนามานานแล้ว แต่จิตไม่เคยสงบเลย แส่ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย
มีวิธีอื่นใดบ้างที่พอจะปฏิบัติได้

หลวงปู่เลยแนะนำวิธีอีกอย่างหนึ่งว่า

"ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้
ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้
เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา
ความหน่ายคลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน"

มายา
20-07-2010, 22:05
หลวงปู่เตือนพระผู้ประมาท

ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำรา คือ
มีความพอใจ ภูมิใจกับจำนวนศีลที่มีอยู่ในคัมภีร์ว่าตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ

"ส่วนที่ตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น จะมีสักกี่ข้อ"

มายา
20-07-2010, 22:15
อุทานธรรมข้อต่อมา

เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมดแล้ว และได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว
ก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้ แต่ยังเป็นได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น
ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่งที่รกรุงรังทางใจ อันได้แก่อารมณ์ตกต่ำทางใจได้แล้ว
ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุจากภายในได้

ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อย เช่น เหา ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด
จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ฉันนั้น
ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ ควรเรียกเอาว่า "เป็นภิกษุแท้"

มายา
20-07-2010, 22:34
เตือนศิษย์ไม่ให้ประมาท

เพื่อป้องกันความประมาท หรือมักง่ายต่อการประพฤติปฏิบัติของพระเณร
หลวงปู่จึงสรรหาคำสอนตักเตือนไว้อย่างลึกซึ้งว่า

"คฤหัสถ์ชน ญาติโยมทั่วไป เขาประกอบอาชีพการงานด้วยความยากลำบาก
เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุข้าวของเงินทอง มาเลี้ยงครอบครัวลูกหลานของตน
แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างไร เขาก็ต้องต่อสู้ ขณะเดียวกันเขาก็อยากได้บุญได้กุศลด้วย
จึงพยายามเสียสละทำบุญ ลุกขึ้นแต่เช้า หุงหาอาหารอย่างดีคอยใส่บาตร
ก่อนใส่เขายกอาหารขึ้นท่วมหัวแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ครั้นใส่แล้วก็ถอยไปย่อตัวยกมือไหว้อีกครั้งหนึ่ง
ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อต้องการบุญต้องการกุศลจากเรานั่นเอง

แล้วเราเล่ามีบุญกุศลอะไรบ้างที่จะให้เขา
ได้ประพฤติตนให้สมควรที่จะรับเอาของเขามากินแล้วหรือ"

มายา
22-07-2010, 01:12
แค่ศีลห้าก็ไม่มี

มีพระใกล้ชิดหลวงปู่รูปหนึ่ง ชอบถือวิสาสะจนเกินควร คือ
ชอบหยิบเอาข้าวของบางอย่างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตไป
มีผู้มากราบเรียนหลวงปู่ให้ทราบ แต่ท่านก็มักจะวางเฉย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านต้องการใช้สิ่งของอันนั้น จึงให้พระรูปหนึ่งไปถามหา
แต่กลับถูกปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เอาไป พระรูปนั้นจึงกลับมากราบเรียนหลวงปู่ว่า
"เขาปฏิเสธว่าไม่ได้เอา" หลวงปู่ก็เพียงแต่พูดออกมานิดหนึ่งว่า

"พระบางรูปมัวแต่ตั้งใจรักษาศีล ๒๒๗ จนลืมรักษาศีล ๕"

มายา
22-07-2010, 01:34
แนะนำตามวิทยฐานะ

พระอาจารย์สุจินต์ สุจิณฺโณ เรียนจบนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นานแล้ว
มีความเลื่อมใสในการปฏิบัติธรรม เคยไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่หลุยเป็นเวลาหลายปี
ต่อมาเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ดูลย์ จึงลาหลวงปู่หลุยมาปฏิบัติกับหลวงปู่
ตลอดถึงขอบรรพชาอุปสมบทอยู่กับหลวงปู่ตลอดมา และเมื่ออยู่กับหลวงปู่พอสมควรแก่ความต้องการแล้ว
จึงกราบลาหลวงปู่เพื่อขอเดินทางธุดงค์วิเวกต่อไป

หลวงปู่จึงแนะนำว่า

"เรื่องของพระวินัยนั้น ให้ศึกษาอ่านตำรับตำราให้เข้าใจให้ถูกต้องทุกข้อมูล
เพื่อปฏิบัติไม่ให้ผิด ส่วนธรรมะนั้น ถ้าอ่านมากก็จะมีวิตกวิจารณ์มาก จึงไม่ต้องอ่านก็ได้
ขอให้ตั้งใจปฏิบัติเอาเพียงอย่างเดียวก็พอ"

มายา
23-07-2010, 01:27
เรื่องกิน

กระผมได้ปฏิบัติทางจิตมานาน ก็พอมีความสงบอยู่บ้าง
แต่มีปัญหาเรื่องของการบริโภคอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ คือ
เพียงแค่เห็นก็นึกเวทนาไปถึงเจ้าของเนื้อนั้นว่า เขาต้องสูญเสียชีวิตเพื่อเราผู้บริโภคโดยแท้
คล้ายกับว่าเราผู้บริโภคจะขาดเมตตาไปมาก เมื่อเกิดความกังวลใจเช่นนี้ ก็ทำความสงบใจได้ยาก

หลวงปู่ว่า

"ภิกษุจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า
การกินเนื้อสัตว์คล้ายจะเป็นการเบียดเบียน และขาดเมตตาต่อสัตว์
ก็ให้งดเว้นการฉันเนื้อเสีย พากันฉันอาหารเจต่อไป"

มายา
23-07-2010, 01:40
เรื่องกินมีอีก

เวลาต่อมาประมาณสี่เดือน ภิกษุกลุ่มนั้นกลับมากราบเรียนหลวงปู่อีกหลังจากออกพรรษาแล้ว
บอกว่าพวกกระผมฉันเจมาตลอดพรรษาด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
เพราะญาติโยมแถวนั้น ไม่มีใครรู้เรื่องอาหารเจเลย ทำให้เกิดความลำบากทั้งด้วยการแสวงหา
และลำบากแก่ญาติโยมผู้อุปัฏฐาก บางรูปถึงขนาดสุขภาพไม่ดี บางรูปอยู่เกือบไม่พ้นพรรษา
การทำความเพียรก็ไม่เต็มที่เท่าที่ควร

หลวงปู่ว่า

"ภิกษุเมื่อจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน ครั้นเมื่อพิจารณาแล้ว
เห็นว่าอาหารที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้านี้แม้จะมีผักบ้าง เนื้อบ้าง ปลาบ้าง ข้าวสุกบ้าง
แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์โดยสามส่วน คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเจาะจงเรา
และเราก็แสวงหามาโดยชอบธรรมแล้ว ญาติโยมเขาถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใสแล้ว
ก็พึงบริโภคอาหารนั้นไป ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ปฏิบัติอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน"

มายา
23-07-2010, 01:56
เรื่องกินยังไม่จบ

เมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงปู่พักอยู่ที่วัดป่าประโคนชัย
มีภิกษุกลุ่มหนึ่งซึ่งชอบเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้แวะเข้าไปขอพักที่วัดป่านั้น

หลังจากแสดงความคารวะตามสมณวิสัยแล้ว ก็กล่าวถึงจุดเด่นที่พวกเขายึดถือเป็นหลักปฏิบัติว่า
ผู้บริโภคเนื้อสัตว์คือผู้สนับสนุนให้คนฆ่าสัตว์ ผู้บริโภคผักมีจิตเมตตาสูง
สามารถพิสูจน์ได้ว่าเมื่อหันไปบริโภคผักแล้ว จิตใจก็สงบเย็นดีขึ้น

หลวงปู่ว่า

"ดีทีเดียวแหละ ท่านใดสามารถฉันมังสวิรัตได้ก็เป็นการดีมาก ขออนุโมทนาสาธุด้วย
ส่วนท่านที่ยังฉันมังสะอยู่ หากมังสะเหล่านั้นเป็นของบริสุทธิ์โดยสามส่วน คือ
ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเจาะจงให้เรา และได้มาด้วยความบริสุทธิ์แล้ว
ก็ไม่ผิดธรรมผิดวินัยแต่ประการใด อนึ่ง ที่ว่าจิตใจสงบเยือกเย็นดีนั้น
ก็เป็นผลเกิดจากพลังของการตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ไม่เกี่ยวกับอาหารใหม่ อาหารเก่า ที่อยู่ในท้องเลย"

มายา
23-07-2010, 23:42
ผลคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน

แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่ ซึ่งพอดีกับวันออกพรรษาผ่านไปแล้ว ๒ วัน ของทุก ๆ ปี
สานุศิษย์ทั้งหลายของหลวงปู่ก็นิยมจะเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่เพื่อศึกษา และไต่ถามข้อวัตรปฏิบัติ
หรือรายงานผลของการปฏิบัติตลอดทั้งพรรษา ซึ่งเป็นกิจที่ศิษย์ของหลวงปู่กระทำอยู่เช่นนี้ตลอดมา

หลังจากฟังหลวงปู่แนะนำข้อวัตรปฏิบัติแล้ว หลวงปู่จึงจบลงด้วยคำสอนว่า

"การศึกษาธรรมด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญา (ความจำได้)
การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติ คือ ภูมิธรรม"

มายา
23-07-2010, 23:53
ไปธุดงค์เพื่ออะไร

พระเณรบางกลุ่มหลังจากออกพรรษาแล้ว นิยมพากันออกเที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ
มีการตระเตรียมบริขาร หรือชุดธุดงค์กันอย่างครบเครื่อง แต่ในการไปนั้น
มีอยู่หลายรูปที่ไปแบบผิดเป้าหมาย เช่น ทรงเครื่องกัมมัฏฐานไปรถทัวร์บ้าง รถไฟบ้าง
เที่ยวไปเยี่ยมเพื่อนฝูงตามสำนักต่าง ๆ บ้าง

หลวงปู่จึงกล่าวท่ามกลางคณะสงฆ์ว่า

"การกระทำตนเป็นพระธุดงค์รูปงามนั้น ย่อมไม่ควร ผิดวัตถุประสงค์ของการเดินธุดงค์ ทุกองค์พึงสำเหนียกให้มากว่า
การประพฤติธุดงคกัมมัฏฐานนั้น มุ่งการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจให้ปราศจากกิเลสประการเดียวเท่านั้น
การไปธุดงคกัมมัฏฐานแต่ตัวส่วนใจไม่ไปนั้น ไม่เป็นการประเสริฐเลย"

มายา
27-07-2010, 21:37
ละเอียด

หลวงพ่อเบธ วัดป่าโคกหม่อน ได้เข้าสนทนาธรรมกับหลวงปู่ถึงการปฏิบัติสมาธิภาวนา
โดยท่านเล่าว่า สามารถทำให้จิตเข้าถึงอัปปนาสมาธิได้เป็นเวลานาน ๆ
ครั้นถอยออกมาจากสมาธิ บางทีก็เกิดความสุขอิ่มเอิบอยู่เป็นเวลานาน
บางทีก็เกิดความสว่างไสวสามารถเข้าใจสรรพางค์กายได้อย่างครบถ้วน
แล้วจะมีสิ่งใดต้องปฏิบัติต่อไปอีก

หลวงปู่ว่า

"อาศัยพลังอัปปนาสมาธินั่นแหละมาตรวจสอบจิต แล้วปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมดอย่าให้เหลืออยู่"

มายา
27-07-2010, 21:49
ว่าง

ในเวลาต่อมา หลวงพ่อเบธพร้อมด้วยพระสหธรรมิกอีกสองรูป และคฤหัสถ์อีกหลายคนเข้านมัสการหลวงปู่
หลังจากหลวงปู่ได้แนะนำข้อปฏิบัติแก่ผู้ที่เข้ามาใหม่แล้ว หลวงพ่อเบธได้ถามถึง
ข้อปฏิบัติที่หลวงปู่แนะนำเมื่อคราวที่แล้วว่า การปล่อยวางอารมณ์นั้น ทำได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
หรือชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจรักษาให้อยู่ได้เป็นเวลานาน

หลวงปู่ว่า

"แม้ที่ว่าปล่อยวางอารมณ์ได้ชั่วขณะหนึ่งนั้น ถ้าสังเกตจิตไม่ดี หรือสติไม่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว
ก็อาจเป็นได้ว่า ละจากอารมณ์หยาบไปอยู่กับอารมณ์ละเอียดก็ได้ จึงต้องหยุดความคิดทั้งปวงเสีย
แล้วปล่อยจิตให้ตั้งอยู่บนความไม่มีอะไรเลย"

มายา
27-07-2010, 21:59
อุบายคลายความยึด

เมื่อกระผมทำความสงบให้เกิดขึ้นแล้ว ก็พยายามรักษาจิตให้ดำรงอยู่ในความสงบนั้นด้วยดี
แต่ครั้นกระทบกระทั่งกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จิตก็มักจะสูญเสียความสงบที่พยายามทรงไว้นั้น

หลวงปู่ว่า

"ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าสมาธิของตนเองยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ถ้าเป็นอารมณ์แรงกล้าเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะอารมณ์ที่เป็นจุดอ่อนของเราแล้ว ต้องแก้ด้วยวิปัสสนาวิธี
จงเริ่มต้นด้วยการพิจารณาสภาวธรรมที่หยาบที่สุด คือ กาย แยกให้ละเอียดพิจารณาให้แจ่มแจ้ง
ขยับถึงพิจารณานามธรรมอะไรก็ได้ทีละคู่ ที่เราเคยแยกพิจารณามา
ก็มีความดำความขาว ความมืดความสว่าง เป็นต้น"

มายา
31-07-2010, 21:39
ความหลังยังฝังใจ

ครั้งหลวงปู่ไปพักผ่อนที่วัดป่าโยธาประสิทธิ์ มีพระเณรจำนวนมากมากราบนมัสการหลวงปู่
เพื่อขอฟังโอวาทจากหลวงปู่ หลวงตาพลอย ผู้ที่มาบวชเมื่อแก่ได้ปรารภถึงตนเองว่า
"กระผมบวชมาก็นานพอสมควรแล้ว ยังไม่อาจตัดอารมณ์ห่วงอาลัยในอดีตได้
แม้จะตั้งใจอย่างไรก็เผลอจนได้ ขอทราบอุบายวิธีอย่างอื่นเพื่อปฏิบัติตามแนวทางนี้ต่อไปด้วยครับกระผม"

หลวงปู่ว่า

"อย่าให้จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ถ้าเผลอ เมื่อรู้ตัวให้รีบดึงกลับมา
อย่าปล่อยให้มันรู้อารมณ์ดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ ไม่คล้อยตาม และไม่หักหาญ"

มายา
31-07-2010, 21:49
หยุดต้องหยุดให้เป็น

มีนักปฏิบัติกราบเรียนหลวงปู่ว่า กระผมพยายามหยุดคิด หยุดนึกให้ได้ตามที่หลวงปู่เคยสอน
แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักที ซ้ำยังเกิดความอึดอัดแน่นในใจ สมองมึนงง
แต่กระผมก็ยังศรัทธาว่าที่หลวงปู่สอนไว้ย่อมไม่ผิดแน่ ขอทราบอุบายวิธีต่อไปด้วยครับ

หลวงปู่ว่า

"ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิดหยุดนึก
ก็กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดจะอุบัติขึ้นได้อย่างไร
จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิดหยุดนึกเสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง"

มายา
31-07-2010, 22:07
เมื่อกล่าวถึงสัจธรรมแล้ว ย่อมลงสู่กระแสเดียวกัน

มีหลายท่านชอบถามว่า คำกล่าวหรือการเทศน์ของหลวงปู่ ดูคล้ายนิกายเซ็น
หรือคล้ายมาจากสูตรเว่ยหล่างเป็นต้น อาตมาเรียนถามหลวงปู่ก็หลายครั้ง ในที่สุดหลวงปู่ก็กล่าวว่า

"สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมนั้นแล้ว
ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง
พระองค์จึงเปลืองคำสอนไว้มากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
เมื่อมีนักปราชญ์ฉลาดสรรหาคำพูดให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะอธิบายสัจธรรมนั้น
นำมาตีแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจธรรมด้วยกัน เราย่อมจะต้องอาศัยแนวทางในสัจธรรมนั้น
ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุดนำแผ่ออกไปอีก
โดยไม่ได้คำนึงถึงคำพูด หรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะตัวใดเลยแม้แต่น้อยเดียว"

มายา
04-08-2010, 20:52
มีอยู่จุดเดียว

ในนามสัทธิวิหาริกของหลวงปู่ มีพระมหาทวีสุขสอบเปรียญ ๙ ประโยคได้เป็นรูปแรก
ทางวัดบูรพารามจึงจัดฉลองพัดประโยค ๙ ถวาย

หลังจากพระมหาทวีสุขถวายสักการะแก่หลวงปู่แล้ว หลวงปู่ได้ให้โอวาทว่า

"ผู้ที่สามารถสอบเปรียญ ๙ ประโยคได้นั้น ต้องมีความเพียรอย่างมาก และมีความฉลาดเพียงพอ
เพราะถือว่าเป็นการจบหลักสูตรฝ่ายปริยัติ และต้องแตกฉานในพระไตรปิฎก
การสนใจทางปริยัติเพียงอย่างเดียวพ้นทุกข์ไม่ได้ ต้องสนใจปฏิบัติทางจิตต่อไปอีกด้วย

พระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ออกไปจากจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างออกจากจิต อยากรู้อะไรค้นได้ที่จิต"

มายา
04-08-2010, 21:05
โลกกับธรรม

วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงปู่ไปพักผ่อนอยู่ที่วัดถ้ำศรีแก้ว ภูพาน สกลนคร
ค่ำวันสุดท้ายที่หลวงปู่จะเดินทางกลับ ท่านอาจารย์สุวัจ พร้อมพระเณรในวัด
ได้เข้าไปกราบหลวงปู่เพื่อเป็นการอำลาหลวงปู่

หลวงปู่กล่าวว่า "พักผ่อนอยู่ที่นี่สบายดี อากาศก็ดี ภาวนาก็สบาย นึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ เมื่อสมัยเที่ยวธุดงค์"

แล้วหลวงปู่ก็ได้กล่าวธรรมโอวาทมีความตอนหนึ่งว่า

"สิ่งใดซึ่งสามารถรู้ได้ สิ่งนั้นเป็นของโลก สิ่งใดไม่มีอะไรจะรู้ได้ สิ่งนั้นคือธรรม
โลกมีของคู่อยู่เป็นนิจ แต่ธรรมเป็นของสิ่งเดียวรวด"

มายา
05-08-2010, 21:16
ละอย่างหนึ่งติดอีกอย่างหนึ่ง

ลูกศิษย์ฝ่ายคฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่
เพื่อรายงานผลการปฏิบัติให้หลวงปู่ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่า

"ปลื้มใจอย่างยิ่งที่ได้พบหลวงปู่วันนี้ ด้วยกระผมปฏิบัติตามที่หลวงปู่เคยแนะนำ
ก็ได้ผลไปตามลำดับ คือ เมื่อลงมือนั่งภาวนาก็เริ่มละสัญญาอารมณ์ภายนอกหมด
จิตก็หมดความวุ่น จิตรวม จิตสงบ จิตดิ่งสู่สมาธิ หมดอารมณ์อื่น เหลือแต่ความสุข
สุขอย่างยิ่ง เย็นสบาย แม้จะให้อยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ก็ได้"

หลวงปู่ยิ้มแล้วพูดว่า

"เออ ก็ดีแล้วที่ได้ผล พูดถึงความสุขในสมาธิมันก็สุขจริง ๆ จะเอาอะไรมาเปรียบไม่ได้
แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้น มันก็ได้แค่นั้นแหละ ยังไม่เกิดปัญญาอริยมรรคที่จะตัดภพชาติ ตัณหา อุปาทาน ได้
ให้ละสุขนั้นเสีย แล้วพิจารณาขันธ์ห้าให้แจ่มแจ้งต่อไป"

มายา
05-08-2010, 21:28
ปรารภธรรมเปรียบเทียบ

"จิตของพระอริยเจ้าชั้นโลกุตตระนั้น แม้จะยังอยู่ในโลกคลุกคลีกับสิ่งแวดล้อมโดยสถานใด
ก็ไม่อาจจูงจิตของท่านให้ไขว้เขวเจือปนกับสิ่งเหล่านั้นได้ คือ โลกธรรมไม่อาจครอบงำจิตได้เลย
คือ จิตไม่กลับกลายไปเป็นจิตปุถุชนได้อีก ไม่อาจกลับไปอยู่ใต้อำนาจของกิเลสตัณหาได้อีก

เปรียบเหมือนกะทิมะพร้าวที่คั้นออกมาแล้ว
เอาไปสำรอกหรือเคี่ยวด้วยความร้อนจนเป็นน้ำมันออกมาได้แล้ว
ย่อมไม่กลับกลายไปเป็นกะทิเหมือนเดิมอีก แม้จะเอาไปปะปนระคนกับกะทิอย่างไร
ก็ไม่อาจทำให้น้ำมันนั้นกลายเป็นกะทิเหมือนเดิมได้"

มายา
05-08-2010, 21:44
ภายนอกกับภายใน

เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ หลังจากหลวงปู่กลับจากราชพิธีในพระราชวัง
กำลังพักผ่อนอยู่ที่พระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศฯ
มีท่านเจ้าคุณซึ่งเป็นนักปฏิบัติรูปหนึ่งได้เข้าไปเยี่ยมสนทนาธรรมกับหลวงปู่
โดยขึ้นต้นด้วยคำถามว่า "เขาว่าคนที่เป็นยักษ์ในชาติปางก่อน
กลับมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้นั้น เรียนคาถาอาคมอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกอย่าง เป็นความจริงแค่ไหนครับผม"

หลวงปู่ลุกขึ้นนั่ง แล้วตอบว่า

"ผมไม่เคยได้สนใจเรื่องอย่างนี้เลย ท่านเจ้าคุณเคยภาวนาถึงตรงนี้ไหม
หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม
เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ไม่มีในสามัญชน
เพราะพ้นเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งแล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง"

มายา
16-08-2010, 20:56
หวังผลไกล

เมื่อมีแขกหรืออุบาสกอุบาสิกาไปกราบนมัสการหลวงปู่ แต่หลวงปู่มีปกติไม่เคยถามถึงเรื่องอื่นใด
มักจะถามว่า "ญาติโยมเคยภาวนาบ้างไหม" บางคนตอบว่าเคย บางคนตอบว่าไม่เคย
ในจำนวนนั้นมีอยู่คนหนึ่งฉะฉานกว่าใคร เขากล่าวว่า
"ดิฉันเห็นว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องมาวิปัสสนาอะไรให้มันลำบากลำบนนัก
เพราะปีหนึ่ง ๆ ดิฉันก็ฟังเทศน์มหาชาติจบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ตั้งหลายวัด
ท่านว่าอานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาตินี้จะได้ถึงศาสนาพระศรีอาริย์
ก็จะพบแต่ความสุขความสบายอยู่แล้ว ต้องมาทรมานให้ลำบากทำไม"

หลวงปู่ว่า

"สิ่งอันประเสริฐที่มีอยู่เฉพาะหน้าแล้วไม่สนใจ กลับไปหวังไกลถึงสิ่งที่เป็นแต่เพียงการกล่าวถึง
เป็นลักษณะของคนไม่เอาไหนเลย ก็ในเมื่อมรรค ผล นิพพานในศาสนาสมณโคดมในปัจจุบันนี้
ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ กลับเหลวไหลไม่สนใจ เมื่อถึงศาสนาพระศรีอาริย์ ก็ยิ่งเหลวไหลมากกว่านี้อีก"

มายา
16-08-2010, 21:11
การปฏิบัติธรรมนั้นเพื่ออะไร

หลวงพ่อเบธ ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดของหลวงปู่ อยู่ที่วัดโคกหม่อน แม้ท่านจะบวชเมื่อวัยชรา
แต่ก็เคร่งครัดต่อการปฏิบัติธุดงคกัมมัฏฐานอย่างยิ่ง หลวงปู่เคยยกย่องว่าปฏิบัติได้ผลดี
วันหนึ่งท่านอาพาธหนักใกล้จะมรณภาพแล้ว ท่านปรารภว่า อยากเห็นหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลาตาย
เมื่อหลวงปู่ไปถึงแล้ว หลวงพ่อเบธลุกกราบหลวงปู่แล้วล้มตัวนอนตามเดิมโดยไม่ได้พูดอะไร
แต่มีอาการยิ้ม และสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด

ขณะนั้น สุรเสียงอันชัดเจนและนุ่มนวลของหลวงปู่ก็มีออกมาว่า

"การปฏิบัติทั้งหลายที่เราพยายามปฏิบัติมา ก็เพื่อจะใช้ในเวลานี้เท่านั้น
เมื่อถึงเวลาที่จะตาย ให้ทำจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วหยุดเพ่งปล่อยวางทั้งหมด"

มายา
16-08-2010, 21:24
ไม่เคยเห็นหวั่นไหวในเหตุการณ์อะไร

เวลา ๔ ทุ่มผ่านไปแล้ว เห็นหลวงปู่ยังนั่งพักผ่อนอยู่ตามสบาย
จึงเข้าไปกราบเรียนว่า "หลวงปู่ครับ หลวงปู่ขาวมรณภาพเสียแล้ว"

หลวงปู่แทนที่จะถามว่า ด้วยเหตุใด เมื่อไร ก็ไม่ถามกลับพูดต่อไปเลยว่า

"เออ ท่านอาจารย์ขาว ก็หมดภาระการแบกหามสังขารเสียที
พบกันเมื่อ ๔ ปีที่ผ่านมาเห็นลำบากสังขาร ต้องให้คนอื่นช่วยเหลืออยู่เสมอ
เราไม่มีวิบากของสังขาร เรื่องวิบากสังขารนี้ แม้จะเป็นพระอริยเจ้าชั้นไหน
ก็ต้องต่อสู้จนกว่าจะขาดจากกันได้ ไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่ตามปกติสภาวะของจิตนั้น
มันก็ยังอยู่กับสิ่งเหล่านี้เอง เพียงแต่จิตที่ฝึกดีแล้วเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นย่อมละและระงับได้เร็ว
ไม่กังวล ไม่ยึดถือ หมดภาระเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น มันก็แค่นั้นเอง"

มายา
01-06-2011, 20:58
จริงตามความเป็นจริง

สุภาพสตรีชาวจีนคนหนึ่ง ถวายสักการะแด่หลวงปู่แล้วกราบเรียนว่า
ดิฉันจะต้องไปอยู่ที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อทำมาค้าขายและอยู่ใกล้ชิดกับญาติทางโน้น

ทีนี้บรรดาญาติ ๆ ก็เสนอแนะว่า ควรจะขายของชนิดนั้นบ้าง ชนิดนี้บ้าง ตามแต่เขาจะเห็นดีว่าอะไรขายได้ดี
ดิฉันยังมีความลังเลใจ ตัดสินใจเองไม่ได้ว่าจะเลือกขายของอะไร
จึงให้หลวงปู่ช่วยแนะนำด้วยว่า จะให้ดิฉันขายอะไรจึงจะดีเจ้าคะ

หลวงปู่ว่า

"ขายอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคนซื้อ"

มายา
01-06-2011, 21:07
ไม่ได้ตั้งจุดหมายไว้

เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๒ คณะนายทหารประมาณ ๑๐ กว่านาย
เข้านมัสการหลวงปู่เมื่อเวลาค่ำแล้ว ในคณะของนายทหารเหล่านั้น มียศพลโทสองท่าน
หลังจากสนทนากับหลวงปู่เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ถอดเอาพระเครื่องจากคอของแต่ละท่าน
รวมใส่พานถวายให้หลวงปู่ช่วยอธิฐานแผ่เมตตาจิตให้ ท่านก็อนุโลมตามความประสงค์แล้วก็มอบคืนให้ไป
มีนายพลท่านหนึ่งถามหลวงปู่ว่า ทราบว่ามีเหรียญหลวงปู่ออกมาหลายรุ่นแล้ว
อยากถามหลวงปู่ว่ามีรุ่นไหนดังบ้าง

หลวงปู่ตอบว่า

"ไม่มีดัง"

มายา
01-06-2011, 21:19
หลวงปู่กับเกจิอาจารย์

เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงปู่รับนิมนต์ไปร่วมพิธีกรรมที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิท
ในงานนี้ ท่านรับนิมนต์เข้าไปนั่งปรกในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลด้วย
เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ออกมานั่งพักที่กุฏิเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง สนทนากับเหล่าศิษยานุศิษย์
ที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นจำนวนหลายรูป
และมีพระรูปหนึ่งคงไม่เคยเห็นการเข้าพิธีพุทธาภิเษกมาก่อน
เพิ่งเคยเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรก จึงถามหลวงปู่ว่า นั่งปรกเขาทำอย่างไร

หลวงปู่จึงว่า

"อาจารย์องค์อื่น ๆ เขานั่งปรกนั่งพุทธาภิเษกอย่างไร เราไม่รู้
ส่วนตัวเรานั่งสมาธิอย่างเดียว ตามแบบฉบับของเรา"

มายา
19-10-2011, 21:08
อยากเรียนเก่ง

หนูได้ฟังคุณตาสรศักดิ์ กองสุข แนะนำว่า
ถ้าใครต้องการเรียนเก่งและฉลาด ต้องหัดนั่งภาวนาทำสมาธิให้ใจสงบเสียก่อน
หนูอยากจะเรียนเก่งเรียนฉลาดอย่างเขา จึงพยายามนั่งภาวนาทำใจให้สงบ
แต่ใจมันก็ไม่สงบสักที บางทีก็ยิ่งทวีความฟุ้งซ่านมากขึ้นก็มี
เมื่อใจไม่สงบเช่นนี้ ทำอย่างไรจึงจะเรียนเก่งเจ้าค่ะ

หลวงปู่ว่า

"เรียนอะไร ก็ให้มันรู้อันนั้น เดี๋ยวก็เก่งเองแหละ
ที่ใจไม่สงบก็ให้รู้ว่ามันไม่สงบ เพราะอยากสงบ มันจึงไม่สงบ
ขอให้พยายามภาวนาเรื่อย ๆ ไปเถอะ สักวันหนึ่งก็จะได้สงบตามต้องการ"