PDA

View Full Version : กำลังใจ กำลังกาย กำลังสติปัญญายิ่งเสื่อมถอย


เถรี
06-08-2009, 11:12
เวลาลำบากมาก ๆ แล้ว จะเห็นกำลังใจ

พระวัดเวฬุวัน ท่านเป็นธรรมยุต ท่านจะกางร่มบิณฑบาต อาตมาก็แปลกใจ ปกติพระธรรมยุตท่านเคร่งครัดมาก พระพุทธเจ้าระบุว่าร่มกางได้แค่ภายในอาราม หรืออุปจารแห่งอารามเท่านั้น ก็แปลว่าเฉพาะในวัดหรือเขตบริเวณของวัดเท่านั้น ถ้านอกเหนือจากนั้นท่านห้าม ยกเว้นว่าป้องกันอาพาธอันจะกำเริบได้ ท่านคงจะตีความตรงนี้แล้วก็กางร่มบิณฑบาต ถ้าท่านตีความอย่างนั้นแสดงว่าตีความผิด ป้องกันอาพาธอันอาจจะกำเริบได้ แปลว่าต้องป่วยอยู่แล้ว ถ้าโดนฝนแล้วอาการจะกำเริบ แต่นี่ไม่ได้ป่วย..ท่านกันป่วย คาดว่าท่านตีความผิด

พอถึงเวลาพวกเราบิณฑบาตก็เดินเปียกโชกเป็นแถว ของเขาก็กางร่มเดิน อาตมาหันไปบอกพระด้วยกันว่า คุณจำไว้นะ..ต่อไปถ้าใครบอกว่าบวชพระแล้วสบายให้มาบวชที่นี่ จะได้รู้เสียบ้างว่าอะไรเป็นอะไร

ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไรก็ไป ญาติโยมเขามีกำลังใจอุตส่าห์มารอใส่บาตร เราเป็นพระแล้วไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้ ก็วัดได้ชัด ๆ เลยว่าเรื่องสู้กิเลสนี่ไม่ต้องคิด เรื่องแค่นี้ไม่มีกำลังใจที่จะสู้ เรื่องสู้กิเลสเสร็จแน่ ๆ

บางรูปอายุมากแล้ว อย่างหลวงตาอภิชาติ ท่านเป็นคนกรุงเทพฯ ให้ท่านบิณฑบาตสายใกล้ ๆ บางทีอาตมาก็แกล้งเรียกว่า สายพระป่วย ปรากฏว่าหลวงตาท่านไม่เอา ท่านขอไปตลาดเปียกมาด้วยกัน น่ายกเป็นตัวอย่างมาก เพราะว่ากำลังใจท่านสู้จริง ๆ

หลวงตามีลูกชายสองคน คนโตบวชก่อน ไปบวชที่วัดสุนันทวราราม ที่ไทรโยค ใกล้ ๆ กัน พระวัดสุนันทวรารามก็มาบิณฑบาตที่ตลาดทองผาภูมิเหมือนกัน ท่านนั่งรถมา นั่งมาลงตรงปากทางแล้วก็เดิน ส่วนลูกคนที่สองบวชที่วัดท่าขนุนปีที่แล้ว ปีนี้ลูกบวชครบ พ่อจึงบวชบ้าง พ่ออายุมากแล้ว เดินตัวเปียกทุกวัน ถามว่าไหวไหม ? "ไหวครับ" ถามเมื่อไรก็ไหวครับ เออ..ต้องกำลังใจอย่างนี้ ถ้ากำลังใจอย่างนี้เรื่องสู้กิเลสถึงจะสู้ได้ เพราะอย่างไรก็เชื่อว่าตัวเองไหว

เถรี
06-08-2009, 11:17
อีกรายหนึ่งก็คือ หลวงตากวี อายุ ๗๐ กว่าปีแล้ว ขาของท่านก็ไม่ค่อยดี อาตมาเคยบอกไปแล้วว่าท่านใดที่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป อนุญาตให้เกษียณได้ ไม่ต้องออกบิณฑบาต ถึงเวลาไปรออยู่ที่หอฉันได้เลย เดี๋ยวให้พระรูปอื่น ๆ บิณฑบาตมาเลี้ยงเอง

หลวงตากวีท่านไม่ยอมเลิก ยังคงเดินบิณฑบาตอยู่ทุกวันเหมือนกัน ฝนตกก็เปียกเหมือนกัน แต่หลวงตาเดินสายใกล้วัด สายใกล้นี่เดินไม่นานแค่ ๒๐ - ๓๐ นาทีก็กลับแล้ว ถ้าหากจังหวะดี ๆ ก็ไม่เปียก พวกเราเปียกกลับมาแต่ของท่านสบาย

หลวงตาท่านไม่ยอมเลิกออกบิณฑบาต ท่านบอกว่าอายุมากแล้ว ถ้าไม่ได้ออกกำลัง ร่างกายจะทรุดเร็ว ก็เลยยอมเดินบิณฑบาตอยู่ทุกวัน บางทีพระหาย ที่นั่งแหว่ง รู้เลยว่ารูปไหน ถามว่าไปไหน บอกว่าไม่สบาย นั่นยังหนุ่มอายุ ๒๐ กว่า ๆ เอง ขณะที่หลวงตาอายุ ๗๐ กว่าแล้ว ยังเดินบิณฑบาตหน้าตาเฉย

กำลังใจของคนต่างกัน ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งกำลังใจก็ลดไปส่วนหนึ่ง ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง กำลังใจก็ลดไปส่วนหนึ่ง ความเข้มข้นในการปฏิบัติก็เลยลดน้อยลงไปตามลำดับ นึกถึงตอนเด็ก ๆ โดนพ่อแม่ตีเป็นประจำ บอกว่าขี้เกียจ แต่พอมาถึงสมัยนี้ อาตมาที่พ่อแม่บอกว่าขี้เกียจ เด็กร้องจ๊ากเลย สู้ไม่ไหว เพราะทำอะไรอาตมาลงไปทำด้วย พอลงไปทำด้วยทุกท่านก็ต้องไปด้วย แล้วก็ร้องกันว่าไม่ไหว เลยทำให้เห็นว่ากำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาก็ตาม รุ่นหลัง ๆ รู้สึกว่าจะยิ่งลดลงไปเรื่อย

ยิ่งสมัยนี้เครื่องทุ่นแรงมีเยอะ คอมพิวเตอร์ช่วยไปเยอะมาก จะทำอะไรก็ง่ายและสะดวกไปหมด จึงทำให้สมรรถภาพของคนลดลงไปเรื่อย ๆ อย่างในเรื่องความจำ ยกตัวอย่างเบอร์โทรศัพท์ มีคนถามว่าพระอาจารย์ไม่ได้เก็บเบอร์โทรศัพท์ไว้ในเครื่องมือถือหรือ ? เลยบอกเขาว่าเก็บไว้แต่อยู่ในนี้ (พระอาจารย์ท่านชี้ไปที่ศีรษะของท่าน) แล้วเขาก็สงสัยว่าจดจำเบอร์โทรศัพท์ได้หมดอย่างไร ในเมื่อมีเบอร์โทรศัพท์มากมาย ก็จำแค่เบอร์เดียวคือเบอร์ใหม่ เพราะเบอร์เก่าจำได้หมดแล้ว

ขณะที่เด็กรุ่นใหม่ เขาเก็บเบอร์โทรศัพท์ไว้ในมือถือ โทรศัพท์มือถือหายก็หน้ามืดไปเลย ต้องไปขอเบอร์จากคนอื่น ๆ ใหม่ ของอาตมาถ้าโทรศัพท์มือถือหายก็หายไป ซื้อเครื่องใหม่แล้วก็กดโทรหาบุคคลที่ต้องการได้เลย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ยิ่งนานไปสัญญากับปัญญาของคนจะทรามไปเรื่อย ดูแล้วใช่จริง ๆ ไปมอบความไว้วางใจให้กับเครื่องมือ เด็กรุ่นหลัง ๆ ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์ก็ไปไม่เป็น จะทำรายงานอะไรที ค้น "กูเกิ้ล" อย่างเดียว ไม่ค้นหาจากหนังสือกันแล้ว


เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
๑ สิงหาคม ๒๕๕๒