PDA

View Full Version : กำลังใจของกะเหรี่ยง


เถรี
29-07-2009, 08:32
สมัยก่อนวัตถุมงคลของวัดท่าซุง ราคามาตรฐานอยู่ที่ ๑๐ บาท ราคา ๒๐ - ๓๐ บาทสมัยนั้นถือว่าแพง ยกเว้นลูกประคำที่ราคามาตรฐานกะเหรี่ยง ๘๐ บาท ตอนนั้นเห็นลูกประคำของพวกกะเหรี่ยง เขานับกันทั้งวัน นับจนใสเป็นแก้ว เห็นแล้วอยากได้ ก็เลยขอซื้อ ของคู่มือเขา..ใครเขาจะให้ กว่าจะกล่อมให้กะเหรี่ยงขายได้ ตอนแรกเสนอ ๒๐ บาท ๓๐ บาทไม่เอา ไล่ไปเรื่อยจนถึง ๘๐ บาทจึงยอมตกลงขาย เพราะค่าแรงของเขาตอนนั้นวันละ ๒๐ บาท

พวกเราต้องเห็นกำลังใจเขาด้วยว่าเราสู้เขาไม่ได้ กะเหรี่ยงเขามีความเคารพศรัทธาจริง ๆ แล้วถ้าเขารักใครเขารักตลอดชีวิต ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สมัยก่อนตอนหลวงปู่ครูบาขาวปี โดนจับสึก พวกกะเหรี่ยงเอาช้างแห่ไปเลย เขาบอกว่า "ตุ๊เหลือง...ตุ๊ของพวกเจ้า ตุ๊ขาว...ตุ๊ของพวกเฮา" เพราะกะเหรี่ยงเขานับถือฤๅษีที่นุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรม หลวงปู่ครูบาขาวปีพอโดนจับสึกท่านก็นุ่งขาวห่มขาว เขาถือว่าเป็นพระของเขา พวกเขาศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นไม่มีคลอนคลาย ไม่เหมือนพวกเราที่พระสึกจะรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง แต่ของเขาไม่ใช่ จะสึกหรือไม่สึกเขาเคารพที่ตัวบุคคล

หัวหน้ากะเหรี่ยงเขามีเชื้อเจ้าเจ็ดตนอยู่ทางด้านเหนือ เขาเรียก "เจ้าน้อย" เขามีวิชาคาถาอาคมด้วย ถ้าหากไปเจอเจ้าน้อยค่ำคนก็จะรู้จัก (ค่ำคน แปลว่า ชอบแกล้งคน) แกเฮี้ยนคาถาอาคม เขาบอกว่าเขามีคาถาบทหนึ่ง จะเรียนไหม ? ถามว่ามีประโยชน์อย่างไร เขาบอกว่า เมื่อว่าคาถาแล้วชี้ใส่ใคร คนนั้นจะปวดท้อง แล้วต้องให้เราทำน้ำมนต์ให้กินถึงแก้ได้ ใช้คาถาบทนี้ไม่นานเดี๋ยวก็ดัง เพราะมาทีไรก็แก้หายทุกที แล้วใครจะไปเรียนคาถาแบบนี้..?

แต่เจ้าน้อยนี่เชื่อเลย แกได้อภิญญาแน่นอน อย่างเวลาจะข้ามน้ำ แพอยู่อีกฝั่ง แกกวักมือทีเดียว แพลอยมาเลย ทั้ง ๆ ที่ผูกโซ่อยู่ ก็แปลว่าแกสะเดาะกลอนข้ามน้ำได้ แล้วก็เรียกมาได้ด้วย

สมัยนั้นเขากลัวว่าจะมีคนซ่องสุมคนเพื่อไปปฏิวัติ ก็เลยสั่งทางราชการไปจับเจ้าน้อย พวกราชการพอไปถึง เจ้าน้อยท่านก็เล่นกลให้ดู พวกนั้นก็เก็บมีดเก็บปืนกลับ ไม่มีอะไรหรอก ท่านก็ให้ลูกน้องตัดไม้ไผ่มาทำบันได ปีนขึ้นหลังช้าง แต่ทีนี้ลูกบันไดไม่ใช่ไม้ แต่เป็นดาบขาววับสอดเอาไว้ แกก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ให้พวกนั้นดู จะจับก็มา

นึกถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงบ้านตะเพินคี่ สงสัยบ้างไหมว่า ทำไมเขาทำคาถาอาคมขึ้น แล้วขณะที่พวกเราทำแล้วไม่ค่อยขึ้น หรือไม่ขึ้นเอาเสียเลย

เคยคิดอยู่เหมือนกัน แล้วสรุปว่า พวกเรามีข้อบกพร่องเยอะ อันดับแรก เวลาพวกเขาเชื่อ..เขาจะเชื่อฝังหัวเลย ไม่มีลังเลสงสัย วิจิกิจฉาไม่มี พวกเรานี่ยังลังเลอยู่ ยังไม่มั่นใจ จะได้จริงหรือเปล่าหว่า ? ท่านทำได้แล้วเราล่ะ ? ความรู้สึกถ้าเป็นอย่างนี้ก็เจ๊งเลย ทำไม่ได้หรอก

ประการที่สองก็คือ สภาพแวดล้อมของเขา คนทำได้มีเยอะ เขาก็เลยเห็นเป็นเรื่องปกติ

ส่วนประการสุดท้ายก็คือ สภาพสังคมเขาเป็นสังคมปิด เรื่องที่ทำให้เขาฟุ้งซ่านไม่ค่อยมี พวกเราเดี๋ยวก็นั่งเฝ้าหน้าจอ เดี๋ยวก็ไปเล่นเน็ต พลังงานต้องรวมเป็นหนึ่ง จึงจะเข้มแข็งพอที่จะใช้งาน แต่เราไปต่อท่อหลายจุด ก็รั่วออกทุกทิศทุกทาง กำลังจึงไม่พอใช้ แม้กระทั่งในการตัดกิเลส พวกเรากำลังไม่พอใช้ ก็เลยตัดไม่ได้เสียที

คนที่กำลังพอใช้งานได้ก็โดนหลอก อย่างคุณ.... โดนหลอกให้คิดฟุ้งซ่านละเอียดลออขนาดนั้น ลองให้เขาเล่าให้ฟังสิ ฟังจนเบื่อ แต่ขอโทษ..ทุกเรื่องที่เขารู้ ไม่ได้ช่วยตัดกิเลสเลย เขาให้รู้นั่นรู้นี่ไปเรื่อย เหมือนกับว่าขบคิดแล้วเข้าใจในหัวข้อธรรมมากขึ้น แต่ทั้งหมดที่เข้าใจไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลสเลย ตรงนี้แหละที่เขาเรียกอุปกิเลส ญาณ คือ เครื่องรู้เกิดขึ้น ถ้าหากญาณเกิดแล้วเราใช้ไม่เป็น ก็หลอกให้เราเปิดน้ำทิ้งหมด สะสมเท่าไรไม่พอใช้งานเสียที เพราะพลังงานเอาไปใช้ตรงจุดอื่นหมด

เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดคือหยุดใจไว้ในปัจจุบัน ถ้าหยุดใจไว้ในปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต ก็จะค่อย ๆ สั่งสมกำลังจนมากเข้า ๆ จนพอใช้งาน ทีนี้อะไรก็ไหลมาเทมา เหมือนกับเก็บเงินจะซื้อของ ถ้าเรามีเงินพอจะซื้อรถเบนซ์ ของอื่นเราก็ซื้อได้ทั้งนั้นแหละ


เทศน์(ช่วงเย็น) ณ บ้านอนุสาวรีย์
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒