PDA

View Full Version : หลวงตาเล่าเรื่องในบ้านใหญ่(ตอนที่ ๓)


ทาริกา
28-07-2009, 13:10
ในที่สุด....
ด้วยความกรุณาของพี่พวงเพ็ญ สาวงามแห่งเมืองสระบุรี
หนูก็ได้เรื่องในบ้านใหญ่ตอนที่ ๓ อยู่ในมือจนได้ค่ะ
ขอบพระคุณคุณพี่มาก ๆ

แต่ทุกท่านคะ ต้องรอหนูพิมพ์ก่อนค่ะ แหะ แหะ

ทาริกา
28-07-2009, 13:38
ลูกหลานเอย... ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๐ หลวงตานั่งเขียนต้นฉบับ ‘เรื่องในบ้านใหญ่’ อยู่ในโฮมสเตย์หรืออะไรคล้าย ๆ รีสอร์ท นั่งในบ้านกาแฟชื่อ ‘อินเขาใหญ่’ ฝนกำลังตก ทำไมถึงได้ลำบากลำบนมาเขียนเอาถึงที่นี่ อีก ๕๐๐ เมตรจะถึงด่านขึ้นเขาใหญ่ เรื่องมันเหมือนสั้น แต่มันยาว...ลูกเอย

คือหลวงตามึนศีรษะมาหลายวันแล้ว อยู่ที่วัดเขาวงที่ใคร ๆ มาแล้วก็ชอบใจว่า สวย สะอาด สงบงาม แต่สำหรับหลวงตา มันคือที่ทำงานนะลูก คนงานเกือบ ๕๐ คน เหลือเวลาอีกเพียง ๒๔ วัน (เหลือเงินหน่อยเดียว) ก็จะต้องปิดงานโบสถ์ให้เสร็จตามขั้นตอน ทันวันงานวางศิลาฤกษ์และทอดกฐิน ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ซึ่งหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ จะเมตตาเป็นประธานในพิธี เรื่องอย่างนี้ (ในขณะที่เงินเหลือหน่อยเดียว) ใครไม่มึนบ้างละลูก

แล้วยังมีอีกนะ คือต้องส่งต้นฉบับ ‘เสียงจากถ้ำนารายณ์’ ในวันที่ ๑๕ ต.ค. (อีก ๖ วันนี่แหละ !) เพื่อเขาจะพิมพ์ถวายทันแจกในงานกฐินนี้ด้วย เขียนท่าไหน ที่ไหน เวลาไหน ในวัดก็เขียนไม่ออก เวลาเที่ยงตรงวันนี้จึงให้คนขับอาสาสมัครเอารถตู้ออก ...วิ่ง...มุ่งไปไหน จำได้ว่าเมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน(ก่อนบวช) เคยมาพักที่เขาใหญ่กับคณะที่ทำงาน ก็เลยให้เขาขับไปเพื่อให้อารมณ์คลายเครียด ฝนก็ตกลงมาเสียอีก ก็เลยตัดสินใจกลับ จะกลับรถก็พอดีถึง ‘อินเขาใหญ่’ จำได้ว่ามีศิษย์หลวงตาคนหนึ่งเคยเอ่ยถึงสถานที่นี้ ก็เลี้ยวซ้ายแบบยังมึนไม่หาย แล้วยังงงเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะนึกไม่ออกว่าใครเป็นคนแนะนำ ตกใจเข้าไปอีก ! เพราะเด็ก ๆ กางร่มวิ่งออกมารับ ก็เลยตกใจพลอยลงจากรถ...คิดว่าจะดื่มกาแฟ นั่งเขียนต้นฉบับสักครู่ ฝนหายแล้วค่อยกลับวัด

ทาริกา
28-07-2009, 16:40
หลวงตาว่า สถานที่นี้น่าจะมีเจ้าของที่มีคุณธรรมนะลูก ควรจะมีความมั่นคงในอาชีพในชีวิต เพราะขนาดเด็ก ๆ ชายหญิงที่ออกมาตอบคำถามก็ยังทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ ...บอกว่าเจ้าของให้เอาน้ำชายกมาถวาย เอาขนมหลายอย่างใส่ถุงให้นำกลับมาวัด เข้าห้องน้ำก็สะอาด โอย...เขียนแค่นี้ก่อนลูก บ่าย ๓ โมงกว่าแล้วค่อยหายมึนหัวหน่อย กลับไปเขียนต่อที่วัด

เช้าวันที่ ๑๐ ต.ค. นั่งจิบกาแฟ ‘ร้านวันยังค่ำ’ ตอนนี้ ‘อินเขาใหญ่’ อยู่ในวัดเรา อารมณ์คลายสบายใจขึ้น ก็จะเล่าเรื่องในบ้านใหญ่ของเราต่อไป...เล่าเรื่องชีวิตของพี่น้อง ที่มีชีวิตขรุขระของหลวงตาแต่งแต้มให้หมองศรีอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะหลวงพี่นันต์ (ท่านอาจารย์พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน) ด้วยแล้ว... หลวงตาเคยทำบาปล่วงเกินท่านไว้เป็นระยะต่อเนื่องตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นพระคู่สวดคู่กับหลวงพี่โอ (ท่านพระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) คิดดูเถิดลูกหลานเอย.. ว่าหลวงตาแก่องค์นี้... ทำบาปหยาบช้าขนาดไหน

อย่างเช่นครั้งหนึ่ง.. ในช่วงเวลานั้น.. นี่เล่าเป็นเรื่อง ๆ ไปตามนึกได้นะลูก ! มันอาจจะสลับขั้นตอนและเวลาตามจริงไปบ้าง... วัดท่าซุงเรากำลังอยู่ในระยะเสวยวิบากจากกรรมเดิมที่ทำร่วมกันมาแต่อดีตชาติ และคงคล้ายคลึงกันทุกสำนักในพระพุทธศาสนา (แต่ว่าจะพูดออกมาตามจริงของขณะนั้น ๆ หรือไม่เท่านั้น) คือผู้คนในสำนักทั้งพระภิกษุและฆราวาสที่ประจำในวัด ขณะนั้นจะมีความคิดเห็นในการทำงาน.. การจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ค่อยจะตรงกัน อย่างน้อยก็ต้องแยกออกได้เป็น ๒ ฝ่ายเป็นธรรมดาโลก ทั้งที่แท้จริงก็ต่างรักเคารพมอบกายถวายชีวิตต่อพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง) ไม่มีอะไรเปลี่ยนได้... ไม่สงสัยน้ำใจเรื่องนี้ และขณะนั้นพ่อก็ยังมีชีวิตอยู่ ดูแลสั่งสอนลูก ๆ อยู่ตามปกติ

ทาริกา
28-07-2009, 17:11
แต่ว่าหลวงตา (และพวกลูกคนอื่นๆ ด้วยละกระมัง) ไม่ปกติ ไม่ปฏิบัติตาม คิดตาม ทำตามที่พ่อสอนเป็นปกติวิสัย เวลานั้นหลวงตาบวชได้ ๕ พรรษา เป็นครูสอนมโนมยิทธิของวัดด้วย..เป็นพระวินัยธรสวดปาติโมกข์ด้วย เรียกว่าครบเครื่อง ! ...เรื่องคิดว่าตัวเองขลังพอตัว แล้วยังมีอีกคือจะเป็นพระรักษาอุโบสถ ปัดกวาดบำรุงรักษา เป็นพระพี่เลี้ยงฝึกนาค สอนซ้อมจนได้บวชและคอยแนะนำเรื่องวินัยระเบียบการอยู่ร่วมกันในชีวิตพระหลังบวชแล้ว

เอาละ! มาถึงจุดเกิดเรื่องเสียที... พระใหม่หรือก็เคารพนบฟังนับจำนวนเพิ่มขึ้น.. ญาติโยมที่มาฝึกกรรมฐานมโนมยิทธิก็ติดอกติดใจพากันตามมาที่กุฏิตอนกลางคืน กลางวันมาถามปัญหา มาฟังหลวงตาเล่าเรื่องหลวงพ่อ โอย..แน่นหนาฝาแตก บอกกันต่อ ๆ ไปว่าหลวงตาอยู่กุฏิติดกับเมรุ (ดูขลังไหมละ !) พูดจาพาทีฟังง่าย ดูเหมือนหลวงพ่อฤๅษีเสียทุกอย่าง (เห็นไหมล่ะ) พูดออกมารู้อกรู้ใจไม่ต้องเอ่ยปากถาม ค่ำลงหลังเวลากรรมฐานของสำนักเลิกแล้ว ก็จะส่งเสียงฮาครืน เสียงกรี๊ดถูกอกถูกใจ และเสียงร้องไห้ปลื้มปีติในอารมณ์ของบางคนบางคืน ลูกหลานเอย.. คนก็มารวมกันมากขึ้นตามวันเวลา ตามศรัทธาบริสุทธิ์ของเขา แต่เราสิลูก ! .. หลวงตาของลูกหลานกลับติดใจ อิ่มใจในการทำหน้าที่..ตอบคำถาม.. เล่าเรื่องพ่อ..และรับแขกส่วนตัว ลาภก็เพิ่มพูน ดูขลังเต็มตัวละตอนนี้

เถรี
28-07-2009, 17:17
ชอบสไตล์การเขียนของหลวงตา ตรงที่ท่านเปิดเผยกิเลสของท่าน มีเท่าไรแงะออกมาให้คนอื่นได้เห็น เพื่อให้คนอ่านพึงระวังใจตนเอง อยากบอกเลยค่ะว่า ตรงใจสุด ๆ :fea27916:

ทาริกา
28-07-2009, 17:27
ลูกเอย...หลวงตาอายนะ..ที่จะบอกลูกว่า หลวงตาติดใจโลกธรรมนั้น ๆ หลวงตาไม่อยากเขียนบอกหลาน ๆ เลยว่าหลวงตาถือว่าตัวเราเป็นตัวเอก เป็นพระเอกมาบวช... แล้วบุญก็กำลังสนองพระเอก แล้วก็มั่นใจด้วยว่าพระเอกจะต้องเป็นอรหันต์ต่อไปข้างหน้า และที่น่ากลัวมากก็คือ...หลวงตาคิดว่าหลวงตาเป็นรองพ่อเพียงองค์เดียวในวัดท่าซุง หลวงตาเขียนเสียแล้วนี่ลูก ! จะลบออกทำไม ? ปล่อยให้คนทั้งหลายเขารู้ความจริงดีกว่าว่าวัดท่าซุงเคยมีพระอย่างหลวงตาอยู่ในวัดด้วย

จะไม่ให้หลวงตาหลงตัวอย่างไรเล่าลูก ก็ญาติโยมนั่นแหละเขาจริงใจ และก็มาพูดให้เราฟังทำไมว่า "หนูเพิ่งไปหาหลวงพ่อมา แล้วก็รีบมาหาหลวงตา (หลวงตาบ้างหลวงพี่บ้าง..ตามแต่เขาจะเรียกขาน) หนูไปกินอาหารทิพย์หลวงพ่อแล้ว ก็ต้องมากินขนมทิพย์หลวงตาอยู่แล้ว...แล้ว...แล้ว..." โอย..มันก้องกังวานหวานแว่วสนิทหูติดแน่นในสัญญา สังขาร วิญญาณหลวงตา เกิดเวทนาที่เป็นสุขพิเศษ...(อ้าวนี่มันติดขันธ์ห้านี่หว่า...ลูก!) หลวงตาก็เกิดตัณหา...อยากได้อีก...อยากได้ทรงไว้ ก็มันอิ่มใจนี่ลูก...แล้วก็เสียดายไม่อยากให้สิ่งนั้น ๆ มันจากหลวงตาไป เกิดอุปทานว่ามันเป็นสิทธิตามบุญเดิมของหลวงตาวาสนาใหม่ก็ส่งเสริม ก็เลยทำกรรมต่อพระพี่ ๆ หลายองค์...โดยเฉพาะหลวงพี่นันต์

ทาริกา
28-07-2009, 17:28
ชอบสไตล์การเขียนของหลวงตา ตรงที่ท่านเปิดเผยกิเลสของท่าน มีเท่าไรแงะออกมาให้คนอื่นได้เห็น เพื่อให้คนอ่านพึงระวังใจตนเอง อยากบอกเลยค่ะว่า ตรงใจสุด ๆ :fea27916:ก็เพราะหลวงตาเป็นพระเอกจริง ๆ นะสิคะ :6f428754:

ทาริกา
28-07-2009, 17:43
เพราะอะไรหรือ ?

ก็เพราะกระแสหลวงตาฟีเวอร์ ศรัทธาแน่นหนามากขึ้นก็เกิดมีบางคน และหลาย ๆ คนเริ่มฝันเห็น เริ่มเห็นในนิมิตกรรมฐานของตนว่า หลวงตาเป็นพระอรหันต์ เห็นเองไม่เห็นเฉย ๆ กลับเขียนจดหมายไปบอกพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีฯ) ว่า...เมื่อคืนลูกเห็นหลวงพ่อไปหาลูกจูงมือพระไปด้วยองค์หนึ่ง หลวงพ่อผ่องใสเป็นทองคำอย่างไรอย่างนั้นเลย...แล้วหลวงพ่อก็บอกลูกว่า

"องค์นี้ได้อรหันต์แล้วนะลูก ถือเป็นที่พึ่งได้"
ลูกตื่นขึ้นมายังน้ำตาเปียกอยู่เลย ดีใจ !
หลวงตาของลูกเป็นพระอรหันต์แล้ว ดูหลวงพ่อภูมิใจหลวงตามากนะเจ้าคะ

ลูกหลานเอย...ต้องรีบบอกเสียก่อน กันคนอ่านฟุ้งซ่านเลอะเทอะ ตอนที่เขาเขียนจดหมาย เขามาเล่าให้ฟังหลายอย่างหลายหน แต่ละหนสรุปอันเดียวคือหลวงตา จบกิจแล้ว

แต่หลวงตารู้ตัวเองมาตลอดว่าไม่ใช่ ! อย่างอื่นอาจจะคิดเคลิ้มอาจจะติดใจใยดีมากมาย แต่เรื่องตัวเองเป็นพระอรหันต์นั้น...หลวงตาพูดได้เลยว่า "ไม่ใช่ !" เพราะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ทรงตัว มันมีทุกระดับความดีความเลว เราย่อมรู้ตัวเองว่าเรายังเพียรพยายามอยู่ เรายังมีกิเลสอยู่ บางวันก็แรงมาก ๆ ด้วย

แล้ววันนั้นล่ะ ! เขามักจะมาบอกว่า เราผ่องใส
เวรกรรม...ของใครก็ไม่รู้

ทาริกา
28-07-2009, 19:14
เดี๋ยวนี้หลวงตาน่าจะยกตำแหน่งนี้ให้หลวงพี่เอกแล้วนะจ๊ะ
เห็นเมื่อวันก่อนหลวงตาแซวหลวงพี่เอกด้วย ว่าเป็นพระเอกตลอดกาล :54bd3bbb:หนูหมายถึง เป็นพระเอกในใจหนูค่ะ :d16c4689:

หลวงตาบอกว่าหลวงพี่เอกพอบวชก็เป็นพระเอกทันที
หลวงพ่อเล็กแซวพระบวชใหม่ว่าบวชปุ๊บก็เป็นหลวงตาเลย อาตมาบวชมาตั้ง ๓๐ ปี เขา(ญาติโยม) ยังเรียกหลวงพี่อยู่เลย

ทาริกา
28-07-2009, 19:52
ต่อมาก็มาพูดกันในวัดท่าซุง…คนนอกนะลูกที่พูดว่า ไปหาพระอรหันต์ที่กุฏิข้างเมรุกัน

หลวงพ่อท่านก็คงเอาจดหมายให้หลวงพี่นันต์อ่าน ทราบว่าหลวงพี่บางองค์ก็ร้อนใจ ถามหลวงพ่อว่าจะจัดการอย่างไร ทราบว่าหลวงพ่อก็ถามว่า

“แล้วเขาพูดยอมรับหรือเปล่าว่าเขาเป็นพระอรหันต์”

โธ่เอ๋ย ! ก็ตกหนักเป็นหน้าที่หลวงพี่นันต์ ท่านคงคิดหาทางจะรับกระแสกรรมที่กำลังร้อนรนพอสมควรอยู่ คืนหนึ่ง...ท่านก็โทรศัพท์มาที่กุฏิพูดชี้แจงแบบนุ่มนวลว่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่อยากให้เป็นโทษต่อพี่น้องในวัดท่าซุง ถ้าปล่อยให้ต่างองค์ต่างก็คิดกันไปตามอารมณ์ตน และปล่อยให้ข่าวลือนี้ยังกระพือโพลงอยู่ คนชอบก็เฟื่องฟูไปในทางถูกหรือไม่ถูก ท่าน..(หลวงตา)ก็ทราบเองดีอยู่.. คนไม่ชอบไม่เชื้อก็ร้อนรนคล้ายริษยาว่ากันไปตามอารมณ์ หลวงพ่อก็คงไม่สบายใจ ถ้าอย่างไรท่าน (หลวงตา) คิดจะระงับยับยั้งอย่างไรก็ช่วยกันคิด จะดีไหม...เพื่อความสงบสุขในหมู่สงฆ์วัดเรา...”

ลูกหลานเอย ตอนนั้นนะ ! หลวงตาตอบได้เลยว่าหลวงตาไม่ได้หลงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพระดีตามข่าว แต่...ลูกเอย หลวงตาติดใจในโลกธรรม คือความสรรเสริญเคารพนบนอบ และลาภที่เกิดจากน้ำใจใฝ่บุญของคนที่มาหาสู่ และหลวงตาก็รู้ว่าหลวงพี่นันต์ต้องการให้หลวงตายับยั้งการรับแขกลงบ้าง และให้ชี้แจงญาติโยมที่มาหานั้นถึงเรื่องที่ไม่ควรลือ ไม่ควรเชื่อ ไม่ควรพูดต่อกันไป เพราะหลวงตายังไม่ใช่พระอรหันต์...ยังคงต้องการความสงบและเวลาในการทำความเพียรอยู่ คือให้รีบเร่งอารมณ์ตัวเองและงดรับแขกที่กุฏิ... หลวงตาเข้าใจ ! แต่หลวงตาเสียดายอาลัยใยดีเหยื่อแห่งมารที่ตัวเองกำลังเสวยอยู่ จึงพาลพาโลตอบ ถามท่านไปว่า...

ทาริกา
30-07-2009, 10:53
"แล้วจะให้ผมทำอย่างไร?.....

ผมไม่ได้ชวนใครมาหา เข้ามาหากันเอง..(บ้างละ!)

เมื่อเขามาแล้วจะให้ไล่กลับไปหรือต้อนรับ...

เมื่อเขาถวายเงินถวายของด้วยศรัทธา จะให้รับไหม...

เมื่อรับถวายแล้วจะไม่พูดโมทนาบ้างหรือ...

เมื่อพูดกัน เขาถามปัญหา จะไม่ให้ตอบ ..ฉลองศรัทธาหรือ...

เมื่อตอบแล้วเขาสบายใจ เชื่อถือ แล้วมากันใหม่

จะให้ทำอย่างไรก็เขียนคำสั่งมาปิดหน้ากุฏิเลยสิครับ!"

ลูกหลานเอย..เห็นหรือยังว่าหลวงตาคือคนที่ถูกโลกธรรมกามคุณครอบงำ ชื่อว่ามืดบอดหยาบคายเพียงใด?

หลวงพี่นันต์ท่านเป็นครูบาอาจารย์ บวชหลวงตาเป็นพระด้วยตัวท่านเอง ยอมหวังดีต่อศิษย์ ...ย่อมมีสิทธิ์ตักเตือนอบรมว่ากล่าวศิษย์ และเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องทำอย่างนั้น แต่เมื่อมีศิษย์หัวรั้นดันทุรัง ตอบโต้บีบคั้นท่านด้วยโมหจริตอย่างนั้น...และอีกสองสามอย่างจำไม่ค่อยได้ถนัด แต่ล้วนแต่แหลมคมบาดใจท่านทั้งสิ้น ท่านก็คงอดทนน้อยลง ก็เอ่ยขึ้นมาว่า

ทาริกา
30-07-2009, 11:07
"ท่านนี่มันไม่รู้ตัวเสียแล้วนะนี่ เออ...ถ้าพูดดื้อรั้นอย่างนี้นะ ถ้าผมได้ดาบอาญาสิทธิ์เมื่อไร ผมจะฟันท่านแน่"

ท่านคงขู่ปรามให้รู้ตัว แต่หลวงตากลับตอบท่านว่า

"ครับพี่ ฟันได้ แต่ฟันให้ตายในดาบเดียวเลยนะ ถ้าไม่ตายพี่คงรู้ว่าใครจะตายบ้าง..."

ลูกเอย...หลานเอย...อย่าคบอย่าเป็นทาสโลกธรรมเหมือนหลวงตาในตอนนั้น... อย่าทำกรรมลามกถกเถียงครูบาอาจารย์ให้ท่านต้องทอดถอนใจวางหูโทรศัพท์อย่างหมดหวัง แต่ท่านก็ไม่ได้โกรธหลวงตา.. เจอหน้ากันในโรงฉันก็ยิ้มคุยเรื่องอื่นตามปกติ ยังตักเตือนยังเล่าเรื่องหลวงพ่อให้ฟังเหมือนเดิม และหลวงตาก็ยังต้อนรับกระแสศรัทธา ยังสอนกรรมฐานเหมือนเดิม และดูเหมือนยิ่งทำหน้าที่นั้นไปเพียงใด อารมณ์ใจก็ดูจะคล่องแคล่ว มีปฏิภาณตอบปัญหาถูกใจถูกจริตผู้คนที่มาหาจนเลื่องลือชื่อว่า ถ้าเรียนกับใครไม่คล่องใจก็ให้ไปหาหลวงตา...

ทาริกา
30-07-2009, 19:42
ลูกเอย...สำหรับหลวงตาก็คิดเอาเองว่าสถานการณ์เป็นไปด้วยดี พบหลวงพ่อท่านก็ไม่เห็นจะว่ากล่าวห้ามปรามอะไร อารมณ์ใจตัวเองก็เบิกบานหวานชื่นเป็นปกติ พี่น้องก็หยุดว่ากล่าวบีบคั้น หลวงตาพบหลวงพี่นันต์วันหนึ่งที่หอฉันริมน้ำท่าเลี้ยงปลา ขณะรอเข้าวงฉันเพลก็เข้าไปกราบแล้วรายงานว่าคาถาปฏิญาณที่เมตตาสอนไปนั้น ได้ผลเป็นอัศจรรย์มีประโยชน์ต่อทั้งอารมณ์ตนเองและศิษย์ที่หลวงตาสอน บางทีเขายังไม่ได้ถาม ก็พูดตอบไปตรงใจได้ทุกรายไป ท่านก็ยิ้มพยักหน้า แล้วพูดว่า

“เออ..ดี..ดี..ทำไป ทำให้คล่องแคล่วขึ้นไปอีก
แต่สำคัญว่าอย่าย้อนเอาฆ่าครูบาอาจารย์เสียก็แล้วกัน”

จบต้นฉบับซ้ำคำกันกับฉบับที่แล้ว แต่เรื่องยังไม่จบหรอกลูกหลานเอย... กำลังของกิเลสนั้นเหลือที่จะเล่าให้จบสิ้นได้ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่รู้ตัวว่ายังมีกิเลสอยู่

น่าสมเพชหนอลูกหลานเอย...


......................จบตอนที่ ๓................