PDA

View Full Version : มโนมยิทธิหลวงพ่อท่านสอนเราให้รู้เพื่อละ ไม่ใช่รู้แล้วยึด


โอรส
14-07-2009, 02:04
พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา สอนมโนมยิทธิมานานเหลือเกิน ถ้านับเวลาก็ตั้งแต่ปี ๒๕๐๘ เป็นต้นมา คนที่ได้มโนมยิทธินับเป็นแสน ๆ มีใครบ้างที่ซักซ้อมอยู่ทุกวันโดยไม่ทอดทิ้ง..หายาก..ใช่ไหม ?

อาวุธแม้เกียจคร้านการขัด เกิดสนิมจับถนัด หนักตื้อ ถึงเวลาชักไม่ออก ติดแหง็กอยู่แค่ฝักนั่นแหละ ต้องซ้อมบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลวงพ่อท่านสอนเราให้รู้เพื่อละ ไม่ใช่รู้แล้วยึด

ปัจจุบันนี้อาตมาเวทนาโยมเหลือเกิน หลายต่อหลายคน รู้แล้วนำไปใช้ผิด ๆ ไปดูการระลึกชาติ ไปดูย้อนอดีต แล้วก็ไปภาคภูมิใจว่า คนนั้นเป็นพี่เรา คนนั้นเป็นน้องเรา นั่นผัวเรา เมียเรา ลูกเรา พ่อเรา แม่เรา แล้วก็กอดกันตายพร้อมกับเรา..!

ดูก็ดูอย่างมีปัญญาสิ ดูแบบที่เรียกว่าใช้ปัญญาประกอบ แต่ละชาติที่เราเกิดมา มีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ? ลำบากยากเข็ญมาจนขนาดนี้ยังไม่เข็ดใช่ไหม ? ยังไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ ไปกอดคอตายรวมกันทั้งพรวนอีกใช่ไหม ? ยังลงสู่อบายภูมิไม่เพียงพอใช่ไหม ?

อาตมาที่ไม่ยอมสอนเพราะสงสารโยม อยากจะบอกว่า มโนมยิทธิจริง ๆ แล้วง่ายมาก แค่คิดเป็นก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าอาตมาสอนไป อาจจะพาโยมทั้งหลายติดเพิ่มขึ้นอีกเยอะ สงสารก็เลยไม่สอน นั่งอยู่ตรงนี้แค่ว่าใครติดขัดตรงไหนมาสอบถาม อาตมาจะชี้แจงให้ หลวงพ่อท่านให้เรารู้เพื่อละ การเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องได้อภิญญา ไม่จำเป็นต้องได้วิชชาสอง ไม่จำเป็นต้องได้สมาบัติแปด หากแต่ท่านบอกว่า ให้เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน มีข้อไหนที่บอกว่าต้องได้มโนมยิทธิ ? ไม่มี..!


กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับปฐมฤกษ์
เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

เด็กอนุบาล
14-07-2009, 05:33
อาวุธยิ่งมีอานุภาพสูงเพียงใด ย่อมให้ทั้งคุณและโทษสูงเพียงนั้น แต่โดยธรรมชาติแล้ว อาวุธเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณและไม่มีโทษโดยตนเอง การให้คุณให้โทษของมันขึ้นกับปัญญาของเราว่าจะนำอาวุธที่ทรงอานุภาพนี้ไปใช้อย่างไร ผมคิดว่าวิชามโนมยิทธิก็เป็นดั่งอาวุธนั้นครับ ถ้านำไปใช้ถูกต้องก็ไปพระนิพพานได้ง่าย ๆ ถ้านำไปใช้ผิดก็ไปอยู่กับเทวทัตได้สบาย ๆ

คิมหันต์
14-07-2009, 13:26
.... หันไปสนุกกับมโนมยิทธิเกือบสามปี คืนหนึ่งที่บ้านสายลม “หลวงพ่อ” เทศน์เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจว่า “วิชชาสอง...อภิญญาห้า...สมาบัติแปด...กรรมฐาน ๔๐...ต่อให้คล่องแค่ไหน ก็ยังแช่อยู่ในนรกทั้งตัว...!” ตายละวา...ที่ท่านเทศน์มาเราไม่มีสักอย่าง แบบนี้คงมิดหัวไม่ต้องผุดต้องเกิดละกระมัง..!? กำลังคิดว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นนรกได้ “หลวงพ่อ” ท่านก็เทศน์ต่อว่า

“...บุคคลที่จะพ้นอบายภูมิได้ อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบัน การจะเป็นพระโสดาบันก็ไม่ยาก ให้ทรงอารมณ์ดังนี้...

๑. เคารพในพระพุทธเจ้า
๒. เคารพในพระธรรม
๓. เคารพในพระสงฆ์
๔. รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๕. คิดว่าตายเมื่อไร เราต้องการไปที่เดียวคือพระนิพพาน

ถ้าอารมณ์เหล่านี้ทรงใจได้แน่นอน ท่านก็เป็นพระโสดาบัน คนที่เป็นพระโสดาบัน อบายภูมิจะปิดสำหรับท่าน...”

......

(ที่มา อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๖๐ คาถาอภิญญา)

ทิดตู่
14-07-2009, 14:32
เรื่องของมโนมยิทธิ วิชชา ๒ สมาบัติ ๘ หรืออภิญญา ๕ ทั้งหลายเหล่านี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ของพวกเราต่างกล่าวว่าเป็น "โลกียวิสัย" คือ เป็นวิสัยของโลก ขึ้นชื่อว่าวิสัยของโลก ย่อมมีความไม่แน่นอน ทนอยู่ไม่ได้ แล้วก็ต้องสลายตัวไปในที่สุด ไม่พึงเป็นที่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความดีสูงสุด และเป็นทั้งหมดแห่งการปฏิบัติ

แต่วิชาทั้งหลายเหล่านี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ ท่านก็ยังสั่งสอนให้เราทรงความดีในระดับนี้ไว้ให้เป็นปกติ เพื่อเป็นเครื่องอยู่ของใจ เพื่อเป็นเครื่องมือในการใช้ให้สำเร็จประโยชน์อย่างสูงสุดดั่งที่เราปรารถนา

อุปมาเหมือนดั่งการที่ครูบาอาจารย์ได้มอบมีดมาให้แก่เราพร้อมกับบอกว่า "เอาไปตัดหญ้าที่รกตรงนั้นให้เตียนนะ ที่วัดจะได้งามสะอาดตา" แต่ปรากฏว่า พอเรารับมีดมาแล้วก็เอาไปเล่นเพลิดเพลิน ฟันโน่นฟันนี่ด้วยความเมามัน คึกคะนองว่ามีอาวุธอยู่ในมือ จนหลงลืมวัตถุประสงค์ว่าเราได้มีดมาเพื่อประโยชน์อะไร ท้ายที่สุดหญ้าก็รกจนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ เป็นที่ตำหนิติเตียนของบัณฑิตทั้งหลาย สุดท้ายเราก็ต้องตายเพราะพิษแห่งสัตว์ร้ายนั้น ๆ ตายไปพร้อมกับคำตำหนิติเตียนจากบัณฑิตทั้งหลาย

ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าวิชาทั้งหลายเป็นของดี เป็นของที่ควรจะช่วยกันรักษาเอาไว้ แต่ขอให้ระลึกอยู่เสมอ นำไปใช้ให้ถูกเพื่อประโยชน์สูงสุด เพื่อประโยชน์อันแท้จริง ให้สมกับที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ ท่านได้ประทานอาวุธวิเศษนี้มาให้กับเรา

ทิดตู่
14-07-2009, 14:53
เคยนอนฝันไปว่าพบกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ในฝันนั้นลุกขึ้นกราบท่านพร้อมกับกราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อครับ กระผมหวาดกลัวเหลือเกินในกำลังใจในด้านของทิพพจักขุญาณ เพราะนอกจากกิเลส ตัณหา อุปาทานในจิตของตัวเองแล้ว ยังมีมารต่าง ๆ อีกที่กระผมไม่ทราบ มาคอยดึงใจให้ไขว้เขวไปจากทางแห่งการทำความดีเพื่อพระนิพพาน ผมกลัวจนแทบจะไม่กล้าทรงกำลังใจไว้เลยครับ"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อยิ้มอย่างเข้าใจ ในฝันนั้นผมจึงกราบเรียนถามท่านถึงการทรงกำลังใจในญาณต่าง ๆ ของพระอริยเจ้าว่า "หลวงพ่อครับ พระอริยเจ้าที่ท่านสำเร็จในวิชชา ๓ ก็ดี อภิญญา ๖ ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ท่านวางกำลังใจในเรื่องของญาณต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้อย่างไรครับ"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมองหน้าตาเขม็งพร้อมกับกล่าวว่า "ญาณต่าง ๆ ท่านทรงอยู่เป็นปกติ ท่านไม่ทิ้ง" "ญาณต่าง ๆ พระอริยเจ้าตั้งแต่วิชชา ๓ ขึ้นไป ท่านทรงกำลังใจในญาณทั้งหมดอยู่เป็นปกติ แต่การใช้ญาณทุกอย่างของพระอริยเจ้าเป็นไปเพื่อการละกิเลส นอกเหนือไปจากการละกิเลสพระอริยเจ้าผู้ทรงตั้งแต่วิชชา ๓ ขึ้นไปท่านไม่ให้ความสำคัญ จำไว้ให้ดีนะ!"

จบแล้วผมก็ตื่นพร้อมกับความชื้นที่หางตาน้อย ๆ ช่างเป็นฝันที่เป็นสิริมงคลที่สุดในชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่ง กราบ กราบ กราบ

ตัวแสบจำเป็น
14-07-2009, 15:37
ขอบคุณพี่ทิดตู่ค่ะ ที่กล่าวถึงความสำคัญของมโนมยิทธิ :875328cc:

ท่านจิตโตย้ำอยู่เสมอว่า ใครที่ได้มโนมยิทธิแล้วอย่าทิ้ง!
วิชานี้เป็นวิชาของพ่อ.. หลวงพ่อใช้เวลาค้นคว้าเป็นสิบปี กว่าจะได้มา
เพื่อพิสูจน์ว่า สวรรค์ นรก มีจริง ถ้าไปอ่านหนังสือ "มโนมยิทธิและประวัติของฉัน"
จะเห็นว่า หลวงพ่อท่านประณามตัวเองตลอด ที่ไม่สามารถทำให้คน
เชื่อได้ว่า นรก สวรรค์ มีจริง จึงไม่เกรงกลัวการทำบาป

พอหลวงพ่อได้วิชานี้มา ก็ดีใจเกือบตาย (สำนวนหลวงพ่อบอกว่าอย่างนี้ค่ะ)
เพราะฉะนั้น วิชานี้เป็นเหมือนกับชีวิตของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อค้นคว้า
มาเกือบทั้งชีวิต จากการไปยาก ๆ หลวงพ่อก็ปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนตอนหลัง
ไปได้ง่ายดาย ฝึกวันเดียวก็ได้แล้ว

นี่คือสมบัติอีกชิ้นหนึ่ง ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำแห่งวัดท่าซุง
ได้มอบให้กับลูกหลาน หากพวกท่านได้แล้ว ก็จงรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ให้ดี
หากสูญหายไปแล้ว จะกู้กลับมา ต้องใช้กำลังใจมากนะคะ (เคยมีคนเตือน)

ส่วนบางท่าน ที่เริ่มคล้าย ๆ จะมีมิจฉาทิฐิกับวิชานี้ ได้โปรดปรับปรุง
ความคิดท่านโดยด่วน!! โปรดสำรวจจิตใจของท่าน ว่ากำลังคิดแบบนั้นหรือไม่
เตือนเพราะหวังดีจากใจค่ะ

โอรส
14-07-2009, 19:30
การปฏิบัตินั้น อภิญญา แปลว่า รู้ยิ่ง อภิ-ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรรู้ยิ่งกว่าการตัดกิเลส อดีต...มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เพราะฉะนั้น อตีตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ อนาคตังสญาณ มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทุกชาติที่เกิดมารวยที่สุดก็รวยมาแล้ว จนที่สุดก็จนมาแล้ว มีอำนาจที่สุดก็มีมาแล้ว ด้อยวาสนาที่สุดก็เป็นมาแล้ว มีชาติไหนที่พาให้เราพ้นทุกข์ได้? จุตูปปาตญาณ คนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราทำดีเราได้ดีแน่นอนถ้าเราทำชั่วเราได้ชั่วแน่นอนไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้

เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่น ไอ้นั่นแหละตัวระยำเลย สำหรับคนที่ใช้ผิด จะดูต้องดูใจตัวเอง แก้ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยวดูคนอื่น ตำหนิคนอื่น บางคนมานั่งตรงหน้านี่ อธิษฐานมาตั้งแต่บ้านแล้ว เออ...ถ้าหลวงพี่แน่จริงให้บอกสิว่าผมคิดอะไร ? ไม่ถีบให้ก็บุญแล้วนะ
อยากจะบอกกับเขาให้ชัด ๆ ว่าใจของกูยังดูไม่ไหวเลย กูจะเสียเวลาไปดูใจมึงทำไม ?...(หัวเราะ)...

คราวนี้ชัดไหม? ปกติไม่ค่อยพูดนะ แต่บทจะพูดแล้วไม่ค่อยยั้ง สำคัญที่สุดก็คือดูใจตัวเอง ใจของเรามีความชั่วไหม ? ถ้ามีรีบไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ใจของเรามีความดีอยู่ไหม ? ถ้าไม่มีรีบสร้างขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่คือตัวเจโตปริยญาณที่สำคัญที่สุด

แต่ละวันดูสีดูจิตของตัวเองมันผ่องใสไหม ? ถ้าไม่ผ่องใสเร่งทำความดีขับจิตให้ผ่องใสที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ แล้วก็รักษาเอาไว้อย่าให้มันขุ่นมัวอีกนี่คือ เจโตปริยญาณที่แท้จริง ไม่ใช่เที่ยวไปดูคนอื่นไปรู้คนอื่น บางคนมาถึงก็ แหม..หลวงพี่พูดเหมือนตาเห็นเลย อาจารย์พูดเหมือนตาเห็นเลย หลวงพ่อพูดเหมือนตาเห็นเลย ไม่อยากจะเห็นหรอก แต่บางทีถ้าไม่ทำอย่างนั้นเขาก็ไม่เชื่อ พอเห็นเสร็จก็เลิกดู ไม่รู้จะดูต่อไปทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่าทั้งหมดก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ ดูความทุกข์ของตัวเองก็ดูไม่ไหวแล้ว ดูใจของตัวเองก็ระวังไม่ไหวแล้ว ยังจะไปดูเขาอีก

ใช้ให้ถูกนะ ยถากัมมุตาญาณ รู้กรรมของคนและสัตว์ ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้
ตกลงญาณ ๘ ต้องใช้ไหม ? ...เออ ไม่ต้อง อภิญญา อภิ-ยิ่งกว่า , อัญญา-ความรู้ ไม่มีอะไรรู้เกินกว่าการตัดกิเลส อย่างต่ำ ๆ ให้รู้ว่าพระโสดาบันมีคุณสมบัติอย่างไร แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำในคุณสมบัตินั้นไป นั่นแหละถึงจะเป็นลูกที่ดี ถึงจะเป็นลูกที่แท้จริงของหลวงพ่อ ถึงจะพูดได้อย่างเต็มคำว่าเราเป็นศิษย์วัดท่าซุง เราเป็นศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

แล้วบุคคลที่ได้ล่ะ ? บุคคลที่ปฏิบัติได้ ต้องระวัง..ให้ใช้กำลังใจเกาะพระนิพพานเอาไว้ ถ้าเราดูใจตัวเองเป็น สังเกตใจตัวเองเป็น จะรู้ว่า
ราคะ-อารมณ์ระหว่างเพศก็ดี โทสะ-อารมณ์โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาทก็ดี โลภะ-อารมณ์ความโลภอยากได้ใคร่มีก็ดี โมหะ-อารมณ์ความหลงก็ดี เป็นคุณสมบัติของร่างกายนี้ ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่ไปปรุงไปแต่งด้วย ก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้

ในเมื่อเราได้มโนมยิทธิ เราได้อภิญญา เกิดราคะขึ้นมา ใช้อารมณ์ของมโนมยิทธิ ใช้อารมณ์ของอภิญญา พุ่งจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน หน้าด้านเข้าไว้ กำลังของสมาธิของเราเข้มแข็งพอ ถ้ารู้ระวังตัวอยู่ กิเลสมาเราเผ่นพรวดหนีไปเลย ไปอยู่ข้างบนโน่น โกรธขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน โลภขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน หลงขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน ไปอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า

ร่างกายเมื่อไม่มีจิตใจคอยปรุงแต่งอยู่ ก็เหมือนกินอาหารไม่ได้ใส่เกลือ ไม่ได้ใส่น้ำปลา ไม่ได้ใส่น้ำส้ม ไม่ได้ใส่น้ำตาล ไม่มีรสไม่มีชาติ จืดชืดไม่เป็นท่า เราก็ไม่อยากกิน เมื่อไม่มีใครไปปรุงแต่งให้ อารมณ์จิตตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว ความชั่วเหล่านั้นก็สลายไป เพราะว่าความชั่วเหล่านั้นเป็นสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่สมบัติของใจ

การที่เราไปเกาะพระนิพพาน เกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่บนวิมานของเรานั่นแหละ คือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องอย่างที่หลวงพ่อต้องการ เพราะว่าจะไม่พลาดไปไหน อย่างไร ๆ เราก็อยู่ตรงนั้นแล้ว นับเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุด เราอยู่ตรงนั้นให้ชินกับอารมณ์ละเอียด อารมณ์สงบ อารมณ์เยือกเย็นของพระนิพพานอันนั้น

พอจิตใจเคยชิน รับอารมณ์นั้นมาเต็มที่แล้ว ก็ประคับประคองให้ดี ส่วนใหญ่ลุกปั๊บเลิกเลย ต้องรู้จักรักษา ประคับประคอง ระมัดระวังสภาพจิตใจของเรา ให้ทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ได้ครึ่งชั่วโมง ให้ได้หนึ่งชั่วโมง สามชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง สามวัน อาทิตย์หนึ่ง สิบวัน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ...ว่าไปเลย ยิ่งนานเท่าไรกิเลสยิ่งกินใจเราได้น้อยลง ๆ

กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับปฐมฤกษ์
เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

โอรส
16-07-2009, 23:58
ถ้ารู้ระมัดระวังรักษาอารมณ์ใจอย่างนี้เอาไว้ได้ กดกิเลสเอาไว้อย่างนี้ตลอดเวลา ก็เหมือนกับหินที่ทับหญ้า ทับไปนาน ๆ หญ้าก็ตายหมดไปเอง นี่คือตัวมโนมยิทธิที่หลวงพ่อต้องการให้พวกเราปฏิบัติ ที่หลวงพ่อเคี่ยวเข็ญ สั่งสอนเรามาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี การใช้ที่ถูกต้องเขาใช้กันอย่างนี้ เท่าที่อาตมาดูมา ส่วนใหญ่ใช้ผิดหมด ในเมื่อใช้ผิด ก็จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ทั้งนั้น แทนที่จะรู้เพื่อละ ก็รู้เพื่อหลง เพื่อยึด เพื่อติด แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เรารู้เป็นการรู้ในปัจจุบัน ในอนาคตสิ่งเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยเฉพาะหน้าได้

ดังนั้น..คำทำนายหลาย ๆ อย่าง เมื่อถึงวาระถึงเวลา เมื่อมีปัจจัยเฉพาะหน้ามาก็เปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น บอกว่าเมื่อเดือนมิถุนายนนี้จะดี แต่ถ้าหากว่าทั้งหมดรามือเสียจากการทำดี ปล่อยให้ความชั่วเข้ามาครอบงำจิตใจ กำลังของความชั่วมีสูงกว่า ถึงวาระถึงเวลาก็ไม่ดีไปตามนั้น ดังนั้น กระทั่งความเป็นทิพย์ ความรู้ เหล่านี้ก็ยังไม่เที่ยง เราจะไปยึดถือมั่นหมาย เชื่อปักลงไปว่าจะเป็นดั่งนั้นดั่งนี้นั้นไม่ได้
เพียงแต่เอาเป็นแนวทางไว้คอยระมัดระวังเท่านั้น

รู้..ต้องรู้อย่างคนมีสติ ใช้..ต้องใช้อย่างคนมีปัญญา สติกับปัญญาเป็นของคู่กัน ถ้าสติเกินปัญญา จะเป็นคนไม่กล้าทำอะไรจด ๆ จ้อง ๆ ขี้กลัว ขี้ระวังจนเกินไป ถ้าปัญญาเกินสติก็จะบุ่มบ่าม โฉ่งฉ่างจนกระทั่งพลาดได้ง่าย สติกับปัญญาจะต้องไปพร้อม ๆ กัน ไปเท่า ๆ กันธรรมะจึงจะเจริญ


กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับปฐมฤกษ์
เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗

ทาริกา
17-07-2009, 08:01
ถ้ารู้ระมัดระวังรักษาอารมณ์ใจอย่างนี้เอาไว้ได้ กดกิเลสเอาไว้อย่างนี้ตลอดเวลา ก็เหมือนกับหินที่ทับหญ้า ทับไปนาน ๆ หญ้าก็ตายหมดไปเอง .........เคยสงสัยอยู่นานว่า ต้องเป็นคนประเภทใดถึงจะสามารถใช้สมาธิกดกิเลสจนตายไปได้
แล้วก็ไปเจอคำตอบ (จากที่พระอาจารย์เทศน์) ว่า ต้องเป็นพวกยอดมนุษย์ค่ะ :d1eef220::d1eef220: