PDA

View Full Version : โอวาทก่อนวันงานหล่อหลวงพ่อทองคำ วันศุกร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๒


เถรี
10-03-2019, 21:37
(เนื่องจากญาติโยมเริ่มเดินทางมาถึงวัดกันมาก พระอาจารย์จึงเมตตานั่งรับศรัทธาญาติโยมก่อนในช่วงเย็นวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๓๐ น.)

มีญาติโยมจำนวนมากถามอาตมาว่า ทองคำของตนหากไม่ได้ใส่ลงไปหล่อในเบ้าจะได้บุญไหม ? เรื่องของบุญนั้นเราได้ตั้งแต่ตั้งใจทำแล้ว

อาตมาเองใช้เงินซื้อทองคำไปไม่มากไม่มาย แค่ประมาณ ๗๘ ล้านบาท ดังนั้น..โยมถวายมาเท่าไรก็อยู่ในนั้นแหละ

วันนี้อาตมาเตรียมทองไว้ ๑๐๕ กิโลกรัม ทั้งที่ช่างเขาจะใช้แค่ ๙๗ กิโลกรัม โยมที่ถวายทองคำมาก็ถือเป็นเจ้าของร่วมกันในทั้งหมด

ดังนั้น..ในส่วนนี้ถ้าท่านทั้งหลายมีความเข้าใจว่าเรื่องของบุญกุศล เราตั้งใจถวาย แค่เกิดความตั้งใจก็เป็นบุญแล้ว ไม่ใช่ว่าถึงเวลาต้องหล่อให้เห็นถึงจะได้บุญ ต้องเทเป็นองค์พระให้เห็นถึงจะได้บุญ ลักษณะอย่างนั้นกำลังใจก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนเกินไป ต้องเรียกว่ายังไม่มีอุเบกขาในทาน ทำบุญให้ตายก็ไม่ถึงที่สุดของทาน

เถรี
10-03-2019, 21:38
บุคคลที่มีอุเบกขาในทานเขาได้ทำก็พอแล้ว ส่วนหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะเอาไปทำอย่างไร เขาจะเอาไปใช้อย่างไรเราไม่เกี่ยว เพราะว่าบุญเป็นของเราไปแล้ว คราวนี้ในส่วนที่ญาติโยมทั้งหลายตั้งใจทำก็เป็นบุญ ดังที่บาลีว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เจตนานั้นก็เป็นบุญแล้ว” ในเมื่อโยมตั้งใจจะมาทำ แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ สมมติว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายตายเสียก่อน อาตมาก็ขาดทุน เพราะว่าโยมได้บุญไปแล้ว แต่ของทำบุญยังมาไม่ถึงมือของอาตมา

ขอให้เข้าใจกันตามนี้ว่า ในเรื่องของบุญ เรื่องของกุศล สำคัญที่ตั้งใจทำ ในระหว่างที่ทำเกิดความปีติ ทำแล้วเกิดความปีติ ระลึกถึงเมื่อไรเกิดความปีติ ถ้าลักษณะอย่างนี้บุญเป็นของท่านร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

เถรี
10-03-2019, 21:40
ญาติโยมที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่จอดอยู่ในปะรำพิธี รีบไปเอาออกด่วนเลย เจ้าหน้าที่เขาประกาศเป็นร้อยครั้งแล้ว

จำไว้ว่าการที่ไปกีดขวางทางคนอื่น ตอนนี้พระท่านทอดธุระกันหมดแล้ว แปลว่ากรรมนั้นสำเร็จ เพราะฉะนั้น..ชีวิตนี้ถ้าเกิดอุปสรรคอะไรขึ้นในการดำเนินชีวิตของท่านก็ไม่ต้องไปโทษใคร เพราะว่าเกิดจากความมักง่ายของท่านเอง...! ประกาศแล้วก็ไม่ฟัง ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไร ความลำบากในชีวิตของท่านก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น..ขอให้ทิ้งข้ามวันข้ามคืนไปเลยก็ยิ่งดี..!

สถานที่จอดมีเยอะแยะไปท่านไม่จอด แหย่เข้าไปจอดตรงหน้าปะรำพิธี ประกาศเท่าไรก็มีอุเบกขาวางเฉย ก็แปลว่าท่านตัดสินอนาคตของท่านเอง ว่าต่อไปนี้ความลำบากทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเกิดขึ้นก็คือการกระทำของท่านเอง

ส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็มักจะไม่รู้เรื่อง มักจะคิดว่าตัวเองบารมีสูง มาถึงก็มีที่ให้จอด แล้วทำไมไม่สงสัยว่าคนอีกเป็นร้อยเป็นพันเขาไม่จอด ? โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นอิฐตัวหนอนซึ่งเขาทาสีเอาไว้ แถวนั้นมีแค่ทรายรองอยู่ข้างล่าง ทางวัดทาสีตัวหนอนเพื่อปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม ก็มีหลายคนตะบี้ตะบันเอารถขึ้นไปจอด ต้องบอกว่าทำอะไรไม่ได้ใช้หัวแม่เท้าตรองดูว่าเหมาะสมหรือเปล่า..! ถ้าลักษณะอย่างนี้อาตมาขอบอกว่าต้องเกิดอีกหลายชาติ เพราะว่าปัญญาไม่มี

เถรี
10-03-2019, 21:42
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เราต้องเริ่มจากทาน จากศีล จากภาวนา ไล่เป็นลำดับไป ก็แปลว่ามีทานแล้ว มีศีลแล้ว มีสมาธิแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้ปัญญา ชาตินี้อย่าหวังว่าจะไปพระนิพพานได้ แล้วถ้ายังไม่ใช้ปัญญาแบบนี้อีก ก็ไม่ต้องไปหวังว่าอีกหลายชาติท่านจะไปได้

เรื่องบางเรื่องบอกกล่าวกันแล้วก็ไม่เข้าใจ หาว่าเขากีดกันอีกต่างหาก เรื่องบางเรื่องไม่ควรพูด ไปที่อื่นเขาไม่พูด แต่ไม่ใช่ที่นี่ เพราะว่าถ้าที่นี่ไม่พูด ท่านก็จะทำผิดต่อไปเรื่อย ๆ อาตมาใช้คติเดียวกับการลงโทษหมา ก็คือถ้าทำผิดแล้วจะตีต่อหน้า เพราะว่าเวลาหมาทำผิด ถ้าท่านไม่ตีตรงนั้น ปล่อยให้เดินเลยไปสามก้าว หมาจะไม่รู้แล้วว่าตัวเองทำผิดอะไร กลายเป็นว่าเราไปรังแกหมา

เถรี
10-03-2019, 21:45
มีญาติโยมจำนวนมากด้วยกันที่ทำบุญมาทั้งทางไปรษณีย์และเดินทางมาถวายทองคำที่นี่ อาตมายังไม่มีเวลาลงบัญชี ทั้งข้าวของเงินทองกองพะเนินเทินทึกอยู่ในกุฏิ อาตมาทำโครงการมา ๖ ปี แต่โยมมาระดมทำบุญกันภายใน ๓ วันนี้ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ๕ ปีกว่าที่เหลือโยมไปทำอะไรกันอยู่ ?

อาตมาเข้าใจเหมือนกันว่า เรื่องของทองคำเป็นของแพง ท่านอาจจะเสียเวลาในการรวบรวมปัจจัยของท่าน แต่ถ้าหากว่าเป็นอาตมา มั่นใจว่าไม่ถึงปีก็ซื้อได้แล้ว เพราะว่าทองกรัมหนึ่งราคาประมาณ ๑,๓๐๐ บาท เก็บเงินวันละ ๕ บาท เดือนหนึ่ง ๑๕๐ บาท ๑๐ เดือน ๑,๕๐๐ บาท ก็ซื้อได้แล้ว

เถรี
10-03-2019, 21:46
ดังนั้น..หลายคนมักจะเป็นบุคคลที่ทำอะไรเชื่องช้ามาก ทำให้ไม่ค่อยจะทันรถไฟขบวนสุดท้าย เป็นการแสดงออกซึ่งบารมีของเราว่ายังห่างไกลมาก ต้องเร่งรัดให้มากกว่านี้

เหตุที่ต้องเร่งรัดให้มากกว่านี้ก็เพราะว่า บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานนั้น ทำอะไรทำเร็ว ทำจริง ตรงเวลา ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นบุคคลที่ไม่มีอะไรห่วง ทำอะไรเสร็จเร็วกว่าคนอื่นเขา แต่ถ้าหากว่ามัวแต่รอรถไฟขบวนสุดท้ายอยู่ แปลว่าท่านมีเวลามาก ก็คือยังต้องเกิดอีกนาน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บ่งชัดถึงบารมีของท่านว่ายังอ่อนด้อยอยู่มาก ถ้าไม่รีบเร่งรัดเสียตั้งแต่ชาตินี้ หนทางของท่านในการข้ามวัฏสงสารยังยาวไกลมาก

เถรี
10-03-2019, 21:52
แล้วอีกจำนวนมากด้วยกันที่ไม่ทราบเหมือนกันว่าฟังภาษามนุษย์ไม่เข้าใจหรืออย่างไร ? อาตมาประกาศตั้งแต่แรกว่าหล่อพระพุทธรูปด้วยทองคำแท้ แต่ท่านทั้งหลายส่งแผ่นทองเหลืองจารึกชื่อตัวเอง ชื่อลูก ชื่อหลาน ชื่อเหลน ครบ ๑๘ ชั่วโคตรมา แล้วประกาศว่าหล่อพระทองคำ..! แล้วอาตมาจะทำให้อย่างไรได้ ? วันนี้ก็ยังมีมาอยู่เป็นปกติ ส่งมาทางไปรษณีย์

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่มีปัญญาในการทำทาน ปฏิบัติศีล เจริญสมาธิภาวนา ก็น่าเห็นใจ เพราะระบุได้เลยว่าท่านยังจะต้องเกิดมาทุกข์อีกนานมาก วัดนี้พยายามเร่งรัดทุกท่านให้ทำอะไรรวดเร็ว ทำอะไรตรงเวลา ชาวบ้านแถวนี้เขาบอกว่า “พระอาจารย์เล็กดุยิ่งกว่าหมา ตรงเวลาจนน่าเกลียด” เพราะว่าสมัยแรก ๆ ทำการบวงสรวงไหว้ครู โยมมาต่อว่า "วัดของเราแท้ ๆ ไปแล้วไม่มีที่ให้นั่ง" ถามว่า “โยมมาวัดตอนไหน ?” “๘ โมงครึ่ง” อาตมาบอกว่า “ที่นั่งเต็มตั้งแต่ตีห้าแล้ว”

เถรี
10-03-2019, 21:54
ระยะหลังนี้ดีขึ้น เพราะรู้ว่าอาตมาไม่รอใคร ประธานในงานใหญ่แค่ไหนก็สู้เจ้าอาวาสไม่ได้ ถึงเวลาประธานไม่มา เจ้าอาวาสก็หล่อเองเป็น..! จำไว้ว่า เรามีภาระอย่างเดียวก็คือ ทำกาย วาจา ใจ ของเราให้ดีที่สุด เพื่อไปพระนิพพานให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ไปห่วงหน้าพะวงหลังรอประธาน ก็ในเมื่อมีสิบนิ้วเท่ากัน ประธานยังไม่มา อาตมาหย่อนทองลงเบ้าเองก็จบแล้ว

มีอยู่งวดหนึ่ง ตอนนั้นหล่อพระประธานองค์ข้างหลังอาตมา หลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ ตอนนั้นยังเป็นพระครูพิศาลจริยาภิรม ยังไม่ได้เป็นท่านเจ้าคุณ อาตมาบอกไว้ชัดเจนว่าหล่อพระเวลา ๑๒.๓๐ น. นิมนต์นั่งปรกตามเวลา ท่านมาถึง ๑๔.๓๐ น. มาแล้วไม่กล้าลงจากรถเพราะว่าไม่เห็นอะไรเลย ในที่สุดก็ให้คนขับรถลงมาถามพระที่ท่านทำความสะอาดพื้นที่อยู่ ว่าวัดนี้มีงานหรือเปล่า ? พระท่านบอกว่า “มี..แต่เก็บเรียบร้อยไปแล้วครับ” ก็คือทั้งเต็นท์ ราชวัตรฉัตรธง ปะรำพิธีอะไร รื้อเก็บเกลี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่างานผ่านไป ๒ ชั่วโมงแล้ว

เถรี
10-03-2019, 21:55
ถ้าถามว่า ๒ ชั่วโมง ทำงานเสร็จเรียบร้อยแบบนี้เร็วหรือเปล่า ? น่าจะเร็วของโยม แต่ไม่ใช่ของอาตมา สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุงทำงานเร็วกว่านี้ พระเณรวัดท่าขนุนที่ท่านทั้งหลายเห็นอยู่ว่า ทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพมาก ขอบอกว่าไม่ได้ครึ่งหนึ่งของอาตมาสมัยที่ทำงานอยู่วัดท่าซุง แต่อาตมาก็ไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก เพราะรู้ว่าเราจะไปหวังอะไรกับหางราชสีห์ เอาแค่หัวหมาก็พอ ผ่านไปรุ่นหนึ่ง เรื่องของบารมีก็จะลดน้อยถอยลงไปส่วนหนึ่ง

แล้วนี่ห่างจากสมัยพุทธกาลมา ๒,๕๖๒ ปีแล้ว ที่เหลือของนี่ไม่ทราบเหมือนกันว่าร่อนผ่านตะแกรงมากี่ชั้นแล้ว ร่อนไม่ติดสักที..! มาติดอยู่ตรงวัดท่าขนุนนี้ ก็ดันเป็นตะแกรงที่ค่อนข้างจะโหดอีกต่างหาก บรรดาเพื่อนพระภิกษุที่เป็นเจ้าอาวาส ๕๐ กว่าวัด และอีก ๑๙ สำนักสงฆ์ทั่วทองผาภูมิท่านบอกว่า “พระอาจารย์เล็กโชคดี มีลูกน้องเก่ง” อาตมาอยากจะบอกว่า “กูฝึกจนลิ้นห้อย กว่าจะทำกันได้แค่นี้..!”

เถรี
10-03-2019, 22:07
สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง นั่นคือเรื่องของบุคคลที่มีกำลังใจจะเข้าถึงพระนิพพานกันจริง ๆ ไปวัดไม่ต้องให้บอก ไม่ต้องให้สั่ง ไม่ต้องให้สอน รู้จักหางานทำเอง เมื่อได้งานแล้วก็รับผิดชอบสุดชีวิต ท้ายที่สุดก็จัดตั้งกันขึ้นมาเป็นคณะ อย่างเช่นว่า คณะถาวร คณะปากน้ำ คณะแม่ชม้อย คณะรวมใจภักดิ์ เป็นต้น รับผิดชอบงานต่าง ๆ กันไป

ไม่ว่าทางด้านโรงครัว ทางด้านการทำความสะอาด ทางด้านการดูแลห้องน้ำห้องท่า ทางด้านการจัดจราจร พวกเขาทำกันเอง พระเดชพระคุณหลวงพ่อไม่ต้องสั่ง ทุกคนรู้จักหางานทำเอง เมื่อได้งานที่เหมาะสมแล้วก็รับผิดชอบ ถ้ามีพรรคพวกมาร่วมงานก็เต็มอกเต็มใจรับเขาเอาไว้ แล้วก็บริหารจัดการกันเองไป

ในส่วนนี้ พอมาถึงวัดท่าขนุน อาตมาถึงได้บอกว่า ที่วัดอื่นเขาเห็นว่าพระวัดท่าขนุนมีประสิทธิภาพมาก อาตมาอยากจะบอกว่า ไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของพระวัดท่าซุงสมัยนั้น แล้วถามว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น อาตมาออกจากวัดท่าซุงมาทำไม ? ก็เพราะว่าไม่มีอะไรให้ท้าทายแล้ว ตอนนั้นพระในวัด ๔๔ รูป อาตมาบอกซ้ายหัน ขวาหันนี่ หันตามมาเกิน ๓๐ รูป ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นแล้ว ท่านคิดว่าท่านยังจะมีอะไรให้ท้าทายอีก ? คนอื่นเขายกเอาไว้ในตำแหน่งสูงสุดไปแล้ว ๔ พรรษาสุดท้าย พระเดชพระคุณหลวงพ่อเรียกใช้อยู่คนเดียว เพราะว่าใช้คนอื่นแล้วไม่ได้อย่างใจ

เถรี
10-03-2019, 22:12
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเองก็ไม่ต้องไปแสวงหาความก้าวหน้าอะไร เพราะว่าเขายกขึ้นไปอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย ไม่มีที่ให้ไปต่อ วิธีที่จะไปต่อมีทางเดียวก็คือต้องกระโดดลงมา อาตมาออกจากวัดมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ และปัจจุบันนี้นับหนึ่งมา ๗-๘ เที่ยวแล้ว ถ้าเราอยากจะแสวงความก้าวหน้า อย่าทำตัวสบาย อย่าทำตัวเป็นน้ำนิ่ง น้ำนิ่งเป็นน้ำที่รอวันเน่าเท่านั้น จะต้องทำตัวเป็นน้ำไหลอยู่เสมอ เมื่อไหลแล้วน้ำใหม่ก็จะเข้ามาเอง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จึงขอให้ข้อคิดแก่ญาติโยมเอาไว้ โดยเฉพาะว่าท่านทั้งหลายที่มีกำลังใจมาร่วมบุญกุศลในวันนี้ พวกเรามากันสุดเหนือสุดใต้ ภาคตะวันออกก็มี ภาคอีสานก็มี การเดินทางมาวัดท่าขนุนไม่ใช่ของง่าย ใครมาครั้งแรกร้องทุกรายว่าไกลเหลือเกิน แต่ท่านก็มาจนถึง สถานที่พักก็ไม่ได้มีสะดวกสบายเหมือนที่อื่นเขา ไม่มีห้องพักดี ๆ ไม่มีห้องปรับอากาศ ต้องนอนแบกับพื้นเหมือน ๆ กัน มาวัดนี้ท่านทั้งหลายไม่ว่าอยู่บ้านแล้วจะมีศักดิ์ฐานะไหน มาถึงที่นี่เหลือราคาเดียวกันหมดคือแบกับดิน..!

เถรี
12-03-2019, 20:13
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๙ ค่ายสุรสีห์ จังหวัดกาญจนบุรี มารับตำแหน่งใหม่ หน้าห้องมียศเป็นพันโท โทรศัพท์ติดต่อมาสั่งการ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างโน้น ท่านนายพลจะไปกราบพระอาจารย์ อาตมาบอกไปว่า “ถ้าจะมาก็มา อย่าเสือกทะลึ่งมาสั่งพระ ถ้าจะสั่ง..มึงไปสั่งลูกน้องมึงโน่น..!” สรุปก็คือท่านนายพลมาก็นั่งแบกับดินเหมือนกัน เพราะว่าวัดนี้มีเก้าอี้ตัวเดียว คือเก้าอี้ที่เจ้าอาวาสนั่ง..!

มาวัด..เราวัดกิเลสในใจของเราเองว่าเหลือมากน้อยเท่าไร ? ถ้ากระทบอะไรแล้วไม่พอใจอย่างเดียว ขอให้รู้ว่ากิเลสยังท่วมหัวอยู่ ตัวกูของกูยังเต็มที่อยู่ โอกาสที่จะหลุดพ้นไปพระนิพพานก็เป็นเรื่องยากสำหรับท่าน แต่ถ้ามาวัดแล้วพยายามลด พยายามละ พยายามเลิก ขัดเกลาตนเองให้กิเลสเหลือน้อยที่สุด ทำกาย วาจา ใจ ของเราให้ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้น..ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหนก็เป็นวัด เพราะว่ารู้จักวัดใจตัวเอง

แต่ละคนที่เกิดมา เราเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์มานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ควรที่จะตัดลัดขึ้นสู่ฝั่งแห่งการหลุดพ้น ถ้าจำเป็นต้องเกิด ก็ให้เหลือชาติที่เกิดให้น้อยที่สุด ไม่ใช่ว่ายวนอยู่ในวัฏสงสาร หาที่ไปไม่ได้ หาทางไปไม่เจอ มองทางไม่เห็น ก็เพราะว่าเราเอากิเลสมาปิดตาตัวเอง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็รัก ก็โลภ ก็โกรธ ก็หลง อยู่ตลอดเวลา

มาวัดแล้วต้องตื่น หูตาต้องสว่าง ต้องมองให้เห็นว่าสิ่งไหนที่เราทำแล้วเป็นโทษ สิ่งไหนที่เราทำแล้วเป็นประโยชน์ จากนั้นก็เว้นสิ่งที่เป็นโทษ ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เอาไว้ ท่านทั้งหลายจะได้มีความก้าวหน้าขึ้น

เถรี
12-03-2019, 20:21
พรุ่งนี้หลังจากที่บวงสรวงเสร็จ ทองคำจะหย่อนลงเบ้าหลอมไป ญาติโยมทั้งหลายไม่ต้องไปหย่อนตาม เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วของพวกเราเป็นทองรูปพรรณ หรือถึงเป็นทองคำแท่งก็เป็นทองชิ้นเล็ก ๆ ๑ กรัมบ้าง ๒ กรัมบ้าง ๔ กรัมบ้าง ซึ่งทองทั้งหลายเหล่านั้นจะมีส่วนผสมโลหะเพื่อให้เกิดความแข็ง โลหะต่าง ๆ เมื่อรวมตัวกันมาก ๆ เป็นจำนวนหนึ่ง จะแทรกเข้าไปในเนื้อทอง ถึงเวลาองค์พระก็จะมีลาย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สวย อาตมาจึงพยายามใช้ทองแท่งน้ำหนักตั้งแต่ ๕ บาทขึ้นไป ซึ่งตามที่บอกไว้แล้วว่า วันนี้รวบรวมเอาไว้แล้ว ๑๐๕ กิโลกรัม ส่วนที่เหลือเป็นทองรูปพรรณและทองชิ้นเล็ก ซึ่งก็เหลืออยู่อีกหลายสิบกิโลกรัม

หลังจากที่หล่อพระองค์นี้แล้ว ตัดสายชนวนออกมาก็น่าจะมีทองคำเหลืออีกหลายกิโลกรัม อาตมาจะรวบรวมทองทั้งหมด ทั้งที่เป็นชนวน แล้วก็ส่วนที่ญาติโยมถวายมา เอาไปหล่อพระพุทธรูปปางลีลาประทานพรเพิ่มอีก ๑ องค์ ถ้าหากว่าได้ทองเพียงพออาจจะหล่อในปีหน้า หรือถ้าไม่พอก็รอหล่อในปีถัด ๆ ไป

เถรี
12-03-2019, 20:23
เรื่องของพระเป็นเรื่องแปลก ยิ่งแก่เขาก็ยิ่งใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันถ้าหากว่าเป็นโยม แก่แล้วก็เกษียณ นั่งเลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน บางรายก็ฉวยโอกาสดูหนังฟังเพลง เดินทางท่องเที่ยว แต่อาตมายิ่งมางานก็ยิ่งมาก โดยเฉพาะปีนี้อายุ ๖๐ ปีแล้ว เรี่ยวแรงจะทำงานไม่ค่อยจะมีแล้ว แต่งานมากขึ้นทุกที

ปัจจุบันนี้ก็รับตำแหน่งอยู่ ๑๗-๑๘ ตำแหน่ง จนตัวเองก็จำไม่หมด ถามว่าเป็นไปได้อย่างไร ? ก็เป็นแล้ว พอถึงเวลาเขาโทรมาบอกให้ไปประชุมหน่อย “ตายห่...ตรงนี้กูก็มีตำแหน่งด้วยหรือวะ..??” เอาแค่ตำแหน่งที่นึกได้ก็มี ๑. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ๒. เจ้าคณะตำบลท่าขนุน (เขต ๒) ๓. ประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลท่าขนุน ๔. ประธานชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน ๕. ประธานศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใจชุมชนตำบลท่าขนุน ๖. ประธานศูนย์การเรียนรู้วัดท่าขนุน ๗. เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี แห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ๘. พระอุปัชฌาย์ ๙. คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรีฝ่ายการศึกษา ๑๐. คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรีฝ่ายการเผยแผ่ ๑๑. ประธานศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี ๑๒. ประธานองค์กรพระอุปัชฌาย์ รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ๑๓. ประธานการสาธารณสงเคราะห์คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ๑๔. กรรมการคุมการสอบนักธรรมสนามหลวง ๑๕. กรรมการตรวจข้อสอบนักธรรมสนามหลวง ๑๖. อาจารย์ประจำวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี (วัดไร่ขิงพระอารามหลวง) ๑๗. อาจารย์พิเศษโครงการขยายห้องเรียนคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๑๘. คณะกรรมการการศึกษาโรงเรียนเทศบาลทองผาภูมิ ๑๙. คณะกรรมการการศึกษาโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ๒๐. ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ๒๑. กรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ๒๒. ประธานโครงการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ แล้วยังเป็นสารพัดที่ปรึกษา แค่ที่นึกได้นี้ก็จะบ้าแล้ว..!

เถรี
12-03-2019, 20:24
ตำแหน่งจ่ายเงิน อย่างประธานการสาธารณสงเคราะห์คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ไม่ว่าใครเจ็บใครตายจ่ายศพละ ๓๐,๐๐๐ บาท ตำแหน่งคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอีก ๒ โรงเรียนที่เอ่ยถึงไม่ได้ เพราะว่าแอบทำ เนื่องจากว่าตามกฏหมายเขาให้เป็นแค่ ๒ โรงเรียนเท่านั้น แต่ทางด้านผู้อำนวยการโรงเรียนจับยัดให้เป็น ก็คือเป็นในชื่อสมัยพระครูธรรมธรเล็ก ๒ โรงเรียน เป็นในชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม ๒ โรงเรียน ไม่ซ้ำกัน ก็เขาจะเอาซะอย่าง..! เพราะฉะนั้น..ที่บอกว่า ๑๗-๑๘ ตำแหน่งนี่ไม่ใช่เรื่องโกหก

เถรี
12-03-2019, 20:25
อาตมาเองก็สงสัยเหมือนกันว่า ตัวเองมีอะไรดี ? ทำไมพวกบรรดาตำแหน่งประธาน ๆ โดยเฉพาะตำแหน่งประธานรุ่นพระอุปัชฌาย์ รุ่นของอาตมามีรองเจ้าคณะภาค ๔ รูป มีเจ้าคุณ มีเจ้าคณะอำเภออีก ๗-๘ รูป แต่เขาเอาเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นประธาน

อันนี้เกิดจากพระปลัดธวัช เจ้าอาวาสวัดสวนมะม่วง อำเภอห้วยกระเจา ท่านไปเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา ที่ต้องเข้ากรรมฐาน ๗ เดือน ระหว่างที่เรียนอยู่ได้ยินแต่ชื่อเสียงพระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน เต็ม ๒ หู พอไปสอบพระอุปัชฌาย์ได้รุ่นเดียวกัน เขามีการคัดเลือกประธานรุ่น ก็มีคนเสนอชื่อ หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง หรือท่านเจ้าคุณพระมงคลวโรปการ ๕๐ กว่าคน อีกคนเสนอชื่อหลวงพ่อชวลิต วัดป่าประดู่ จังหวัดระยอง คือท่านพระครูโสภิตปัญญากร เจ้าคณะอำเภอเมืองระยอง ๕๐ กว่าคน พระปลัดธวัชทะลุกลางปล้อง...เสนอชื่ออาตมาอยู่คนเดียว ไม่มีใครสนับสนุนเลย แต่ปรากฏว่า ทั้งหมดเขาให้ทั้ง ๓ คนไปตกลงกันเองว่าใครจะเป็นประธาน และเป็นรองประธานอีก ๒ รูป

เถรี
12-03-2019, 20:27
พอเข้าห้องไปคุยกัน หลวงพ่อวัดป่าประดู่บอกว่า “ผมจะสละสิทธิ์ จะให้พระครูสุธีปริยัตยาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอบางปะอินเป็น” หลวงพ่อชำนาญจับแขนหลวงพ่อวัดป่าประดู่บอกว่า “ไม่เอา..ผมจะให้พระอาจารย์เล็กเป็น” ก็คือเวลาออกพุทธาภิเษกวัตถุมงคลด้วยกัน ต่างคนต่างรู้กันอยู่ว่าใครฝีมือระดับไหน ท่านเจ้าคุณชำนาญบอกให้พระอาจารย์เล็กเป็น หลวงพ่อวัดป่าประดู่ก็อ้าปากไม่ออก เพราะเท่ากับว่าอาตมากับเจ้าคุณชำนาญเป็น ๒ เสียง ท่านเหลือแค่เสียงเดียว ก็เลยต้องตกลงตามนั้น

พอออกมาข้างนอก อาตมาก็ประกาศบอกเพื่อนพระอุปัชฌาย์ว่า ตัวเองโดนบังคับให้เป็น ปลัดธวัชยิ้มจนปากฉีกถึงใบหู บอกว่า “ผมอธิษฐานไว้ว่า ถ้าพระอาจารย์เล็กบารมีมากจริงต้องได้เป็นประธานรุ่น” สมควรตายมาก..! ก็คือคนที่จบปริญญาโทวิปัสสนาภาวนามา ต้องผ่านการเข้ากรรมฐาน ๗ เดือน เราต้องเข้าใจว่าเรื่องฌานเรื่องสมาบัติของเขาระดับไหน ถ้าใช้กำลังขนาดนั้นอธิษฐานไว้ อย่างไรเราก็เสร็จ แล้วตอนนี้การเลือกตั้งวาระที่สองผ่านไป วาระแรกเป็นประธานมา ๓ ปี วาระที่สองเขาเลือกซ้ำเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีใครคัดค้าน ให้อาตมาเป็นต่ออีก ๕ ปี เจริญ..!

เถรี
12-03-2019, 20:28
ดังนั้น..ในเรื่องของงานจะมากขึ้นทุกวัน เวลาให้แก่ญาติโยมก็มีน้อย มาวัดแล้วไม่เจอ..บ่นกันมาก เพราะว่าแค่วิ่งประชุมทั่วประเทศไทยก็ปางตายแล้ว ไหนจะงานหลวงไหนจะงานราษฎร์

ในส่วนนี้ญาติโยมทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ที่อาตมาเดินทางไปพบท่านทั้งหลายน้อยลง อย่างเช่นปักษ์ใต้ ก่อนนี้ไปได้ปีหนึ่ง ๔-๕ ครั้ง เดี๋ยวนี้ได้ ๑-๒ ครั้งก็เก่งมากแล้ว ญาติโยมทางด้านอีสานนิมนต์ อาตมาไม่รับปาก ไม่กล้าไป..เพราะว่ากลัวไม่มีเวลา ตอนนี้ก็เหลือไปตะวันออกปีละครั้ง ไปภาคเหนือปีละประมาณ ๒ ครั้ง ไปภาคใต้ประมาณปีละ ๒ ครั้ง แต่ว่ารับสังฆทานสงเคราะห์ญาติโยมที่บ้านเติมบุญ นนทบุรีนั้น ต้องรับอยู่ทุกเดือน

อาตมาเพิ่งจะทำหนังสือลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ประจำวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ปรากฏว่าเมื่อวานนี้ ท่านพระครูศรีธรรมวราภรณ์ เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี บอกว่า “หลวงพ่อครับ...เดือนพฤษภาคมนี้ ผมจะเสนอชื่อหลวงพ่อให้เป็นอาจารย์ประจำวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี” เอาให้พอ ลาออกที่หนึ่ง ก็เพิ่มให้ที่หนึ่ง..! ไม่มีลด มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี
12-03-2019, 20:30
วันนี้มีพระแมนจากจังหวัดเชียงราย ถวายมีดหมอหลวงพ่อเดิม และพระพุทธรูปทองคำมา ๑ องค์ เป็นของปลอมทั้งคู่ ขอให้ท่านได้ทราบเอาไว้ มีดหมอหลวงพ่อเดิมเป็นของปลอมทำเลียนแบบ ส่วนพระพุทธรูปทองคำของท่านนั้น เขาหล่อทองเหลืองตันทั้งองค์แล้วเคลือบสี ถามว่าทำไมถึงรู้ ? พระอาจารย์เล็กเล่นของพวกนี้มาจนมือไม่มีขนแล้ว แค่มองก็รู้ว่าปลอม เพราะฉะนั้น..แจ้งให้ทราบว่าท่านทั้งหลายที่เที่ยวหาของพวกนี้มาถวายอาตมานั้น ปลอมเสียร้อยละ ๙๐..!

เถรี
12-03-2019, 20:34
พระเถระที่มาถึงวัดแล้วก็มีตุ๊พ่อสิงห์ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ท่านเองก็อายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว เป็นรุ่นพี่บวชจากโบสถ์เดียวกันที่วัดท่าซุง แต่ว่าท่านพรรษามากกว่าอาตมา ๘ พรรษา หลวงตาวัชรชัยก็รุ่นพี่บวชจากโบสถ์วัดท่าซุง มากกว่าอาตมา ๔ พรรษา หลวงพ่อวิรัช วัดธรรมยาน บวชจากโบสถ์เดียวกันวัดท่าซุง ท่านมากกว่าอาตมา ๕ พรรษา แต่ขอโทษ..บรรดาพี่ ๆ เจอหน้าเมื่อไรก็ถีบน้องเล็กขึ้นหน้ายันเต..! เพราะว่าตอนอยู่วัดเขารู้กันว่าใครมีฝีมือเท่าไร

เถรี
12-03-2019, 20:36
ทำบุญอย่าห่วงถ่ายรูปมากนัก กำลังใจให้มุ่งมั่นอยู่กับบุญด้วย แบ่งกำลังใจไปห่วงถ่ายรูปครึ่งหนึ่ง บุญก็หายไปครึ่งหนึ่ง..! ไม่จำเป็นต้องมีรูปเป็นหลักฐานหรอก บัญชีข้างล่างเขาไม่เคยผิด..!

เถรี
12-03-2019, 20:38
โยมอาจจะสงสัยว่าอาตมาอยู่ตรงนี้ มือยังไม่เอื้อมไปรับของเลย ไม่ต้องมือหรอก เพราะว่าตีนเหยียบโต๊ะอยู่..! สรุปก็คือ ๒ ตีนกับ ๒ เข่ารับอยู่ตลอดเวลา ให้รู้จักสังเกตไว้บ้าง วางลงมาบนโต๊ะก็จบแล้ว ไม่ใช่ว่าพระอาจารย์ไม่เอื้อมมือไปรับแล้วไม่ได้บุญ

เถรี
12-03-2019, 20:41
ญาติโยมบางคนก็ไปบ่นกัน อาตมาได้ยินเข้าพอดี ว่าไม่ถนอมน้ำใจ ไม่รักษาศรัทธาเลย ก็เลยบอกเขาไปว่า “I'm a dream crusher.” แปลออกก็แล้วไป แปลไม่ออกก็ช่างหัวมัน..!

มาที่นี่แล้วต้องทำใจ ทำอะไรผิด เจ้าอาวาสด่าไม่เลี้ยง จะได้ไม่ไปผิดที่อื่นอีก ส่วนญาติโยมที่ทำไม่ผิดก็ทนฟังการด่าไปด้วย เพราะว่าดันมาที่นี่แล้ว..!

เถรี
12-03-2019, 20:43
มีหมอดูโหงวเฮ้งอยู่คนหนึ่งเป็นชาวจีนฮ่องกง พูดได้แต่ภาษาจีนกลางกับภาษาอังกฤษ ไปหากินอยู่ที่กัมพูชา คือประเทศเขมร เพราะว่าคนกัมพูชาเชื่อถือเรื่องโชคลาง ไสยศาสตร์ ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้งมาก มากกว่าคนไทยหลายเท่า เจอหน้าอาตมา ท่านเข้ามาหาเอง บอกว่าปกติค่าดูของท่านครั้งละ ๑๐,๐๐๐ บาทไทย แต่ดูให้อาตมาฟรี ๆ

ท่านบอกว่า “ท่านอาจารย์เป็นคนไม่เห็นแก่หน้าใคร ใครมาก็รับเขาเท่ากันหมด” พยายามแปลเป็นภาษาไทยได้ประมาณนี้ เพราะฉะนั้น..ญาติโยมมานี่ไม่ต้องหวังว่าจะมีอะไรพิเศษ พวกที่หวังพิเศษนี่ต้องมาใกล้ ๆ อยู่ในรัศมีเท้า..!

เวลาญาติโยมไปที่อื่นเขาจะมีการประกาศชื่อเจ้าภาพ ท่านนั้นเป็นเจ้าภาพอย่างนั้น ท่านนี้เป็นเจ้าภาพอย่างนี้ ท่านนั้นต้องมาถวายไทยธรรม ท่านนี้ต้องมาประเคนของเจ้าอาวาส วัดนี้ไม่มี อยากทำเข้ามาทำเอง แล้วอย่าเกะกะนาน..จะโดนด่า..! ทำแล้วก็รีบไปให้พ้น ๆ หน้า

เถรี
12-03-2019, 20:44
อากาศที่นี่ช่วงเช้าประมาณ ๒๒ องศาเซลเซียส ช่วงบ่ายอยู่ที่ ๓๔-๓๖ องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้น..จะร้อนอยู่สักหน่อยหนึ่ง ถ้าหากว่าอยู่ในที่พัก พัดลมกรุณาเปิดให้ส่ายทั่วถึงกันด้วย ไม่ใช่เป่าก้นเราอยู่คนเดียว..! ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะเอาสบายของตัวเองเข้าว่า คนอื่นเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเห็นแก่ตัวมาก

เถรี
12-03-2019, 20:46
วันก่อนเจ้าที่วัดท่าขนุนมา บอกว่าวัดนี้ อะไร ๆ ก็ดีหมด เสียอยู่อย่างเดียว หมาเยอะมาก..! อาตมาก็ถามว่า “มีวิธีไหนทำให้หมาลดลงได้บ้าง ?” เจ้าที่เขาบอกว่า “ท่านก็สอนกรรมฐานนี่ ก็นั่งสมาธิทำใจไปสิ” แล้วพูดทำไมวะ ? นึกว่าพูดแล้วจะช่วยกัน..!

เถรี
12-03-2019, 20:49
(หลังจากพระอาจารย์ให้พรญาติโยม) อยากให้พระวัดท่าขนุนให้พรบทมงคลจักรวาลน้อยโดยหายใจครั้งเดียวแบบอาตมา ท่านยังทำกันไม่ได้ ท่านบอกว่ายาวเกินไป อย่างน้อยต้องหายใจ ๓ ครั้ง ส่วนของอาตมาแบบเกรงใจ เลยหายใจครั้งเดียว ถ้าไม่เกรงใจว่าจะไม่หายใจเลย..!

เถรี
14-03-2019, 08:24
ในเรื่องของพระพุทธรูปทองคำ นาก เงิน ที่วัดท่าขนุนสร้างนั้น สร้างขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า จังหวัดกาญจนบุรีไม่มีพระสำคัญที่คนรู้จักกันทั้งประเทศ ในเมื่อไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง

อาตมาเริ่มดำเนินโครงการสร้างพระพุทธรูปทองคำมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ ก็คือประมาณ ๖ ปีที่แล้ว ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะสร้างพระพุทธรูปทองคำหน้าตักเท่าพระแก้วมรกต คือ ๑๖ นิ้ว ก็ไปปรึกษาช่างว่าควรที่จะมีมณฑปที่ตั้งให้สมพระเกียรติ ช่างก็เลยช่วยทำมณฑปอลังการหลังนี้ให้มา เป็นไม้สักทองแกะสลัก ปิดทองประดับกระจก มูลค่า ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท

คราวนี้ตามที่พระท่านสั่งก็คือ ให้หล่อพระพุทธรูปทองคำในปี ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานมาก อาตมาเป็นคนอยู่เฉยไม่ได้ จึงสร้างหลวงพ่อเงินกับหลวงพ่อนากขึ้นมาอีกอย่างละองค์ ตามที่โยมเห็นอยู่บนมณฑปนี้ หลวงพ่อเงินนั้นสร้างจากเม็ดเงินบริสุทธิ์ ๑๕๐ กิโลกรัม มูลค่า ๓ ล้านเศษ เกือบ ๔ ล้านบาท หลวงพ่อนากนั้นสร้างจากทองคำ นาก และเงิน รวมแล้ว ๑๖๐ กิโลกรัม มูลค่า ๔๐ กว่าล้านบาท

เถรี
14-03-2019, 08:25
ส่วนองค์ที่เห็นตรงกลางนั้นก็คือ พระพุทธรูปทองคำองค์ใช้งานจริงที่เราจะใช้แห่ทุกปี หล่อขึ้นมาจากเม็ดเงิน ๕๒ กิโลกรัม ชุบทองคำไป ๓ แสนบาท เพราะว่าถ้าหล่อเป็นพระพุทธรูปทองคำแล้วเอาไปแห่ นอกจากเอาขึ้นลงลำบากแล้ว ยังอาจจะชำรุดเสียหายได้ จึงต้องมีองค์ใช้งานจริงขึ้นมาก่อน เดี๋ยวพอองค์ทองคำแท้หล่อเสร็จ ก็จะนิมนต์องค์ใช้งานจริงลงมาอยู่ชั้นที่ ๒ แล้วองค์ทองคำแท้ตั้งขึ้นไปแทน

องค์ทองคำหลังจากที่ขยับกันอยู่หลายที จาก ๑๖ นิ้ว ช่างมาวัดสถานที่แล้วบอกว่าได้ ๒๑ นิ้ว แต่พอเขาทำฐานขึ้นไปก็ปรากฏว่าเหลือแค่ ๑๙ นิ้ว เนื่องจากว่าฐานทำให้พื้นที่ด้านบนลดลง หน้าตักจะกว้างเกินนั้นไม่ได้ จากที่คำนวณไว้ตอนแรกว่าใช้ทอง ๔๐ กิโลกรัม หล่อบาง ๆ ในขนาดของ ๑๖ นิ้ว ก็ขยายมาเป็น ๒๑ นิ้ว ใช้ทอง ๑๔๐ กิโลกรัม จนกระทั่งย่อลงมาเหลือ ๑๙ นิ้ว ทองคำเหลือแค่ ๙๗ กิโลกรัม แต่ขนาดนั้นมูลค่าก็ยัง ๑๓๐ กว่าล้านบาท ก็แปลว่าตั้งแต่ปีนี้ ประมาณเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เราก็จะมีพระพุทธรูปทองคำ นาก และเงิน ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ๓ องค์

เถรี
14-03-2019, 08:32
ส่วนมณฑปซ้ายขวาของอาตมานี้ ตอนแรกไม่ได้คิดจะสร้าง แต่ว่าท่านรองศาสตราจารย์ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติประเภทการออกแบบ ท่านบอกว่าอยากทำ ในเมื่อศิลปินแห่งชาติปรารภอยากจะทำ อาตมาก็เลยต้องจ่ายไปอีกเกือบ ๘ ล้านบาท เพื่อที่จะสร้างมณฑปขึ้นมา ๒ หลัง

เมื่อสร้างขึ้นมาแล้วก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร จนกระทั่งการรวบรวมทองคำเพื่อหล่อหลวงพ่อทองคำ เมื่อลดจำนวนทองลงมาเหลือ ๙๗ กิโลกรัม อาตมาก็ยังเหลือทองคำอีกเกือบ ๒๐ กิโลกรัม ก็เลยตั้งใจจะหล่อพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร ซึ่งเป็น "หลวงพ่อรวย" ของอาตมา เนื่องจากพระพุทธเจ้าท่านให้พรว่า ถ้าพระองค์ท่านมาลักษณะนี้เมื่อไร รวยใหญ่เมื่อนั้น ช่วง ๒ วันนี้ท่านก็มา แสดงว่าตั้งใจมารับเงินรับทองที่โยมถวาย ในเมื่อพระองค์ท่านช่วยงานมาเป็นระยะเวลานาน ก็สร้างรูปถวายพระองค์ท่านสักองค์หนึ่ง

ส่วนอีกด้านหนึ่งที่เหลือตั้งใจจะสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรทรงเครื่องจักรพรรดิ หรือปางปราบพระยาชมพูบดี ซึ่งแสดงออกซึ่งบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเลิศที่สุดในโลก

เถรี
14-03-2019, 08:52
ก็แปลว่ามณฑปทั้ง ๒ หลังนี้ สร้างขึ้นมาแบบบังเอิญ แต่ถูกต้องตามความต้องการ ซึ่งอาตมาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นความต้องการของพระท่านตั้งแต่แรกหรือเปล่า ? เพราะว่าโดยปกติท่านอาจารย์ภิญโญ สุวรรณคีรีนั้น หาเวลาว่างยากมาก และไม่ทำอะไรให้ใครง่าย ๆ ท่านบอกว่า “หลวงพี่ครับ ผมอายุ ๘๐ กว่าแล้ว จะใช้ผมทำอะไรก็รีบหน่อยนะครับ เพราะว่าผมไม่รู้ว่าจะอยู่ทำให้ได้อีกกี่วัน” นี่คือความหวังดีปรารถนาดีของผู้ที่เป็นศิลปินแห่งชาติ

เหตุที่รู้จักกันเพราะว่ามณฑปสามยอดตั้งพระพุทธรูปทองคำนั้น ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ภิญโญเป็นคนสร้าง เนื่องจากว่าเป็นหลังใหญ่ ลักษณะสามารถให้รายละเอียดได้มาก ไม่เหมือนกับมณฑปทรงบุษบก ๒ หลังนี้ที่เป็นหลังเล็ก ให้รายละเอียดมากไม่ได้ แต่เราก็จะเห็นว่า ในฝีมือการออกแบบระดับศิลปินแห่งชาตินั้น ความสวยงามลงตัวจะมีมากกว่าปกติ

เถรี
14-03-2019, 08:54
ระยะนี้สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาก็ไม่ค่อยจะดี เพราะว่าเพิ่งจะมีปัญหาเรื่องการแห่นาคเสียงดัง แล้วพวกขาใหญ่ก็ลุแก่อำนาจโทสะ ทำร้ายทั้งครูและนักเรียน ซึ่งถ้าหากว่าลงโทษแค่นั้นก็จบไปแล้ว แต่ปรากฏว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีหนังสือออกมา ให้พระจัดงานในลักษณะที่เรียกว่าเรียบร้อย ห้ามมีเสียง อยากจะถามว่าเขาเองจัดได้ไหม..ห้ามมีเสียง ?

ทุกวันนี้สถานการณ์พระพุทธศาสนาของเราอยู่ในลักษณะที่ว่า ทำให้พระบวชยากที่สุด แต่โดนสึกง่ายที่สุด จนกระทั่งท้ายที่สุดก็จะไม่มีพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเหลืออยู่ เพราะว่าปัจจุบันนี้ต้องมีการตรวจประวัติอาชญากรรม

เถรี
14-03-2019, 08:55
ปัจจุบันนี้ญาติโยมจะบวชสัก ๓ วัน ๗ วัน ก็เป็นเรื่องยาก เพราะว่าส่วนใหญ่ติดด้วยการทำมาหากิน ลาได้แค่นั้น แต่พอลามาสมัครบวช เจอติดขั้นตอนการสอบประวัติอาชญากรรม ๑๕ วัน แล้วจะเหลือใครมาบวช ? แทนที่จะให้ขั้นตอนนี้ญาติโยมเขา ไปวิ่งเต้นจัดการให้เสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนที่จะมาขออนุญาตบวช ก็กลายเป็นว่าต้องให้มาบวชก่อน แล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์เป็นคนส่งประวัติไป ก็แปลว่าบรรลัยตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้บวช ก็คือถ้าคุณจะบวช ๓ วัน อย่างน้อยก็ต้องอยู่วัดไปแล้ว ๑๘ วัน..!

ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บุคคลที่ตั้งใจทำลายพระพุทธศาสนา เขาจะฉวยโอกาสทำทุกอย่างที่ทำให้ศาสนาของเราไปได้ยากที่สุด อ่อนแอที่สุด มีศาสนิกน้อยที่สุด เพื่อที่ท้ายสุดแล้ว จะได้เอาศาสนาอื่นขึ้นมาเป็นศาสนาประจำชาติ ถ้าญาติโยมยังไม่ตระหนักตรงจุดนี้ การครอบงำ การบีบคั้นก็จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด พระพุทธศาสนาของเราจะตั้งอยู่ไม่ได้

เถรี
15-03-2019, 08:23
อีกสักครู่จะทำวัตรเย็น เป็นการทำวัตรต่อเนื่องก็คือทำรอบ ๑๘.๑๕ น. กับรอบ ๑๙.๐๐ น. ถามว่าทำไมต้องเป็นรอบ ๑๘.๑๕ น. ? ก็เพราะว่าในช่วงเข้าพรรษาจะมีการตีกลองระฆังย่ำรุ่งย่ำค่ำอยู่ ๑๕ นาที ก็คือตีตั้งแต่ ๑๘.๐๐ น. จนถึง ๑๘.๑๕ น. พอสิ้นเสียงกลองระฆังย่ำค่ำก็เริ่มทำวัตรเย็น ครั้นจะขยับเลื่อนไปเลื่อนมาก็เกรงใจ ก็เลยเอาเป็น ๑๘.๑๕ น. เท่ากับว่าในพรรษาหรือนอกพรรษาจะมีเสียงกลองเสียงระฆังย่ำรุ่งย่ำค่ำหรือไม่ก็ตาม เราจะทำวัตรเย็นในเวลาเดียวกัน

การทำวัตรสวดมนต์นั้นมีผลานิสงส์มหาศาล สำคัญที่ว่าญาติโยมทั้งหลายจะเข้าถึงหรือรับรู้ได้หรือไม่ ? การสวดมนต์นั้น อันดับแรกเลยคือเราได้สมาธิ ให้สังเกตว่าถ้าหากว่าเราฟุ้งซ่านคิดเรื่องอื่นจะสวดมนต์ผิด อันดับที่สอง การสวดมนต์ถ้าหากว่าท่านมีความเข้าใจ มีความคล่องตัว สามารถทรงฌานได้ คำสวดมนต์ก็คือคำภาวนานั่นเอง แต่เป็นคำภาวนาที่ยาวสักหน่อยเท่านั้น

อันดับที่สาม ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอยากได้ทิพจักขุญาณ ต้องการเห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ ใช้การสวดมนต์ทำได้ ก็แค่ท่านสวดมนต์แล้วหลับตานึกถึงตัวหนังสือวิ่งขึ้นมาเป็นตัว ๆ อยู่ตรงหน้าของเรา ตั้งแต่ โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ เราเห็นตัวหนังสือชัดเจนเท่าไร เราก็เห็นผีเห็นเทวดาชัดเจนเท่านั้น หรือถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานได้ เอากำลังใจไปสวดมนต์ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ถ้าตายตอนนั้นก็อยู่ที่นั่นไปเลย

เถรี
15-03-2019, 08:25
แล้วการทำวัตรสวดมนต์นั้น เท่ากับเป็นการบริหารอวัยวะภายใน เราจะสังเกตว่า หลวงปู่หลวงพ่อที่ขยันสวดมนต์มักจะอายุยืน ๘๐ ปี ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี เป็นต้น เพราะว่าส่วนใหญ่ร่างกายของเราบริหารได้แต่ภายนอก อวัยวะภายในต่าง ๆ ไม่ได้บริหาร การสวดมนต์ทำวัตรเป็นการบริหารอวัยวะภายใน ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวในจังหวะที่สม่ำเสมอกัน ตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง เมื่ออวัยวะภายในแข็งแรง อายุขัยก็ยืนยาว

ดังนั้น..อย่าเห็นแค่เป็นการสวดมนต์ โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่แปลคำสวดมนต์ได้ แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ ก็เท่ากับท่านปฏิบัติตามโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ก็แปลว่าจะได้ประโยชน์จากการสวดมนต์อย่างเต็มที่ เพราะว่าเราแปลออก สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

อย่างเช่นว่า “อะเสวะนา จะ พาลานัง” จงอย่าคบกับคนพาลทั้งหลาย “ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา” ให้คบกับบัณฑิต คือผู้มีศีลมีธรรม “ปูชา จะ ปูชะนียานัง” บูชาบุคคลที่ควรบูชา ได้แก่ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เป็นต้น “ปะฏิรูปะเทสะวาโส” ให้อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม คือเป็นสถานที่ซึ่งมีกองบุญการกุศลให้เรากระทำได้ เป็นสถานที่ซึ่งชักชวนให้กาย วาจา ใจ ของเราอยากจะสร้างความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

“ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา” มีการสร้างสมบุญมาแต่ปางก่อน คือถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้สร้างบุญมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ชาตินี้ท่านก็ไม่มีวันเข้าวัดได้ “อัตตะสัมมาปะณิธิ” แปลว่าตั้งตนไว้ในที่ชอบ ก็คือมีสมบัติเพราะสัมมาทิฐิ เห็นว่าทาน ศีล ภาวนา เป็นของดี เราตั้งใจจะทำ

เถรี
15-03-2019, 08:28
ดังนั้น..ถ้าหากว่าแปลได้ เข้าใจความหมาย เราก็จะกระทำตามสิ่งที่เราสวดมนต์ได้เต็มที่ แต่ถ้าหากว่าแปลไม่ได้ เอาแค่เป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ ถ้าหากว่าทรงฌานได้ก็ถือว่า ท่านมีคุณสมบัติเป็นกัลยาณชนเพราะการสวดมนต์ ถ้ายกจิตขึ้นไปสวดถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานได้ แปลว่าท่านใกล้พระนิพพานไปมากแล้ว

โดยเฉพาะการสวดมนต์ทำวัตร ถ้าสมาธิของเราทรงตัว ได้การกระทำอย่างสม่ำเสมอ จะสร้างกำลังใจของเราให้แกล้วกล้ามั่นคงในการกระทำความดีต่าง ๆ โดยเฉพาะท่านที่อยู่ภพภูมิอื่น ๆ การสวดมนต์นั้น คลื่นพลังที่แผ่กระจายออกไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถรับได้ สามารถอนุโมทนาได้ เป็นประโยชน์แก่เขาอย่างมหาศาล เพียงแต่ว่าพยายามให้การสวดมนต์ของเรานั้นเป็นไปในลักษณะที่อ่อนโยนเหมือนสายน้ำไหล ไม่ใช่กระแทกกระทั้นเป็นพายุ หรือว่าคลื่นกระแทกฝั่ง เพราะว่าท่านทั้งหลายที่อยู่ในโลกทิพย์นั้น กายประกอบขึ้นมาจากอณูเล็ก ๆ ถ้ากระแทกมาก ร่างของท่านสลายไป แทนที่จะเกิดประโยชน์ก็เกิดโทษอีก

เถรี
15-03-2019, 08:30
ที่วัดท่าขนุนทำวัตรเช้าเย็นรวมแล้ว ๓ รอบ ปกติก็ทำวัตรแค่เช้าเย็นเหมือนวัดอื่น ๆ แต่ว่าในรอบ ๑๘.๑๕ น. นั้น แต่เดิมสมัยหลวงปู่สาย ท่านให้พระใหม่เณรใหม่มาซักซ้อมการสวดมนต์ คราวนี้พออาตมาย้ายมาเป็นรองเจ้าอาวาสปี ๒๕๔๔ ก็เกิดความสงสัยว่า ในเมื่อเป็นพระใหม่เณรใหม่แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสวดมนต์อย่างไร จังหวะไหน ? ก็ลงไปนั่งฟัง เผื่อมีที่ใดจะต้องแก้ไขจะได้บอกกล่าว

ก็ปรากฏว่าด้วยความที่อาตมาเองอาวุโสมาก ก็คือพรรษามากกว่าเจ้าอาวาส พอลงไปนั่ง เจ้าอาวาสก็ต้องไปด้วย พอเจ้าอาวาสไปด้วย พระอื่น ๆ ก็ตามไปด้วย ท้ายสุดก็ไปกันหมดทั้งวัด จึงมีสวดมนต์กันอย่างเป็นทางการไปเลย พระเก่าก็ได้นำพระใหม่ให้สวดถูกจังหวะ โดยเฉพาะบางคำอย่างเช่นว่า “อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา” บัณฑิต พระเณรหลายรูปเห็นเป็น ฑ.นางมณโฑ ก็ยังอ่าน ปัน-ทิ-ตา กันอยู่ พอถึงเวลาก็จะได้อ่านให้ถูก

เถรี
15-03-2019, 08:32
อย่างเช่นว่า “สันตินท๎ริโย” เป็นเสียง ท.ทหาร รวบกับ ร.เรือ เกือบจะเป็นเสียงเดียวกัน แต่ด้วยความที่เราเคยชินว่า ท.ทหาร ร.เรือ ออกเป็นเสียง ซ.โซ่ ก็อ่านเป็น “สันตินซิโย” ซึ่งอ่านผิด เพราะว่า ซ.โซ่ เรามีอยู่แล้ว “ปะหีนา เต จะ อาพาธา” เสียง ห.หีบ ต้องออกเสียงสูง ไม่ใช่ “ปะฮีนา เต” เรามี ฮ.นกฮูก อยู่แล้ว ถ้าจะต้องออกเสียงต่ำก็ใช้ ฮ.นกฮูก สะกด ไม่ใช่ใช้ ห.หีบ อ่านให้ถูกด้วย

อย่างบทสวดพระคาถาชินบัญชร “วิหะรันตัง มะหีตะเล” เอาให้ชัด ๆ ไม่อย่างนั้นผิด เพราะว่า “หีนะ” แปลว่าหยาบ แปลว่าต่ำ ถ้าไปออกเสียงเป็น “ฮี” ก็แปลไม่ได้ อย่าไปดัดจริตมาก ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ยกเว้นว่าเราดัดจริตปรุงแต่งมาก ก็จะรู้สึกว่าอับอาย เป็นคำหยาบ เสร็จแล้วก็สวดผิดกันไปรุ่นต่อรุ่น ภาษาที่ควรจะถูกต้องก็กลายเป็นผิดพลาดไป

เถรี
15-03-2019, 08:33
ดังนั้น..ในเรื่องของการสวดมนต์ทำวัตรของทางวัดท่าขนุนที่กลายเป็นว่า ทำวัตรเช้าเย็นรวม ๓ รอบ ก็มีที่มาที่ไปจากการที่พระเณรใหม่ซ้อมสวดมนต์ แล้วอาตมาลงไปนั่งฟัง จนกระทั่งกลายเป็นว่าเจ้าอาวาสและพระเก่าก็ต้องมาทั้งหมด เพราะของหลายอย่างถ้าหากว่าเราสวดผิดจะติดเป็นนิสัย

อักขระที่เป็นทีฆะต้องออกเสียงยาว ถ้าเป็นรัสสะต้องออกเสียงสั้น “วิพุธัง” พุ ไม่ใช่ พุท แบบเดียวกับ “อุปัชฌาย์” ไม่ใช่ “อุปปัชฌาย์” เรามักจะออกเสียง อุ เป็นเสียง ป.ปลาสะกดเสมอ “กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา” ออกเสียง อี เสียงยาว โดยเฉพาะ กัต๎วา ซึ่งเป็นเสียงอะ ที่เป็นอัฑฒสระ ออกเสียงกึ่งเดียวประมาณครึ่งวินาที ไม่ใช่ กัต-ตะ-วา “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ” ไม่ใช่ สะ-ระ-ณัง ออกเสียงอะครึ่งเดียว มิ เสียงอิ เป็นเสียงสั้น ลงให้ขาด “อะระหัง” ไม่ใช่ “อาระหัง” ปัจจุบันนี้หลายวัดเผลอเมื่อไรก็เป็น “อาระหัง”

เถรี
15-03-2019, 08:35
มีพระอุปัชฌาย์รุ่นของอาตมามาจากศรีสะเกษ ขึ้นนะโมฯ อยู่ ๑๖ ครั้ง ตกตลอด ท้ายสุดก็โดนตัดสิทธิ์ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะท่านออกเสียงว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทตัสสะ” แล้วไม่รู้ด้วยว่าตัวเองผิดตรงไหน ออกชัดมาก “สัมพุทธัสสะ” ไม่ใช่ “ตัสสะ”

“ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง” ไม่ใช่ “ภะวันตุ สัพฯ” ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต “ภะวะ” ขึ้น “ภะวัน” จบ เพราะว่า “ภะวัน” นั้นคือ ภะวะ + อันตุ จึงเป็น “ภะวันตุ”

พวกเราไม่ได้เรียนบาลีก็ไม่เข้าใจ พระใหม่ส่วนใหญ่ก็ไม่เปิดตำรา ฟัง ๆ แล้วก็เลียนแบบรุ่นพี่เอา ก็เลยขึ้น “ภะวันตุ สัพพะมังคะลัง” กันเยอะมาก คำไหนที่ผิดพลาดง่าย ๆ ต้องคอยระมัดระวังและคอยแก้ไขเอาไว้

เถรี
17-03-2019, 09:07
สำหรับศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้นั้น เมื่อสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำเสร็จเรียบร้อย และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนบุษบกแล้ว ก็จะเปิดปิดตามเวลา นอกจากเปิดปิดตามเวลาแล้ว ก็ยังมีเวรยามคอยดูแลอยู่ โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้มีกล้องวงจรปิดอยู่ทั้งหมด ๑๒ ตัว ไม่ทราบเหมือนกันว่าโยมมองเห็นบ้างหรือเปล่า ? เพราะว่าค่อนข้างจะกลมกลืนกับภูมิประเทศ ทำลิงทำค่างออกอากาศไปเยอะแล้วยังไม่รู้ตัว..!

รอบวัดของเรามีกล้องวงจรปิด ๕๐ ตัว จับขโมยมาหลายครั้งแล้ว ใครแอบทำอะไรอยู่ซอกไหนมุมไหนไม่พ้นหรอก ยกเว้นในห้องน้ำ แล้วกล้องสมัยนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นระบบอะไร ชัดกว่าสายตาเราเห็นอีก ต่อให้เป็นกลางคืนก็ยังชัดเจน อาตมาเรียกไม่ถูก แต่กลางคืนกล้องจะมีวงแสงสีแดง ๆ เห็นเขาว่าเป็นแสงเลเซอร์ ที่เอาไว้จับภาพตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ญาติโยมก็จะเห็นเฉพาะจุดใหญ่ ๆ บริเวณหน้ากุฏิพระ ซึ่งตรงนั้นไม่มีที่ให้ซ่อน ก็เลยต้องทำเป็นหอเล็ก ๆ ขึ้นไป ส่วนอื่น ๆ ก็กลมกลืนกับสถานที่ เดินไปเดินมาไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองอยู่ในสายตาของบุคคลที่เฝ้าระวังอยู่ตลอด

เคยเอาให้ตำรวจเขาจับขโมย ตำรวจเขาถามว่า “ทำไมกล้องของหลวงพ่อชัดขนาดนี้ ?” บอกว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ช่างมาติดให้อย่างนี้” เพราะว่า ๕๐ ตัว เขาเอาไป ๓๕๐,๐๐๐ บาท แต่อาตมาก็แปลกใจว่า กล้องที่รัฐสภาราคาตัวละตั้ง ๑๔๐,๐๐๐ บาท จะได้ดีเท่ากับของอาตมาหรือเปล่า ?

เถรี
17-03-2019, 09:09
(สอนพระหลังทำวัตรเย็นรอบแรก) ผมเองตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ปรากฏว่าอยู่มา ๓๔ ปี ถ้าตั้งใจบวชนานกว่านั้นจะอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ ? คือไปฝึกมโนมยิทธิ แล้วเห็นนรกตั้งแต่อายุยังไม่ทันจะครบ ๒๐ ปี ก็เลยกลัวมาก..ไม่กล้าบวช เพราะว่าในนรกที่เห็นนั้น นักบวชแน่นขนัดไปหมด ถึงเวลาโยมแม่ขอให้บวชจึงผัดผ่อนไปเรื่อย ไม่กล้าบอกตรง ๆ ว่ากลัวตกนรก..!

จนกระทั่งท้ายสุด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่า ต้องการพระบวชแก้บน ๓ รูป จะบวชให้ท่านได้ไหม ? ปกติของท่านแล้ว ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่ผมกราบเรียนไปว่า “ขออนุญาตคิดดูก่อนครับ” โดยปกติถ้าตอบแบบนั้นนี่โดนแน่ ๆ..! แต่วันนั้นท่านใจดีอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอหลวงพ่อกลับจากนิวซีแลนด์แล้วค่อยให้คำตอบก็ได้” เพราะว่าตอนนั้นอาตมาไปส่งท่านไปนิวซีแลนด์

เถรี
17-03-2019, 09:10
ก็มานั่งคิดอยู่หลายวัน คิดไปคิดมาว่า พระสงฆ์สมัยพุทธกาล มีศีล ๒๒๗ ข้อเต็ม ๆ ท่านยังเป็นพระอรหันต์กันมานับไม่ถ้วน สมัยนี้ศีลเหลือแค่ไม่กี่ข้อเอง ถามว่าแล้วที่เหลือหายไปไหน ? ก็ไม่ได้หายหรอก อย่างโอวาทวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์ เกี่ยวกับการให้โอวาทภิกษุณี จะไปให้ที่ไหน ? ภิกษุณีไม่มีแล้ว แล้วศีลพระเกี่ยวกับการสร้างสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกุฏิ วิหาร อาสนะ ที่เรียกว่า “สันถัต”

หล่อสันถัต สมัยนี้หล่อกันเป็นไหม ? จะเป็นกระบะไม้ ใหญ่เท่าที่เราต้องการนั่ง เอากาวหนังสัตว์ที่เคี่ยวเอาไว้ทาลงไปบาง ๆ แล้วก็เอาขนสัตว์ที่เรียกว่า “ขนเจียม” โรยลงไปจนทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วก็ทากาวอีกชั้นหนึ่ง แล้วก็โรยอีก ทากาวอีกชั้นหนึ่ง โรยอีก จนได้หนาขนาดที่ต้องการ ไม่ใช่การตัด ไม่ใช่การเย็บ เขาถึงได้เรียกว่าหล่อ ของพวกนี้เราก็ไม่ต้องทำเอง ทำจีวรเท่าพระสุคต ก็ไม่ต้องทำเอง ไปขอด้ายจากผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ก็ไม่ต้องขอ จีวรสมัยนี้สำเร็จรูปหมดแล้ว

กำไรศีลไปตั้ง ๓๐-๔๐ ข้อแบบนี้แล้ว ถ้าบวชแล้วมึงยังลงนรกอีกก็ลง ๆ ไปเถอะ..!

เถรี
17-03-2019, 09:11
ถึงเวลาไปรับหลวงพ่อท่านกลับจากนิวซีแลนด์ ก็กราบเรียนท่านว่า “ตกลงว่าผมจะบวชครับ แล้วหลวงพ่อจะให้ผมไปวัดวันไหน ?” ท่านบอกว่า “พร้อมวันไหนก็ไปวันนั้นแหละ” ผมก็เลยโดดขึ้นรถไปกับท่านเลย เสื้อผ้าติดตัวไปชุดเดียว สตางค์อีกสองร้อย อยู่วัดวันที่ ๕ โยมแม่ตามไป ปกติแล้วผมอยู่วัดไม่เคยเกิน ๔ วัน พอถึงวันที่ ๕ โยมแม่ไปพร้อมกับอัฐบริขาร เรื่องรู้ใจลูกนี่ไม่มีใครเกินแม่จริง ๆ หายไปเกิน ๔ วัน แปลว่าตั้งใจบวชแน่ ก็เลยเอาบาตร เอาจีวรอะไรไปให้

ไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุง โยมแม่กราบเรียนว่า “ขออนุญาตบวชลูกชายเจ้าค่ะ” หลวงพ่อท่านบอกว่า “อย่าตั้งใจแบบนั้น งวดนี้เป็นการบวชหมู่ ถ้าบวชลูกชายโยมได้คนเดียว ให้ตั้งใจว่า ฉันบวชกี่รูป โยมเอาทั้งหมด” รุ่นผมบวช ๓๖ รูป เหลืออยู่หนึ่งเดียว คนที่อึดที่สุด อยู่กับผมมา ๘ พรรษาก็สึก

เถรี
17-03-2019, 09:12
ก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่ได้นะ กะว่า ๗ วันกูเผ่นแน่ แต่ปรากฏว่าแค่ไม่กี่วันหลวงพ่อท่านให้ไปตั้งที่บูชาหลวงปู่ขนมจีน ไปเจอทีเด็ดทางนั้นเข้า ก็เลยตกลงกันว่า ถ้าท่านสามารถให้ผมรับรู้ได้ว่า อารมณ์พระอรหันต์เป็นอย่างไร ผมก็จะบวชนานกว่า ๗ วัน ท่านถามว่า “ต้องการสักเท่าไร ?” กราบเรียนท่านว่า “ถ้าเป็นไปได้ก็เอาพรรษาหนึ่งเลยครับ ผมจะได้บวชเข้าพรรษาไปด้วย”

ท่านให้ได้จริง ๆ ทันทีที่ท่านรับปาก ผมนึกว่าผมเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว สติสมบูรณ์รู้รอบไปหมด อะไรเกิดขึ้นรู้เลยว่า ถ้าคิดอย่างนี้จะเป็นโทษ ถ้าคิดอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ ถ้าตัดกำลังใจลงตรงนี้ โทษต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้น แล้วก็ตัดตั้งแต่ต้น รัก โลภ โกรธ หลง จึงเกิดไม่ได้เลย

เถรี
17-03-2019, 09:13
ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว พอออกพรรษาก็หล่นพลั่กลงมาเป็นหมาเหมือนเดิม..! แต่คราวนี้คนที่กินอาหารสุดยอด ๕ ดาวมิชลินมาตลอดพรรษา อย่างไรกูต้องทำกินเองให้ได้ ก็เลยทนอยู่มาจนป่านนี้ กะว่าถ้าทำได้เมื่อไรผมก็จะสึกแล้ว..!

ถามว่ารู้ได้อย่างไร ? ปัญญานี่สุดยอดจริง ๆ ทั้งสติทั้งปัญญา อะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติปัญญารู้รอบไปหมด รู้ว่าคิดแล้วจะเกิดโทษอย่างไร ก็เลยตัดตั้งแต่แรก อารมณ์การปรุงแต่งไม่มี ผมถึงได้เข้าใจว่า สังขารุเปกขาญาณ เครื่องรู้จากการวางเฉยในการปรุงแต่งเป็นอย่างนี้เอง

เถรี
17-03-2019, 09:14
สมมติว่าคุณเห็นปากกา มองไปเห็นเป็นปากกาก็แย่แล้ว แต่ถ้าคิดต่อก็คือใช้เขียนหนังสือได้ วันนั้นไอ้นั่นทำท่าไม่ดี เดี๋ยวกูเขียนด่ามันสักหน่อย..เป็นโทสะแล้วนะ

สาวคนนั้นหน้าตาถูกใจ สเป็กล้วน ๆ เลย เขียนไปจีบเขาหน่อยดีกว่า..ราคะมาอีกแล้ว ไม่มีสตางค์ใช้ เขียนไปขอเงินแม่หน่อย..โลภะมาอีกแล้ว เห็นไหมครับว่าคิดอย่างไรก็ รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหมด ในเมื่อไปเห็นโทษว่า ถ้าคิดแล้วเกิดโทษอย่างไร ก็จะหยุดการคิดไปเอง ไม่อย่างนั้นแล้วโทษก็จะเกิดกับตัวเราเอง

เถรี
17-03-2019, 09:15
วันนี้ผมให้หมดกระเป๋าเลยนะ ถ้าทำไม่ได้เรื่องของมึง..! ทุกอย่างนั่นแหละ สมมติว่านี่กระบอกน้ำ เอาไว้ใส่น้ำใช่ไหม ? แช่เย็นสักหน่อยก็ดี..โลภะมาแล้ว ไปกับสาว เขาไม่ได้ชอบน้ำเปล่านี่นา ต้องน้ำส้ม ใส่น้ำส้มไปสักกระบอกหนึ่ง..ราคะมาแล้ว

วันก่อนใส่น้ำไว้ในตู้เย็น มาดื่มของกูหมดแล้วไม่แช่คืนให้..โทสะอีกแล้ว เห็นไหมครับ..คิดอย่างไรก็ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ทั้งหมดนั่นแหละ แล้วทำอย่างไรเราจะเห็นโทษ ว่าคิดเมื่อไรแล้วเป็นโทษให้เราต้องเกิดตลอดเวลา เราก็จะหยุดคิดเอง ไม่เห็นโทษก็ไม่เลิก เห็นเมื่อไรเราจะเลิกเอง


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
โอวาทก่อนวันงานหล่อหลวงพ่อทองคำ
วันศุกร์ที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย นายกระรอก)